การที่เราอบรมบ่มจิตเจริญมนต์ก็ดีอย่างนี้..เค้าเรียกเป็น"ทานแห่งเสียง" ในขณะที่เรานั้นสวดมนต์อยู่ก็ดี จิตเราจะเกิดสมาธิไปในตัว จะเกิดฌานไปในตัว จะเกิดวิปัสสนาไปในตัว นี่ขนาดว่าเราสวดมนต์อย่างเดียว ถ้าเราสวดแบบมีสติมีความตั้งใจนอบน้อม..ก็จักได้ประโยชน์มหาศาล
แต่ถ้าเราไม่ได้สวดด้วยใจ อะไรนั้น..ขาด"ใจ"ซึ่งเป็นประธานเสียแล้วก็ย่อมเข้าไม่ถึงในสิ่งนั้น แต่ถ้าเราสวดด้วยความตั้งใจ มีความนอบน้อม มีศรัทธา มีสติ มีสมาธิเสียแล้ว..มันก็จะเกิดมรรคเกิดผลในการสาธยายมนต์ มนต์นั้นก็จะเป็นมนตราที่ขลัง อย่างนี้เค้าเรียกว่า"สวดมนต์เข้าตัว"
การสวดมนต์เข้าตัวนี้จะมีอานิสงส์อย่างไร ก็จะมีอานิสงส์ว่ามันจะไปปรับสมดุลธาตุ คุณลมคุณไสยอะไรก็ดี ที่เรามีเวรมีกรรม ถูกอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรมมาก็ดี มันจะขับเอาออกทางรูขนรูทวาร ในลมหายใจก็ดี ในเหงื่อก็ดีอย่างนี้ ในกระหม่อมทวารก็ดี ดังนั้นอย่าเห็นว่าการสาธยายมนต์นั้นไม่มีประโยชน์ แต่มีอานิสงส์ครอบคลุมจักรวาล หากโยมมีจิตที่ตั้งมั่นนอบน้อม
เพราะคนมนุษย์นั้นเมื่อเราสวดมนต์อยู่บ่อยๆย่อมทำให้มีกำลังจิต มีกำลังสมาธิพิศดาร ดังนั้นแม้เรายังเจริญสมาธิยังไม่ตั้งมั่น ในขณะที่เราได้มีโอกาสเวลาได้เจริญมนต์ ก็ขอให้โยมนั้นมีความตั้งใจนอบน้อมในพระรัตนตรัย จดจ่อตั้งมั่นในบทสวดมนต์ เพราะในขณะที่เราสวดมนต์อยู่ก็ดี อาจจะมีจิตนั้นวอกแว่กส่งออกไปภายนอก มีอดีตแห่งกรรมเข้ามาเกี่ยวพัน มีจิตที่ฟุ้งซ่านไปในอนาคตเหล่านี้ เค้าเรียกวิถีจิตนั้นมาหาความสงบไม่ได้
นั้นถ้าการที่เราท่องมนต์ท่องด้วยแต่ปาก..แต่ไม่ได้มีสติไม่ได้มีสมาธิ..มนต์เค้าเรียกว่ามนต์มันออก ยิ่งเราสวดไปมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้เรานั้นเหนื่อยล้าในกายสังขาร ก็เรียกว่าสวดไปสวดไปแล้วมันก็จะมีความง่วงเข้ามาแทน อันนี้เค้าเรียกว่า"มนต์มันออก" จึงเรียกว่าเสียประโยชน์
เหมือนเราได้มีอาหารกินแล้วบริโภคแล้ว แต่อาหารนั้นไม่สามารถทำประโยชน์ให้ร่างกายเราได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่ามนต์มันก็จะเสีย มันก็จะกลับเป็นโทษ ดังนั้นขอให้จงเห็นค่าในสิ่งที่เราได้ตั้งใจจะทำในการสิ่งใดก็ดี เมื่อเราสาธยายมนต์สวดมนต์ได้จบแล้ว ตั้งจิตอธิษฐานเจริญพระกรรมฐานแล้วก็ดี ก็ขอให้โยมนั้นได้เจริญอานาปานสติ
"อานาปานสติ"นี้เป็นกรรมฐานแม่บทใหญ่ ไม่ว่าโยมจะเจริญกรรมฐานคือการเพ่งอารมณ์ใดก็ตาม มันต้องมีด้วยบทของการเจริญอานาปานสติคือกำหนดรู้ลมหายใจ ไม่ว่ากองใดในกสิณแห่งธาตุไฟเตโชอันใด ถ้าเรานั้นไม่กำหนดรู้ในลมหายใจ ในอานาปานสติเสียแล้ว กรรมฐานแม่บทนั้นที่เราเจริญทำอยู่..มันจะเกิดมรรคผลได้ช้า
ดังนั้นปฐมบทปฐมฌานบทแรก ให้เรากำหนดรู้ในลมหายใจในอานาปานสติ รู้เข้ารู้ออก คือเมื่อเรากำหนดรู้ลมแล้ว ก็รู้ว่าลมมันหายใจเข้าหายใจออกก็รู้ เมื่อเรารู้แล้วก็เรียกว่าเมื่อรู้ ถึงรู้ แล้วจงทิ้งรู้ เพราะขณะที่เราทิ้งรู้นั้น..คือการวางเฉยเป็นอุเบกขาฌาน อุเบกขาฌาน..เป็นอย่างไร
"อุเบกขาฌาน"คือการวางเฉย การวางเฉยคือการมาเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งให้เป็นอารมณ์ แล้ววางเฉยต่ออารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงคือไม่สนใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้น จะได้ยินเสียงอะไรก็ดี หรือร่างกายสังขารมันจะคัน ก็ขอให้เรานั้นมีขันติธรรม มีความอดทนอดกลั้น มีการที่ว่าข่มจิตข่มใจ นี่แลเค้าเรียกเป็นการข่มนิวรณ์ นี่เรียกว่าเป็นการเจริญฌานทั้งนั้น เรียกว่าอุเบกขาฌาน..อย่างนี้แล
เมื่ออุเบกขาฌานมันบังเกิด เราต้องทำให้มันชิน เพราะว่าฌานนั้นแปลว่าชิน คือทำให้มันสม่ำเสมอ อย่าได้ห่างเหินจากฌาน นั้นการที่ห่างเหินจากฌาน เมื่อเราไม่ได้ภาวนาอยู่ ไม่ได้มานั่งสมาธิ ไม่ได้มาสวดมนต์นี่ เราจะรักษาอุเบกขาฌานอย่างไร จะทรงฌานอย่างไรให้มันเป็นปรกติ เพื่อไม่ให้มันห่างเหิน..ก็คือกำหนดรู้ในลมหายใจ เมื่อเราระลึกได้ไม่ว่าเราจะทำอะไร ในอิริยาบถใดก็ตามไม่มียกเว้น..อย่างนี้แล
เมื่อเรายังระลึกถึงลมหายใจอยู่ในกาย ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิก็ดี เรียกว่าสติโยมก็จะกลับมาอยู่ที่ตั้งฐานของมัน หรือเรียกว่าตั้งฐานของจิตอยู่ในกาย..อยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม คือสติปัฏฐาน ไม่ให้พลัดพรากจากไปไหน เอาฐานใดฐานหนึ่งก็ดี แต่ต้องกำหนดรู้ที่กายก่อนคือกำหนดที่ใจ ต้องมีประธานแห่งกรรม แห่งกุศลธรรมให้มันเกิดขึ้น
เมื่อเราทำได้อย่างนี้แม้เราจะไม่มีเวลาสวดมนต์ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดก็ตามที่จะเป็นตัวขัดขวางที่จะทำให้เรานั้นสะดุดได้ แต่เมื่อเรามีโอกาสได้สาธยายมนต์ ได้นั่งเจริญจิตภาวนาก็ดี สิ่งที่โยมได้ทำไว้ ได้ภาวนาอบรมบ่มจิตในการเจริญอุเบกขาฌานนั่นแล..มันจะกลับมารวมตัว เพื่อให้โยมพร้อมสำรวมอยู่ในกาย วาจา ใจ นั่นเค้าเรียกว่าช่วยพยุงในทาน ศีล ภาวนาไม่ให้มันเสื่อม..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
การเจริญสมาธิให้มากเป็นอย่างไร คือเมื่อเราระลึกรู้ได้ก็ดี ขอให้ระลึกรู้ในลมหายใจ ระลึกอยู่ที่กาย..อยู่อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรในอิริยาบถใดนั่นแล เท่ากับว่าเรานั้นถือเป็นการเจริญสติเจริญสมาธิไปในตัว เมื่อเราทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จิตก็เป็นผู้เจริญฌานไปในตัวเท่านั้นเอง เมื่อจิตมันทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ไม่ห่างเหินจากฌานอยู่ในวิถีนี้..ก็เรียกว่าเมื่อเราอบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆ ไม่ห่างเหินจากฌาน..ญาณวิถีมันก็บังเกิด คือกระแสจิตในตัวปัญญานั้นมันจะเป็นผู้สอนในสิ่งที่เราสงสัย ที่เราประพฤติปฏิบัติในธรรม ในทางเดินแห่งมรรค ในทาน ศีล ภาวนา
