พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิต หนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจ ถูกทำลายได้เลย
มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียว หรือสีเหลือง และ ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ใน บรรดาสิ่งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือเก่า ไม่ใช่ ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก ทั้งนี้ เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และ เหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด
จิตหนึ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผลกับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้ เป็นเหมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบ ทุกๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง หรือวัดได้
จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่า สัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจาก ภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้น เท่ากับ
การใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิต ให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่า นั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะได้เลย
เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการ แสวงหา เสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง
และพุทธะ คือ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง นั่นเอง สิ่งๆ นี้ เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่
สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้ง ๖ ก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือ การได้บุญมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด
เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกกรณีอยู่แล้วคือเป็น จิตหนึ่ง หรือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่โอกาสอำนวยให้ทำก็ทำมัน ไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน
ถ้าเราไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้นคือ พุทธะ ก็ดี และถ้าเรายัง ยึดมั่นถือมั่น ต่อรูปธรรมต่างๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆ อยู่ก็ดี และต่อวิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆ ก็ดี แนว ความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับ ทาง ทางโน้นเสียแล้ว
จิตหนึ่ง นั่นแหละ คือ พุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือ มันไม่มีรูปร่าง หรือ ปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ ปรุงแต่งความคิดฝันต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับ รูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก พุทธะ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะของความยึดมั่นถือมั่น
การปฏิบัติปารมิตาทั้ง ๖ และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดที่คืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตา ต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และ ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่ แท้จริง พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย
จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ ใน เมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ย่อม ให้ความสว่างทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และ เมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่าง ก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของ ความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะ และของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
ถ้าเรามองดูพุทธะ ว่าเป็นผู้แสดงออก ซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ผ่องใส และรู้แจ้งก็ดี หรือมอง สัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อันเป็นผลที่เกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเราไว้เสียจาก ความรู้อันสูงสุด ถึงแม้ว่าเราจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปนับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้ เพราะจิตนั้นเอง คือ พุทธะ
เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิตนี้ พวกเราจะปิดบัง จิต นั้นเสีย ด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหา พุทธะ นอก ตัวเราเอง พวกเรายังคงยึดมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ ทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้นแต่อย่างใด
เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับไม้ หรือก้อนหิน คือภายในนั้นปราศจาก การเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีด ขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรม หรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้เลย
จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรม โดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถ ปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิตนั่นแหละคือ หลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าวว่าจิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั่นแหละ ย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และ พฤติของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิง
แล้วจิตนี้คือ พุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่ง ธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่แตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด
ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย แห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง
จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละ คือ สิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีก
จิตคือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ แล้วทั้งหลายเป็นสิ่งที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อย คลานและแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่ง มันย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากัน หมด และทุกๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พุทธะ อยู่ตลอดเวลา
ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองได้สำเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้ จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนี้เท่านั้น ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็น ที่จะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย
จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหว ของจิต แม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะ พบว่ามันเป็นสิ่ง ที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหน แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การ บัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่ง เหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มัน เป็นครรภ์หรือกำเนิด ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย
ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบ สนองต่อสิ่งแวดล้อม คือ ไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็น เหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร อยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เรา ทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะ แห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
มูลธาตุทั้ง ๕ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า และมูลธาตุทั้ง ๔ ของรูปกายนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมาหรือ อาการไป ธรรมชาติ เดิมแท้ของเรานั้น เป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้น สุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของ มันทั้งหมด
จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกัน
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล 🙏🏻ค่ะ
(จิตคือพุทธะ)
#อัศจรรย์ ! จิตคือพุทธะ
ตอน "จิตที่ไปรู้นิพพาน"
จิตนี้ คือพุทธะโยนิอันบริสุทธิ์
ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด
กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี
พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์
ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี
ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้
เท่านั้น ไม่มีแตกต่างกันเลย
ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจาก
เราคิดผิดๆเท่านั้น
ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรม
ทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด
ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิม
ของเรานั้น
โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว
เป็นสิ่งซึ่งไม่มีความหมายแห่ง
ความเป็นตัวตน แม้แต่สักปรมาณูเดียว
สิ่งนั่นก็คือความว่าง เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ใน
ที่ทุกแห่งซึ่งสงบเงียบและไม่มีอะไรเจือปน
มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ
และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง
จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้โดยลึกซึ้ง
โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ คือสิ่งสิ่งนั้น
ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น
และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไร
นอกไปจากนี้อีกแล้ว
จิตก็ คือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวม
สิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด
นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย
เป็นที่สุดในเบื้องสูง
ลงไปกระทั้งจนถึงสัตว์ที่ต่ำต้อยที่สุด
ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่ด้วยอก
และแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ
สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งนั้นย่อมมีส่วนแห่ง
ความเป็นพุทธะเท่ากันหมด
และทุกๆสิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกัน
กับจิตหนึ่งนั้น
ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้เป็น
สิ่งที่มีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับพุทธะ
อยู่แล้วตลอดเวลา
ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจ
ในจิตของเรานี้ให้สำเร็จ
และค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเอง
ได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น
มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเรา
จำเป็นจะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย
จิตของเรานั้นถ้าเราทำความสงบอยู่จริงๆ
เว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหว
ของจิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ
ตัวแท้ของจิตก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง
แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป
มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรที่ไหนๆแม้แต่จุดเดียว
มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวก
ที่มีความเป็นอยู่
หรือว่าไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย
เพราะเหตุที่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้
โดยทางอาตยนะ
เพราะจิตที่เป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น
มันเป็นครรภ์หรือเป็นกำเนิด
ซึ่งไม่ได้มีใครทำให้เกิดขึ้น และไม่อาจจะ
ถูกทำลายได้เลย
ในการทำปฏิกริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม
ต่างๆนั้น
มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาจาก
ปรากฎการณ์ต่างๆ
ซึ่งสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะ
ที่เป็นตัวสติปัญญา
แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนอง
ต่อสิ่งแวดล้อม
คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่คิดนึงหรือ
สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมานั้น
มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการ
ที่จะบัญญัติว่า มันเป็นความมีอยู่
หรือไม่ใช่ความมีอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่
สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา
ในฐานะของกฏแห่งการตอบสนองของ
เหตุและผลของกันและกันนั้น
มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทาง
อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และมโนทวารอยู่นั่นเอง
ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้
เราทำความสงบเงียบสนิท
อยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไรในขณะนั้น
พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง
ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้อยู่หยุดอยู่บน
ความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
มูลธาตุทั้งห้าซึ่งประกอบกันขึ้นเป็น
วิญญาณนั้น มันเป็นของว่างเปล่า
แต่ละมูลธาตุทั้งสี่ของสิ่งที่ประกอบกันขึ้น
เป็นรูปกายนั้น
ไม่ใช่เป็นสิ่งทีประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา
จิตจริงแท้นั้นไม่มีรูปร่างและไม่มีอาการ
มา อาการไป ธรรมชาติเดิมแท้
ของเรานั้นเป็นสิ่งสิ่งหนึ่ง
ซึ่งไม่มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิด และไม่มี
การสิ้นสุดลงที่การตาย
แต่เป็นของสิ่งเดียวรวดและปราศจาก
เคลื่อนไหวใดๆ
ในส่วนลึกจริงๆของมันทั้งหมด จิตของเรา
กับสิ่งต่างๆซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้น
เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ
เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้
โดยแว๊บเดียวในขณะนั้น
และเราเป็นผู้ไม่ต้องข้องเกี่ยวในโลก
ทั้งสามอีกต่อไป
เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก จะไม่มีการ
โน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว
เราจะเป็นแต่ตัวของเราเองเท่านั้น
ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง
และเป็นสิ่งสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น
และเราจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่
ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป
ฉะนั้นนี่แหละคือหลักธรรมะ นี่เป็น
หลักมูลฐานอยู่ในที่นี้
🍂สัมมาสัมโพธิเป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่า
ไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ
ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
ปรัชญาก็คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งคือจิต
ต้นกำเนิดดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้
ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือจิตและวัตถุ
เป็นของสิ่งเดียวกันนั่นแหละ
จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งและ
ลึกลับเหนือคำพูด
และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะ
ได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง
สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น มันไม่ได้หาย
ไปจากเราแม้ใน
ขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา
และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้
มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตตถาตา
ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา
ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง
และเป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น
เมื่อเป็นดังนั้นแล้วอารมณ์ต่างๆของเราที่จิตได้สร้างขึ้น
ทั้งฝ่ายธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นซึ่งอยู่ภายนอกของความว่างนั่นได้อย่างไร
โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั่นเป็นสิ่ง
ซึ่งปราศจากมิติต่างๆแห่งการกินเนื้อที่
คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม
ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฐิ
พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่าง
แจ้งว่า โดยแท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย
ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธะทั้งหลาย
เพราะว่าในความว่างนี้ ไม่มีอะไรบรรจุอยู่
แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งจะ
มองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฏแห่งการ
กินเนื้อที่เลย
มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ต้องติดเนื่อง
อยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ
เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้โดยตัวมันเอง และเป็นสิ่ง
สูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น
มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่า
ทั้งปวงเสียจริงๆ
เราต้องแยกรูป ถอดด้วยวิชามรรคจิต เหตุต้องละ
ผลต้องละใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด...
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ขออนุโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแพร่โอวาทธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอจงเจริญรุ่งเรืองในธรรม สาธุ อนุโมทามิ
การปฏิบัติภาวนาสมาธินั้น จะให้ได้ผลเร็วช้าเท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้ บางคนได้ผลเร็ว บางคนก็ช้าหรือยังไม่ได้ผลลิ้มรสแห่งความสงบเลยก็มี แต่ก็ไม่ควรท้อถอย ก็ชื่อว่าเป็นผู้ได้ประกอบความเพียรทางใจ ย่อมเป็นบุญเป็นกุศลขั้นสูงต่อจากการบริจาคทานรักษาศีล เคยมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมากเรียนถามหลวงปู่ว่า อุตส่าห์พยายามภาวนาสมาธินานมาแล้ว แต่จิตไม่เคยสงบเลย แส่ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย มีวิธีอื่นใดบ้างที่พอจะปฏิบัติได้ ฯหลวงปู่เคยแนะนำวิธีอีกอย่างหนึ่งว่า
"ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้ ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวชเกินิพพิทา ความหน่าย คลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้
เช่นเดียวกัน"
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
☆ วิธีเจริญภาวนา ☆
1.เมื่อเริ่มต้นจากการฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิ มีความรู้สึกตัว และรู้ตัว
เริ่มจากการใช้คำบริกรรม ที่ถูกจริต แต่ต้องไม่เป็นคำที่ไปเย้ายวน หรือก่อความขัดเคืองขุ่นข้องใจ เช่นใช้
"พุทโธ"
ใช้"อิติปิโส.."
