เมื่อเข้าไปหาพระอาจารย์ที่ท่านชำนาญ
ในด้านภาวนาพุทโธ ท่านก็จะสอนให้บริกรรมว่า พุทโธๆๆ
แล้วให้เอาจิตไปตั้งมั่นอยู่ในบริกรรมนั้น จนชำนาญเต็มที่แล้ว
ก็จะสอนให้พิจารณาพุทโธ กับ ผู้ว่าพุทโธ เมื่อพิจารณา
เห็นเป็นคนละอันกัน แล้วพึงจับเอาผู้ว่าพุทโธ ส่วนพุทโธนั้น
จะหายไป เหลือแต่ผู้ว่าพุทโธอย่างเดียว
ให้ยึดเอา “ผู้ว่าพุทโธ” นั้นเป็นหลักต่อไป
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
เมื่อจิตหลุดพ้น จากความยึดมั่นถือมั่น
ซึ่งหลงยึดมั่นในคุณค่า อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน
ตามสมมติสัจจะว่า "ตัวตน" แล้ว
ดี-ชั่ว บุญ-บาป กิเลส-โพธิ หรือ อะไร
ที่บัญญัติกันว่า เป็นของคู่ ตรงกันข้ามนั้น
ก็จะเป็นของที่เท่ากัน หรือ เป็นสิ่งเดียวกัน
เช่น เป็นเพียงสังขารเสมอกัน
เป็นสมมติบัญญัติที่เท่ากัน เป็นต้น.
พุทธทาสภิกขุ
การปฏิบัติการพิจารณาธรรมะ
ให้เห็นเป็นปัจจุบันธรรม
อย่าส่งจิตถึงอดีต อนาคต
จะเป็นความกังวลฟุ้งซ่านไป
เพราะว่าธรรมะทั้งหมดที่พระพุทธองค์
ทรงแสดงออกมาจากจิตคือ พระทัยที่บริสุทธิ์นั้น
การดับทุกข์ คือ การรู้เท่าทันทุกข์ ไม่ยินดียินร้าย
การพิจารณากายให้รู้เท่าทันทุกข์
ให้รู้เท่าทันความเป็นจริง
เวลาพิจารณาอย่าใส่สิ่งที่ไม่มีเข้ามา
และอย่านำสิ่งที่มีอยู่ออกหรือตัดออก
อันนี้จะเป็นความไม่ละเอียดในการพิจารณา
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท
ดูกรอานนท์
เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้
เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า
เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มีแก่ใครๆ
ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน
คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เมื่อ ไม่มีตัณหาโดยประการทั้งปวง
เพราะดับตัณหาเสียได้
การแสวงหาจะพึงปรากฏ ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์
เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของการ แสวงหา
ก็คือตัณหานั่นเอง ฯ
มหานิทานสูตร
ทีฆนิกาย มหาวรรค
ความคิดไม่ได้ทำให้เราเครียด หรือเป็นทุกข์
แต่เพราะไปยึดเอาความคิด ไม่ยอมรู้
ยึดเอามาเป็นเรา แล้วชอบใจ ไม่ชอบใจนั้นแหละ
เลยทุกข์เพราะความคิด
ฝึกไว้เถิด คิดแล้วให้รู้ กลับรู้ที่ฐานกายก็ได้
ฝึกอย่างนี้ไปก่อน จนจิตมีกำลังพอที่จะดู ได้
โดยไม่ไหลตามไปกับกระแสความคิด
เมื่อนั้นความเครียดก็ทำอะไรไม่ได้เลย