การเจริญสมาธิให้มากเป็นอย่างไร คือเมื่อเราระลึกรู้ได้ก็ดี ขอให้ระลึกรู้ในลมหายใจ ระลึกอยู่ที่กาย..อยู่อย่างนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรในอิริยาบถใดนั่นแล เท่ากับว่าเรานั้นถือเป็นการเจริญสติเจริญสมาธิไปในตัว เมื่อเราทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จิตก็เป็นผู้เจริญฌานไปในตัวเท่านั้นเอง เมื่อจิตมันทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ไม่ห่างเหินจากฌานอยู่ในวิถีนี้..ก็เรียกว่าเมื่อเราอบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆ ไม่ห่างเหินจากฌาน..ญาณวิถีมันก็บังเกิด คือกระแสจิตในตัวปัญญานั้นมันจะเป็นผู้สอนในสิ่งที่เราสงสัย ที่เราประพฤติปฏิบัติในธรรม ในทางเดินแห่งมรรค ในทาน ศีล ภาวนา
การที่เราอบรมบ่มจิตเจริญมนต์ก็ดีอย่างนี้..เค้าเรียกเป็นทานแห่งเสียง ในขณะที่เรานั้นสวดมนต์อยู่ก็ดี จิตเราจะเกิดสมาธิไปในตัว จะเกิดฌานไปในตัว จะเกิดวิปัสสนาไปในตัว นี่ขนาดว่าเราสวดมนต์อย่างเดียว ถ้าเราสวดแบบมีสติมีความตั้งใจนอบน้อม..ก็จักได้ประโยชน์มหาศาล
แต่ถ้าเราไม่ได้สวดด้วยใจ อะไรนั้น..ขาดใจซึ่งเป็นประธานเสียแล้วก็ย่อมเข้าไม่ถึงในสิ่งนั้น แต่ถ้าเราสวดด้วยความตั้งใจ มีความนอบน้อมมีศรัทธา มีสติ มีสมาธิเสียแล้ว..มันก็จะเกิดมรรคเกิดผลในการสาธยายมนต์ มนต์นั้นก็จะเป็นมนตราที่ขลัง อย่างนี้เค้าเรียกว่าสวดมนต์เข้าตัว
การสวดมนต์เข้าตัวนี้จะมีอานิสงส์อย่างไร ก็จะมีอานิสงส์ว่ามันจะไปปรับสมดุลธาตุ คุณลมคุณไสยอะไรก็ดี ที่เรามีเวรมีกรรม ถูกอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรมมาก็ดี มันจะขับเอาออกทางรูขนรูทวาร ในลมหายใจก็ดี ในเหงื่อก็ดีอย่างนี้ ในกระหม่อมทวารก็ดี ดังนั้นอย่าเห็นว่าการสาธยายมนต์นั้นไม่มีประโยชน์ แต่มีอานิสงส์ครอบคลุมจักรวาล หากโยมมีจิตที่ตั้งมั่นนอบน้อม
เพราะคนมนุษย์นั้นเมื่อเราสวดมนต์อยู่บ่อยๆย่อมทำให้มีกำลังจิต มีกำลังสมาธิพิศดาร ดังนั้นแม้เรายังเจริญสมาธิยังไม่ตั้งมั่น ในขณะที่เราได้มีโอกาสเวลาได้เจริญมนต์ ก็ขอให้โยมนั้นมีความตั้งใจนอบน้อมในพระรัตนตรัย จดจ่อตั้งมั่นในบทสวดมนต์ เพราะในขณะที่เราสวดมนต์อยู่ก็ดี อาจจะมีจิตนั้นวอกแว่กส่งออกไปภายนอก มีอดีตแห่งกรรมเข้ามาเกี่ยวพัน มีจิตที่ฟุ้งซ่านไปในอนาคตเหล่านี้ เค้าเรียกวิถีจิตนั้นมาหาความสงบไม่ได้
นั้นถ้าการที่เราท่องมนต์ท่องด้วยแต่ปาก..แต่ไม่ได้มีสติไม่ได้มีสมาธิ..มนต์เค้าเรียกว่ามนต์มันออก ยิ่งเราสวดไปมากเท่าไหร่ มันก็ทำให้เรานั้นเหนื่อยล้าในกายสังขาร ก็เรียกว่าสวดไปสวดไปแล้วมันก็จะมีความง่วงเข้ามาแทน อันนี้เค้าเรียกว่ามนต์มันออก จึงเรียกว่าเสียประโยชน์
เหมือนเราได้มีอาหารกินแล้วบริโภคแล้ว แต่อาหารนั้นไม่สามารถทำประโยชน์ให้ร่างกายเราได้ อย่างนี้เค้าเรียกว่ามนต์มันก็จะเสีย มันก็จะกลับเป็นโทษ ดังนั้นขอให้จงเห็นค่าในสิ่งที่เราได้ตั้งใจจะทำในการสิ่งใดก็ดี เมื่อเราสาธยายมนต์สวดมนต์ได้จบแล้ว ตั้งจิตอธิษฐานเจริญพระกรรมฐานแล้วก็ดี ก็ขอให้โยมนั้นได้เจริญอานาปานสติ
อานาปานสตินี้เป็นกรรมฐานแม่บทใหญ่ ไม่ว่าโยมจะเจริญกรรมฐานคือการเพ่งอารมณ์ใดก็ตาม มันต้องมีด้วยบทของการเจริญอานาปานสติคือกำหนดรู้ลมหายใจ ไม่ว่ากองใดในกสิณแห่งธาตุไฟเตโชอันใด ถ้าเรานั้นไม่กำหนดรู้ในลมหายใจ ในอานาปานสติเสียแล้ว กรรมฐานแม่บทนั้นที่เราเจริญทำอยู่..มันจะเกิดมรรคผลได้ช้า
ดังนั้นปฐมบทปฐมฌานบทแรก ให้เรากำหนดรู้ในลมหายใจในอานาปานสติ รู้เข้ารู้ออก คือเมื่อเรากำหนดรู้ลมแล้ว ก็รู้ว่าลมมันหายใจเข้าหายใจออกก็รู้ เมื่อเรารู้แล้วก็เรียกว่าเมื่อรู้ ถึงรู้ แล้วจงทิ้งรู้ เพราะขณะที่เราทิ้งรู้นั้น..คือการวางเฉยเป็นอุเบกขาฌาน อุเบกขาฌาน..เป็นอย่างไร
อุเบกขาฌานคือการวางเฉย การวางเฉยคือการมาเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งให้เป็นอารมณ์ แล้ววางเฉยต่ออารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงคือไม่สนใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดอะไรขึ้น จะได้ยินเสียงอะไรก็ดี หรือร่างกายสังขารมันจะคัน ก็ขอให้เรานั้นมีขันติธรรม มีความอดทนอดกลั้น มีการที่ว่าข่มจิตข่มใจ นี่แลเค้าเรียกเป็นการข่มนิวรณ์ นี่เรียกว่าเป็นการเจริญฌานทั้งนั้น เรียกว่าอุเบกขาฌาน..อย่างนี้แล
เมื่ออุเบกขาฌานมันบังเกิด เราต้องทำให้มันชิน เพราะว่าฌานนั้นแปลว่าขิน คือทำให้มันสม่ำเสมอ อย่าได้ห่างเหินจากฌาน นั้นการที่ห่างเหินจากฌาน เมื่อเราไม่ได้ภาวนาอยู่ ไม่ได้มานั่งสมาธิ ไม่ได้มาสวดมนต์นี่ เราจะรักษาอุเบกขาฌานอย่างไร จะทรงฌานอย่างไรให้มันเป็นปรกติ เพื่อไม่ให้มันห่างเหิน..ก็คือกำหนดรู้ในลมหายใจ เมื่อเราระลึกได้ไม่ว่าเราจะทำอะไร ในอิริยาบถใดก็ตามไม่มียกเว้น..อย่างนี้แล
เมื่อเรายังระลึกถึงลมหายใจอยู่ในกาย ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิก็ดี เรียกว่าสติโยมก็จะกลับมาอยู่ที่ตั้งฐานของมัน หรือเรียกว่าตั้งฐานของจิตอยู่ในกาย..อยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม คือสติปัฏฐาน ไม่ให้พลัดพรากจากไปไหน เอาฐานใดฐานหนึ่งก็ดี แต่ต้องกำหนดรู้ที่กายก่อนคือกำหนดที่ใจ ต้องมีประธานแห่งกรรม แห่งกุศลธรรมให้มันเกิดขึ้น
เมื่อเราทำได้อย่างนี้แม้เราจะไม่มีเวลาสวดมนต์ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดก็ตามที่จะเป็นตัวขัดขวางที่จะทำให้เรานั้นสะดุดได้ แต่เมื่อเรามีโอกาสได้สาธยายมนต์ ได้นั่งเจริญจิตภาวนาก็ดี สิ่งที่โยมได้ทำไว้ ได้ภาวนาอบรมบ่มจิตในการเจริญอุเบกขาฌานนั่นแล..มันจะกลับมารวมตัว เพื่อให้โยมพร้อมสำรวมอยู่ในกาย วาจา ใจ นั่นเค้าเรียกว่าช่วยพยุงในทาน ศีล ภาวนาไม่ให้มันเสื่อม..
