พุทธธรรมกฎแห่งกรรม วันที่ 11 ธันวาคม 2562
ตอนที่ 131 **อย่าด่วนสรุปว่าดีแล้ว**
+ +
ในเช้าของวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ณ ถ้ำพญานาคราช จ.พังงา
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้นอบน้อมเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า..
...................................
ตามที่ได้แชร์ธรรมะบททดสอบขององค์พระยาธรรม คือ
1.ทรงฌานภายใน 2.ทรงฌานภายนอก 3.การฝึกปฏิบัติ 3 ชั้น
ทั้ง 3 เรื่อง รวมกับ เรื่องที่ 4 ที่จะนำเสนอนี้...
ขอเรียนว่า 4 เรื่องนี้ สามารถเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ได้แล้วครับ
จึงขอหยุดแชร์ ธรรมะไว้ก่อน เพื่อขอปลีกวิเวก ไปสวดมนต์ข้ามปี
เมื่อพระพุทธองค์แสดงธรรม เรื่องบททดสอบพระยาธรรม ครบแล้ว ผมจะรวมเป็นไฟล์ PDF และไฟล์ WORD เพื่อแจกจ่ายให้ผู้สนใจต่อไปครับ
................................................
.
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา
นอกเหนือจากสภาวะอารมณ์ทั้ง 2 อย่าง ที่ลูกได้เฝ้าทูลถามไปแล้วนั้น คือ การทรงสภาวะฌานภายใน สภาวะฌานภายนอก ความสงบภายในและภายนอกอย่างรู้ตื่น
นอกเหนือจาก 2 อย่างนี้ ลูกรู้สึกว่า ยังต้องมีสภาวะอีกอย่างหนึ่ง ที่เราต้องทรงสภาวธรรมนั้นไว้ด้วย คือ *สภาวะของอารมณ์ความเมตตา* หน่ะเจ้าค่ะ สภาวะของความเมตตานั้น มันก็จะยังต้องอยู่ และประกอบอยู่ในทั้ง 2 อย่างนี้
เพราะอะไรลูกถึงรู้สึกเช่นนี้ และอารมณ์เช่นนั้น มันมีจริงหรือเปล่า
และถ้ายังทรงอารมณ์สภาวธรรมนี้ เพราะอะไร และต้องทำแบบไหน
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ต่อยอดให้ลูกได้พิจารณาตามด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์ : ดีแล้วหละ พระยาธรรมเอย... การทรงสภาวะอารมณ์ทั้ง 2 อย่างนี้ ก็จะทำให้เรา เกิด*การวางเฉย*กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งภายในทั้งภายนอก เราก็จะเกิดสภาวะของ*การวางเฉยกับทุกสิ่ง* เพราะว่าเราเห็นแล้วว่า *มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น... เช่นนั้นอย่างนั้นเอง*
บุคคลผู้นั้น ที่เขาเจอทุกข์เช่นนั้น ก็เพราะ*เหตุนั้น* จึง *เกิดอย่างนั้น* และเดี๋ยวก็*จะดับไปเช่นนั้น*
บุคคลผู้นี้ *กระทำเช่นนี้*... จะ*เกิดผลเช่นนั้น*... และจะ*ได้รับผลเช่นนั้น*ไปอีก
คือ เราก็จะมองเห็นทุกอย่าง ตามความเป็นจริง
แต่การทรงอารมณ์สภาวธรรมเช่นนี้ ก็จะทำให้เราเกิด*การอุเบกขา วางเฉย รู้ตื่น รู้แจ้ง*
จนเราอาจเข้าไปอยู่ในอารมณ์ของการ *เห็นอะไรก็เฉย เห็นอะไรก็ช่าง เห็นอะไรก็วาง*
จนไม่เหลือ การช่วยเหลือใครเลย เห็นอะไรก็เห็นไปตามเหตุของมัน เช่นนั้น
จึงไม่คิดว่า ต้องช่วย ไม่คิดว่าต้องโปรด ต้องเมตตา มันก็เลยเป็นอารมณ์ของการ วางเฉย ไปอย่างนั้น