ใช้ "เมตตาคุนัง.."
ใช้"ยุบพอง" เป็นต้น
เพื่อเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น ให้บริกรรมไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่บริกรรมนั้น ชัดที่ที่สุด ที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละ
คือฐานแห่งจิต
เมื่อปฏิบัติตามนี้ ให้สังเกตุว่า ☆ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล☆ บางวันอยู่ที่หนึ่ง
บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง...
● ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธ ปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้ว ท่านจะเห็นว่าฐานนี้นะ จะชี้ชัดไปว่า อยู่ส่วนไหนของร่างกาย ก็ไม่ถูก
ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่
จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่า...
ได้กำหนดถูกฐานแห่งจิคแล้วนั่นเอง เมื่อกำหนดถูก และคำบริกรรมเช่นพุทโธ ปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกบริกรรมไปเรื่อยๆ อย่าให้ขาดสาย •• ถ้าขาดสายเมื่อใด
จิตจะแล่นออกสู่อารมณ์ต่างทันที•••
เมื่อฝึกจนจิตเสวยอารมณ์บริกรรมอิ่มพอ
"จึงจะรู้สึกตัวเอง"
ก็ค่อยๆบริกรรมต่อไป ด้วยอุบายวิธี ในทำนองเดียวกับที่กล่าวมาในเบื้องต้น ในที่สุดจะค่อยๆควบคุมจิต ให้อยู่ในอำนาจได้เอง
☆☆☆ข้อควรจำในการกำหนดจิต ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิต ให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการเจตจำนงนี้ ก็คือ ตัว"ศีล" ถ้าแค่บริกรรมพุทโธ หรือคำบริกรรมอื่นๆก็ตาม ทำเปล่าๆ โดยไร้เจตจำนง นั่นย่อมไม่เกิดประโยชนย์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจ ในการเจริญจิต ในคราวต่อๆไปถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน เมื่อบริกรรมนี้ จึงต้องสอดส่องเพ่งเล็ง ถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของคำบริกรรม ต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ เพราะเหตุของการปฏิบัติ ในขั้นตอนนี้ เป็นแค่ฝึกสมถะ ฝึกบังคับจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน ฝึกเพื่อเอากำลังสมาธิ ไปต่อยอดพัฒนาสู่ จิตภาวนา...
จบตอนที่1.
เมื่อจิตลุถึงสิ่งหนึ่งที่มีอยู่จริง "มันเต็มอยู่ในความว่าง"
สิ่งๆนี้มันไม่มีรูปร่าง ไม่มีกาลเวลา ไม่มีอายุขัย
ไม่มีสุข - ทุกข์"
มันเป็นสภาวะที่มีอยู่อย่างสมบรูณ์แล้วในตัว
เป็นสภาวะธรรมอันเดียวรวด
ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกปรุงแต่งได้
เป็นสภาวะธรรมที่ลึกลับซ้อนเร้นและเงียบสงบ
ไม่ใช่ความมีในอย่างสมมุตติมี
ไม่ใช่ความว่างในอย่างที่สมมุตติว่าง”
ความว่างนี้ไม่ได้ตั้งต้นขึ้นด้วยการเกิดหรือการดับ
มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ติดเนื่องด้วยสิ่งใด
เป็นสิ่งที่หมดจดเด็ดขาดแล้วจากสิ่งทั้งปวง
เป็นความนิ่งสนิทไม่เคลื่อนไหวไม่จุติ ไม่อุบัติ
เมื่อธรรมชาติแห่งจิตอันนึกคิดปรุงแต่งอยู่นี้ดับไป
เพราะหมดเหตุหมดปัจจัยอันถึงความตั้งอยู่ได้แล้วไซร้.....
ธรรมชาตินี้นั้นแหละ “มีอยู่ “
เพราะความดับไม่เหลือแห่งธรรมชาติอันปรุงแต่งอันเคลื่อนไหวอันจุติอันอุบัตินี้นั่นเอง
คือความลอดออกไปได้จากความเกิดความชราและมรณะอันบุคคลพึงรู้แจ้ง...