แสดงว่าการสวดมนต์นี่เป็นของมีค่ามีอานิสงส์สูงมาก เพราะถ้าโยมสวดมนต์ค่ำเช้าเย็นเป็นประประจำ เมื่อโยมละกายสังขารโยมไม่ต้องพิจารณาธรรมอะไรเลยก็ได้ โยมก็ไปเกิดในพรหมเทวโลกแล้ว เพราะจิตในเวลาที่โยมสาธยายมนต์เป็นสมาธิ โยมได้เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้ว จิตใจไม่มีอาฆาตพยาบาทใคร
ในขณะที่โยมสาธยายมนต์นั้นโยมก็มีความนอบน้อมในพระธรรม มีขันติธรรม มีอุเบกขาธรรม ถ้าโยมไม่วางเฉย..โยมจะมาสาธยายมนต์จนจบได้อย่างไร แล้วถ้าโยมไม่มีสัจจะมีบารมี..โยมจะสวดมนต์จบมั้ยจ๊ะ แล้วถ้าโยมไม่มีกำลังใจ..โยมจะทำคนเดียวได้มั้ยจ๊ะ เห็นมั้ยจ๊ะ การสาธยายมนต์อานิสงส์ครบครัน เหมือนกินอาหาร ๕ หมู่...
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ความสงบที่เราได้นั่นแล เมื่อเราแผ่เมตตาจิตออกไป
มันก็จะทำให้จิตเรานั้นเย็นซาบซ่าน ผลบุญกุศลที่เราแผ่ไป
มันก็จะกลับมาหาตัวเราเอง ทำให้เรานั้นมีกำลังมีสติที่จะเจริญในธรรมที่จะภาวนาจิต
เป็นเพราะเราได้ให้เค้าแล้ว เรียกว่าได้ใช้หนี้ใช้ดอกใช้ผลเค้าบ้าง
เมื่อเป็นอย่างนั้นแลจิตมันจะเข้าถึงความสงบได้ เพราะว่าเราได้ให้แล้วนั่นเอง..
คำว่าการแผ่เมตตาจิตคืออะไร..คือการระลึกถึงให้บุคคลทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย
บุคคลที่ชอบหน้าไม่ชอบหน้าก็ดี ขอให้เค้าเป็นสุข ขอให้เค้าหมดทุกข์
อย่าได้มีเวรมีภัย มีความอาฆาตพยาบาท..อย่างนี้เรียกว่า"การเจริญเมตตา"
เมื่อเราถึงความสงบได้ ก็เอาความสงบนั้นแล เปลี่ยนเป็นเมตตาธรรม คือการแผ่เมตตาจิตออกไปสัก ๑ ครั้ง
คำว่า"สงบ"หมายถึงว่าจิตเราต้องวางแล้วจากอารมณ์ภายนอก
จากบ้านจากเรือน จากสามีภรรยา ลูกผัว สมบัติการงาน หนี้สิน
ความแค้น ความคับแค้นใจ ความรักความชัง ความเกลียดทั้งหลาย..ต้องวาง
นี่เรียกว่าเราถึงความสงบแล้ว
เมื่อบังเกิดแล้ว สงบตรงไหนในกายโยมก็วางจิตไว้ที่นั่น
อย่างนั้นแลเค้าเรียกว่า"เจริญฌาน"
ถ้ามันไม่สงบเราจะไปวางอยู่ไปเพ่งอยู่ไม่ได้..มันก็จะฟุ้งอยู่อย่างนั้น
เมื่อกายเราพร้อมทีนี้ก็ต้องมาดูที่ใจ ถ้า ๓ อย่างเราพร้อมได้..พระรัตนตรัยมันก็บังเกิด ทาน ศีล ภาวนามันก็บังเกิด ฌานมันก็บังเกิดโดยธรรมชาติของมัน
นั้น การที่เราจะเข้าไปถึงความสงบ เราต้องค่อยๆรู้ก่อนว่า
จิตเราต้องรู้อะไร อะไรที่เรารู้ได้ง่าย กายกับลมหายใจเรานี้ต้องประสานกัน
ต้องรู้ลมเสียก่อน รู้ลมเกิดรู้ลมตาย รู้ลมเข้ารู้ลมออก รู้กายว่าเราพร้อมหรือไม่
จิตที่เราไม่คุ้นเคย จิตที่เรามานั่งสมาธิภาวนา
วันนี้ก็นั่งดีก็นั่งได้นาน บางวันก็นั่งไม่ได้นาน เหตุเพราะเรานั้นไม่มีความคุ้นเคยชิน
จิตที่ไม่มีหลัก แต่ถ้าจิตเรามีหลักแล้ว คุ้นเคยชินแล้ว
กำหนดแล้วเป็นอย่างไร..จิตมันก็จะเป็นไปตามนั้น
จิตที่ตั้งมั่น จิตที่มีกำลังย่อมมีความสว่างและพิจารณาได้เห็นตามความเป็นจริง
คือตามกำลังจิตของเราไม่มากก็น้อย ก็ลองพิจารณาลองฝึกดู
ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ให้จิตมันคุ้นเคยชิน
เมื่อจิตตั้งมั่นอย่างนี้แล้วให้ผ่อนกายลง คือทำกายและทำจิตนั้นให้สบาย
คือกลับมาวิตก มาวิจาร เอาอารมณ์แห่งสุขนั้นแลมาเจริญโมกขธรรม
คือเพ่งรู้อยู่ในกาย เมื่อเรามีความเพลิดเพลินมีความสุขมีความพอใจในอิทธิบาท
ที่เราจะเจริญในธรรม มันจะได้พิจารณาด้วยความละเอียด ด้วยความสุข ด้วยปัญญา
จิตทีเป็นหนึ่งอาการมันจะบอกก็คือความเสียวซ่าน ความปิติ ความสุข
มันจะทะลุโพรง นั่นก็หมายถึงจะเกิดสันดาปเกิดขึ้น ด้วยอำนาจดิน น้ำ ไฟ ลม
ประชุมธาตุเสมอเหมือนเป็นหนึ่งแล้ว จะเกิดการปฏิจุดระเบิดเกิดขึ้น
ทำให้ขนร่างกายทั่วสรรพางค์กายเกิดตื่นตัว ซู่ซ่า
ความง่วงก็ดี ความหดหู่เศร้าหมองจะถูกกำจัดออกไปเสียหมด
นี่เรียกว่าจิตมันตั้งมั่นเป็นหนึ่ง
ในขณะที่เราเจริญจิตให้ตั้งมั่นเป็นฌานเป็นอุเบกขาฌานจะต้องไม่สนใจในสิ่งใด
ไม่ต้องคิดสิ่งใด ให้รู้แต่จิตเราวางเฉยอยู่ในกายอย่างเดียว อยู่กับลม
แม้ลมนั้นยังไม่นิ่งก็ให้ประคองลมนั้น เอาเป็นอารมณ์เป็นตัวสติเป็นหลัก
แม้ไม่ต้องบริกรรมหรือภาวนาก็ตาม เอาอารมณ์นี้เป็นธงชัยเป็นหลักชัยไป
เพื่อต้องการให้จิตมารวมตัวเป็นหนึ่งเสียก่อน จะได้รู้ว่าจิตที่รวมตัวเป็นหนึ่งเป็นเช่นไร
สิ่งทุกอย่างมันจะมากระทบ จะเกิดความละเอียดมากขึ้น
คำว่าละเอียดมากขึ้นคือได้ยินสิ่งนั้นชัดมากขึ้น แต่รู้ชัดสิ่งใดก็ให้วางในสิ่งนั้น..