มีแต่ปลอดโปร่งโล่งเบา
นักภาวนาส่วนมากทั้งที่เพิ่งเริ่มต้น
และที่ภาวนามานานแล้ว มักจะมีความไม่อยากคิด
อยากสงบนิ่งๆ สบาย หรือภาวนาเพื่อจะไปดับความคิด
เราเคยเป็นมาก่อนสมัยบวชใหม่ๆ มีความคิดขึ้นมา
ก็จะเพ่งให้ความคิดดับ รู้สึกว่านี่แหละใช่
ก็ใช่ส่วนหนึ่งนะ คือทำให้จิตสงบ
เป็นการทำสมถะ แต่ตอนนั้นรู้สึกว่ากำลังทำวิปัสสนา
ผลก็คือจิตสงบอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวัน เพราะทำอยู่เรื่อยๆ
จึงสงบอยู่เป็นปี แต่ไม่เกิดปัญญาอะไรเพราะความเข้าใจผิด
ในความจริงแล้วธรรมชาติของจิตต้องคิดนึก
หน้าที่ของผู้ภาวนา เพียงแค่คอยรู้สึกตัวไว้เสมอๆ
รู้ให้เท่าทันความยินดี ยินร้าย ความเฉยๆ
ที่เกิดเพราะความคิดนั้นๆ เมื่อไม่มีเราเข้าไปเป็น
ไปเพลินหรือผลักไส ความคิดนั้นมันหมดเหตุ
คือตัณหาที่คอยหล่อเลี้ยงมันดับ
ความคิดนั้นก็แสดงตัวจริงของมันออกมา
คือ มันต้องเลื่อนลับดับไปตามธรรมชาติเอง
แล้วก็จะมีความคิดใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอๆ
จิตนั้นถ้าอบรมอย่างกล่าวข้างต้นเสมอๆ
จิตก็จะไม่เข้าไปให้ค่า ไม่เข้าไปแบก
ตั้งมั่นอยู่ต่างหากจากความคิด ไม่ถูกความคิดครอบงำ
ทั้งยังสามารถนำความคิดที่เกิดมาใช้ประโยชน์ได้
นี้เป็นท่าทีของจิตต่อความนึกคิด ก็ลองเอาไปพิจารณาดูนะ
อาจถูก อาจผิด ก็ให้กลั่นกรองด้วยสติปัญญานะ
ห็นเทวดา นางฟ้า เห็นผี
เห็นจิตผู้อื่น รู้ความนึกคิดผู้อื่น
หยั่งรู้ทั่วจักรวาล รู้แจ้งกรรมของสัตว์ ฯลฯ
มันไม่ได้เกี่ยวกับมรรคผลนิพพานเลย
แต่คนชอบตื่นไปกับเรื่องพวกนี้
ทางๆนี้ รู้เห็นเพียงแค่
ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ที่ดับไป เท่านี้ก็พอ
แต่กิเลสคนมันก็ไม่ชอบอีก
มันไม่ตื่นเต้น ไม่ดูลึกลับ ไม่รู้สึกพิเศษ
รู้สึกธรรมดาไป ทั้งๆ ที่ความจริง
ธรรมะนี้ก็คือการปฏิบัติ
เพื่อคืนสู่ความธรรมดาๆนี่เอง
ต้องสำรวจใจว่าเรามุ่งมาดในสิ่งใด
ทุกๆสิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้
เป็นเพียงแค่อาการเท่านั้น
ไม่ว่าจะเลิศเลออย่างไร
ต้องรู้ให้เท่าทันไม่ถลำ
ไม่เพลินไหลไปรู้อะไร
ให้จิตรู้สึกอยู่ต่างหาก
จนเมื่อมันรู้ชัดแล้วว่า
ทั้งหมดนั้นล้วนรวมลงอยู่ในไตรลักษณ์
มันจึงทวนกระแสที่ส่งออก
ย้อนเข้าหาตัวจิตเองซึ่งเป็นธาตุรู้
กระบวนการต่อจากนั้นเป็นวิถีที่เป็นไปเอง
ควรตระหนักรู้ เฉลียวใจ แล้วทิ้งสิ่งที่รู้ไว้ตรงที่มันรู้
ชั่วขณะที่จิตจะตัดสินความรู้คือมันรู้เพียงว่า