ถาม : พุทโธ เป็นอย่างไร
หลวงปู่ : เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลาย อย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียน กับตำรา หรือครู อาจารย์ อย่า เอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วเวลาภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานี่แหละ จิตของเราสงบ เราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มาก ๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง แล้วก็ควานรู้อะไร ๆ ให้มันออกมาจากจิตของเรา ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้จากจิตเองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว แต่ก่อนภาวนา ก็อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต และก็ให้จิตภาวนาเอาเอง ไม่ต้องบริกรรมทางปาก ให้จิตเป็นผู้บริกรรม พุทโธ พุทโธ อยู่นั่นแหละ เกิดครั้งเดียวเท่านั้น และพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา เราจะได้รู้จักว่า พุทโธนั้น เป็นอย่างไร แล้วรู้เอง..เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย
ภาวนาให้มาก ๆ เข้า ใน อิริยาบถ 4 ยืน เดิน นั่ง นอน อะไร อะไรทำให้หมดเลย บริกรรม พุทโธ ให้จิตว่าเอาเอง ว่านาน ๆ ไป จิตของเราติดอยู่กับ พุทโธ นั้นแล้วไม่ลำบาก มันจะว่าเอาเอง ถ้ามันติดกับ พุทโธแล้วนะ นั่นแหล่ะ มันใกล้จะเป็นสมาธิแล้ว ถ้าเป็นสมาธิแล้ว เราก็กำหนดสมาธิของเราอยู่นั่นแหละ เออ..จิตมันเป็นสมาธิ มันเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วเราก็รู้เอง เข้าไปรู้อยู่ในสมาธินั่น สมาธิสูงสุดอยู่ตรงนั้น คือ จิตมีอารมณ์เดียว จิตไม่ฟุ้งซ่าน ตัวจริงมันอยู่ตรงนั้น เรารู้อะไร เรารู้จากจิตของเราเอง เรารู้ถึงความบริสุทธิ์ ของเราเลย นอกจากนั้นไม่มีอะไร แต่เราต้องพยายามให้มาก ๆ เข้า ก่อนจะนอนหรือลุกจากที่นอน เราต้องทำเสียก่อน ทำแล้วก็นั่งให้นาน ๆ เวลามันจะเป็น มันจะรู้เองดอก แต่ถ้ายังไม่เป็น บอกเท่าไร มันก็ไม่รู้ รู้จากจิตของเรานะ รู้ถึงความบริสุทธิ์ของเราเลย รู้ถึงความเป็นจริง เท่านั้นเอง
ไม่มีอะไรมากมาย มีเท่านั้น รู้จากจิตที่เป็นสมาธิ รู้ถึงความเป็นจริงแล้ว เราก็หมดความสงสัยในพระพุทธศาสนา รู้ไม่ถึงความเป็นจริงก็ไม่หมดนควารมสงสัยดอก ศาสนาเป็นอย่างไร เรารู้ของเราเอง อย่าปล่อยให้มันปรุงแต่งมากนัก ข้อสำคัญ ให้รู้จักจิตของเราเท่านั้นเอง เพราะว่าจิตคือ ตัวหลักธรรม นอกจากจิตแล้วไม่มีหลักธรรมใด ๆ เลย
ถาม: การภาวนาเข้าไปเห็นจิตผู้รู้นั้น ทำอย่างไรครับ
หลวงปู่ : ทำให้มากๆ ทำให้บ่อยๆ
ถาม: เห็นจิตครั้งเดียวนี้ ใช้ได้ไหมครับ
หลวงปู่ : เห็นครั้งเดียวถ้าชัดเจนแล้วไม่ลืมทำให้ชำนาญ เมื่อเกิดความสงบแล้วก็พิจารณาความสงบ หัดเข้าหัดออกให้ชำนาญ เมื่อเวลาภาวนา จิตสงบแล้ว พิจารณา...รู้ว่าเป็นอย่างนี้ๆ เมื่อถึงเวลาคับขัน สิ่งที่พร้อมอยู่แล้วมันก็ย่อมเป็นไปเอง ก็มีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากมาย
ถาม : ในเวลาคับขันเกิดจะตายขึ้นมากะทันหันและเราเข้าสมาธิไม่ทัน จะทำอย่างไรครับ
หลวงปู่ : นั่นแหละ ต้องหัดเข้าให้ชำนาญ ถ้าชำนาญแล้วอะไรมาปิดบังไม่ได้หรอก
ถาม : หลวงปู่ครับ ความสงบนั้นเราจะทำอย่างไรให้มีตลอดไป
หลวงปู่ : ความสงบ รึ ภาวนานั่นเอง ภาวนาให้จิตเกิด
ถาม : การงดเว้นจากการทำภาวนา จิตเราจะเสื่อมไหมครับ
หลวงปู่ : ถ้าหากเรารู้ถึงความเป็นจริงแล้ว ไม่เสื่อม ถ้ารู้ไม่ถึงความเป็นจริงมักจะเสื่อม
ถาม : คิด ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่คิดไปเห็นแต่กลับไม่เห็นอีก
หลวงปู่ : มันจะเห็นมาจากไหน ไปหาให้มันเห็น มันไม่เคยให้ใครเห็นหรอก เลิกหา เลิกคิดของเก่าที่เคยเห็น ทำเอาใหม่ ให้เลิกอยากรู้อยากเห็นของเก่า ทำใหม่อีกมันก็เกิดใหม่อีก อย่าไปยึดสิ่งที่เคยเป็นแล้วเกิดใหม่อีก ทำใหม่อีก ดูแต่จิตอย่างเดียว อะไรๆ ออกจากจิตอย่างเดียวเท่านั้น
ถาม : ดูจิตแล้วเห็นปรุงแต่งเรื่องราวมากมาย ไม่ชนะ จะตามดับ
หลวงปู่ : ต้องลำบากไปตามดับมันทำไม ดูแต่จิตอย่างเดียวมันก็ดับไปเอง มันออกไปปรุงแต่งข้างนอก มันเกิดจากต้นตอที่จิตทั้งนั้นหาแต่ต้นตอให้พบ ก็จะรู้แจ้งหมด อะไรก็ไปจากนี้ อะไรๆ ก็มารวมอยู่ที่นี้ทั้งหมด (ท่านพูดพลางเอาหัวแม่มือชี้ที่หน้าอก) สิ่งที่ได้รู้ได้เห็นแล้วอยากรู้อยากเห็นอีก นั่นแหละคือตัวกิเลส
ถาม : เมื่อถึงโลกุตระแล้ว มีเมตตา กรุณาอะไรไหมครับ
หลวงปู่ : ไม่มีหรอก ความเมตตา กรุณา อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ในโลกทั้งหมด จิตสูงสุดหลุดพ้น อยู่เหนือโลกทั้งหมด
ถาม : ไม่มีเมตตาหรือครับ
หลวงปู่ : มีก็ไม่ว่า ไม่มีก็ไม่ว่า เลิกพูดเลิกว่า เลิกอะไรๆ ทั้งหมด มันเป็นเพียงคำพูดแท้ๆ ให้ดูจิตอย่างเดียวเท่านั้น ความเป็นจริงแล้ว เป็นแต่เพียงคำพูด สลัดทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นมายาออกเสีย ตัวผู้ที่รู้และเข้าใจอันนี้แหละคือตัวพุทธะ หมดภารกิจ หมดทุกอย่างที่จะทำอะไรต่อไปอีก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงอยู่ที่นี่ จบอยู่ที่นี่ ไม่มียาวต่อไปอีกไม่มีเล็ก...ใหญ่...หญิง...ชาย...อยู่ว่างเปล่า ไม่มีคำพูด เปล่าเปล่าบริสุทธิ์