เรียกว่า"อุเบกขาฌาน"
จิตที่เป็นหนึ่งตั้งมั่นแล้วนั่นแลจะตัดอารมณ์นั้นได้โดยธรรมชาติของจิต
ทำอย่างนี้ให้มันคุ้นให้มันชิน ให้รู้อยู่ในกาย แต่ไม่ต้องสนใจกาย
จิตเรายิ่งตั้งมั่นมากเท่าไหร่ เหมือนเรานั้นนั่งอยู่ที่สูงบนยอดเขา
จะมี"เสียงมาเสียดหู" เสียดอะไรก็ตามให้"วางอุเบกขาไว้"
แต่หากกำลังจิตเราไม่พอ หากว่ายังมีอารมณ์ความฟุ้งซ่านความง่วง
ความหดหู่ใจ ความเคลิบเคลิ้มใจเข้ามาอยู่ ก็ให้เราล้างใหม่ กำหนดลมเข้ามาใหม่
ทำความรู้สึกในลมนั้น เมื่อรู้ลมแล้วถึงลมที่ใด..ถ้ามันสงบก็ให้วางลมที่นั้น
หากจิตมันตั้งมั่นเสียได้ คำว่าจิตตั้งมั่นเสียแล้วจิตมันต้องตื่นขึ้นมาได้
ความง่วงก็ดี ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ความเคลิบเคลิ้มใจ ความหดหู่ใจ ความเศร้าหมองใจ เราต้องตัดมันทิ้งไปเสียให้หมด ให้รู้อยู่แต่ในตัวกาย วาจา ใจ ในกายนี้แล
ให้จิตนั้นเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาคือไม่สนใจ เค้าเรียกว่า"จิตเป็นอุเบกขาฌาน"
การวางอุเบกขาก็ยังเป็นฌานอย่างหนึ่ง แม้ได้ยินได้ฟังรู้แล้วก็วาง
เมื่อจิตสบายแล้ว วางกาย วางจิต ให้เป็นธรรมชาติ
ดูจิตในกาย จะดูกลางกายก็ดี ที่เหนือสะดือก็ดี ท้องน้อยก็ดี
แล้วทำความสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ให้นานเท่าไรก็ได้ตามที่เรานั้นจะปรารถนา
เค้าเรียกว่า"ทรงอารมณ์ไว้ให้เป็นฌาน" คำว่าฌานนี้คือจิตที่เพ่งอยู่เป็นอารมณ์เดียว
ทำอย่างนี้สัก ๓-๔ ครั้ง ถึง ๑๐ ครั้ง ให้รู้สึกว่าโล่งสบาย ให้รู้สึกว่าลมหายใจมันเบา
ให้รู้สึกว่ากายมันเบา จิตมันจะบอกเองว่าเบาอย่างไร ไม่เบาอย่างไร
คือจิตมันจะสบายนั่นเอง
เมื่อนั้นแล เมื่อจิตเราเริ่มมีกำลังเราก็สำรวมจิตใหม่ สำรวมลมใหม่
สูดลมหายใจให้สุด ให้เต็มปอด เพื่อเราจะเอาลมที่สงบที่ดีที่ตั้งมั่น
ที่ระงับแล้วจากอารมณ์แห่งอกุศลเข้าไปฟอกไปเลี้ยงมันใหม่
เค้าเรียกว่าหายใจเข้าลึกยาว หายใจออกก็ต้องลึกยาวเช่นเดียวกัน
ทำไมถึงเรียกว่าลมเสีย ลมเสียคือลมที่ยังไม่สงบนั่นเอง ลมที่ยังบ้าคลั่งอยู่
ลมที่ยังมีโมหะ ลมที่ยังมีโลภะ ลมที่ยังมีโทสะ
เมื่อถึงเวลานั้นจิตเราตั้งมั่นตรงใดในลมแล้วให้เราผ่อนลมไปไว้ที่"ท้องน้อยของเรา"
แล้วก็เพ่งรู้อยู่ที่ลมนั้นที่เหนือสะดือนั้น ให้มันสำลักกระอักกระอ่วนออกมา
ออกทางหูก็ดี ทางทวารใดทวารหนึ่งก็ดี นี่เรียกว่าเป็น"การข่มจิตข่มใจ"
คือข่มอารมณ์ต่อสิ่งที่เรานั้นขัดต่อความสบายจิตสบายใจ
นี่เรียกว่าเป็น"การปรับธาตุไฟเตโชเสียใหม่"
มันเป็นธรรมชาติเมื่อลมเข้า..เข้าไปเพิ่มมันก็ต้องเพิ่มขึ้น..คือพอง
เมื่อลมออกมันขาดออกไปเสียพลังงานออกไป..มันก็ต้องยุบ..เรียกว่ามันพร่อง
ให้ดูลมในกาย ในขณะที่เรากำลังเอาลมเข้าอยู่ ค่อยๆเอาเข้าทีละเล็กทีละน้อย
เหมือนเข็มนาฬิกาที่มันเดิน จนสุดเพดานไม่สามารถเดินต่อไปได้
ให้วางลมไว้ที่ใดก็ได้ในกายนี้ ที่เหนือสะดือก็ดี ที่ลิ้นปี่ก็ดี ที่ปลายจมูกก็ดี
ริมฝีปากที่กระทบกับลมก็ดี ที่กลางกระหม่อมก็ดี ที่ท้ายทอยก็ดี
ที่ไขสันหลังก้นกบก็ดี หรือทั่วกายสังขารก็ดี นี่เค้าเรียกว่า"กักลมเสีย"ไว้
การที่เราจะเข้าไปถึงความสงบได้ต้องรู้จักหัด"เจริญลมปราณ"เสียบ้าง
การเจริญลมปราณนี้มีข้อดีอย่างไร เพื่อไล่ลมเสียออก
ไอ้ลมเสียนี้แลมันจะทำให้เราอารมณ์เสียเลือดเสีย
ภูมิต้านทานเราที่เสียๆนี้แลเกิดจากอารมณ์เสียทั้งนั้น ค่อยๆหัดฝึกไป
เมื่อเราสำรวมได้อยู่ในกาย รู้อยู่ในกาย คือรู้ลมอยู่ในกาย
ให้รู้ลมออกลมเข้าในกาย รู้ลมยุบเข้า ดูซิว่าเข้าแล้วมันยุบหรือพอง…
ดังนั้นสถานที่ๆเราอยู่นั้นแล บ้านเรือนก็ดี สถานที่อยู่พำนักก็ดี ในกายอินทรีย์นี้ก็ดี..ขอให้โยมฝึกให้มาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ หากโยมได้มีพื้นฐานในกรรมฐานแล้ว โยมฝึกให้มากในทาน ศีล ภาวนา ในอานาปานสติ ในการเจริญฌาน การเจริญฌานคือการเพ่งอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งให้จิตมันตั้งมั่น เมื่อจิตโยมตั้งมั่นแล้ว จิตโยมเข้าถึงความสงบนั้นแล..ชื่อว่าสมาธิมันก็บังเกิด คราใดเมื่อสมาธิบังเกิดแล้ว โยมก็เอาปัญญาที่เกิดนั้นแลไปพิจารณาละอารมณ์ในขันธ์ ๕
อารมณ์ในขันธ์ ๕ มันเกิดจากอะไร เกิดจากความพอใจ เกิดจากอำนาจไฟโทสะ โมหะ โลภะ เพราะวันๆหนึ่งก็ดีโยมยังอยู่ในโลกธรรม โยมต้องมีอารมณ์หนึ่งแห่งกิเลสก็ดีมากระทบจิต เมื่อมันมีมากระทบอยู่บ่อยๆ การสั่นสะเทือนก็ดี การอ่อนล้าของจิตก็ดี มันย่อมเป็นธรรมดาให้จิตเรานั้นมีความขุ่นเคือง มีความไม่พอใจ มีความหลง มีความโลภ มีความอยากเหล่านี้
ไอ้ความโลภคือความอยาก ความอยากเหล่านี้มันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไอ้ความโทสะนี้มันก็เรียกว่าขาดจากการเมตตาจิตการอบรมบ่มจิต ความหลงก็ดีขาดจากปัญญาพิจารณา ความอยากเหล่านี้ขอให้โยมพิจารณาในโทษทั้งปวงว่า หากมันมีมากเสียแล้ว มันก็ทำให้ตัวเรานั้นเป็นทุกข์
ดังนั้นถ้าโยมได้ประพฤติปฏิบัติอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าโยมจะอยู่ในการงานใดก็ตาม แค่โยมรู้ลม รู้อาการ รู้เท่าทันสติ รู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น..ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นกุศลหรืออกุศล หากมันเป็นกุศล..โยมก็รักษาจิตนั้นให้ผ่องใส หากมันเป็นอกุศลมูลเกิดขึ้นกับจิต ..ให้โยมละอกุศลเหล่านั้นด้วยการอโหสิกรรม คือการวางเฉย รู้เท่าทัน หรือมีองค์ภาวนากำกับจิต ให้มีองค์ภาวนามาแทรกมาตัดรอนในอกุศลนั้น อย่าให้อกุศลนั้นมันตั้งอยู่ได้นาน
เมื่อมันตั้งอยู่ได้นานมันสิงได้นาน มันก็จะมีกำลัง เมื่อจิตมันคุ้นเคยในอกุศลแล้ว นี่แลเค้าเรียกว่าจิตมันจะเสวยอกุศลอยู่บ่อยๆนั่นแล แต่เมื่อเรารู้เท่าทันในอกุศลอยู่บ่อยๆแล้ว อกุศลกองนั้นมันก็จะดับลงไปเอง แบบนี้ชื่อว่าสติมีมากมีกำลัง เมื่อเราทำได้แบบนี้ก็เรียกว่าจิตเรานั้นจะกลับมาเสวยในกุศลเหมือนเดิม ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ก็ชื่อว่าผู้นั้นได้เจริญฌาน ผู้นั้นได้เจริญสติ เมื่อโยมได้พิจารณาละอกุศลในโทสะ โมหะ โลภะลงไป ก็ชื่อว่าได้เจริญปัญญา
ไม่ได้บอกว่าฉันนั้นไม่ได้มีเวลามาประพฤติปฏิบัติธรรม อันว่าธรรมเรานั้นก็อยู่ที่กาย วาจา ใจ การประพฤติคือการกระทำ เมื่อเรากระทำดี เรารู้แล้วเรารักษา ไม่ทำให้เรานั้นเดือดร้อนและก็ไม่เป็นผู้เบียดเบียน..ผู้นั้นแลชื่อว่าเจริญในพรหมจรรย์ เจริญเมตตาธรรม
ดังนั้นการที่โยมฝึกสติคือรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ในกาย นั่นก็เรียกว่ารู้ที่ตั้งของกาย เรียกว่ารู้ที่ตั้งของกุศล กุศลและอกุศลก็ดีมันก็อยู่ในกายนี้ อยู่ที่ใจเรานี้ที่มีจิตปรารถนาจะทำความดี นั้นขอให้โยมไปพิจารณาเอา ไม่มีอะไรวิเศษไปกว่านี้ และไม่มีวิชาอะไรจะไปมากกว่านี้ ไม่มีอะไรลึกลับไปมากกว่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าทำให้เรานั้นเป็นพิศดาร