ทีนี้ ถ้าเกิดว่าเราเดินทางถึงจุดตรงนี้หนะลูก จะเห็นปลาว่าจะถูกฆ่า ก็จะเห็นว่า ถูกฆ่าก็เพราะว่าเขาเคยฆ่ามาก่อน ถ้าเกิดว่าปลาตัวนี้ถูกฆ่าไป มันก็หมดกรรมไป และมันก็ได้ไปเกิดใหม่ ดีแล้ว ที่มันได้ใช้กรรม
เห็นคนที่จะฆ่าปลา เราก็จะเห็นตามธรรมดาอีกว่า *ยังมีความหลงอยู่*...* ยังมีความไม่รู้ตามความเป็นจริงอยู่*
เมื่อฆ่าเขา เดี๋ยวตนก็ต้องเกิดไปเป็นปลา ให้ถูกฆ่าเช่นเดียวกัน
จิตเรา ก็จะเห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้ แล้วก็วางเฉยเช่นนี้ แล้วก็เลยไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
เพราะเห็นเป็นธรรมดา เลยไม่ยุ่งไม่เกี่ยวกับโลกใบนี้ ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวกับใคร
ใครจะเกิด ใครจะตาย ใครจะเป็น จะตายยังไง ก็เห็นเป็นธรรมดา.. ก็เลยวางเฉยไป
ทีนี้ เลยกลายเป็นสิ่งที่*ไม่มีการเกื้อกูล ค้ำหนุนโลก*
ไม่มีการเอื้อเฟื้อ ชี้ทางบอกทาง ฉุดช่วยดวงจิตต่างๆทั้งหลาย
ก็เลยยังไม่ถือว่า*ดี* ยังถือว่าไปติดอยู่ตรงที่ *ดีอยู่*
แต่ยังไม่เลยคำว่า ดี และยังดีไม่สมบูรณ์... ลูกเอ๋ย
ฉะนั้น การที่จะ*ทรงอารมณ์สภาวธรรมของการตั้งมั่นในการรู้ตื่น*นั้น
จึงควรที่จะมี*การทรงอารมณ์ของความเมตตา* เข้าไปเจือปนอยู่ในนั้นด้วยลูก
เพียงแต่ให้มีเมตตา และมีอุเบกขา คอยช่วยกันทำงานอยู่ในจิตของตน
และไม่น้อมเอาสิ่งต่างๆ เข้ามาทำให้ดวงจิตของตนนั้นเป็นทุกข์
แต่ความเมตตา จะยังคงมีอยู่ในความอุเบกขา เพื่อประกอบกันไว้
และจะได้ช่วยดวงจิตอื่น ผู้ยังไม่รู้ ไม่รู้ถึงทุกข์ที่ตนจะเจอ ไม่รู้หนทางที่จะไป ไม่รู้การดำเนินชีวิตต่อไป ว่าไปทางไหน
จึงจะเป็นการที่ทำใน*สิ่งที่ดี ได้อย่างสมบูรณ์ อย่างแท้จริง* ไงเล่า... พระยาธรรม
ถ้ามีเพียงอุเบกขาภายใน-อุเบกขาภายนอก มีเพียงปัญญาที่รู้ตื่นภายใน – ภายนอก
* รู้ตามเหตุ เกิดตามเหตุ เห็นตามเหตุ* ...*ช่างเหตุนั้นไป*
ทีนี้ เราก็เลยกลายเป็นจิตที่แข็งกระด้างไปอีก เหมือนคนใจดำไปอีก เหมือนคนเห็นแก่ตัวไปอีก
เหมือนคนที่ไม่เอาอะไรๆ สักอย่างเลย เพราะตนรู้แล้ว..ไงลูก เข้าใจแล้ว เห็นแล้ว เลยช่างมันไปอีก
มันก็เลยกลายเป็นอย่างนี้ ก็เลยยังใช้ไม่ได้ หน่ะลูก
ฉะนั้น เมื่อเรา*มีอารมณ์ของการรู้ตื่นภายใน ทรงไว้ในจิตได้*...*รู้ตื่นภายนอก ทรงไว้ในจิตแล้ว*
เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา รู้ตื่นแล้ว เราจึงควรที่จะ*ทรงอารมณ์ของความเมตตา* ด้วยลูก
*ความเมตตา ที่เกิดขึ้นในจิตที่รู้ตื่น* ความเมตตานั้น คลุกเข้ากับ*จิตที่รู้ตื่นอย่างอุเบกขา วางเฉย*
*จะเป็นอะไร ที่พอดีมาก*...* จะเป็นอะไร ที่ดี และสง่างดงามมาก*
*จะเป็นความดี ที่สมบูรณ์มาก*...*จะเป็นความดี ที่ถูกต้องมาก*
แล้วก็จะมีการเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ ชี้ทางบอกทาง *อย่างรู้ตื่น อย่างพอดีพองาม*
*อย่างที่ตนไม่ทุกข์ และผู้อื่น ก็ไม่ทุกข์*
*คนที่ถูกช่วยเหลือ ก็ไม่ทุกข์ คนที่ช่วยเหลือ ก็ไม่ทุกข์*
