จิตว่าง จิตพระอรหันต์ท่านว่างอย่างนั้น ว่างจากสมมุติ ทั้งสามแดนโลกธาตุว่างหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องในจิตของท่านเลย จึงเรียกว่าจิตของท่านว่าง หรือเป็นบรมสุข ถ้ามีอะไรเข้าไปขัดข้อง จะเป็นบรมสุขไม่ได้ สุขลุ่มๆ ดอนๆ ไม่สมบูรณ์ แต่สุขที่หลุดพ้นจากสิ่งกีดขวางทั้งหลาย อันเป็นแดนสมมุติมากน้อยไปแล้ว นั้นละจิตที่ว่างที่สุด วางไปเลย เป็นนิพพานทั้งเป็น หรือเรียกว่าธรรมธาตุ จิตที่เป็นธรรมธาตุเป็นอย่างนี้
จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์เป็นธรรมธาตุ แม้มีร่างกายอยู่ท่านก็เพียงรักษากัน ดูแลกันไปอย่างนั้น ท่านจิตบริสุทธิ์แล้ว ธาตุขันธ์มันยังเป็นตามสมมุติของมัน มีเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อนก็เยียวยารักษากันไป เมื่อไม่ไหวแล้วก็ปล่อยทิ้งเลย ธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ คือจิตที่บริสุทธิ์แล้วนั้น หายกังวล เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วนๆ เป็นธรรมธาตุล้วนๆ ไม่มีสมมุติใดเข้าเจือปน แต่เวลามีชีวิตอยู่ แม้เป็นพระอรหันต์ ท่านก็ให้อีกชื่อหนึ่งว่าเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน แม้ได้นิพพานแล้ว แต่สมมุติคือธาตุคือขันธ์ สิ่งต่างๆ ที่รับผิดชอบยังมีก็ต้องรับผิดชอบไป แต่ไม่เป็นอารมณ์กับมันเท่านั้นเอง พอสิ่งเหล่านี้ผ่านไปแล้ว ก็เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์ทีเดียว เรียกว่าเป็นนิพพานปัจจุบัน หรือเป็นธรรมธาตุ
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"สมบัติใดสู้ศีลสู้ธรรมไม่ได้"
๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๐
" จิตใจ
ถ้าขณะใดโลกเข้า ย่ำยี
ขณะนั้น ก็เดือดร้อนตั้งตัวไม่ได้
ระส่ำระสายวุ่นวาย ไปกับอารมณ์ต่าง ๆ
เพราะ...ไม่มีสติ
อำนาจของสติปัญญา ไม่พอ
สู้กำลังของกิเลสที่ผลักดันจิตใจ ให้ฟุ้งซ่านไม่ได้
ความที่จิตจะฟุ้งซ่านไปนั้น
ก็เพราะอาศัยอารมณ์อดีต เป็นสำคัญ
ไปได้เห็น ไปได้ยินสิ่งใดแล้วนำเรื่องนั้น
เข้ามาเป็นอารมณ์ เผาตัวเอง
เพราะ...จิตใจถือสิ่งนั้น เป็นอารมณ์
ถือสิ่งนั้น เป็นงาน
งานนั้น...เป็นไฟ
ผลของงานที่เป็นไฟ ก็เผาผลาญจิตใจ
ให้เกิด ความเดือดร้อน
ขณะไม่มีสติ ย่อมเป็นอย่างนี้ด้วยกัน
ไม่ว่า ฆราวาส
ไม่ว่า นักบวช
ไม่ว่า นักปฏิบัติเรา
ฉะนั้น จงทำความสังเกต สอดรู้ตนอยู่...เสมอ
สมกับเราเป็นผู้รักษา เรา
คือ...รักษาใจ
อย่าให้สิ่งใดมาย่ำยี จิตใจได้
อย่าให้สิ่งใดมารบกวน จิตใจได้
คำว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้มารบกวนนั้น หมายถึง
ใจไปคิดวาดภาพเอาสิ่งนั้น ๆ มาครุ่นคิด
อยู่...ภายในใจ ทำให้ว้าวุ่นขุ่นมัวอยู่ภายใน
ผลก็เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนขึ้นมา
อย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้
เพราะ...เป็นความจริงที่ต้องยอมรับกัน
เมื่อ...มีสติปัญญาคอยกำกับรักษา
คอยขัด คอยขืนคอยต้านทานกันอยู่เสมอ
ใจย่อมปลอดภัย ไร้ทุกข์
เพราะ...มีพี่เลี้ยง
คือ...สติปัญญาตามรักษา
ปกติ เราก็ทราบแล้วว่า
อารมณ์เช่นนั้นเป็นสิ่งไม่ดี ให้ผลเป็นพิษ
เมื่อสัมผัส สัมพันธ์กันอยู่บ่อย ๆจึงต้องอาศัย
การรักษา
การกีดกัน
การต้านทาน
การต่อสู้ กันเรื่อย ๆ
คำว่า ปะทะกันนั้น
คือ มีการต่อสู้ จึงมีการปะทะ
หากจิตใจของเรา เลื่อนลอย
ไม่มี...สติปัญญา
ซึ่งเป็นศาสตราอาวุธอันสำคัญ ไม่มี
คำว่าปะทะ ก็ไม่ปรากฏ
นอกจาก หมอบราบเรียบไปเลย เท่านั้น
ถ้ายังมีปะทะ ก็ยังมีการต่อสู้กัน ทั้งเขาทั้งเรา
ต่อสู้กัน
เช่น ปะทะผู้ก่อการร้าย เป็นต้น
เรียกว่าสู้กัน ต่างคนต่างสู้กัน
ย่อมมีทางแพ้ ทางชนะได้
แต่...
นักปฏิบัติธรรม ไม่ควรให้มีคำว่า...
สู้...ไม่ได้
หรือ แพ้กิเลส
นอกจากชนะไปเป็นพัก ๆ ตอน ๆ
เพื่อก้าวเข้าสู่...แดนชนะ
โดยสิ้นเชิง เท่านั้น."