มีบางสิ่งเกิด และดับ ในขณะนั้นจิตมีแต่สักว่ารู้
เมื่อมันเห็นแล้วจิตมันเข้าใจได้เองโดยไม่มีคำพูดเลยว่า
นี่ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา เมื่อสลัดสิ่งฉุดรั้งที่ปิดบังนี้แล้ว
จึงรู้ธรรมซึ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนเพียงแค่
ลืมตาก็เห็นภาพนั้นเท่านั้นเอง
การ"รู้"อะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะแปลกอย่างไร
ถ้าการรู้นั้น ไม่ได้ละความเห็นผิด
ว่ากายใจนี้เป็นตัวตน ไม่ได้ละความยึดถือในกายใจนี้
เราต้องตั้งเป้าไว้ว่า
ภาวนาเพื่อเห็นตามจริง
ไม่ใช่ภาวนาเอาแต่สงบอย่างเดียวนะ
ความสงบเป็นเพียงที่พักที่รวมกำลังของจิต
แต่จะเห็นความจริงได้นั้น ต้องมีจิตที่ตั้งมั่น
คือรู้สึกตัว ไม่หลงไปกับอารมณ์ ทั้งฝ่ายรูปและนาม
รวมถึงไม่หลงเข้าไปเป็นกับความสงบนั้นด้วย
จิตที่จะรู้ตามจริงนั้นต้องสดใหม่เป็นปัจจุบันสม่ำเสมอ
ด้วยการที่เราคอยรู้สึกตัวรู้สึกถึงกาย
รู้สึกถึงความรู้สึกนึกคิดทางใจ เอาไว้เสมอๆ
เมื่อเหตุถึงพร้อม จนมีจิตตั้งมั่นได้ตามสมควรแล้ว
ย่อมเห็นตามจริงของกาย ใจได้เอง...
ธรรมะปฏิบัตินั้นอย่ามัวแต่คอยจะตีความหมาย
ด้วยการนึกๆ คิดๆ เพียงอย่างเดียว
แต่ต้องตระหนักถึงสภาวธรรมที่แสดงตัวอยู่
ณ ขณะแห่งปัจจุบันนั้นด้วย
กายอยู่ในลักษณะใด มีอาการอย่างไร
จิตใจมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร
ให้รู้ รู้สึกจริงๆ ตามที่มันเป็น
ชอบ ไม่ชอบ ก็แค่รู้
มันดึงดูด หรือผลักดัน ก็รู้ รู้สึกจริงๆ
นี้เป็นการตีความของธรรมะปฏิบัติ
และเอามาใช้ได้จริงๆ
ไม่ต้องให้ใคร
รู้จักเราก็ได้
แต่ให้รู้จักตนเอง
ไม่ต้องไปรู้เรื่อง...
คนอื่นก็ได้
แต่ให้รู้เรื่องตนเอง
อย่างนี้คือการไม่ส่งใจออกนอก
รู้อยู่ในกายในใจ รู้สิ่งที่ปรากฏแก่ตนเอง
ทั้งแรงดึง แรงผลัก ความปรารถนาต่างๆ
เมื่อรู้แล้ว ก็เท่ากับกำลังดำเนินไปเพื่อ
รู้จักตนเองอย่างแท้จริง ไม่เสียเวลา
และ กำลัง ไปเพื่อรู้เรื่องคนอื่น
หรือทำอะไรเพื่อให้คนอื่นยอมรับ
ความเมตตา...ก็เป็นความรัก
ความกรุณา...ก็เป็นความรัก
ความพลอยยินดีคือมุฑิตา...ก็เป็นความรัก
แต่ความรักทั้งต้นนั้น ยังเจืออยู่ด้วยความปรารถนา
ยังมีผลต่อจิตใจให้ฟูแฟบได้
เหลือก็แต่อุเบกขา คือวางเฉยแล้วแลอยู่
นี้เป็นความรักอันยิ่ง รักแบบไม่ผูกพันตัวเข้าไป
รักแบบไม่เลือก เพราะไม่ส่งผล
ที่จะทำความกระเพื่อมให้กับใจ...
อุเบกขา คือรักแท้จริง...