ความดีอันสง่างาม ความดีอันบริสุทธิ์ ความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่างบริสุทธิ์สมบูรณ์อย่างแท้จริง
จึงเกิดขึ้น จึงเป็นดวงจิตที่เมตตาอย่างสง่างาม เป็นความเมตตา ที่เย็นเข้าไปสู่จิต สู่ใจของทุกดวงจิต
เช่นนี้หละลูก จึงเป็นเหตุที่ลูกนั้นสงสัยไงเล่า ว่าการที่นิ่งเฉย วางเฉย รู้ตื่น แล้วนั้น ต้องมีการทรงอารมณ์ความเมตตา เข้ามาด้วย
การที่เรานั้น *ฝึกฝนตน*ให้รู้วางเฉย* เพื่อ*ทรงพลังให้จิตรู้ตื่น*
*การที่รู้ตื่น รู้แจ้ง*...*เพื่อละ เพื่อวาง*
การละ การวางแล้ว ต้องมี *เมตตา* เข้ามาเจือปน เพื่อให้ความดีนั้นสมบูรณ์ บริสุทธิ์
เป็นสิ่งที่ควรบูชาอย่างสูงสุด ด้วยความดีที่ถึงพร้อมแล้ว
องค์พระพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์ทั้งหลาย จึงมีความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลาย อย่างนิ่มนวล อย่างเมตตา อย่างบริสุทธิ์
จึงเป็นความปรารถนาดี ที่บริสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนไข และข้อแม้ใดทั้งสิ้น
จึงถือเป็นใช้ได้ จึงครบองค์ประกอบแห่งความดี
และจิตดวงนั้น ก็จะสง่างามยิ่งนัก เป็นที่รักของดวงจิตทั้งหลาย
และการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การเป็นที่รักของดวงจิตทั้งหลาย ก็จะเป็นเหตุดึงดูด เหมือนน้ำตาลที่ดึงดูดให้มดเข้ามาหาตน
เช่นนั้นหละลูก... จึงจะช่วยเหลือดวงจิตทั้งหลายในวัฏสงสารนี้ ให้พ้นทุกข์ได้
เช่นนี้หละ..พระยาธรรม ลูกพอจะเข้าใจ ตามสภาวะความเป็นจริง ของดวงจิตที่ดีอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
ลูกก็เคยสงสัยอยู่ว่า ทำไมบางครั้งเหมือนเราใจดำไป เพราะว่าเราเห็นว่า ก็เขาทำกรรมแบบนี้ เขาเลยได้รับผลอย่างนี้
เป็นธรรมดา ช่างมันเถอะ แล้วก็เลยไม่ได้คิดจะช่วยเหลือเขา ก็เลยเป็นการวางเฉยแบบใจจืดใจดำ
วันนี้ ลูกเข้าใจทุกอย่าง ทะลุแจ่มแจ้งแล้วเจ้าค่ะ ว่าการที่เรานั้น จะช่วยเหลือผู้อื่น
เราจะต้อง*ทรงสภาวะของความเมตตา อุเบกขา* และเมตตาด้วย จึงจะสมบูรณ์ในความดี
*การทำจิตให้อุเบกขาภายใน และภายนอก* เป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราต้องมีตัวเมตตาเข้ามาด้วย
ครบองค์ประกอบทั้ง 3 อย่างนี้ รวมกันมา จึงจะสามารถทำให้กลายเป็นดวงจิตที่สว่างไสว
บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ เป็นดวงจิตที่ประเสริฐอย่างแท้จริง
เข้าใจเช่นนี้แล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่ พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์เจ้าขา... นอกเหนือจาก 3 อย่างนี้แล้ว ยังมีอะไรอีกหรือเปล่าเจ้าคะ
ขอพระองค์โปรดทรงเมตตาชี้ทาง บอกทาง ลูกด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์ : พระยาธรรมเอย... ถ้าลูกสามารถฝึกฝนครบ 3 ประการนี้แล้ว ดวงจิตของลูกย่อมสว่างไสว บริสุทธิ์ ถึงซึ่งการดับการเกิดอย่างแท้จริง..
