พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 17 เมษายน 2561
ตอนที่ 318 **การปฏิบัติเพื่อเป็นพระอนาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
ถ้าหากว่า เรามีความปรารถนาที่จะฝึกฝนตนเอง ให้เป็นพระอนาคามี หรือพระอริยเจ้าในระดับที่ 3 ล่ะเจ้าคะ เราจะต้องฝึกฝน ปฏิบัติตนเช่นไร.. เราจึงจะสามารถ เข้าถึงซึ่งความเป็น *องค์พระอนาคามี* น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด เจ้าค่ะ “
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟัง
นั่งให้สบาย ผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจให้มันว่าง
ให้มันเห็นดวงแก้วดวงธรรม ที่สว่างไสว สว่างเข้าไปสู่ศูนย์กลางกาย
ให้ใจมันว่างๆเบาๆ อย่าไปเรื่องอื่นๆมาทำให้ตนนั้นวุ่นวายในตอนนี้
คลายทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งไปเสียก่อน..
ให้จิตนั้นสว่าง ให้จิตนั้นเย็น
ให้จิตนั้นว่าง.. ว่างพอที่จะฟังธรรม ที่ตนได้กล่าวได้ถามมา
แล้วจึงค่อยๆ พิจารณาตาม ให้รู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริงเถิด.. พระยาธรรมเอ๋ย
ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่จะประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้า *พระอนาคามี*
ย่อมแน่นอนละลูก ว่าจะต้องประพฤติ ปฏิบัติตน ให้เป็นองค์พระอริยเจ้า *พระสกิทาคามี* เสียก่อน ++
เมื่อเราประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีแล้ว..
เราก็จงระลึกรู้ว่า..
เมื่อเราประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็นพระสกิทาคามีแล้ว
เราก็จงระลึกนึกว่า.. เราเดินทางมาถึงจุดมุ่งหมายตรงนี้แล้ว - ก็เป็นเรื่องที่ดี
ถือว่า เป็นความสำเร็จในระดับหนึ่ง
แต่ก็ยังไม่ใช่ จุดมุ่งหมายที่สูงสุด.. ที่เราต้องการจะไป
ยังไม่จบกิจ ที่เราควรจะทำ !
ควรพิจารณาเช่นนี้ลูก
ให้ตนนั้น เตือนตนเองว่า.. ตอนนี้ทำดีแล้ว แต่ก็ยังทำดีไม่พอ
ตอนนี้สร้างความดีมากแล้ว แต่ยังไม่มากจนถึงจุดที่หยุดสร้าง
.. แล้วจงประพฤติ ปฏิบัติ ทำความเพียรต่อไป..
เมื่อเราพิจารณาเช่นนี้.. ก็จะทำให้เรารู้ว่า จุดมุ่งหมายต่อไป ยังต้องไปต่ออีก..
.. เราก็จะไม่หยุดการทำความเพียร
เมื่อเราไม่หยุดการทำความเพียรแล้ว การที่เราค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ตามเหตุ ตามปัจจัย
- ก็ย่อมจะเป็นเหตุนำพา หนุนนำจิตของเรา.. ให้เข้าถึง ให้เดินทางไปถึง การเป็น *พระอนาคามี* เป็นแน่แท้ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เราเมื่อพิจารณาเช่นนั้นแล้ว ก็ควรที่จะพิจารณาดูว่า.. ตอนนี้เราละกิเลสที่เป็นเหตุผูกมัดรัดดวงจิตทั้งหลายเอาไว้ในวัฏสงสารนี้ - ได้แล้วมากน้อยเพียงใด
เราต้องละกิเลสตัวไหน เพิ่มอีก.. จึงจะสามารถขัดเกลาจิตใจของเราให้สะอาดขึ้น ให้เหลือกิเลสน้อยลง…
ถ้ากิเลสของเรายังหนาทึบเหมือนเดิมอยู่
.. เราย่อมไม่สามารถเข้าถึง การเป็นพระอนาคามี เป็นแน่แท้ !
ฉะนั้น.. เราจึงควรทำความรู้จัก เข้าใจ กับการที่เราจะต้องละ ต้องฝึกฝนอารมณ์ของตน
เพื่อที่ตนนั้นจะได้ขัดเกลากิเลสตัณหาแห่งตน ให้มันเบาบางลงให้ได้
อย่าชะล่าใจว่า..ถึงตรงนี้แล้ว ยังไงก็ถึงตรงๆ
จงทำเถิดลูก
หมั่นพิจารณา ฝึกฝน พัฒนาตนเอง
ทำไปเรื่อยๆ.. จนกว่าลูกนั้น จะสิ้นสุดกิจแห่งการทำความดี
คือ ชำระล้างกิเลสตัณหา ได้ทั้งหมด..