บางคนว่า...จิตใจฟุ้งซ่าน วุ่นวายมาก
แต่ความจริงแล้ว จิตใจไม่ได้ฟุ้งซ่านเลย
เพียงแต่ว่าเมื่อเรารู้ไม่เท่าทัน
เราจึงไปยึดเอาความฟุ้งซ่านมาเป็นเรา
บางคนจิตใจสงบ มีความสุขสบายดี
จิตใจก็ไม่ได้ไปสุข สงบอะไร
เพียงแต่เมื่อมีความสงบเกิดขึ้น
เราก็ไปยึดเอาว่าความสงบเป็นเรา
รวมความแล้วก็จะพยายามยึดทุกๆ อย่าง
ทั้งที่จิตใจนี้เป็นเพียงธรรมชาติรู้
มีหน้าที่รู้เท่านั้นเอง เพียงเพราะไม่รู้สึกตัว
จึงยึดเอาทุกๆ อย่างเป็นของเรา
คือการสอดรู้อาการของจิต
ที่ส่งออกไปสู่อารมณ์ต่างๆ
ด้วย"สติปัญญา"
"เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ
ผู้ปฏิบัติ นี่คือการเรียนรู้เพื่อ
รู้ตัวเองโดยเฉพาะ..."
ภาวนาเราต้องใช้ปัญญาควบคุมจิตใจของเรา
ให้มีจิตได้ทบทวนตรวจค้นความรู้สึก
สำนึกในจิตของเราอยู่เสมอ ไม่ให้มันล่วงเลย
ไปตามอารมณ์ คือไม่ตามใจ โดยมากคนเรา
ไม่มีภาวนาก็คือตามอารมณ์ คิดตามอารมณ์
พูดตาม อารมณ์ ทำตามอารมณ์ แล้วแต่อารมณ์เป็น
การภาวนาจึงเป็นการควบคุมไม่ให้จิตของเราตามอารมณ์
เหมือนกันกับสำลีหรือนุ่นที่เป็นของเบา ก็ต้องมีอะไรครอบไว้
รักษาไว้ ลมพัดมามันจึงจะไม่ไปตามลม จิตของเราก็เหมือนกัน
เราก็ต้องควบคุมด้วยการภาวนา ตรวจค้นจิตของเรา
จึงเรียกว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาในตน ทบทวนเข้ามา
หาจิตของเรา ความรู้สึกนึกตรวจค้นอยู่เสมอทบทวน
จิตของเราให้รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่วของจิต
หลวงปู่วัน อุตฺตโม
สมัยนี้ไปทางไหนหรือที่ไหนๆ
ก็มีแต่สิ่งที่เร้าจิตใจ
หรือดึงดูดจิตใจให้ออกนอกตลอด
จิตที่ออกนอกโดยขาดสติปัญญารู้เท่า
มักนำความทุกข์ติดมาเสมอ
มักนำเอาความดำมืด เข้ามาปิดใจ
และหล่อเลี้ยงกิเลสและความถึอมั่น
มากขึ้น
ถ้าเราหมั่นฝึกฝนสติปัญญาไว้
ให้รู้เท่าทัน ยามเมื่อเผลอออกนอก
เมื่อจิตออกนอกไปจากการรู้
ไปยินดียินร้าย เราก็จะรู้ทันได้เร็วขึ้น
จนกลับมาอยู่มารู้ที่กายที่ใจ
เราต้องระลึกไว้นะว่าเรากำลังเดินอยู่บนกองเพลิง
ถ้าพลาดพลั้งตกลงไป...ที่ทุกข์ร้อนก็ตัวเองไม่ใช่คนอื่น
เราจะใส่ใจฝึกฝนหรือไม่อย่างไร เราต้องเลือกเอง
สมบัติที่แท้จริง คือ การลอกเปลือก ที่สำคัญว่า เป็นตนนี้ ออกไปจนหมดสิ้น นั่นแหละจึงเรียกว่า อริยสมบัติ
เกิดจากการสั่งสมการเรียนรู้ กาย ใจ มาอย่างต่อเนื่อง
เป็นสมบัติที่ยิ่งกว่าเงินทอง เพราะสิ่งนี้จะติดอยู่ในจิตใต้สำนึกคอยกระตุ้นเตือน ให้หาทาง ในการสละตัวตนทิ้งไป
เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งแล้วในสังสารวัฏ เพราะเป็นสิ่งที่ตัด ลดทอน หนทางสู่การเวียนตาย เวียนเกิด ให้หดสั้นลง จนถึงวันที่ไม่เกิดอีกเลย
ถ้ามีแต่สมาธิอย่างเดียว
ต้องมีนิมิตต่างๆ หลอกอยู่เรื่อยๆ ..
ทำให้เป็นบ้าได้
ถ้าภาวนาเอาวิปัสสนาผสมสมาธิแล้ว ..