เพียงแค่ขัดเกลากิเลสตัณหา กรรมวิบาก ที่มันฝังรากลึกอยู่ในดวงจิตจนหมด
นั่นคือ*กิจสุดท้าย*...* สิ่งสุดท้าย* ที่ลูกนั้นต้องทำให้จบ เพราะจิตนั้นมันละเอียด
และ*กิเลสก็ซ้อน ก็ซ่อนอยู่ในความละเอียด*นั้น
.........................................
(.ทำได้แล้ว...ทั้ง 3 ระดับ...คิดว่าบรรลุแล้ว...มาพิจารณาตอนต่อไปอีกครับ จึงจะรู้แนวทางในการจบกิจ
ว่าการบรรลุเป็นองค์พระอรหันต์ ถ้าจะสมบูรณ์ ต้องมีครบ 4 ประการ)
...................................
(2)
บางทีเรา*ทรงสภาวะความรู้ตื่นแล้ว ในระดับหนึ่ง*
แต่...*การรู้ตื่นที่แท้จริง ก็ยังซ่อนลึกอยู่ข้างใน*
คือ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีก และมันละเอียด มันซับซ้อนกัน ลึกเข้าไป ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ลูก
บางที ดูเหมือนกิเลสจะหมดแล้ว แต่มันก็ยังซ้อนอยู่เบื้องลึกของจิตใจ
ฉะนั้น ก็พยายามฝึกฝนตน
*ให้ทรงสภาวะของจิตที่ว่าง ที่สว่าง เบาสบาย ภายใน*
*ทรงสภาวะของจิตที่ว่าง ที่สว่าง อยู่ภายนอก*
*ฝึกฝนการรู้ตื่น รู้แจ้งตามความเป็นจริง ให้เกิดขึ้น*
*มีความเมตตาเจือปนอยู่ในนั้น* เพื่อการช่วยเหลือผู้อื่น
และการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเมตตา ก็จะกลับมาช่วยเหลือตัวเรา
คือ *การช่วยถอด ช่วยถอน...กิเลส* ที่ซ่อนอยู่เบื้องลึกของดวงจิต
*ทรงอารมณ์สว่างภายใน สว่างภายนอก*...***เมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลโลก***
แล้ว*ตนก็จะถอดถอนกิเลสของตนได้* เพราะ*การเกื้อกูลโลก*
แล้วก็คอยสังเกต สำรวจดูจิตของตนให้ดี
อย่าพึ่งหลงเผลอคิดว่า ตนเป็นพระอรหันต์แล้ว เพียงแค่เพราะว่า
*ดวงจิตภายใน เห็นว่าสว่างแล้ว*...*ดวงจิตภายนอก เห็นว่าสว่างแล้ว*
*เมตตา เห็นว่ามีแล้ว*...*อุเบกขา เห็นว่ามีแล้ว*
**อย่าหลงเผลอ นึกว่าตนเป็นพระอรหันต์แล้ว** เพียงสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้น ลูก
ต้องดูเข้าไป ลึกเข้าไป ดูตัวกิเลสที่มันฝังรากอยู่ในใจของเรา ที่มันฝังอยู่เป็นชั้นๆ ลึกเข้าไป ๆ
ดูให้มันหมดจริงๆ เมื่อมันหมดจริงๆแล้ว เป็นว่า ใช้ได้
*ทรงสภาวะอารมณ์สว่างภายใน สว่างภายนอก*
*อุเบกขา และเมตตา ช่วยเหลือ* และ*หมดกิเลส* นั่นหละ จึงใช้ได้ ลูก
ฉะนั้น การเข้าไปทรงอยู่ภายในบ้าง ออกมาทรงอยู่ภายนอกบ้าง
*มีเมตตา มีอุเบกขา* ... *มีอุเบกขา มีเมตตา*
มีการรู้ตื่น รู้แจ้ง ในสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...ยังไม่ได้แปลว่า กิเลสหมด
กิเลสนั้น *ต้องไปรื้อ ไปค้นเอา* เดี๋ยวมันจะเจอสิ่งที่ซ่อนอยู่ ซ่อนอยู่ภายใน ลึกเข้าไปๆ