และหมั่นฝึกสมาธิ
ถ้าหากว่า เราได้พิจารณาดูเชื้อกิเลส ที่เรายังเหลืออยู่ / ที่ยังต้องชำระล้าง
เราได้พิจารณาเช่นนั้นแล้ว.. เราก็ควรที่จะทำสมาธิ
ให้ได้กำลังของฌาน มากกว่าที่เคยทำ / มากกว่าที่เคยเป็น
ฝึกไปเรื่อยๆ อย่างน้อย ก็ให้ถึงการสมาธิในระดับของฌาน 4
ฝึกฝนไปเรื่อยๆ.. อย่างนี้ละลูก
เมื่อฝึกฝนสมาธิ จนตนนั้นมีพลังของสมาธิ ถึงฌาน 4 แล้ว
.. ก็ควรที่จะฝึกฝนตนเอง ให้เลื่อนระดับของการรักษาศีล - จากศีล 5 ขึ้นมาเป็นศีล 8
ควรจะรักษาศีลพรหมจรรย์ ถือศีลอยู่ในกรอบของศีล 8
และรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ด้วยกาย วาจา และใจ
.. ทำเช่นนี้แหละลูก
เมื่อลูกนั้น รู้เช่นนี้ และปฏิบัติตามเช่นนี้.. ลูกย่อมสามารถที่จะฝึกฝนตน ยกระดับตน
จากการเป็นพระสกิทาคามี มาเป็นพระอนาคามี เป็นแน่แท้.. ลูกเอ๋ย
คือให้เรานั้น รู้ตัวรู้ตนว่า ที่ที่ตนยืนอยู่ ยังไม่ใช่จุดสูงสุดแห่งการไป !
ให้ตัวนั้น รู้ตัวว่า.. ยังมีกิเลสใด ตัณหาอะไรที่ต้องชำระล้าง
ให้ตนนั้นเข้าสู่ฌานสมาธิ ในระดับของฌานที่สูงขึ้น
เพื่อที่จะเอากำลังแห่งสมาธินั้น.. ไปช่วยถอดถอนกิเลส
และรักษาศีลให้อยู่ในระดับของศีล 8 บริสุทธิ์
เลื่อนจากศีล 5 - เป็นศีล 8 ให้ได้
ทำเช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ลูกนั้น ย่อมที่จะสามารถที่จะฝึกฝนตนเอง จนเข้าถึงความดี ในการเป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 3*
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เราประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงพระอริยเจ้า ในระดับที่ 2 คือ พระสกิทาคามี นั้น..
ย่อมอาจต้องเป็นเหตุ / เป็นสิ่งที่ทำให้เราอาจลุ่มหลงลึก
แอบหลง แอบยึดในสิ่งที่ตนดีแล้ว ในสิ่งที่ตนได้แล้ว..
ระมัดระวังกิเลสตัวนี้ !
จงฝึกฝนตนให้รู้ตื่น กับกิเลสตัวนี้ ก็แล้วกัน - จะได้ไม่เป็นเหตุปิดกั้นตน !
แล้วก็หมั่นฝึกฝนตนเอง ให้ถอดให้ถอน ความคิด ความยึดติดในร่างกายของตน
- ให้ลึกเข้าไปมากกว่า พระสกิทาคามี ++
ถอดถอนให้ละเอียด ให้สามารถละความยึดว่า นี่คือเรา คือ ตัวตนของเราได้
ได้อย่างละเอียดมากขึ้นกว่า การเป็นพระสกิทาคามี อีก
เหมือนกิเลสตัวนี้ มันมีหนาทึบอยู่ ถึง 4 ชั้น..
เราลอกตามชั้นที่ 1 - ตามพระโสดาบัน
ลอกชั้นที่ 2 - ตามพระสกิทาคามี
* เมื่อจะเข้าถึง พระอนาคามี เราก็ต้องลอกกิเลสตัวนี้ ในชั้นที่ 3 - ตามพระอนาคามี เช่นเดียวกัน *
จงหมั่นพิจารณา
ความไม่สวยไม่งาม
ความหนัก ความเหนื่อย
ความไม่เที่ยงแท้
- ที่มีอยู่ในร่างกายแห่งตน..
พิจารณาถอดถอน แยกจิตออกจากกาย / แยกกายออกจากจิต
เพื่อที่ลูกนั้น จะได้ละกิเลส ตัวยึดตัวว่าเป็นตัว ยึดตนว่าเป็นตน
.. ว่าเป็นของตัว ของตน
จะได้ละกิเลสข้อนี้ได้ ลูก !