____________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
" พยายาม
สังเกตุดูจิต จิตคิดอะไร
เรื่องราวทั้งหลาย ที่เป็นอารมณ์อยู่ในจิต
จิตเป็นผู้ผลิตขึ้นมา ปรุ่งขึ้นมา
ให้พากันเข้าใจ
นี่ไม่ได้อวด เข้าใจจริง ๆ
เพราะได้เคยฟัดกันมาแล้วแทบไปแทบอยู่
แทบจะไม่ได้มาเห็นหน้าเพื่อนฝูง
เวลาเข้าสู่แนวรบบนเวที
อารมณ์นั้น ไม่ใช่อะไรนะ
เรื่องอารมณ์ ของตัวเองนั่นแหละ
จิตหลงอยู่กับอารมณ์ ของตัวเอง
คือ จิตมันออกไปวาดภาพ
เรื่องนั้น ภาพเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา
ให้คิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้
เพราะจิต อยู่กับเรื่อง
ถ้าไม่มีสติปัญญาคอยสกัดลัดกั้นแล้ว
มันจะคิดติดต่อเกี่ยวเนื่องกัน
ไปเป็นลูกโซ่ โดยลำดับ ๆ
ท่านเรียกว่า ธรรมารมณ์
ทำเราให้หลงเพลิน และ เศร้าโศก
ไปกับเรื่องกับราวของตัวที่วาดขึ้นมานั่นแล
พอเวลาจิตสงบ
เรื่องเหล่านี้ก็ไม่มี หายเงียบ
กับเวลา ที่เราทำหน้าที่ภาวนา ของเรา
จะพิจารณาอาการใด ธรรมบทใดแง่ใดก็ตาม
เราพิจารณาด้วยความสนใจ
อารมณ์ภายนอก จะไม่เกี่ยวข้อง
เพราะจิต ไม่ออกไปเกี่ยวข้อง
จิตไม่ปรุงเป็นเรื่องภายนอกเข้ามาทำร้ายจิตใจ
จิตทำหน้าที่เพื่อถอด เพื่อถอน
ไม่ได้ทำหน้าที่ เพื่อสั่งสมกิเลส
โดยการคิด ไปตามอารมณ์ ต่าง ๆ
ที่เรียกว่า ธรรมารมณ์
จิต ก็สงบ
เรียน อย่างนั้นแหละ
เรียนวิชาเรื่อง จิต."
_____________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
ต่อไปนี้ จะอธิบายวิปัสสนาเกี่ยวกับนามธรรม คือ
เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นามธรรม
ทั้ง ๔ นี้ เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ แต่ละเอียดไปกว่า
รูปขันธ์ คือ กาย ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
แต่รู้ได้ทางใจ เวทนา คือ สิ่งที่จะต้องเสวยทางใจ
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เฉยๆ บ้าง
สัญญา คือ ความจำ เช่น จำชื่อจำเสียง จำวัตถุสิ่งของ
จำบาลีคาถา เป็นต้น
สังขาร คือ ความคิด ความปรุง เช่น คิดดี คิดชั่ว
คิดกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว หรือ ปรุงอดีตอนาคต เป็นต้น
วิญญาณ ความรับรู้ คือ รับรู้ รูป เสียง กลิ่น รส
เครื่องสัมผัส ธรรมารมณ์ ในขณะที่สิ่งเหล่านี้
มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
นามธรรมทั้ง ๔ นี้ เป็นอาการของใจ ออกมาจากใจ
รู้ได้ที่ใจ และเป็นมายาของใจด้วย ถ้าใจยังไม่
รอบคอบ จึงจัดว่าเป็นเครื่องปกปิดความจริงได้ด้วย
การพิจารณานามธรรมทั้งสี่ ต้องพิจารณาด้วยปัญญา
โดยทางไตรลักษณ์ล้วนๆ เพราะขันธ์เหล่านี้มี
ไตรลักษณ์ประจำตน ทุกอาการที่เคลื่อนไหว
แต่วิธีพิจารณาในขันธ์ทั้ง ๔ นี้ ตามแต่จริตจะชอบ
ในขันธ์ใด ไตรลักษณ์ใด หรือทั่วไปในขันธ์ และ
ไตรลักษณ์นั้นๆ จงพิจารณาตามจริตชอบในขันธ์
และไตรลักษณ์นั้นๆ เพราะขันธ์ และไตรลักษณ์หนึ่งๆ
เป็นธรรมเกี่ยวโยงถึงกัน จะพิจารณาเพียงขันธ์
หรือไตรลักษณ์เดียว ก็เป็นเหตุให้ความเข้าใจ
หยั่งทราบไปในขันธ์ และไตรลักษณ์อื่นๆ ได้
โดยสมบูรณ์ เช่นเดียวกับพิจารณาไปพร้อมๆ กัน
เพราะขันธ์ และไตรลักษณ์เหล่านี้ มีอริยสัจเป็นรั้ว
กั้นเขตแดนรับรองไว้แล้ว เช่นเดียวกับการรับประทาน
อาหารลงในที่แห่งเดียว ย่อมซึมซาบไปทั่วอวัยวะ
น้อยใหญ่ของร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนใหญ่รับรองไว้แล้ว
ฉะนั้น เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจงตั้งสติและปัญญา
ให้เข้าใกล้ชิดนามธรรม คือ ขันธ์ ๔ นี้ ทุกขณะที่ขันธ์
นั้นๆ เคลื่อนไหว คือ ปรากฏขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาประจำตน
ไม่มีเวลาหยุดยั้ง ตามความจริงของเขา ซึ่งแสดง
หรือประกาศตนอยู่อย่างนี้ ไม่มีเวลาสงบ แม้แต่
ขณะเดียว ทั้งภายใน ทั้งภายนอก ทั่วโลกธาตุ
ประกาศเป็นเสียงเดียวกัน คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นอนัตตา ปฏิเสธความหวังของสัตว์
พูดง่ายๆ ก็คือ ธรรมเหล่านี้ไม่มีเจ้าของ ประกาศตน
อยู่อย่างอิสรเสรีตลอดกาล ใครหลงไปยึดเข้า
ก็พบแต่ความทุกข์ ด้วยความเหี่ยวแห้งใจ ตรอมใจ
หนักเข้ากินอยู่หลับนอนไม่ได้ น้ำตาไหล จนจะ
กลายเป็นแม่น้ำลำคลองไหลนองตลอดเวลา
และตลอดอนันตกาลที่สัตว์ยังหลงข้องอยู่
ชี้ให้เห็นง่ายๆ ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นบ่อหลั่งน้ำตา
ของสัตว์ผู้ลุ่มหลงนั่นเอง .
- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน .
"..การพิจารณามีนัยต่างกัน ใครถนัดโดยวิธีใดในวงแห่งกาย จงพิจารณาตามความถนัดของตน ไม่เป็นข้าศึกต่อผลรายได้
อันจะเกิดขึ้นจากการพิจารณากาย จะเป็นกายนอก กายในไม่ผิด เพราะการพิจารณากายใด ก็เพื่อความถอดถอนความกังวลจากกาย หรือความยึดมั่น
อันเป็นกิเลสประเภทหนึ่งจากความถือกายด้วยกัน จงบังคับลงที่จุดเป้าหมายคือกาย ไม่เป็นความเสียหายแต่อย่างใด
เรื่องไตรลักษณ์จะเป็นสิ่งรู้ ขึ้นจากการพิจารณากาย หนีไปไม่พ้น นักปราชญ์ทั้งหลายถือกายเป็นสนามรบ จบสิ้นลงที่กายกับจิต.."
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๔
ภาวนาคือการอบรมให้เกิดให้มีในความดีทั้งหลาย เราภาวนาติดต่อกันระมัดระวังด้วยสติ เช่น พุทโธ ๆ ก็ให้รู้อยู่ ให้จิตรู้อยู่กับพุทโธ ๆ เท่านั้น มีสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา จิตกับธรรมคือพุทโธ
.
จิตคือผู้รู้สัมผัสสัมพันธ์กันต่อเนื่องไปโดยลำดับ แล้วจะสร้างผลขึ้นมาให้เชื่อมโยงถึงกันกลายเป็นความแน่นหนามั่นคง กลายเป็นความสงบร่มเย็นขึ้นมาภายในใจของตน นี่เรียกว่าธรรมเกิด เริ่มเกิดแล้วคือความสงบเกิดแล้ว ความแน่นหนามั่นคงของใจเกิดแล้ว ความไม่วุ่นวายทั้งหลายเกิดแล้ว นี่ผลเริ่มเกิด-เกิดจากนี้
.
เมื่อจิตได้อาศัยคำบริกรรมคำใดก็ตามอยู่เป็นนิจกาลในขณะที่ภาวนานั้นแล้ว จิตจะมีความสงบเย็นลงไป ๆ แล้วก็จับจุดผู้รู้ได้ ผู้รู้คือมีความรู้เด่นอยู่ในจุดเดียว นี่เรียกว่าจับจิตได้แล้ว ในขั้นนี้เราเริ่มจับจิตได้แล้ว นี้แหละจิตแท้เป็นอย่างนี้ ส่วนที่เรารู้อยู่ตามสรรพางค์ร่างกายนั้นเป็นกระแสของจิตแต่จิตเองก็จับไม่ได้
.
เพราะฉะนั้นจึงต้องหาเครื่อง ถ้าพูดแบบโลกเขาเรียกว่าเครื่องล่อ-เครื่องล่อใจ คือ พุทโธ ให้ใจติดให้ใจเกาะอยู่กับคำว่าพุทโธเป็นต้น ให้รู้อยู่ตรงนั้น เมื่อรวมเข้า ๆ มีแต่คำว่าพุทโธไม่มีคำอื่นเข้ามาแทรกมาปน มีแต่คำว่าพุทโธคำเดียว ๆ ตลอดไปเลย จิตเราจะสงบเข้ามา ๆ แล้วก็สงบแนบแน่นลงไป มีแต่ความรู้ล้วน ๆ
.
เวลาสงบมากจริง ๆ แล้วคำบริกรรมกับผู้รู้นี้จะกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน บริกรรมไม่ได้เลย นึกบริกรรมไม่ออกเพราะจิตเป็นผู้รู้เต็มตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นให้ปล่อยคำบริกรรมนั้นเสีย เพราะไม่บอกให้ปล่อยก็ปล่อยแล้ว ให้อยู่กับความรู้นั้นเสีย จนกระทั่งความรู้นั้นกระดิกพลิกแพลงหรือมีกระดิกออกมาแล้ว ค่อยนำคำบริกรรมเข้าไปแทนที่ใหม่และบริกรรมต่อไปใหม่ นี่เรียกว่าภาวนา
.
จิตสงบย่อมอิ่มตัว คำบริกรรมนั้นก็อิ่ม ไม่รับคำบริกรรมต่อไป มีแต่ความรู้ล้วน ๆ เด่นอยู่ภายในหัวใจ คือในหัวอกนี้แหละ นี่หัวอกตรงกลางอกเรานี้ ไม่ได้อยู่บนสมองนะ ทางภาคภาวนานี้ได้ทำเต็มกำลังความสามารถจนกระทั่งหายสงสัยในเรื่องความรู้นี้อยู่ที่ไหนแน่
.
ความรู้ไม่ได้อยู่บนสมอง บนสมองเป็นสถานที่ทำงานแห่งความจำทั้งหลาย เวลาเราเรียนหนังสือเรียนมาก ๆ นี้สมองทื่อไปหมดเลย เพราะความจำอยู่บนสมองไปทำงานอยู่ตรงนั้น แต่เวลาภาวนานี้ภาวนามากเท่าไร ๆ จิตของเรายิ่งสงบอยู่ภายในทรวงอกของเราตรงกลางอกนี้แหละ สงบอยู่ตรงนี้สว่างไสวอยู่ตรงนี้
.