ถ้าโยมยังข้ามความกลัวอะไรไม่ได้ นั่นแหล่ะจ้ะสิ่งที่โยมต้องแก้ต้องไขต้องฝึก แสดงว่าเรายังมีความหลงอยู่มาก ถ้าเรานั้นขาดจากความกลัวแล้ว ข้ามความกลัวได้..แสดงว่าปัญญาเราได้บังเกิดแล้ว นั้นสิ่งใดที่เรานั้นยังไม่เคยทน..แสดงว่าเราขาดขันติ เมื่อเรายังไม่เห็นอะไรอย่างที่แท้จริง..แสดงว่าเรานั้นสัจจะเรายังทำไม่ถึง เมื่อเรายังไม่ถึงในปาฏิหาริย์..เรานั้นแลขาดการอธิษฐานจิต ให้เรากระทำอยู่บ่อยๆ
การประพฤติปฏิบัติในทางเดินแห่งมรรค ผู้ใดจะพบความมหัศจรรย์ในการประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์ ก็ต่อเมื่อผู้นั้นมีใจที่ศรัทธาแน่วแน่ต่อพระรัตนตรัย แม้ชีวิตก็ยอมมอบกายถวายได้ อย่างนี้แลโยมจะได้เห็นสิ่งที่เป็นมหัศจรรย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ในโลกแห่งโลกเป็นทิพย์ที่โยมยังไม่เห็นอะไรอีกมากมายในโลกในจักรวาลนี้ อย่าคิดว่าโยมนั้นยังเข้าไม่ถึง เพียงว่าโยมมีจิตที่โยมนอบน้อมในพระรัตนตรัย ต่อครูบาอาจารย์ในสิ่งที่โยมศรัทธาในการปฏิบัติอยู่..โยมก็จะเข้าถึงในสิ่งนั้นได้
อย่าไปหลงว่าครูบาอาจารย์ก็ดีสำนักนั้นสำนักนี้ก็ดี ถ้าเรานั้นขาดจากความเพียร ไม่หมั่นเพียรในการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่มีทางที่เรานั้นจะข้ามพ้นจากทุกข์ได้
ดังนั้นแล้วในทาน ศีล ภาวนานี้แลจงทำให้มาก อานาปานสตินี้แลจงเจริญให้มาก กำหนดรู้ในกายให้มาก เมื่อโยมกำหนดรู้ในกายให้มาก ในลมหายใจแล้ว..สมาธิก็ดี สติก็ดี ปัญญาก็ดีมันจะเกิดของมันเองโดยธรรมชาติ โยมสะสมสติให้มาก เพราะโยมสะสมสติให้มากๆแล้วมันมีแต่คุณ..ไม่มีโทษเลย
ดังนั้นแล้วขอให้โยมรู้ไว้ว่าจิตนั้นอย่าได้อยากปรารถนาอะไรในความเพียร เอากายเรานี้แลเป็นที่ตั้ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าไปตั้งที่ไหน อย่าไปตั้งไว้ที่ใด ให้เอาใจตั้งไว้ที่กายเรานี้ เราจะเดิน ยืน นั่ง นอน..ขอให้มีใจ มีสติระลึกอยู่ในกาย ลมหายใจที่เข้าออกหล่อเลี้ยงกายสังขารและจิตวิญญาณนี้ คือระลึกรู้อยู่ในลมหายใจในกายนี้อยู่บ่อยๆ เมื่อถึงเวลาบุญกุศลโยมนำพา โยมเห็นทุกข์ในทางโลกมีมากแล้วนั่นแล โยมจะสละและหันหลังคือการปล่อยวางที่จะสลัดออกในภาระต่างๆ
ถ้าโยมยังไม่สามารถสลัดภาระในทางโลกได้ในขณะนี้ก็ดี หรือมีภาระเข้ามามากก็ดี นั่นก็เรียกว่าเรานั้นยังมีหนี้มีกรรมอยู่ที่ต้องชดใช้ในหนี้สินในกรรมนั้น แต่ผู้ใดหมดภาระจากทางโลกแล้ว นั่นเรียกว่าหนี้สินของโยมได้ชดใช้หมดแล้ว ที่เหลือก็เป็นการตอบแทนในศาสนา เอากายสังขารนี้แลที่มีอยู่มีลมหายใจอยู่จงได้ตอบแทนในศาสนานี้..เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
(1)
ความดีทั้งหลายมันเกิดที่จิตใจของตัวเรา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหลาย โยมก็รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ที่เราไปติดไปพอใจอย่างไร โยมตัดที่ใจได้..ไอ้รูป รส กลิ่น เสียงทั้งหลายนั้นก็ดับได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนว่าศีลมันมีมากมายหลายพันข้อก็ตาม ให้เราถือใจเราเป็นใหญ่เพียงข้อเดียว ไม่ให้ใจเราโลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง ถ้าอาการ ๓ อย่างมันเกิดขึ้นในผัสสะในอารมณ์จิตที่เราเข้าไปเสวยนั้นแล ขอให้โยมมีสติรู้ เมื่อเรารู้อยู่บ่อยๆมันย่อมระงับดับได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นิโรธมันก็บังเกิด เมื่อเราเพ่งโทษในอารมณ์นั้นให้มากๆ
แต่สิ่งที่ว่ามันเพ่งแล้วมันไม่เท่าทัน เพราะว่าอำนาจแห่งไฟโทสะ โมหะ โลภะนั้นมันมีอำนาจมาก..ก็เพราะอะไร เพราะเรายังมีความพอใจเกี่ยวข้องนั่นเอง ดังนั้นจะทำอย่างไรให้อำนาจไฟ ๓ กองเหล่านี้มันไม่ให้โทษมาก นั่นก็หมายถึงเราต้องละอารมณ์ในขันธ์ ๕ ให้มาก คือบั่นทอนเชื้อ ไม่เพิ่มเชื้อนั่นเอง นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้อกุศล รากเหง้าของอกุศลนี้แลมันดับลงได้ ก็คือไฟในขุมนรกนี้
ดังนั้นถ้าใจเราเร่าร้อนอยู่ นั่นแลเรากำลังเสวยทุกข์อยู่นั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเรารู้ทุกข์แล้วอย่างนี้..แล้วเราทนทุกข์ แล้วพิจารณาละออกจากทุกข์นั้น โยมก็ไม่ต้องกลับลงไปอยู่ข้างล่างอีกต่อไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมเอากายนี้แลเป็นขุมนรก และสวรรค์ และนิพพาน..โยมจะรู้ได้
อาการของขุมนรกที่เราจะเสวยทุกข์เป็นอย่างไร จิตจะเร่าร้อน ใครที่มีทุกข์นั้นเวลานั้นผ่านไปยาวนานนัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เหมือนที่สัตว์นรกทั้งหลายที่ต้องตกเสวยในวิบากกรรม ย่อมมีความยาวนานของเวลา ความสุขก็เช่นเดียวกันของสวรรค์ ผู้ใดมีความสุขก็จะเห็นว่าเวลานั้นมันยาวนานเช่นเดียวกัน ก็อยู่ที่เรานั้นพอใจ
อันว่านิพพานถ้าจิตเรานั้นว่างทุกอย่าง หยุดคิดจากการปรุงแต่งของอารมณ์แล้ว ที่จิตนั้นเข้าไปสัมผัสรับรู้อยู่ในอุเบกขาอย่างนั้น จิตนั้นไม่มีการปรุงแต่งอย่างใดเสียแล้วอย่างนี้ ก็เหมือนเรานั้นเสวยอยู่ในนิพพานในอารมณ์นั้น
ดังนั้นแล้วการว่ามีขันธ์ ย่อมมีชื่อว่ากองทุกข์อยู่ร่ำไป นั้นเราจะดับ ถ้าเมื่อเรายังมีอารมณ์อยู่ ไปเกี่ยวข้องในขันธมารอย่างนี้ ในรูป เวทนา สัญญา สังขารอยู่ ดังนั้นทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงย่อมดับลงไม่ได้ แต่เมื่อเราละอารมณ์ในขันธ์ ๕ อยู่บ่อยๆ ในอำนาจในไฟในกิเลส ๓ กอง คือโทสะ โมหะ โลภะ คือละให้มันเหลือน้อย
เมื่อมันเหลือน้อยแล้วอำนาจแห่งอกุศลก็ดี เมื่อมันมีน้อย..สติเรามีมากกว่า เราย่อมเท่าทันและควบคุมมันได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อควบคุมมันได้เราก็จะอยู่กับมันได้ มันก็เหมือนว่าไอ้สรรเสริญเยินยอ นินทาของโลกธรรมทั้งหลาย เราไม่มีทางที่จะห้ามมันได้ แม้เวทนาในกายสังขาร เราก็ไม่สามารถห้ามมันได้ ความเจ็บป่วยก็ดี ความเสื่อมก็ดีเหล่านี้ เราไม่สามารถห้ามมันได้ ความตายเราก็ไม่สามารถห้ามมันได้ ถ้าเมื่อมันเกิดกับผู้ใดแล้วมันจะมีอำนาจมาก
แต่เมื่อเราห้ามมันไม่ได้ เพราะว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก แต่เราสามารถกำหนดรู้มันได้ ขอให้โยมฝึกอยู่ในจิตอยู่ในกายวาจา อยู่ในสติปัฏฐาน ๔ ให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วโยมจะหลุดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ เมื่อโยมทนในเวทนาทุกข์เวทนา สุขมันก็เป็นเวทนา ทุกข์มันก็เป็นเวทนา การวางเฉยในทุกข์และสุขก็เป็นเวทนา ดังนั้นการดับทุกข์ต่างหากโยมจะไม่มีเวทนาอีกต่อไป