เช่นนี้หละ พระยาธรรม เป็นสิ่งที่ลูกเอง ก็ควรจะทำความเข้าใจ เพื่อการเผยแผ่ และบอกต่อแก่ผู้อื่น
ตามความเป็นจริง จะได้ไม่พากันหลงทาง
เพียงเพราะ*ทรงอารมณ์ภายใน หรือภายนอก*...เพียงเพราะแค่*เมตตา และอุเบกขา*
ต้องดูที่*อารมณ์ของกิเลส* ด้วย ลูก
ค่อยๆ ชำระล้างไปเช่นนี้ อย่างนี้ ไม่ต้องเร่ง ต้องรีบ ค่อยๆทำไป
ทำไป*ตามเหตุ ตามปัจจัย*... ทุกอย่าง มันมีกาลเวลาของมัน
บางสิ่งเร่งรีบไม่ได้ เราก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป ตามสภาวะของมัน
เพียงแต่ก็ไม่หย่อนเกินไป ไม่หย่อนจนไม่ได้เรื่อง จนไม่ทำความดี ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง
และไม่ตึง จนเร่งรีบ จนอยากจะบรรลุวันนี้พรุ่งนี้ ให้ได้
วางใจให้มันเป็นกลางๆ ไม่เร่ง ไม่รีบ ไม่ชักช้า
ทำไป*ตามกำลัง ตามเหตุ*
*ทำไป*... *ดูไป*...* พิจารณาไป*...*ถอดถอนไป*
กิเลสไม่ใช่เรื่องของ การถอดถอนได้วันนี้ พรุ่งนี้ ได้หรอกลูก มันซับซ้อนละเอียดอ่อน ค่อยๆค้น ค่อยๆดูไป
เพียงแต่การฝึกให้อารมณ์ของตน
*สงบ แนบนิ่งอยู่ภายใน อย่างรู้ตื่น*...*สงบ แนบนิ่งอยู่ภายนอก อย่างรู้ตื่น*
*รู้ตื่น รู้แจ้งโลก* ด้วยการเอาสภาวะทั้งภายในและภายนอก มาบวกกันแล้ว
ก็ควรที่จะมีเมตตา เข้ามาอยู่ในนั้น เพื่อเกื้อกูล ช่วยเหลือผู้อื่น
*การช่วยเหลือผู้อื่น เกื้อกูลผู้อื่น ก็จะกลายเป็นการกลับมาถอดถอนกิเลสในตัวเรา*
และมันก็จะถอดถอนไปทีละชั้นๆ จนกว่าจะหมดอย่างแท้จริง
ซึ่งจำเป็นที่เราต้องทำสิ่งเหล่านี้ เป็นขั้นเป็นตอนไป
แต่ไม่ได้แปลว่า เมื่อเราทำได้แล้วปุ๊บ นั้น คือการบรรลุเป็นองค์พระอรหันต์
ถ้าจะสมบูรณ์ ต้องมีครบ 4 ประการ
1. *ทรงสภาวะภายใน ให้รู้ตื่น* เหนือ *ความอยาก และไม่อยาก สิ่งรบกวนภายในจิตใจ*
2. *ทรงพลังสภาวะความรู้ตื่นภายนอก* สิ่งต่างๆทั้งหลาย ขับเคลื่อนไป ดำเนินไปตามเหตุ
ตามความถูกต้องของภายนอก อย่างรู้ตื่น
3. *ทรงสภาวะความเมตตา* เข้ามาเจือปนไว้ใน*ความอุเบกขา รู้ตื่น*นั้น *เพื่อเกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น*
4. *การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น* และ*ทรงสภาวะทั้ง 3 อย่าง*นั้น
*จะช่วยถอดถอนกิเลสของเรา* และ*ดูมันไป จนกิเลสหมด*
นั่นแหละลูก จึงถือว่า ใช้ได้ ถือว่า *บรรลุเป็นองค์พระอรหันต์อย่างแท้จริง*
นั่นหละ พระยาธรรมเอย... การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น จะไม่ใช่เรื่องที่ง่าย และทำได้
เพียงแค่เข้าฌาน ทรงฌาน แต่จะต้องทำได้ด้วย *การละ*แล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง อย่างแท้จริง