แม้จะเกิดทางด้านปัญญาก็เกิดอยู่ที่จุดกลางนี้ คือเกิดอยู่ในทรวงอกของเรานี่ ซ่านอยู่ภายในนี้ สว่างไสวอยู่รอบตัวภายในหัวอกนี้ไม่ได้อยู่บนสมอง บนสมองเลยกลายเป็นอวัยวะเหมือนอวัยวะทั่ว ๆ ไปหมด ไม่ปรากฏว่าความรู้ไปหนักไปแน่นอยู่ในจุดใด แต่มาหนักแน่นอยู่ในท่ามกลางอกนี้เท่านั้น นี่เรื่องการภาวนา
.
เวลาจิตมีความสงบแล้วจะสว่างไสว หรือจะสงบเย็นอยู่ภายในหัวอกของเรานี้ เวลาจิตเกิดปัญญา คำว่าปัญญานี้ ปัญญาที่เราเรียนมานั้นเป็นบาทฐานแห่งปัญญาที่จะเกิดขึ้นโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง ที่ท่านเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
.
ในหลักธรรมชาติเป็นอย่างนั้น จะเกิดขึ้นภายในนี้แหละ อาศัยปัญญาที่เราคาดเราคิดนี้เสียก่อน สัญญาเป็นตัวหมายไป ปัญญาพิจารณาโดยจิตของเรามีความสงบเย็นพอสมควรแล้ว ก็อิ่มอารมณ์ภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสสัมพันธ์ ที่ทำให้ใจคึกคะนองก็ปล่อยตัวไป ๆ มีแต่ความสงบเย็นอยู่ภายใน นี่เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์
.
จิตอิ่มอารมณ์นี้เราพาพิจารณาทางด้านปัญญา คือ อนิจฺจํ ก็ตาม ทุกฺขํ ก็ตาม อนตฺตา ก็ตาม อสุภะอสุภังความไม่สวยไม่งามในร่างกายของเขาของเราก็ตาม เราก็พิจารณาอยู่ภายในหัวอกของเรานี้แหละ มันหากอยู่ในนี้เองไม่ได้ไปไหน นี่เรียกว่าการพิจารณาทางด้านปัญญา
.
แล้วจะเกิดความคล่องแคล่วแกล้วกล้า ความสว่างไสว เกิดความคล่องตัวขึ้นภายในจิตใจ นี่เรียกว่าปัญญาได้เกิดกับผู้ภาวนา ทีแรกอาศัยสัญญาคาดหมายไปเสียก่อน พอคาดหมายไปหลายครั้งหลายหนปัญญาค่อยตั้งตัวได้แล้ว ก็ดำเนินโดยลำพังตัวเองไม่ต้องไปอาศัยสัญญาอารมณ์ที่ไหน เป็นปัญญาอัตโนมัติขึ้นมา
.
ดังที่ท่านแสดงไว้ในปัญญา ๓ ประเภท คือ สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง ๑ จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณาไตร่ตรองของสามัญชนทั่ว ๆ ไป ๑ ภาวนามยปัญญา ๑ ส่วนภาวนามยปัญญานี้เกิดขึ้นโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง นี้แลที่ท่านว่าปัญญาเกิด ภาวนามยปัญญานี่เป็นปัญญาเกิดขึ้นโดยหลักธรรมชาติ ท่านเรียกว่าอัตโนมัติ ปัญญาขั้นนี้แลเป็นปัญญาที่จะฆ่ากิเลส เป็นปัญญาที่เห็นมรรคเห็นผลโดยลำดับ
.พระอาจารย์บัว ญาณสัมปันโน
" เรา...อย่าไปคาดมรรคผลนิพพาน
ว่าอยู่สถานที่นั่น ที่นี่
ซึ่งเป็น เรื่องเกาสถานที่ไม่คัน
ตะครุบเงาหาตัวจริงไม่ได้
ตัวจริงมีอยู่ กับสัจธรรม
สัจธรรม กับมรรคผลนิพพานเป็น
ของเกี่ยวเนื่องกันอยู่ แยกจากกันไม่ได้
และ ไม่มีสิ่งใดที่จะมีอำนาจวาสนา
มากั้นกางมรรคผลนิพพาน
ของผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
ด้วยมัชฌิมาปฏิปทานี้ได้เลย
สิ่งที่เป็นมารกั้นกางมรรคผลนิพพาน
ก็คือ กิเลสตัณหาอาสวะ
ซึ่งเกิดขึ้น...จากใจ
เป็นเครื่องทำลายใจนี้เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ท่านบอกให้พึงกำหนดรู้
คือ ทุกข์นั้นเป็นเครื่องเตือนสติ
พูดง่าย ๆ ว่าให้พึงกำหนดรู้
ทุกข์ เป็นเครื่องเตือน
ให้สติปัญญา พิจารณาคลี่คลาย
การคลี่คลายนั้น ได้แก่ปัญญา
ความคิดความปรุงแต่งต่าง ๆ
ซึ่งเป็นส่วนสมุทัย
เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เกิดขึ้นเพราะ...ความรักชอบสิ่งใด
ความเกลียด ความโกรธกับสิ่งใด
เพราะธรรมดาของจิต
โกรธ ก็เป็นอารมณ์
เกลียด ก็เป็นอารมณ์
รัก ก็เป็นอารมณ์
ชัง ก็เป็นอารมณ์
ซึ่งเป็นเรื่องของสมุทัย ทั้งนั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องอาศัยสติปัญญา
เป็นผู้ที่จะต้องใคร่ครวญจดจ่อ ดูเหตุดูผล
แห่งความรัก ความชัง
ความเกลียด ความโกรธ
อันเป็นสาเหตุมาจากสมุทัย
แก้กันด้วย สติปัญญา
นี่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ อย่างนี้
สมุทัย พึงละ
เรา จะเอาอะไรมาละสมุทัย
ปหาตพฺพนฺติ เม ภิกฺขเว ท่านว่า
พึงละ สมุทัย
ถ้าไม่ละด้วยมรรค จะละด้วยอะไร
มันเกี่ยวเนื่องกัน อย่างนี้."