ย่อมไม่เกิดนิมิตเพราะไตรลักษณ์ล้างอยู่เสมอ และไม่สำคัญตน ไม่เป็นบ้า
เกิดนิมิตทั้งหลายก็รู้เท่าทัน
เมื่อนิมิตเกิดขึ้น .. เราไม่ต้อนรับหนึ่ง
นิมิตก็หายไปอีก
เพ่งไตรลักษณ์ล้างอีกที
นิมิตก็หายไป เพราะมันไม่เที่ยง วางเจตนา
ก็หายวิตกวิจารถือของนั้นเป็นของดี
ทวนกลับเข้าจิตเดิมก็หาย
อย่าอธิษฐานนิมิตนั้นว่าเป็นของดี
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
ผู้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาชัด
กับผู้เปิดประตูพระนิพพานก็มีความหมายอันเดียวกัน
ผู้เห็นพร้อมกับลมเข้าลมออกก็ยิ่งดี พร้อมกับอิริยาบถ
ที่เคลื่อนไหวไปมา พร้อมทั้งขณะจิตที่นึกคิดอีกด้วย
เดี๋ยวก็นึกอันนั้น เดี๋ยวก็นึกอันนี้ ก็คืออนิจจังอันละเอียดนั่นเอง ไม่ใช่อันอื่นเลย พูดแต่ละคำ แต่ละคำ เดี๋ยวนี้
ก็คืออนิจจังในส่วนละเอียดนั่นเอง
ผู้เทศน์ก็เอาอนิจจังเทศน์ ผู้ฟังก็เอาอนิจจังฟัง
เมื่อรู้อย่างนั้นแล้ว ก็เลยกลายเป็นศีล สมาธิ ปัญญา
กลายเป็นธรรมะไป ผู้เทศน์ก็เอาใจเทศน์ เอาอนิจจัง
อันละเอียดเทศน์ ผู้ฟังก็เอาอนิจจังอันละเอียดฟัง
เพราะคำพูดคำเทศน์แต่ละบท แต่ละบาทก็ดับไปเป็นตอนๆ ที่เกิดขึ้นเป็นตอนๆ ติดต่อกันถี่ยิบ
จะเทศน์ตลอดรุ่งก็มีแต่อนิจจังเท่านั้น ทุกขัง อนัตตาเท่านั้น
เพราะเกิดขึ้นแล้ว แปรปรวนดับไป
ในคำพูดแต่ละคำ แต่ละคำ และฟังแต่ละบทแต่ละบาท
ก็เหมือนกัน เหมือนพยับแดด มันจะแดดวันยังค่ำ
พยับแดดก็ ผับๆๆๆๆ อยู่อย่างนั้น จะเกิดดับแปรปรวนอยู่อย่างนั้น
สัญญาความจำของพวกเรายิ่งดับเร็วกว่าพยับแดดอีกด้วย
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
ทำใจของตนให้แน่วแน่
มันจะไปสงสัยที่ไหน
ก็ของเก่าปรุงแต่งขึ้น
เป็นความพอใจไม่พอใจ
มันเกิดมันดับอยู่นี่ ไม่รู้เท่าทันมัน
ถ้ารู้เท่า ทันมัน ก็ดับไป
ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้ มันก็ค่อยลดกำลังไป
ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด
จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน
ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน
แจ้งอยู่ในปัจจุบัน
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ความรู้สึกตัวแต่ละครั้งเป็นการถอนใจ
ออกจากที่จมอยู่ในกองทุกข์
ที่บางครั้งเราไม่เห็นว่ามันเป็นทุกข์
เมื่อถอนใจออกมาเป็นเพียงผู้ดูได้แล้ว
ย่อมเห็นความจริงของสิ่งทั้งปวง
ว่ามันไม่เที่ยง ทนอยู่ในอาการเดิมไม่ได้
ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่จะบังคับได้จริง
เห็นเพียงชั่วขณะ อยู่ที่ว่าจิตจะเก็บเกี่ยวความรู้นั้น
ได้มากน้อยเพียงไร ถ้ามันยังไม่พอก็ต้องรู้เห็นเรื่อยๆ
ถ้ามันถึงจุดที่พอแล้ว มันเข้าใจแล้วมันจึงเลิกดิ้น
ที่จะเข้าไปจับในทุกข์นั้นเองซึ่ง...เราจะรู้ได้ด้วยตัวเอง.....
ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีทั้งที่ถูกใจ และไม่ถูกใจ
ถูกใจก็ทำให้ใจเผลอเพลินไปกับเรื่องนั้นๆ
ไม่ถูกใจก็ทำให้เกิดการผลักดันไม่ยอมรับ
รวมความก็คือความชอบ ไม่ชอบทั้งหลายที่เกิดเพราะความคิดนั้น
ให้คอยรู้เท่าทัน เมื่อนั้นใจเป็นกลาง ปราศจากฉันทาคติ และอคติ
แล้วจึงพิจารณาด้วยเหตุผล ด้วยสติปัญญาให้รอบคอบ
ใจที่เป็นกลางจึงมองทุกๆสิ่งได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
อย่าลืม...ที่จะหันมามองตัวเองบ้างนะ
อย่าปล่อยจิตปล่อยใจไปดูสิ่งอื่น คนอื่นซะหมด
ดูข้างนอกบ้างครั้งนำทุกข์กลับมาให้ตัวเสียอีก
แต่ดูตัวเองไว้รักษาตัวไม่ปล่อยให้ทุกข์ครองใจ
นี่เรียกได้ว่ารู้จักตัวเองจริง
เพราะหลายๆ คน อยู่กับกายนี้ใจนี้ ตั้งแต่เกิดจนตาย
แต่ไม่รู้จักตัวเองเลย เพราะไม่เคยหันกลับมามองใจตนเลย
ทั้งชีวิตสูญเปล่าไปกับสิ่งภายนอกเสียหมดสิ้น น่าเสียดาย....
#ดูปัจจุบัน(ตัวแบบ)
วิธีที่เราปฏิบัติ คือให้ดูปัจจุบันนี้เท่านั้นละ
อย่าไปห่วงอดีต อย่าไปห่วงอนาคต
เพราะอดีตก็ผ่านไปแล้ว เรื่องที่เกิดในอดีตก็ดับไป
ในอนาคต เราจะไปห่วงใยทำไม
ดูปัจจุบันธรรมนี้ว่า มันไม่แน่มันไม่เที่ยง
พุทโธก็รู้ขึ้นมา เจริญขึ้นมา
รู้ความเป็นจริงในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ว่ามันไม่เที่ยง
เห็นอยู่ตรงนี้ ทีนี้อาการของสมาธิก็เจริญขึ้นมาได้
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
ทางที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบคือ
การรู้ทุกข์ ไม่ใช่การหลีกหนีทุกข์
หรือทำตนให้เป็นทุกข์นะ
นั่นไม่ใช่ทางของพระพุทธองค์นะ
แต่จะรู้ทุกข์ได้ จิตเองก็ต้องมีกำลัง
มีความตั้งมั่นเพียงพอที่จะไม่ไหล
ไปกับกระแสแห่งทุกข์ แต่เป็นเพียงแค่รู้
ไม่งั้นแทนที่จะไปรู้ทุกข์
จะกลับกลายไปเป็นผู้ทุกข์ซะเอง
ชีวิตมีบทที่มาคอยทดสอบเราเสมอ
เมื่อเราจะก้าวไปบนทางที่จะสลัดทิ้งโลก
โลกมันก็จะคอยยื้อเราไว้
ด้วยความสุข และทุกข์ ที่ประเคนมาให้
จะอดทนต่อสิ่งเหล่านั้น
และก้าวต่อไปไหม....เราต้องเลือกเอง
เลือกเอาว่า จะปล่อยให้ไหลไปตามกระแส
หรือจะย้อนทวนกระแส อันเป็นทางสู่ความจริง
เมื่อใดเห็นโลกตามเป็นจริง มันก็เห็นเองว่า
ไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระ ไม่ใช่สิ่งควรยึดถือ
มันก็สลัดทิ้งเอง โลกนี้คือความปรุงแต่งนั่นเอง
ถ้าคิดว่า รู้ ก็ให้รู้สึกตัวนะ
ถ้าคิดว่า ใช่ ก็ให้รู้สึกตัวนะ
ถ้าคิดว่า เป็น ก็ให้รู้สึกตัวนะ