จึงเป็นอะไรที่*ไม่ง่าย*แก่การเร่งรีบ และ*ไม่ง่าย*กับการชักช้า ทำทีเล่นทีจริง
แต่*เป็นการง่าย* กับ การที่วางใจให้ถูก ค่อยๆทำไปตามเหตุ ตามวาระ
ถอดถอนไป ลึกเข้าไป รู้ตื่น รู้แจ้ง ละเอียดเข้าไป เช่นนี้หละ... พระยาธรรม
และก็เช่นเดียวกันกับที่ลูกนั้น ได้ประพฤติปฏิบัติ และน้อมธรรมมา เป็นระยะเวลา 6 ปี โดยประมาณ
และลูกก็สามารถเข้าใจในธรรม และประพฤติปฏิบัติได้ละเอียดขึ้น ลึกขึ้น
แต่ขุดเท่าไร คุ้ยเท่าไร ก็ยังหาเจอว่า มันยังมีสิ่งมัวหมอง ซ่อนอยู่ลึกเข้าไปข้างในเรื่อยๆ
เช่นนี้หละ.. พระยาธรรม
และการรู้ตื่น เข้าใจความเป็นจริงของลูก พร้อมกับการประพฤติปฏิบัติ ที่ลูกทำไปเรื่อยๆ ก็จะลึกเข้าไปๆ
เมื่อถึงเวลาก็จะถึงเป้าหมายเองนั่นหละ... พระยาธรรม
พอจะเข้าใจ อย่างนี้ เช่นนี้แล้วหรือยังเล่า... พระยาธรรมเอย
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าข้าฯ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. แล้วถ้าอย่างนั้น แสดงว่า บางทีเราก็จะเผลอนึกว่า เราเป็นพระอรหันต์แล้ว
เพียงเพราะว่า เรามีอารมณ์ 3 ประการแรก คือ รู้แจ้งภายใน รู้แจ้งภายนอก อุเบกขา เมตตา แบบนี้หน่ะเจ้าค่ะ
แล้วเราก็ยังละกิเลสไม่หมดอย่างแท้จริง แต่เราก็คิดว่าเรารู้แล้ว
อาจเผลอหลง นึกว่าเราเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ อย่างนี้หรือเจ้าค่ะ
พระพุทธองค์ : ถูกต้องแล้วหละ.. พระยาธรรม ก็พากันระมัดระวัง อย่าเผลอหลงไปก็แล้วกันนะ
ก็พากันตั้งใจ พิจารณาธรรมเหล่านี้ ให้แตกฉาน ให้เข้าใจลึกเข้าไปเรื่อยๆ
แล้วลูกก็จงทำความดีไปเรื่อยๆ อยู่เหนือการเร่งรีบ และการหย่อนในการทำความดี
และให้มันเป็นไป*ตามวาระ*ของมัน *ตามผล*ที่ส่งมา
ให้ได้*ทำเหตุ* ตามเหตุที่*ส่งผลมา* ให้ได้ทำต่อ แล้วก็ทำไปอย่างนี้ ก็แล้วกันลูก..
พระยาธรรม : สาธุเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ชี้ทางบอกทางลูกทั้งหลาย
ลูกพอจะเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าข้าฯ ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติตาม
บุคคลผู้หลงทาง เพราะว่าเห็นผิด เลยเดินตามทางผิด
บุคคลผู้เห็นถูก และเดินตามทางถูก ย่อมไม่มีทางหลงทาง
ลูกเชื่อและมั่นใจว่า วันหนึ่ง ลูกจะค่อย ๆไปถึงทาง ที่พระองค์ทรงชี้ทางไว้ เป็นขั้นๆไป
ด้วยการตั้งใจประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าข้าฯ
วันนี้ ลูกต้องกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ เอาไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าข้าฯ...สาธุ