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
โอวาทธรรม...หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
"ศีล คือปกติจิตที่อยู่อย่างปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบัง ป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
สมาธิ ผลสืบเนื่องมาจากการรักษาศีล คือจิตที่มีความมั่นคง มีความสงบเป็นพลัง ที่จะส่งต่อไปอีก
ปัญญา ผู้รู้ คือจิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริงอย่างไร
วิมุตติ คือจิตที่เข้าถึงความว่าง จากความว่าง คือละความสบาย เหลือแต่ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย..."
ที่มา : หนังสือหลวงปู่ฝากไว้
• หลักธรรมของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล •
จิตคิด จิตเกิด จิตไม่คิด จิตไม่เกิด
จิตคิด จิตถูกทำลาย จิตไม่คิด จิตไม่ถูกทำลาย
จิตปรุงแต่ง จิตถูกทำลาย จิตไม่ปรุงแต่ง จิตไม่ถูกทำลาย
จิตแสวงหา จิตถูกทำลาย จิตไม่แสวงหา จิตไม่ถูกทำลาย
จิตปรารถนา จิตถูกทำลาย จิตไม่มีความกำหนัด จิตไม่ถูกทำลาย
ทิ้งทั้งหมด รู้หมด ทิ้งหมด ได้หมด
ไม่ทิ้งเลย ไม่รู้เลย ไม่ทิ้งเลย ไม่ได้เลย
ทรงจิตเข้ามรรคจิต แล้วจิตพิจารณาจิต
รู้ธรรมในจิต แล้วถนอมมรรคจิต
จงทำให้ชำนิชำนาญ
จิตอบรมจิต รู้ธรรมภายในจิต แล้วอบรมธรรมในธรรมภายในจิต
ผู้รู้ไม่คิด ผู้คิดยังไม่รู้ รู้แล้วไม่ต้องคิดก็เกิดปัญญา
เอาธรรมมาอบรมธรรม รู้ธรรมในธรรม
เอาธรรมชาติมาปฏิบัติธรรมชาติ ให้รู้ธรรมชาติในธรรมชาติ
เอาธาตุมาปฏิบัติธาตุ ให้รู้ธาตุในธาตุ
เอาธรรมอบรมในธรรม เอาจิตอบรมจิต ให้รู้ธรรมภายในจิต
รู้แล้วละวาง ปล่อยทิ้ง และไม่อาลัย
และไม่ยึดมั่นธรรมต่างๆ
ธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิต ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
บาปบุญเปรียบเหมือนมายา
เกิดขึ้นแล้วดับ ปล่อยทิ้งทั้งสอง
มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ้นแห่งความรู้ หุบปากเงียบ อิ่มในธรรม
ธรรมเติมธรรม ไม่มีธรรมนั่นคือธรรม
*******
องค์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (-/\-)
ที่มาจาก หนังสือ อตุโลไม่มีใดเทียม
พระราชวุฒาจารย์(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)"
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
โครงการหนังสือบูรพาจารย์อีสานใต้ เล่มที่ ๑
หน้า ๔๙๒
“กิริยาจิต” ที่แฝงอยู่ตาม “อายตนะ” หรือ “ทวารทั้ง ๕” มีดังนี้
“ตา” ไปกระทบกับรูป เกิด จักษุวิญญาณ คือ การเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูปไม่ได้
“หู” ไปกระทบกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือ การได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียงไม่ได้
“จมูก” ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือ การได้กลิ่นจะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่นไม่ได้
“ลิ้น” ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือ การได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รสไม่ได้
“กาย” ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือ กายสัมผัสจะห้ามไม่ให้กายรับสัมผัสไม่ได้
“วิญญาณทั้ง ๕” อย่างนี้ เป็น “กิริยาแฝงอยู่” ในกาย ตามทวาร ทำหน้าที่ “รับรู้สิ่งต่างๆ” ที่มากระทบ เป็น”สภาวะแห่งธรรมชาติ” ของมัน “เป็นอยู่เช่นนั้น”
ก็ “สักแต่ว่า” เมื่อ “จิต” “อาศัยทวารทั้ง ๕” เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยัง “สำนักงานจิตกลาง” เพื่อรับรู้ เราจะ “ห้ามมิให้เกิด” “มีเป็น” เช่นนั้น “ย่อมกระทำไม่ได้”
“การป้องกัน” “ทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น” เราจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕” ไม่เพลิดเพลินใน “อายตนะ” เหล่านั้น
หาก”จำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น” ประกอบการงานทางกาย
ก็ควรจะ “กำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต” เช่น “เมื่อเห็น” ก็ “สักแต่ว่าเห็น” “ไม่คิดปรุง” “ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน” “ไม่คิดปรุง” ดังนี้เป็นต้น
(ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้"จิตเอนเอียง" ไปในความเห็น ทั้งดี ทั้งชั่ว)
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
ส่วนผู้ปฏิบัติธรรม
ต้องปฏิบัติจนถึงสิ่งที่ไม่มี และอยู่กับสิ่งที่ไม่มี
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
อยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต
ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้า มีจิตไม่ส่งออกนอก
จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นวิหารธรรม
มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่..