____________________________________
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
เรื่อง "หลวงตามหาบัวทูลถามพระพุทธเจ้าเรื่องโครงการช่วยชาติ ผิดอริยประเพณีไหม"
(ปกิณกธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
เก็บเล็กเก็บน้อยจากวัดป่าบ้านตาด เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมาจากพระอาจารย์องค์หนึ่ง เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ช่วงหลวงตาท่านอาพาธ ปกติแล้วหลวงตาท่านจะไม่พูดเรื่องพิศดารต่างๆหรอก เพราะกลัวพระเณรจะหลงกัน ท่านอาจารย์เล่าว่า มีคืนหนึ่งประมาณตีห้า หลวงตาพูดกับพระที่เฝ้าท่านอยู่ว่า "อุ้มๆเราขึ้นหน่อย มาๆเอาน้ำมาล้างหน้า สักพักหนึ่งจึงพูดว่า ไหนๆ เอาหมากมาเคี้ยวหน่อย"
พอเคี้ยวหมากไปได้สักพัก
องค์ หลวงตาถามขึ้นว่า "
ทองคำเราได้กี่ตันแล้วล่ะหือ ?
พระตอบว่า
"ได้ ๑๒ ตันกว่าๆครับผม "
หลวงตา "โอ้ได้หลายเนาะ"
"เราคิดว่าจะได้ครบ ๑๓ ตันกว่าอยู่นา"
พูดก็พูดเถอะ เราไม่ได้ประมาทผู้ใดไม่ได้ยกตนข่มท่าน ถ้าหากไม่ใช่บุญเก่าที่สั่งสมมาอย่างไรก็ทำไม่ได้ เราทำโครงการช่วยชาตินี่เราไม่ได้ทำเล่นๆนะ เราพิจารณาแล้วพิจารณาอีก เราจะพูดซะก่อนเราจะตาย ถ้าเราตาย จะไม่มีผู้ใดเล่าให้ฟังนะ เราจะพูดแต่เราไม่ได้โอ้อวดนะ เราขึ้นไปถามกราบถามพระพุทธเจ้าโน่นนะ ถามว่าการทำโครงการช่วยชาตินี้จะผิดอริยประเพณีไหม (ประเพณีของพระอริยเจ้า)
เสียงพระพุทธเจ้าตอบกังวานมาว่า
"มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพปาณิณัง" ผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ประกอบแล้วด้วยพระมหากรุณา ยังบารมีทั้งหลายทั้งปวงให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วพระพุทธองค์ทรงประทานน้ำพระพุทธมนต์ให้หลวงตาจนเปียกหมดเลย
หลวงตาเล่าว่า "โอ้อัศจรรย์ใจแท้ " เลยพูดต่อว่า นี่ มันเป็นบุญเก่าจริงๆนะถึงทำได้ขนาดนี้ ให้เชื่อบุญเชื่อบาปนะ ทำอะไรให้ตั้งใจปฏิบัตินะ จะได้เห็นจริง รู้จริง ในความอัศจรรย์ ถ้าได้เห็นเองแล้ว ไม่ต้องไปถามใคร มันจะรู้ของมันเอง พระอาจารย์เล่าต่อไปว่า ธรรมดาปกติแล้วหลวงตาท่านจะไม่ทำน้ำมนต์นะ จะทำปีละครั้ง ตอนงานบุญประทายข้าวเปลือกเท่านั้น มีช่วงมอบทองคำเข้าคลังหลวงช่วงแรกๆ หลวงตาท่านไม่เห็นบาตรน้ำมนต์ ท่านจึงดุพระว่า
"พระนี่มันทำไมโง่จัง ทำไมไม่เตรียมเทียนเตรียมบาตรไว้ทำน้ำมนต์ ต้องให้เราบอกทุกอย่างนะ อะไร ๆ ก็ต้องให้เราบอก"
ปกติแล้วหลวงตาก็ไม่เคยทำน้ำมนต์ในงานใดอยู่แล้ว มีงานนี้เป็นกรณีพิเศษ พระเราก็ยอมรับว่าพวกเราโง่จริงๆก็ไม่มีตาในเหมือนหลวงตา เวลาองค์หลวงตาท่านทำน้ำมนต์ท่านจะเพ่งจิตไปที่ขันน้ำมนต์นานมากๆๆๆ แล้วจึงประพรมน้ำมนต์ลงบนแท่งทองคำที่จะมอบเข้าคลังหลวง ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ ทุกๆคนถ้าเห็นภาพหลวงตาพรมน้ำมนต์ก็จะเห็นหลวงตาประพรมน้ำมนต์ลงบนทองคำที่จะมอบเข้าคลังหลวง
ที่ข้าพเจ้าบรรยายมานี้ ไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า เป็นเรื่องของหลวงตา ที่ข้าพเจ้าได้รับฟังจากพระอาจารย์องค์นั้น ข้าพเจ้านั้นเชื่อล้านเปอร์เซ็น ถ้ามีล้านก็เชื่อล้าน ส่วนท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิของท่าน ข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อย อาจจะหลงลืม และเขียนไปตามที่ได้ยินได้ฟังมา จะมีตกหล่นบ้างก็ต้องขออภัยจากท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย เรื่องวันนี้ก็ขอจบลงไว้เพียงเท่านี้ก่อน ไว้มีโอกาสเหมาะๆจะได้เขียนต่อ ขอให้ทุกท่านจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกท่านทุกคนเทอญ
(เครดิต : ศิษย์ วัดป่า)
"สมาธิ เครื่องหนุนปัญญา"
" ..