การดับทุกข์..ดับอย่างไร ทุกข์มันเกิดที่ไหน ถ้าเราบอกว่าเกิดที่กายแล้วมีใจที่เป็นประธานไปรับรู้ในกองอกุศล โยมก็เอากายนั้นแลเป็นที่ฝึก เป็นสนามรบ เป็นป่าแห่งกรรมฐาน เมื่อโยมเอาใจนั้นเป็นพระแล้ว ใจของโยมมีศีลแล้ว ก็เอากายสังขารนี้แลเป็นวัดวาอาราม แสดงว่าเมื่อใจเรามีศีล เมื่อใจเราเป็นพระ ใจเรานี้มีเมตตามีพรหมวิหารแล้ว โยมก็ทำกายเรานี้ให้เป็นเสนาเสนาะ เป็นที่สัปปายะที่สันโดษ
ถ้าใจโยมยังไม่สงบเพียงใด แม้โยมจะประพฤติปฏิบัติที่ไหนก็หาความสงบไม่ได้ พระธุดงค์หรือผู้แสวงหาที่สัปปายะเพราะอะไร เพราะเมื่อจิตเค้าสงบมากๆยิ่งเข้าไปแล้ว ทีนี้เค้าจะแสวงหาที่สงบยิ่งเข้าไปอีก ที่วิเวกสันโดษเข้าไปอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าจิตผู้ใดนั้นยังไม่เคยทำให้จิตนั้นสงบได้เลย โยมไม่ต้องไปหาสถานที่สงบสันโดษสัปปายะที่ไหนอีกเลยในโลกนี้..จะไม่มีที่แห่งนั้นให้กับบุคคลผู้นั้นเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
โยมฝึกในกายนี้ให้มันระงับเสียก่อน ถ้ากายโยมยังไม่ระงับ ยังไม่เข้าถึงศีลได้ โยมอย่าได้ริอาจจะไปฝึกที่ใด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะแสดงว่าโยมยังไม่มีครูบาอาจารย์ ยังไม่มีหัวใจพระกรรมฐาน เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วสติอาจวิปลาสได้ ฉันก็อยากจะบอกเตือนว่า..ถ้าโยมต้องการปรารถนาความก้าวหน้าของจิต ไม่ว่าโยมจะอยู่ที่ใดถ้าจิตโยมสงบตั้งมั่นแล้ว จิตเรานั้นจะปรารถนาหาที่สัปปายะ เมื่อนั้นแลจะเป็นการหาที่ฝึกจิตอยู่ตลอดเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ผู้ใดไม่ได้ปรารถนาหาความสงบความสัปปายะ มีแต่ความเกียจคร้าน โยมไปอยู่ที่ใดโยมก็ต้องไปหาแต่ความเกียจคร้านที่นั่น โอ้..ที่ตรงนี้มันสงบน่านอนดี อย่างนี้แลก็เป็นเช่นนี้
ดังนั้นกายเรานี้แลเป็นถ้ำเป็นผา เป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่เรียนรู้ เป็นที่สร้างกุศลและสร้างอกุศลมูลทั้งหลาย ดังนั้นนรกก็ดี สวรรค์ก็ดี นิพพานก็ดีก็อยู่ในกายนี้ ขอให้โยมจงรู้..นรกเมื่อเกิดขึ้น..ก็คือเกิดขึ้นที่ใจที่โยมรับรู้สัมผัสได้ อันว่าเวทนาที่เกิดขึ้นทางกายนั้นแล..ก็เรียกว่าตัวทุกข์ สิ่งที่ทนได้ยาก นี้เค้าเรียกว่าเป็นการชดใช้ในกรรมที่โยมต้องเสวย ดังนั้นการเสวยนี้อย่างน้อยเราก็ยังทนได้กำหนดรู้ได้
อันว่าสวรรค์คือที่ตั้งของจิตอันที่ว่าสงบระงับแล้วในเวทนาทั้งหลาย มันก็จะเกิดสุขความพอใจเกิดปิติ อันว่านิพพานก็คือว่างจากอุปกิเลสทั้งหลายที่ทำให้จิตเรานั้นไม่เศร้าหมองอีก นี้แลเมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ นั่นก็หมายถึงว่าทำจิตให้เรานั้นสะอาดอยู่บ่อยๆ ให้จิตเรานั้นเข้าถึงศีล ให้จิตเราตั้งมั่นอยู่บ่อยๆ..เหล่านี้ชื่อว่ากุศล ควรทำให้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
(2)
ดังนั้นสถานที่ที่โยมไป ณ ที่ใดขอให้โยมใช้เป็นประโยชน์ให้มาก อย่าได้เที่ยวไปแสวงหาที่ๆมันสงบ ที่ๆมันสัปปายะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะยิ่งที่มันสัปปายะมากเท่าไหร่ สงบมากเท่าไหร่ แต่กายอินทรีย์สังขารจิตเรานั้นในศีลนั้น ในสังวรของศีลนั้น..เรายังไม่ถึงในที่ๆแห่งนั้น แทนที่จักได้ประโยชน์เราก็จักได้โทษกลับไปแทน
ถ้าโยมต้องการประพฤติปฏิบัติไปเพื่อสู่ทางพ้นทุกข์ โยมต้องมีความปรารถนาหรือเรียกว่ามีปณิธาน "ปณิธาน"คืออะไร..ก็คือการอธิษฐานจิตปรารถนาหวังการพ้นทุกข์ นี่คือสิ้นสุดแห่งทางเดินแห่งมรรค ถ้าเรายังไม่ได้ปรารถนาอธิษฐานจิตเพื่อจะบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติไปเพื่อทางสิ้นทุกข์แล้ว ทางแห่งมรรคนี้โยมจะไม่มีวันแจ้งได้ เพราะเรียกว่าโยมยังเสียดายกิเลส ยังเหยียบเรือสองแคมอยู่
นั้นจึงบอกว่าเมื่อโยมจะเจริญภาวนา เจริญพระกรรมฐาน เจริญศีลอะไรก็ตาม เจริญปัญญาเจริญสมาธิก็ดี ขอให้โยมทิ้งทุกอย่าง ทิ้งทุกตำรา แม้ว่าครูบาอาจารย์ไหนให้วางเสียให้หมด ให้รู้ลมกับกายอย่างเดียว เมื่อรู้ลมกับกายแล้ว ลมกับกายและจิตและใจนั้นตั้งมั่นเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาแล้ว..ทีนี้แลครูบาอาจารย์มันถึงได้เกิดขึ้นมา ก็เอาคำสอนของครูบาอาจารย์ ในธรรมที่เราได้ยินได้ฟังนำมาตรึกตรองนึกคิดพิจารณาเอาอย่างนี้
อันดับแรกการจะเจริญสมาธิต้องไม่มีครูต้องไม่มีอะไรทั้งนั้น เพราะโดยธรรมชาติของจิตมันไม่ได้มีใครสอนมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันมีอยู่อย่างหนึ่งว่า มีลมหายใจโดยธรรมชาติ มีดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ จิตวิญญาณธาตุ แล้วก็มีกายไอ้ที่ว่าเป็นของเรานี้แล โยมก็เอาของเรานี้มาเป็นต้นทุน เอาลมหายใจที่ได้จากมรดกตกทอดเอามาสร้างต้นทุนต่อ
นั้นเมื่อเราวางทุกอย่างไม่สนใจอะไรเลย ดูกายกับดูลมหายใจ ลมหายใจนั้นก็คือจิต กายนั้นก็คือใจที่เราจะสัมผัสได้ เมื่อใจกับจิตนั้นเป็นที่หนึ่งเป็นตั้งมั่นแล้วเป็นอารมณ์เดียว เป็นเอกัคคตาเมื่อไหร่..ตัวรู้และตัวปัญญามันก็จะบังเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของจิต
นั้นถ้าโยมปรารถนาการเจริญความก้าวหน้าทั้งหลาย ขอให้โยมรู้หลักง่ายๆเสียก่อนโดยธรรมชาติว่ากรรมฐานคืออะไร กรรมฐานคือการงานของจิตที่เรานั้น เมื่อระลึกพิจารณาอะไรลงไปให้เป็นไปในทางละ สละ ปลงสังเวช ความไม่สวยไม่งามก็ดี ความขัดข้องก็ดี ความไม่สบายใจความไม่สบายกาย หรือเห็นว่ากายนี้เป็นที่รังของโรคก็ดี เป็นของมีสุขน้อยมีทุกข์มากอย่างนี้ก็ดี นี่ล้วนแล้วว่าเป็นกรรมฐานทั้งนั้น
บุคคลที่มีกรรมฐานแล้ว ไม่ว่าโยมจะเดินไปในที่ใด ในป่ารกชัฏก็ดี นั่งอยู่ในเสนาเสนาะ ตั้งมั่นอยู่ในกายผู้เดียวก็ดี ชื่อว่าผู้นั้นไม่ได้โดดเดี่ยวเลย เป็นผู้ที่มีครูบาอาจารย์คอยอยู่ใกล้ๆ ย่อมเป็นผู้ที่มีความอบอุ่น ไม่เหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไม่มีกรรมฐาน แม้โยมจะอยู่กับคนหมู่มากก็หาความสงบที่ตั้งของการงานไม่ได้เลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นขอให้รู้ความสำคัญที่โยมได้มาเจริญพระกรรมฐาน ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่านี้ นั่นก็คือหน้าที่หรือตัวสติ เพราะว่าโยมจะทำกรรมอะไรกันมาที่ผ่านมาแล้ว หนึ่งชั่วโมงก็ดี หนึ่งวันผ่านมาก็ดี..ก็ไม่สำคัญ สำคัญตอนนี้..เค้าเรียกว่าสร้างกรรมใหม่ คำว่ากรรมใหม่ถามว่าเป็นภพใหม่หรือไม่..จึงเรียกว่าเป็นภพใหม่ แต่มันเป็นเชื้อกรรมตัวเดิม