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
คนในโลกนี้
ต้องมีสิ่งที่มี เพื่ออาศัยสิ่งนั้นเป็นอยู่
ธรรมะหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย
เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต
▪หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"
▪หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด
ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆ
หาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ
▪ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน
▪อยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์
▪หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต
▪ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
" การรู้...
โดยไม่คิดเอง คือ การเดินวิปัสสนา
ที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่า...
จิต...
คือ ตัวเรา เป็นของ ของเรา
เรา ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้นตราบนั้น
ตัณหา
หรือสมุทัยก็จะสร้างภพของ...จิตว่าง
ขึ้นมาร่ำไป
ขอย้ำว่า ขั้นนี้
จิต จะดำเนินวิปัสสนาไปเอง
ไม่ใช่ ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า...
ไม่มี ใครเลยที่จงใจ หรือตั้งใจบรรลุมรรคผล-
นิพพานได้
มีแต่จิต...เค้าปฏิบัติตนเองไป เท่านั้น
เมื่อจิต...
ทรงตัวรู้ แต่...ไม่คิดอะไรนั้น
บางครั้ง จะมีบางสิ่งผุดขึ้นมาสู่ภูมิรู้...ของจิต
แต่จิต...
ไม่สำคัญมั่นหมายว่า...มันคืออะไร
เพียงแค่รู้...เฉย ๆ
ถึงความเกิด - ดับนั้น เท่านั้น
ในขั้นนี้
เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียดที่สุด
ถึงจุดหนึ่ง...
จิต...จะก้าวกระโดดต่อไปเอง
การเข้าสู่มรรคผลนั้น
รู้...มีตลอด
แต่...ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมาย
ในสังขารละเอียด(ความสงบอันประณีต)
ที่ผุดขึ้นมานั้น
เมื่อจิต...
ถอนออกจากอริยะมรรค และอริยะผลที่เกิดขึ้น
แล้ว ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า...
ธรรมเป็นอย่างนี้ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป
ธรรมชาติบางอย่างมีอยู่...
แต่ก็ไม่มี...ความเป็นตัวตนสักอณูเดียว
นี้เป็นการรู้ธรรม ในขั้นพระโสดาบัน
คือไม่เห็นว่า...
สิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่ตัวจิตเอง เป็น ตัวเรา
แต่ความยึดถือในความเป็นเรา ยังมีอยู่
เพราะ...
ขั้นความเห็น กับความคิดนั้น
มัน คนละขั้นกัน."
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
#การเจริญสติและสัมปชัญญะ ให้ทำความรู้ตัวอยู่กับจิตผู้รู้อย่างสบาย ๆ ไม่เพ่งจ้องหรือควานหา ค้นคว้า #พิจารณาเข้าไปที่จิตผู้รู้เพียงแค่รู้อยู่เฉย ๆ เท่านั้น ต่อมาเมื่อมีความคิดนึกปรุงแต่งอื่น ๆ เกิดขึ้นก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ชัดเจน เช่น เดิมมีความนิ่งว่างอยู่ ต่อมาเกิดคิดถึงคน ๆ หนึ่ง แล้วเกิดความรู้สึกรัก หรือชังขึ้นก็ให้สังเกต รู้ความรักความชังนั้น และเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น ตัวจิตผู้รู้มีอยู่ต่างหาก ให้รู้ตัวไปเรื่อย ๆ สิ่งใดเป็นอารมณ์ ปรากฏขึ้นกับจิต ก็ให้มีสติรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏนั้น ในขณะเดียวกัน #ก็ต้องไม่เผลอส่งจิตเข้าไปในอารมณ์นั้นตรงที่จิตไม่เผลอส่งออกไปนั้นเอง คือความรู้ตัวหรือสัมปชัญญะ
แนวทางปฏิบัติธรรมของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
(ตัวแบบ)
การภาวนานั้น เพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริง หลักธรรมที่แท้จริงนั้น คือจิต ให้กำหนดดูจิตให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
อารมณ์/ความคิด/ลูซิเฟอร์/ดาบสสุมโน/หาธรรมในตนให้เจอ(ผู้รู้ผู้ตื่นเป็นแบบไหน)
" กำหนดจุดรู้...