- ศีล เป็นเครื่องอบรมสมาธิให้สงบได้ง่าย
- สมาธิ เป็นเครื่องหนุนปัญญาให้เดินได้คล่องตัว
- ปัญญา เป็นเครื่องซักฟอกกิเลสทั้งหลายให้หลุดพ้นไปโดยชอบ
๓ ประเภทนี้ "การบำเพ็ญสมาธิขอแต่เพียงเป็นบาทวิปัสสนา คือการพิจารณาก็พอแล้ว" การบำเพ็ญสมาธิเอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสสนา "วิปัสสนาคือการพิจารณา" ก็พอแล้ว
ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น "ก็ให้กำหนดรู้" หมายความว่าอย่างไร "การบำเพ็ญสมาธิคือความสงบใจ ใจเมื่ออิ่มอารมณ์ ไม่หิวโหยในอารมณ์" พาทำงานทำการอะไรก็ทำได้ ไม่โดดโน้นโดดนี้ คือ "จิตที่หิวอารมณ์นี้ แทนที่จะพิจารณาทางด้านปัญญา มันแฉลบออกไปตามอารมณ์ของมันที่ชอบใจ"
จิต "จิตที่มีความสงบแล้วย่อมอิ่มอารมณ์ไม่ดีดไม่ดิ้น" พาทำงานอะไรก็ทำ ๆ นี่ท่านบอก นี่ละเป็นงานที่ชอบธรรม
เราที่ประจักษ์ก็คือ เราเองถูกพ่อแม่ครูจารย์ขนาบเอา ท่านใส่บทไหนนี้แหม ลืมไม่ได้เลย ตอนจิตเป็นสมาธิมีความสงบ ท่านก็ถามเรื่อย "เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีเหรอ สงบดีอยู่" ก็บอกอย่างนั้น เวลาสงบก็บอกสงบ ดีอยู่ ๆ เรื่อย บทเวลาท่านจะเอานี้โถ ผางเลย เป็นยังไงท่านมหา จิตสงบดีอยู่เหรอ สงบดี "ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ" ขึ้นเลยทันที เห็นไหมล่ะ ต้องเอาหนักๆ ไม่งั้นสมาธิไม่หลุดจากเขียง "มันจะนอนอยู่เหมือนหมูบนเขียง คือสมาธิ"
"ติดสมาธิ ไม่ออกทางด้านปัญญาก็หาความแยบคายแก้กิเลสไม่ได้ เพราะการแก้กิเลสแก้ด้วยปัญญา สมาธิเป็นเครื่องหนุนเท่านั้นเอง" .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
"...กิเลสประเภทแรก คือ
ความยึดถือกาย ว่าเป็นเรา เป็นของเรา
ประเภทกลาง คือ ความยึดถือ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ว่าเป็นเรา เป็นของเรา
ประเภทที่ละเอียด คือ ความยึดถือจิต
ว่าเป็นเรา เป็นของเรา
ปัญญาจึงต้องตามเข้าไป
ตั้งแต่รูปขันธ์ ให้เห็นอย่างชัดเจน
แล้วอุปาทานถอนตัวไปเอง
เพราะอำนาจของความรู้แจ้ง เห็นจริงด้วยปัญญา
และถอนจาก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปเอง ด้วยอำนาจแห่งความรู้แจ้งด้วยสติปัญญา
กิเลสประเภทละเอียดก็ต้องจมอยู่ภายในจิต
หาที่ยึด หาที่หลบที่ซ่อนตามรูป ตามเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ได้แล้ว
เพราะถูกปัญญาตีต้อนหรือตีแหลกละเอียดไปหมด
ไม่มีที่ยึด ก็หดเข้าไปอยู่ภายในจิต
นั้นเป็นกิเลสประเภทที่ละเอียดสุด
ประเภทที่ละเอียดสุดของกิเลส
จะเป็นสิ่งที่หลอกลวง ทำให้ลุ่มหลงได้อย่างสนิทใจเหมือนกัน
เพราะอันนี้เป็นจอมกษัตริย์วัฏจักร
คือ อวิชชา
ตัวอวิชชาแท้เป็นสิ่งที่ละเอียดแหลมคมมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในบรรดากิเลสที่เคยผ่านมา
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติถ้าไม่ได้รับคำแนะนำจากครูจากอาจารย์ที่เคยผ่านมาก่อน
ต้องติดอวิชชา ถือว่าเป็นเราเป็นของเรา
เพราะมีความสง่าผ่าเผย
มีความองอาจ กล้าหาญ
มีความเป็นสง่าราศี
แสดงความอัศจรรย์อย่างเต็มที่
เกินกว่าที่เราจะเห็นโทษของมัน
แต่ยังไงก็ตาม ขึ้นชื่อว่าสติปัญญาอัตโนมัติ หรือมหาสติ มหาปัญญาแล้ว
แม้จะเผลอตัวหรือยึดเป็นอุปาทานในจิตก็ไม่นาน
#เนื่องจากจิตประเภทนั้นมันยังเป็นสมมติ
จะต้องแสดงอากัปกิริยาละเอียดตามส่วนของมัน ให้สติปัญญาอัตโนมัติ หรือมหาสติปัญญารู้จนได้ จับเงื่อนจนได้
แล้วก็เอาเงื่อนที่สงสัยนั้นแลเป็นเหตุให้พิจารณากิเลสประเภทละเอียดนั้น
หรือเป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณา
หรือเป็นเวที ฟาดฟันหั่นแหลกกันที่ตรงนั้นอีก เช่นเดียวกันกับขันธ์ 5 นี้
โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นเดียวกัน
จนกระทั่งจอมกษัตริย์วัฏจักรนี้พังทลายลงไปจากจิตแล้ว
นั่นแล ทีนี้ ความเกิดจะไปเกิดที่ไหนอีก
ตัวพาให้เกิดเหนียวแน่นที่สุดก็คือตัวนี้
ได้พังทลายลงไปจากจิตแล้ว
เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไม่มีเงื่อนใดสืบต่อเลย..."