แล้วต่อไป.. เมื่อละกิเลสตัวนี้ได้เบาบาง ในระดับที่ 3 - ซึ่งมากกว่าพระอริยเจ้าในระดับที่ 2 คือ พระสกิทาคามี แล้ว..
.. ก็จงพิจารณา ให้ตนนั้นเข้าถึงและเข้าใจ ในองค์พระพุทธ ว่า..
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอะไร ท่านไปนิพพานแบบไหน ท่านประพฤติ ปฏิบัติเช่นไร ?
จงพิจารณา นำพาจิตของตน ให้เข้าถึงองค์พระพุทธ ให้เข้าถึงองค์พระธรรม
ว่า..พระธรรมคำสอนสั่งนั้น สอนเรื่องอะไร ละกิเลสแบบไหน ?
-- เลื่อนระดับภูมิจิตภูมิธรรมของตนเอง ให้เข้าใจธรรม ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น ++
จงฝึกฝนตน ให้เข้าใจในพระสงฆ์ ที่พระพุทธองค์ทรงได้ตั้งองค์แห่งพระสงฆ์ขึ้น
ด้วยศีล ด้วยการที่ประพฤติ ปฏิบัติ ตามแนวทางแห่งองค์พระพุทธเจ้า - เพื่อประกอบเป็นองค์พระรัตนตรัย ดีงามอย่างไร ?
ให้เข้าถึงองค์พระสงฆ์ ให้ละเอียด ลึก มากยิ่งกว่าเดิม
จนตนนั้น สามารถเข้าใจองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ ได้ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน
และทำความเข้าใจในการทำความดีทั้งหลาย.. ในสิ่งที่ลูก
- ควรรักษาศีล
- ควรทำทาน
- ควรดูแลจิตแห่งตน ให้มีสมาธิ ให้มีสติ มีปัญญา
สิ่งเหล่านี้ ควรที่จะทำตนให้เข้าถึง ให้ละเอียดมากขึ้น
..จนไม่มีความลังเลสงสัย
..จนตนนั้น เข้าถึงความละเอียดในระดับที่ 3*
พระยาธรรมเอ๋ย.. กิเลสเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระโสดาบัน ก็ละได้แล้ว
แต่ว่า เป็นสิ่งที่เข้าถึง ลึกต่างกันลูก
ระดับของพระโสดาบัน ก็เป็นระดับหนึ่งของความรู้แจ้ง เข้าใจ - เพียงแต่มั่นใจ
แต่ว่า พระสกิทาคามี เข้าถึงระดับที่ 2
พระอนาคามี.. จะเข้าถึงความละเอียดอ่อนของเรื่องเหล่านี้ - เข้าไปจนถึงระดับที่ 3
มันก็จะเป็นระดับๆไป แห่งความละเอียดอ่อน มันต่างกันตรงนี้แหละลูก
คือ มันได้เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ระดับที่ 1 แล้ว..
แต่ความละเอียดอ่อน และลึกของการเข้าใจ / การประพฤติ ปฏิบัตินั้น - มันละเอียดต่างกัน !
-- เราแค่ฝึกฝนตนเอง ให้เข้าถึงความละเอียดเหล่านี้.. มากยิ่งๆขึ้นไป ++
ข้อต่อไป สิ่งต่อไป.. ที่เราควรจะพิจารณาให้ลึก ตรึกตรองให้เข้าถึงความละเอียด ก็คือ
การรักษาศีล ที่บริสุทธิ์ รักษาด้วยกาย วาจาใจ
- เลื่อนจากการรักษาศีล 5 เป็นการรักษาศีล 8 ++
พระอนาคามี ต้องรักษาศีลพรหมจรรย์ ต้องละกามคุณต่างๆได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ต้องทำความเข้าใจ ให้ละเอียดอ่อน ในเรื่องของศีลให้มากขึ้นกว่าที่เราเคยรักษามา เคยปฏิบัติมา เคยเข้าถึงมา.. คือเกลียวให้ลึกเข้าไปอีกหน่อย
และการที่เรานั้นจะสามารถเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีนั้น.. ก็ยังต้องละกิเลส ได้เพิ่มอีก 2 ข้อ นอกเหนือจากที่เราเคยทำมา จากการเป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 และละกิเลสเหล่านี้ได้ลึก ในระดับที่ 1 ที่ 2 และละให้เข้าถึงระดับที่ 3
เราควรที่จะละกิเลสได้เพิ่มอีก 2 ตัว คือ..