ไว้จุดเดียว รวมความรู้สึกทั้งหมด
ทำความรู้ตัวเต็มที่
และ รู้อยู่กับที่ไว้ที่จุดเดียว
โดยไม่ต้อง รู้อะไร
คือ ...รู้ตัวอย่างเดียว
มีสติ รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อย ๆ
อย่า บังคับจิต
อย่า ปล่อยจิตให้ล่องลอยไปตามยถากรรม
อย่า ปรุงแต่ง
อย่า ตามความคิดของตัวเอง
ให้มีสติ...
รู้...อยู่ที่จุดเดียว
จากนั้น...
ค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้
อยู่ ...กับที่ต่อไป
ครั้น...พลั้งเผลอ สติอ่อน รักษาไม่ดีพอ
จิตก็จะเล่นไป เสวยอารมณ์ข้างนอกอีก
จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับมารู้ตัว
รู้ตัวแล้ว...ก็พิจารณา
และ...รักษาจิตต่อไป
ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก
ก็จะสามารถควบคุม...จิตได้
และ...บรรลุสมาธิในที่สุด
ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้ง เต็มที่
อย่าถอน...เพราะไม่มีประโยชน์
และ ยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร
ไม่มีกำลังใจ ในการเจริญจิตครั้งต่อๆไป
พึงสังเกตุว่า...
ฐานนี้ ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล
บางวัน อยู่ที่หนึ่ง
บางวัน อยู่อีกที่หนึ่ง
เมื่อ...กำหนดถูก
และ พุทโธปรากฏในมโนนึก ชัดเจนดี
ก็กำหนดนึก ไปเรื่อย
อย่าให้ขาดสายได้
ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไป
สู่...อารมณ์ทันที
ความไม่ขาดสายของ...พุทโธ
จะต้องเป็นไป
ด้วย...ความไม่ลดละ
ข้อควรจำ
ในการ...กำหนดจิตนั้น
ต้องมี...เจตจำนงแน่วแน่ ในจิต
จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้
เจตจำนงนี้...
คือ.....ตัวศีล
หรือ...สติ."
______________________________________
(หลวงปู่ดุลย์ อดุโล)
วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอน ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถที่สบาย ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร คือ รู้ตัว หรือรู้ “ตัว” อย่างเดียว รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อยๆ ให้ “รู้อยู่เฉยๆ” ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้นๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง
เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ
จากนั้นค่อยๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอรักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณาและรักษาจิตต่อไป..ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร
ข้อห้าม.. ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อๆไป ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ให้ลองนึกคำว่า “พุทโธ” หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต ..พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง
ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้น จะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว เมื่อกำหนดถูก และพุทโธ ปรากฏในมโนนึกชัดเจนดี ก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นไปสู่อารมณ์ทันที เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเอง ก็ค่อยๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อยๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง
ข้อควรจำ.. ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ในอันที่จะเจริญจิต ให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ เจตจำนงนี้ คือตัว “ศีล” ..การบริกรรม “พุทโธ” เปล่าๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียร ทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อๆไป แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้ง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของพุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ.. (เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษผู้หนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าศึกเงื้อขึ้นสุดแขน พร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีอยู่ว่าถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธาของตนเองเลย)
เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคำบริกรรมนั้น เป็นอารมณ์หยาบ เมื่อจิตล่วงพ้นอารมณ์หยาบและคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึก และ “พฤติแห่งจิต” ที่ฐานนั้นๆ..บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครเป็นผู้บริกรรมพุทโธ
๒. ดูจิตเมื่ออารมณ์สงบแล้ว ให้สติจดจ่ออยู่ที่ฐานเดิมเช่นนั้น
เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็ให้ละอารมณ์นั้นทิ้งไป มาดูที่จิตต่อไปอีก ไม่ต้องกังวลใจ พยายามประคับประคองรักษาให้จิตอยู่ในฐานที่ตั้งเสมอๆ สติคอยกำหนดควบคุมอยู่อย่างเงียบๆ (รู้อยู่) ไม่ต้องวิจารณ์ กิริยาจิตใดๆที่เกิดขึ้น เพียงกำหนดรู้แล้วละไปเท่านั้น เป็นไปเช่นนี้เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤติแห่งจิตได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต) ..ทำความเข้าใจในอารมณ์ความนึกคิด สังเกตอารมณ์ทั้งสามคือ ราคะ โทสะ โมหะ
๓. อย่าส่งจิตออกนอก กำหนดรู้อยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น
อย่าให้ซัดส่ายไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอคิดไป ก็ให้ตั้งสติระลึกถึงฐานกำหนดเดิม รักษาสัมปชัญญะให้สมบูรณ์อยู่เสมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจกับมัน) ระวังจิตไม่ให้คิดถึงเรื่องภายนอก สังเกตการหวั่นไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖
๔. จงทำญานให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เมื่อเราสังเกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถึงเหตุปัจจัยของอารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ได้แล้ว จิตก็จะค่อยๆ รู้เท่าทันการเกิดของอารมณ์ต่างๆ อารมณ์ความนึกคิดต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดับไปเรื่อยๆ จนจิตว่างจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอิสระ อยู่ต่างหากจากเวทนาของรูปกาย อยู่ที่ฐานกำหนดเดิมนั่นเอง การเห็นนี้เป็นการเห็นด้วยปัญญาจักษุ..คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด
๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เมื่อสามารถเข้าใจได้ว่า จิต กับ กาย อยู่คนละส่วนได้แล้ว ให้ดูที่จิตต่อไปว่า ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่ที่ฐานที่กำหนด (จิต) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สังเกตดูที่จิต ทำความสงบอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤติแห่งจิต ได้อย่างละเอียดละออตามขั้นตอน เข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผลกันว่าเกิดจากความคิดนั่นเอง และความคิดมันออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแต่งหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนสิ่งที่มีอยู่ในจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจนสามารถเพิกรูปปรมาณูวิญญาณที่เล็กที่สุดภายในจิตได้ ..คำว่า แยกรูปถอด นั้น หมายความถึง แยกรูปวิญญาณ นั่นเอง
๖. เหตุต้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจิตจนปราศจากความคิดปรุงแต่งได้แล้ว (ว่าง) ก็ไม่ต้องอิงอาศัยกับกฎเกณฑ์แห่งความเป็นเหตุเป็นผลใดๆ ทั้งสิ้น จิตก็จะอยู่เหนือภาวะแห่งคลองความคิดนึกต่างๆ อยู่เป็นอิสระ ปราศจากสิ่งใดๆ ครอบงำอำพรางทั้งสิ้น ..เรียกว่า “สมุจเฉทธรรมทั้งปวง”
๗. ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด เมื่อเพิกรูปปรมาณูที่เล็กที่สุดเสียได้ กรรมชั่วที่ประทับ บรรจุ บันทึกถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณูนั้นก็หมดโอกาสที่จะให้ผลต่อไปในเบื้องหน้า การเพิ่มหนี้ ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง เหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ ก็เป็นสักแต่ว่ามากระทบ ไม่มีผลสืบเนื่องต่อไป หนี้กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ชาติแรก ก็เป็นอันได้รับการชดใช้หมดสิ้น หมดเรื่องหมดราวหมดพันธะผูกพัน ที่จะต้องเกิดมาใช้หนี้กรรมกันอีก เพราะกรรมชั่วอันเป็นเหตุให้ต้องเกิดอีกไม่อาจให้ผลต่อไปได้ เรียกว่า “พ้นเหตุเกิด”
๘. ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดหรอกว่า เขารู้อะไร เมื่อธรรมทั้งหลายได้ถูกถ่ายทอดไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมไปได้อย่างไร สิ่งที่ว่าไม่มีธรรมนั่นแหละ มันเป็นธรรมของมันในตัว (ผู้รู้น่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ทั้งหลายนั้นไม่จริง) ..เมื่อจิตว่างจาก “พฤติ” ต่างๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไม่มีอะไรให้สังเกตได้อีกต่อไป จึงทราบได้ว่าแท้ที่จริงแล้ว จิตนั้นไม่มีรูปร่าง มันรวมอยู่กับความว่าง ในความว่างนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ซึมซาบอยู่ในสิ่งทุกๆสิ่ง และจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งเดียวกัน
เมื่อจิตกับผู้รู้เป็นสิ่งสิ่งเดียวกัน และเป็นความว่าง ก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไม่มีความเป็นอะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไม่มีสภาวะของใคร จะไปรู้ความมีความเป็นของอะไร
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว “จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง” จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูด และพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า “นิพพาน” …
(โดยปกติ คำสอนธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้นเป็นแบบ “ปริศนาธรรม” มิใช่เป็นการบรรยายธรรม ฉะนั้นคำสอนของท่านจึงสั้น จำกัดในความหมายของธรรม เพื่อไม่ให้เฝือหรือฟุ่มเฟือยมากนัก เพราะจะทำให้สับสน เมื่อผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เขาย่อมเข้าใจได้เองว่า กิริยาอาการของจิตที่เกิดขึ้นนั้น มีมากมายหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตุนั้น หลวงปู่ท่านจึงใช้คำว่า “พฤติของจิต” แทนกิริยาทั้งหลายเหล่านั้น
คำว่า “ดูจิต อย่าส่งจิตออกนอก ทำญาณให้เห็นจิต” เหล่านี้ย่อมมีความหมายครอบคลุมไปทั้งหมดตลอดองค์ภาวนา แต่เพื่ออธิบายให้เป็นขั้นตอน จึงจัดเรียงให้ดูง่าย เข้าใจง่ายเท่านั้น หาได้จัดเรียงไปตามลำดับกระแสการเจริญจิตแต่อย่างใดไม่
ท่านผู้มีจิตศรัทธาในทางปฏิบัติ เมื่อเจริญจิตภาวนาตามคำสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบัติในแนวนี้ ผู้ปฏิบัติจะค่อยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลำดับๆ ไป เพราะมีการใส่ใจสังเกตและกำหนดรู้ “พฤติแห่งจิต” อยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากเกิดปัญหาในระหว่างการ ปฏิบัติ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระโดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผิดพลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลังเพราะคำว่า “มรรคปฏิปทา” นั้น จะต้องอยู่ใน “มรรคจิต” เท่านั้น มิใช่มรรคภายนอกต่างๆ นานาเลย
การเจริญจิตเข้าสู่ที่สุดแห่งทุกข์นั้น จะต้องถึงพร้อมด้วยวิสุทธิศีล วิสุทธิมรรค พร้อมทั้ง ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จึงจะยังกิจให้ลุล่วงถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ที่มาจากหนังสือ..การเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้และละอารมณ์
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์