พระธรรมเทศนา
ท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
17 กรกฎาคม 2522
อบรมภาวนา ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
“…ผู้รู้” เป็นสักแต่ว่า “เรือนร่างของจิต” แต่ “ไม่ใช่จิต
” เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งทาง ร่างกาย และ จิตใจ
ก็เป็นแต่เพียงว่า “อาการอันหนึ่ง” ที่ “เกิดขึ้น”จาก “จิต”
แต่ไม่ใช่ “จิต”
รู้ชัดเจน ก็เหลือแต่ “ความรู้” นี่เรียกว่า “วัฏจิต”
“เชื้อ” ที่จะพาให้ “จิต” ไปเกิด ไปตาย ในภพชาติน้อยใหญ่นั้น
ก็คือ “ตัวรู้” ที่อยู่กับ “จิต” กลมกลืนเป็น “อันเดียวกัน” อยู่นั้นแล
เมื่อขาดจากความ “สืบต่อ” กับ “สิ่งภายนอก”
จนกระทั่ง “ในขันธ์” เรียบร้อยแล้วยังเหลือแต่ “จิต”
นั่นคือยังเหลือแต่ “อวิชชา” …
“อวิชชา” นี้ท่านเรียกว่า “เชื้อ” ….
“เชื้อแห่งวัฏจักร” มีอยู่ที่ “จิตนี้”
“ปัญญา” พิจารณาลงไปที่ “จุดนั้น”…
ความสว่างคืออะไร ดูให้ดี ว่าความสุข-สุขอะไร
เป็น “สุขอวิชชา” หรือเป็น “สุขวิชชา”
“สุขสมมุติ” หรือ “สุขวิมุตติ” “สงบตัวจากความคิด”
ลงไปสู่ “ความรู้” อันเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส”
“กิเลสเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต”
“เชื้อ”ที่พาให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ถูก “ถอนพรวด”ขึ้นมาแล้วจาก “จิต”
เหลือแต่ “วิมุตติจิต” เท่านั้นที่นี่ เป็น “จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ”
เมื่อ “ดับอวิชชา” แล้ว มัน “ดับไปหมด”
“จิต” ที่นอกเหนือไปจากกฎ “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา” แล้ว
นั่นคือ “ผู้พ้นภัย” … พ้นโลกพ้นตรงนี้
“จิต” เป็น “ธรรม”… “ทั้งดวง” …
“ธรรมกับจิต” เป็นอันเดียวกันแล้ว
ท่านจึงว่า “ธมฺโม ปทีโป ความสว่างกระจ่างแจ้งในจิต
ที่ปราศจากแล้วจากกิเลส เป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนในโลกทั้งสามนี้…”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
รูปสัมผัสตา เสียงสัมผัสหู กลิ่นสัมผัสจมูก รสสัมผัสลิ้น เย็นร้อนอ่อนแข็งสัมผัสกาย แล้วก็นำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นอารมณ์ของใจที่เรียกว่าธรรมารมณ์ สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่จะให้กิเลสแสดงตัวออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เพราะรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสหรืออารมณ์กับสิ่งนั้น ๆ เกิดขึ้นจากสิ่งที่เคยสัมผัสสัมพันธ์เป็นอดีตล่วงไปแล้วนั่นแหละเข้ามาฝังอยู่ภายในจิตใจ ทำให้ครุ่นคิดตั้งแต่เรื่องกิเลสตัณหาอาสวะ ผูกมัดตัวเองเข้าไปเรื่อย ๆ จนหาทางแก้ไขไม่ได้
ผู้ปฏิบัติจึงต้องสังเกตเรื่องของจิต ในขณะที่มีสิ่งต่าง ๆ เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ จะเป็นทางรูป เสียง กลิ่น รส ทางใดก็ตามต้องจดจ้องอยู่ที่จิต การแสดงอากัปกิริยาต่าง ๆ ไปตามเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้อง จะปรากฏขึ้นที่จิต มีสติเป็นผู้คอยจดจ้องมองดู ให้ทราบว่าดีชั่วผิดถูกประการใด มีปัญญาเป็นเครื่องใคร่ครวญพินิจพิจารณาแยกแยะกันออกหรือตัดกันออกในสิ่งที่เห็นว่าไม่ดี นี่เราตามปฏิบัติตัวเองตามรักษาตัวเอง รักษาอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้อยู่ทุกอิริยาบถ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้รักษาตัวด้วยดี
นี่ได้ปฏิบัติมานานผ่านมาพอสมควร พอรู้เรื่องรู้ราวสิ่งเหล่านี้ทั้งโทษทั้งคุณ ไม่มีสิ่งใดที่จะเหนียวแน่นยิ่งกว่ากิเลสที่ฝังจมอยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นงานอันนี้จึงต้องทุ่มเทกำลังลงไปเต็มที่เต็มฐาน ถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็มีในบางครั้ง ถ้าไม่เช่นนั้นก็หาความชนะไม่ได้ เข้าอกเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการไม่ได้ จึงต้องอาศัยความหนักเบาทุ่มเทกันลงในบางกาลบางเวลา ถ้าจิตใจกำลังผาดโผนโลดเต้น นั่นยิ่งเป็นเวลาที่เราจะต้องฝึกทรมานกันอย่างหนัก เราอย่าออมกำลังอย่าสงวนกำลังไว้ ซึ่งเป็นการโอนอ่อนต่อเรื่องของกิเลส