/ ความไม่ลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
/ ไม่ยึดติดในรูป ไม่หลงในรูป ไม่ยึดติดในรส ไม่ยึดติดในกลิ่น ในเสียง สัมผัส และลุ่มหลงในสิ่งทั้งหลาย เหล่านี้...
ฉะนั้น.. เราจึงควรฝึกฝนตนเอง ให้พิจารณา
การมีรูป - การเสื่อมไปแห่งรูป
การหลงในรส - การเสื่อมไปแห่งรส
การหลงในกลิ่น ในเสียง ในสัมผัส -
และการเสื่อมไปแห่ง กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านั้น.. อย่างชัดเจน
จนเราสามารถ ที่จะถอดถอนสิ่งเหล่านี้ ออกจากจิตใจของเราได้
ควรฝึกเช่นนี้ เพื่อละกิเลสตัวนี้ และควรฝึกละกิเลสตัวต่อไปอีก ก็คือ..
ควรที่จะฝึกละอารมณ์แห่ง ความขัดเคืองใจ ไม่พอใจ
โกรธ อาฆาตแค้น พยาบาท..
สิ่งเหล่านี้ ควรพิจารณาให้เห็น ความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ ในความโกรธ ความขัดเคืองใจ ความไม่พอใจเหล่านี้
ฝึกให้เห็นเป็นธรรมดา ของสิ่งทั้งหลายที่มันมีกิเลส
- มันก็ย่อมทำตามกิเลส -
เห็นเป็นธรรมดาในความดี กับความไม่ดี
ในถูก กับผิด.. ให้เห็นเป็นธรรมดา..
จนจิตใจของเรา ตั้งมั่นอยู่ในความนิ่ง
ไม่มีความพอใจ - ไม่พอใจ
ไม่มีความคับแค้นใจ หรือโกรธใคร - แบบที่ว่า ขังความโกรธนั้นไว้
* ต้องพิจารณาให้เห็นสิ่งเหล่านี้ และถอดถอน ดับกิเลสเหล่านี้ ให้ได้ !
- ลูกนั้น.. ก็จะสามารถเข้าถึงการเป็น*พระอนาคามี*
พระยาธรรมเอ๋ย.. ในตอนท้าย หรือช่วงที่ 2 ที่เราควรปฏิบัติ ก็คือ
นำพาตน ฝึกฝนตนให้เข้าถึง เข้าใจการละ*สังโยชน์* ทั้ง 5 ข้อ
ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นกว่า พระสกิทาคามี
ให้อยู่ในระดับ ที่ลึกเข้าไปอีก
เลื่อนภูมิจิตภูมิธรรมให้สูงขึ้น - ให้เกิดความรู้แจ้ง
ละรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
อารมณ์ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ
ให้ได้ 2 ข้อนี้ มาบวกอีก 3 ข้อ ที่เรามีอยู่แล้ว / ได้อยู่แล้ว
- และพาทั้ง 5 ข้อนี้..เข้าไปสู่ความเข้าใจที่ลึกขึ้น ++
และสามารถประพฤติ ปฏิบัติตน
จนอยู่ในความสุข ความสงบได้
จนตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ ที่มีอารมณ์เหล่านี้ คือ อารมณ์ที่อยู่เหนือสิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น
มีศีล 8 เป็นปรกติ
เข้าใจในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ / คุณงามความดีทั้งหลาย ละเอียดมากกว่า พระสกิทาคามี
สามารถละความลุ่มหลง ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ได้
สามารถทรงอารมณ์อยู่บนความนิ่งเฉย
ไม่มีความพอใจ -ไม่พอใจ / ขัดเคืองใจ หรือผูกโกรธกับใคร
ต้องทรงอารมณ์เช่นนี้ไว้ อยู่ตลอดเวลา
- จนจิตนั้นสงบ
- จนจิตนั้น ไม่ทุกข์ ไม่ปนเปื้อนกับกิเลส ที่จรไปจรมา.. ไม่ขังทุกข์เหล่านั้นเอาไว้
-- จิตตั้งมั่นอยู่กับ อารมณ์แห่งพระนิพพาน **
นั่นแหละลูก คือ บุคคลที่สามารถฝึกฝนตน จนเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีได้
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ลองนำไปประพฤติ ปฏิบัติดู
ลองฝึกฝนดู ตั้งแต่ขั้นตอนแรกๆ.. จนถึงขั้นตอนสุดท้าย
-- ค่อยๆฝึกขยับขึ้นมา เช่นดังที่กล่าวมาแล้วนั่นละ --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
นำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกคงต้องขอกราบลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่อีก เจ้าค่ะ…
สาธุ