นั้นกรรมในอดีตนั้นไม่สามารถไปแก้ไขได้แล้ว แต่กรรมในปัจจุบันนี้ต่างหาก ที่เราจะสร้างกรรมดีเพื่อพยุงกรรมไม่ดี เมื่อเราทำกรรมดีไว้มากๆ อำนาจแห่งกรรมดีเมื่อมันให้ผลแล้ว มันก็จะหลุดจากกรรมชั่วได้เช่นเดียวกัน เค้าถึงบอกว่าการให้ทานก็เช่นเดียวกัน อย่าไปหวังผลว่าจะได้อะไรกลับมา เมื่อเราทำทานไปถึงที่สุดแห่งทาน เมื่อมันถึงเวลามันจะให้ผลมันก็ให้ผลเอง
การทำความดีก็เช่นกันอย่าได้ไปหวังผล แต่ข้อสำคัญการทำความดีขอให้มีใจ มีความพอใจในการทำ ทำแล้วขอให้มีความสุข เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นเรียกว่าบุญถึงจะบังเกิด นั้นมีคนถามว่า..ทำบุญไปถึงที่สุดเมื่อไหร่ถึงจะให้ผล ใช่มั้ยจ๊ะ เมื่อโยมไม่หยุดทำนั่นแลจึงจะให้ผล หยุดทำแล้วจะไม่ให้ผล ไม่หยุดทำนั่นแลมันจะให้ผลของมันเอง
แสดงว่าในปัจจุบันเรายังทำอยู่หรือไม่ (ลูกศิษย์ : ทำเจ้าค่ะ) แสดงว่าโยมยังไม่ได้หยุดทำ ถ้าโยมหยุดทำเมื่อไหร่วิบากกรรมมันก็มาเมื่อนั้น แสดงว่าการที่เราทำความดีไว้นี้เพื่ออะไร เพื่อผดุงกรรมไว้ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะเราไม่รู้ว่ากรรมในอดีตเราทำไว้มากเพียงใด มันจะมาตัดรอนเราตอนไหนก็ไม่รู้ ใช่มั้ยจ๊ะ..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
…ในเรื่องการสร้างอุเบกขาธรรมขึ้นในใจนั้น ผู้ปฏิบัติใหม่เมื่อได้เข้ามารู้ธรรม เห็นธรรม ได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ และคุณค่าของพุทธศาสนา มักเกิดอารมณ์ความรู้สึกว่าอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆ โดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ท่านบอกว่า
“ให้ระวังให้ดี จะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคนสองคน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อ แล้วเขาเป็นคนจุดไฟ… บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาจะพาตกเหว”
แล้วท่านยกอุทาหรณ์สอนต่อว่า
“เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่ ๑ มีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่ ๒ มีกรุณามาช่วยดึงอีกก็ตกลงเหวอีก คนที่ ๓ มีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่ ๔ สุดท้าย เป็นผู้มีอุเบกขาธรรม เห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่จะช่วย ก็มิได้ทำประการใด ทั้ง ๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตาม เพราะอุเบกขาธรรมนี้แล”
แม้พระเทวทัตจะสิ้นสุดแล้วด้วยถูกธรณีสูบแล้วก็ตาม ก็ยังเหลือคาง หัว เศียรเป็นส่วนสุดท้าย ก็ยังสำนึกได้ในบาปในคุณโทษนั้น ยังได้อธิษฐานบารมีถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อานิสงส์ก็ยังตามติดส่งผลเพื่อจะบรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันนี้แค่เป็นส่วนคาง แล้วนี่โยมประพฤติปฏิบัติบูชาท่าน บุญกุศลจะไม่สูงส่งหรือจ๊ะ
อ้าว..วันนี้อากาศเย็นมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เย็นจ้ะ) หนาวมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : หนาวเจ้าค่ะ) จริงๆป่านนี้โยมต้องไปนอนมีความสุขแล้วนะ แต่โยมมาละสุขนี่แล นี่เค้าเรียกว่าเรานั้นได้เอากายสังขารมาอุทิศร่างกายสังขารเพื่อสร้างประโยชน์ สร้างให้ใคร..สร้างให้ตัวเราเอง เรียกว่าเอากายสังขารนี้มาประพฤติปฏิบัติ..นี่เรียกการละสุข แต่ไม่ได้เป็นการทรมานสังขาร แต่ว่าเราเอาสังขารเอามาทรมานกิเลสมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ
เพราะว่าโยมนั้นนอนเป็นสุขมาเนิ่นนานแล้ว การที่เราทรมานมัน เจริญความเพียรเพ่งโทษมันอย่างนี้ นี่เค้าเรียกว่าการละสุข ถ้าเราไม่ได้ทรมานมันบ้างเลย ปล่อยให้มันทรมานเราอยู่เพียงฝ่ายเดียว เราก็ต้องตกเป็นทาสมันอย่างนี้อยู่ร่ำไป ดังนั้นอะไรที่เรานั้นจะละได้ในความสุขในความเพลิน..นั่นเรียกว่าบารมีทั้งนั้น นั่นเรียกว่าเป็นกรรมฐานทั้งนั้น มันจะมีการงานของจิต ไม่ใช่มานั่งสั่นโดยที่ไม่รู้ว่าทำอะไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่เรารู้อากาศมีความหนาวเย็นก็รู้ มีการสั่นเทิ้มก็รู้ เค้าจึงบอกว่าจิตนี้ที่ตัวรู้นี้แล้วไม่ยึดในสิ่งที่รู้นั่นแล..เค้าเรียกว่าจิตที่หลุดพ้น แต่โยมจะหลุดพ้นได้นานมั้ย มันจะเป็นอย่างที่หลวงปู่ว่าจริงมั้ย ว่าถ้าเราไม่สนใจมันก็ไม่หนาว แต่ว่ามันหนาวอีกแล้วจะให้ทำยังไง อ้าว..ก็กำหนดรู้บ่อยๆ ไอ้ตัวกำหนดรู้ตัวนี้คือตัวสติ เมื่อสติมันตั้งมั่นมากตั้งมั่นมากนั่นแล มันจะทนอยู่ได้ อินทรีย์มันจะแก่กล้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าเราไปรู้อะไรเราไปอุปาทานปรุงแต่งนั่นแล ไอ้ตัวรู้นั้นเค้าเรียกว่ามี"ความหลง" แต่ถ้าว่าเราเห็นอะไรเรารู้อะไรแล้วเราวางเฉย ทีนี้มันจะเข้ามาให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่ว่าไม่อยากรู้แต่ก็ได้รู้ได้เห็น แต่ว่าพออยากรู้อยากเห็นไม่ได้เห็นไม่ได้รู้อะไร มันเป็นความคิดของกิเลส เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ดังนั้นแล้วนั่งประพฤติปฏิบัติไป ภาวนาไป จิตมันไม่สงบก็ภาวนาไป ไม่ต้องไปสนใจมันสงบตอนไหน เพราะตอนภาวนาเค้าเรียกว่าจิตมันเข้าถึงแล้ว..มันจะสงบตอนไหนเรื่องของมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันคิดอะไรก็เอาความคิดนั้นมากำหนดรู้..ว่าคิดในทางอะไร ในทางกุศลหรือในทางอกุศล เค้าเรียกวิตกในอารมณ์ในความคิดนั่นแล ก็เท่ากับว่าเราครุ่นคิดวิตกในธรรมอยู่ จึงเรียกว่าเราเข้าในปฐมฌานอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ทำอะไรก็ได้ที่เรานั้นมีสติระลึกรู้อยู่ตลอด..อันนั้นแลเรียกก็ว่าเราได้เจริญสติ แต่ว่าไม่ได้ไปเพลิดเพลินในอารมณ์นั้น แต่ให้รู้เท่าทันในอารมณ์นั้น เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์นั้นที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไปแล้ว ในขณะที่ตั้งอยู่นั้นอารมณ์นั้นมันเกิดขึ้น มันเป็นอารมณ์ของฝ่ายดี ฝ่ายกุศลหรือฝ่ายอกุศลก็ให้รู้ เมื่อมันดับไปแล้ว มันดับไปได้อย่างไร ดับไปเพราะอะไร มันก็มีเหตุของมันที่เกิดขึ้น
เมื่อมันดับไปแล้วเรารู้เหตุและดับเหตุได้ มันก็จะไม่เกิดขึ้นอีก แม้มันเกิดขึ้นเราก็จะเท่าทันมันอีกอยู่อย่างนี้ จนเราเห็นชัดรู้เท่าทันในสติเหล่านั้นเมื่อมันมีกำลังมากแล้วนั่นเอง เราจะวางเฉยอุเบกขาในอารมณ์นั้นได้ อารมณ์เหล่านั้นหรือผัสสะ หรือธรรมารมณ์เหล่าใดก็ดีที่มันเข้ามา..ก็รู้..แล้ววาง
แต่การที่เราจะรู้แล้วเราจะวางเลยทีเดียวนั้น..มันเป็นของที่ทำได้ยาก ถ้าเราไม่เคยฝึกวางไม่เคยฝึกรู้ หรือเรียกว่าไม่เคยฝึกจิตเลย เราจะไปรู้ไปวางได้มั้ยจ๊ะ มันวางไม่ได้รู้ไม่ได้ ดังนั้นถ้าโยมบอกว่าจะไปละวางตอนที่โยมจิตมันจะตาย สุดท้ายของกายสังขารที่ดับดิ้นไปแล้ว..ไม่มีทางหรอกจ้ะ ใช่มั้ยจ๊ะ มันเก่งกว่าครูบาอาจารย์แล้วถ้าอย่างนั้น