ต้องเข้มแข็ง เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ขึ้นชื่อว่าโทษแล้วจะไม่เป็นคุณแต่อย่างใดเลย นี่ก็คือว่าขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้ว จะทำคุณประโยชน์ให้เราไม่ได้ จะมีแต่เสี้ยนแต่หนามทิ่มแทงขึ้นมา เพราะฉะนั้นแม้จะรักจะชอบจะพอใจขนาดไหน ก็ต้องฝืนจิตฝืนใจต่อสู้ แยกแยะกันออกเต็มสติกำลังความสามารถ ด้วยสติปัญญาของตนที่มีอยู่ สติปัญญาที่ยังไม่มีก็ให้พยายามฝึกหัด พยายามบำรุง พยายามคิดค้นให้แตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ
คำว่าปัญญา ไม่ใช่จะเกิดขึ้นเองโดยที่เจ้าตัวไม่คิดค้นไตร่ตรอง หรือไม่มีเหตุมาสัมผัสมากระทบกระเทือนจิตใจเลย ต้องอาศัยเหตุมากระทบกระเทือนจิตใจหนึ่ง อาศัยการคิดค้นกับหาเหตุหาผลหนึ่ง ปัญญาเกิดขึ้นได้ เมื่อได้ใช้อยู่เสมอก็ย่อมมีทางเจริญก้าวหน้าและแตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ เหมือนกับต้นไม้ถ้าได้บำรุงลำต้นอยู่เสมอ เมื่อปรากฏต้นขึ้นมาแล้ว กิ่งก้านสาขาดอกผลก็ปรากฏขึ้นเอง ปัญญาก็เหมือนกัน ความจริงแท้ตามหลักแห่งการปฏิบัติ ปัญญาจะไม่เกิดเองโดยที่อยู่เฉย ๆ หรือปัญญาจะไม่เกิดเองเมื่อมีสมาธิแล้ว ให้พึงทราบด้วยดีและทราบอย่างถึงใจด้วย
สมาธิคือความสงบ เป็นเรื่องของสมาธิ เป็นประเภทหนึ่งหรือเป็นอาการหนึ่งของจิต หรือเป็นคุณสมบัติอันหนึ่งของจิต ปัญญาเป็นคุณสมบัติอันหนึ่งของจิต เป็นคนละประเภท ถ้าหากเราไม่สนใจกับปัญญาเลย มัวแต่สนใจทางด้านความสงบหรือสมาธิอย่างเดียว จิตของเราจะอยู่เพียงแค่นั้น จะก้าวไม่ออกถ้าไม่นำปัญญามาใช้ในกาลที่ควรใช้ หรือเหตุการณ์ที่ควรใช้ ปัญญาจะไม่แสดงตัวออกมาเลย นี่ได้เคยแสดงให้หมู่เพื่อนฟังหลายครั้งหลายหนซึ่งเป็นเรื่องของตัวเอง เมื่อได้เคยรู้เคยเห็นกันมาแล้ว สิ่งที่เคยรู้เคยเห็นนั้นก็เป็นอาจารย์ของเราได้ดี แม้จะแสดงให้แก่ผู้ใดฟังก็ไม่เป็นความผิด เพราะเรื่องมันเป็นอย่างนั้น
ท่านว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิเมื่อศีลอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตเมื่อปัญญาได้อบรมแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้เป็นหลักธรรมอันตายตัว แต่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายมักจะคิดว่า เมื่อมีศีลแล้วสมาธิจะมีขึ้นมา เมื่อมีสมาธิแล้วปัญญาจะเกิด เมื่อปัญญาเกิดแล้วจิตก็หลุดพ้น นี่เป็นความคิดความคาดเอาเฉย ๆ ไม่ใช่ความจริง
ความจริงนั้น ศีลเราก็รักษาให้เป็นศีล คือความปกติของกาย วาจา ไม่คะนองทางกาย วาจา และไม่เสริมโดยทางใจ เราก็ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่เป็นอารมณ์ให้เกิดความวุ่นวาย อันเป็นการก่อกวนการทำสมาธิเพื่อความสงบของใจ ใจเมื่อไม่มีเครื่องก่อกวนให้เดือดร้อนแล้ว การทำสมาธิก็ย่อมมีทางสงบได้เพราะไม่เป็นนิวรณ์ เป็นอย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่มีศีลแล้วจะเป็นการสร้างสมาธิขึ้นในตัว มีสมาธิแล้วจะสร้างปัญญาขึ้นในตัวอย่างนั้นหาไม่ เราต้องทำเอง
การจะทำจิตให้เป็นสมาธิด้วยอุบายวิธีใดที่เป็นสมถวิธี ที่ท่านแสดงไว้หลายแง่หลายกระทง เพื่อให้เหมาะกับจริตจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งมีแปลกต่างกัน ท่านกล่าวไว้ว่ากรรมฐาน ๔๐ ห้องมีอนุสสติ ๑๐ เป็นต้น รวมกันทั้งหมดเป็น ๔๐ คำว่า ๔๐ นี้ไม่ใช่เราจะกว้านเอามาประพฤติปฏิบัติหมด เมื่อชอบในธรรมบทใดใน ๔๐ วิธีการนั้น ก็นำวิธีที่ตนชอบนั้นมาอบรมจิตใจ อันเป็นแนวทางเครื่องช่วยกัน ใจเมื่อได้รับการอบรมด้วยความถูกต้อง และธรรมที่เหมาะกับจริตจิตใจ จิตใจของตนย่อมมีความสงบได้ การสงบได้นั้นได้ด้วยวิธีสมถวิธีต่างหาก ไม่ใช่วิธีมีศีลหรือวิธีรักษาศีลแล้วสมาธิเกิดขึ้น มันเป็นคนละอย่าง พากันเข้าใจ
ทีนี้เมื่อจิตได้รับความสงบตามวิธีที่ทำโดยถูกต้องและเป็นความสงบขึ้นโดยลำดับแล้ว การที่จะเคลื่อนไหวทางสติทางปัญญาเราควรจะให้มี เคลื่อนไหวทางปัญญาก็ถือเอาไตรลักษณ์ในสกลกายของเรานี้ทั้งหมดเป็นสถานที่ทำงาน ถือไตรลักษณ์และอสุภะอสุภังความไม่สวยไม่งามแห่งร่างกายเป็นทางเดิน ไตรลักษณ์คืออะไร คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แน่ะ และที่กล่าวว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ก็มีเต็มไปหมดในร่างกายของเราทุกส่วนหรือในขันธ์ ๕ นี้ เป็นกองแห่งไตรลักษณ์และอสุภะอสุภังทั้งนั้น แยกแยะพิจารณาตามส่วนของร่างกายส่วนต่าง ๆ เช่นแยกขยายทำลายจากส่วนผสมลงเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ตามความถนัดของปัญญา
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
ฝึกจิตให้มีคุณค่า