นั้นการฝึกจิตนี้เป็นสิ่งที่มีความมหัศจรรย์มาก เมื่อโยมไม่ฝึกมัน..ไม่มีทางเข้าถึงหรอกจ้ะ ถ้าโยมเข้าถึงจิตได้โดยง่ายโยมบรรลุธรรมกันไปหมดแล้ว ไม่มาดื้อด้านอยู่อย่างนี้ นั้นไอ้เรื่องที่มันดื้อด้านนี่มันเป็นธรรมดา..เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหามันร้อยรัดอยู่ สะสมมาเป็นภพเป็นชาติ เป็นวัฏฏะหนาเท่าภูเขาเลากา กว่าจะตัดให้มันหายไปทีละเล็กทีละน้อย..มันต้องใช้บารมี
นั้นการที่เราได้เกิดมาพบศาสนา เกิดมาพบครูบาอาจารย์ แล้วเรามีกำลังใจมีแนวทางนี้เค้าเรียกว่าบารมี ให้เราอธิษฐานบารมี ถ้าเราจะเป็นชาติสุดท้ายเราก็เป็นชาติสุดท้าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเรายังอยากพอใจในการเกิดอยู่ มันไม่ใช่ชาติที่ว่าสุดท้ายแล้ว ฉันถึงบอกว่าถ้าโยมอยากจะประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ระลึกถึงการสิ้นทุกข์ ทำนิพพานให้แจ้ง..นั่นแหล่ะจ้ะโยมถึงจะเป็นชาติสุดท้ายได้
ถ้าโยมไม่ได้คิดอย่างนี้ เพียงอาศัยบุญกุศลนี้เพื่อมีความคล่องตัวในทางโลก อันนั้นนี้โยมเข้าถึงในบุญกุศลแต่ยังไม่ได้เข้าถึงหนทางแห่งมรรค คนที่ยังไม่ได้เข้าถึงทางแห่งมรรคาจะหาถึงความหลุดพ้นไม่มี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ร่ำไป..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
อุเบกขาในอารมณ์
คนเราจะแก่เฒ่าหรือยังไงไม่สำคัญ ถ้ายังมีใจที่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัยแล้ว ปรารถนาจะสร้างบารมี แม้กายพิการก็สามารถสร้างบารมีได้ อย่าให้ใจมันพิการอย่างเดียว ถ้าโยมมีใจพิการต่อให้โยมมีอาการครบ ๓๒ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขาไม่มีเดินไม่ได้แต่ว่ายังถัดไปได้ สร้างบารมีได้ทั้งนั้น
ลูกศิษย์ : อย่างหนูพยายามที่จะสวดมนต์ แล้วปัญหามันเกิดตรงที่ว่าสามีเค้าไม่เข้าใจ บางครั้งเค้าจะบอกว่าทำไมเธอต้องสวดมนต์นานเป็นชั่วโมง แล้วเมื่อไหร่เธอจะมีเวลาให้ฉัน แล้วแบบบางทีพอหนูสวดเสร็จแล้วหนูก็มีความรู้สึกว่าศีลหนูบริสุทธิ์แล้วหนูก็อยากจะเข้านอนเจ้าค่ะ แล้วเค้าก็จะถามว่าแล้วเวลาที่ให้กับฉันล่ะ บางครั้งปฏิเสธไม่ได้ค่ะ ศีลหนูขาดมั้ยคะ
หลวงปู่ : สวดมนต์ ๑๐๘ บท..โยมสวดย่อๆก็ได้จ้ะว่าพุทโธ มนต์ ๑๐๘ บทโยมจะสวดจบเล่มแล้วมันจะมารวมอยู่ที่พุทโธ..คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมมีเวลาโยมค่อยสวด..มันจะเป็นทานบารมีให้กับเทวดารักษาในบ้านนั้น ในวิมานในอากาศนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
อันที่แท้จริงแล้วเมื่อเรามีสามีอยู่..เราควรทำหน้าที่ การหลับนอนกับสามีเป็นธรรมดา ถ้าจิตเราไม่มีราคะในขณะนั้นแต่เราทำเพื่อหน้าที่แล้ว..นั่นเรียกว่าพรหมจรรย์เรายังอยู่ คำว่า"พรหมจรรย์"คือความบริสุทธิ์ของจิต จิตที่เข้าถึงแล้วในกุศล..นั่นเรียกว่าพรหมจรรย์
จิตที่เข้าถึงที่อยากจะทำความดี..นั่นเรียกว่าพรหมจรรย์ จิตที่วางอุเบกขาแล้วนั่นเรียกว่าพรหมจรรย์ จิตที่มีเมตตาแล้วเรียกว่าพรหมจรรย์ จิตที่มีความอยากจะให้ปรารถนาให้คนอื่นเค้าพ้นทุกข์ จิตที่ไม่มีอาฆาตพยาบาทริษยา..เรียกว่าพรหมจรรย์ ถ้าโยมอยากจะทำหน้าที่กับสามีภรรยา..เค้าก็ทำไป เราก็ทำไป เค้าเสร็จแล้วเราก็ภาวนาเราต่อได้ แล้วยังจะได้ธรรมในตอนนั้นด้วย ทำให้เรานั้นยิ่งเบื่อหน่ายไปใหญ่..แต่เราต้องทำเพราะเป็นหน้าที่
กายเรายังต้องทำทาน เรียกว่าทำทานให้สามี ดีกว่าสามีไปทำทานนอกบ้าน กายสังขารเรานี่เป็นทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะบางทีกายสังขารเราตายไป เสือแม่ลูกอ่อนมันหิวโหย กายเรายังให้เป็นทานได้ เห็นมั้ยจ๊ะ งั้นการเราให้กายให้เป็นทานให้สามีฉันว่ามันเป็นกุศลนะ โยมว่าอย่างนั้นมั้ยจ๊ะ
โยมจะสวดมนต์กี่บทก็ตาม แต่ถ้าไม่มีเวลาโยมสวดสั้นๆว่าพุทโธ เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอมีเวลาค่อยยืดบทยาวๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าไม่มีเวลาก็พุทโธอยู่ตลอดเวลา โยมจะทำอะไรโยมก็พุทโธได้ไม่มีใครมารู้โยมหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตโยมพูดคุยสนทนาปราศรัย แต่อีกจิตหนึ่งยังภาวนาอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าสัมผัส
ดังนั้นแล้วคนที่เค้าบอกว่ามีศีล โอ้ย..ฉันถือศีล ๘ แล้วฉันคงนอนกับคุณไม่ได้แล้ว เพราะศีลฉันจะหม่นหมอง เพราะฉันศีล ๘ แล้ว ไม่ว่าจะศีล ๘ ศีลอะไรถ้าว่าโยมต้องมีความจำเป็นจริงๆแล้วที่จะต้องหลับนอนกับสามีแล้ว ถ้าจิตโยมไม่มีความอยากแล้วโยมไปร่วมประเวณี..ก็หาว่าโยมนั้นผิดศีลไม่ที่โยมรับไปแล้ว จำไว้นะจ๊ะ
จิตที่มีความอยากเท่านั้นที่ศีลโยมจะชำรุด ถ้าจิตโยมไม่ได้มีความอยากปรารถนาจะมีความใคร่ แต่อีกฝ่ายอยากมีความใคร่ แสดงว่าโยมกำลังสร้างทานบารมี และเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะมันฝืนใจ อะไรที่ทำได้ยากนั่นแหล่ะจ้ะเค้าเรียกว่าบารมีอันยิ่งใหญ่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นอย่าคิดว่าฉันน่ะปฏิบัติธรรมแล้ว ฉันรับศีลแล้วต้องนอนคนละห้องเลย นั้นการจะทำอะไรให้เดินสายกลาง หากเรายังมีภาระหน้าที่อยู่ในการครองเรือนอยู่ เพราะพระโสดาบันก็ยังมีความรู้สึกระหว่างเพศอยู่ แต่ถ้าโยมไม่มีเลยมันก็เป็นเส้นทางที่โยมนั้นเปิดทางอำนวยความสะดวก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
จำไว้นะจ๊ะ ถ้าจิตโยมไม่มีความอยากในความใคร่ในตัณหาแล้ว ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งสามีภรรยาปรารถนา หากโยมทำเพื่อหน้าที่..นั่นเรียกว่าโยมสร้างทานบารมี จำไว้นะจ๊ะ โยมต้องรอๆกันหน่อย ดังนั้นโยมไม่ต้องกลัว ศีลมันอยู่ที่ใจเรา ใจที่เป็นปรกติ ปรกติว่าโยมเห็นทุกอย่างเป็นปรกติ เข้าใจโลก อ้าว..สามีเรายังมีความต้องการมีความใคร่อยู่ แต่เรานั้นไม่มีแล้วจะทำยังไง นั้นโยมต้องเข้าใจว่าจิตที่มีตัวอยากมันเป็นอกุศล จิตที่ไม่มีตัวอยากเป็นกุศล เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ศีลที่เรารับมาเพื่อการรักษา เพื่อให้จิตเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นที่จะทำความดีให้ได้ แต่จิตที่เรามีศีลแล้วมีธรรมแล้ว ไม่ใช่บอกว่าการละเมิดล่วงเกินในกายของเรานี้จะผิดศีลผิดพรหมจรรย์..ไม่ใช่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันอยู่ที่จิตเรามีความอยากหรือเปล่า ถ้าจิตเราไม่มีความอยากเราก็ข้ามสมมุติบัญญัติตรงนั้นไปแล้ว จะหาผิดศีลผิดธรรมเป็นไปไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่มันเป็นของยากที่จะทำเท่านั้นเอง
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