รู้ตามเป็นจริงว่าความคิดความรู้สึกเหล่านั้น
มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ไม่ต้องไปเอารู้ เอาใช่ เอาเป็น
เพียงแค่...รู้สึกตัว ก็พอนะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงพิจารณาโดย
อาการที่เมื่อพิจารณาอยู่ ความรู้สึกไม่ฟุ้งไป
ไม่ซ่านไปภายนอก ไม่ตั้งสงบอยู่ ภายใน
และไม่พึงสะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น
เมื่อความรู้สึกไม่ฟุ้งไป ไม่ซ่านไปภายนอก
ไม่ตั้งสงบอยู่ภายใน และไม่สะดุ้งเพราะไม่ถือมั่น
ย่อมไม่มีความเกิดแห่ง ชาติ ชรา
มรณะ ทุกข์ และสมุทัยต่อไป
_________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลไม่สำรวมผัสสายตนะ ๖ นั่นแหละ
เว้นการสำรวมในอายตนะใด ย่อมเข้าถึงทุกข์
บุคคลเหล่าใด ได้สำรวมระวังอายตนะเหล่านั้น
บุคคลเหล่านั้น มีศรัทธาเป็นเพื่อนสอง
ย่อมเป็นผู้อันราคะไม่ชุ่มอยู่
บุคคลเห็นรูปที่ชอบใจและเห็นรูปที่ไม่ชอบใจ
แล้ว พึงบรรเทาราคะในรูปที่ชอบใจ และไม่พึงเสียใจ
ว่า รูปไม่น่ารักของเรา (เราเห็นรูปไม่น่ารักเข้าแล้ว)
ได้ยินเสียงที่น่ารัก และเสียงที่ไม่น่ารัก
พึงสงบใจในเสียงที่น่ารัก และพึงบรรเทาโทสะ
ในเสียงที่น่ารัก และไม่พึงเสียใจว่า
เสียงไม่น่ารักของเรา (เราได้ฟังเสียงที่ไม่น่ารักเข้าแล้ว)
ได้ดมกลิ่นที่ชอบใจอันน่ายินดี และได้ดมกลิ่นที่ไม่สะอาด
ไม่น่ารักใคร่ พึงบรรเทาความหงุดหงิดในกลิ่นที่ไม่น่าใคร่
และไม่พึงพอใจในกลิ่นที่น่าใคร่
ได้ลิ้มรสที่อร่อยเล็กน้อย และลิ้มรสที่ไม่อร่อยในบางคราว
ไม่พึงลิ้มรสที่อร่อยด้วยความติดใจ และไม่ควรยินร้าย
ในเมื่อลิ้มรสที่ไม่อร่อย
ถูกสัมผัส ที่เป็นสุขกระทบเข้าแล้ว
และถูกผัสสะที่เป็นทุกข์กระทบเข้าแล้ว
ไม่พึงหวั่นไหวในระหว่างๆ ควรวางเฉย
ผัสสะทั้งที่เป็นสุข ทั้งที่เป็นทุกข์ทั้งสอง
ไม่ควรยินดี ไม่ควรยินร้ายเพราะผัสสะอะไรๆ
นรชนทั้งหลายที่ทรามปัญญา มีความสำคัญ
ในกิเลสเป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีอยู่ด้วยกิเลส
เป็นเหตุให้เนิ่นช้า เป็นสัตว์ที่มีสัญญา ย่อมวกเวียนอยู่
ก็บุคคล บรรเทาใจ ที่ประกอบด้วยปัญจกามคุณทั้งปวงแล้ว ย่อมรักษาใจให้ประกอบด้วยเนกขัมมะ
ใจที่บุคคลเจริญดีแล้วในอารมณ์ ๖ อย่างนี้ ในกาลใด
ในกาลนั้น จิตของบุคคลนั้นอันสุขสัมผัสกระทบเข้าแล้ว
ย่อมไม่หวั่นไหวในที่ไหน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายปราบราคะและโทสะเสียแล้ว ย่อมเป็นผู้ถึงนิพพานซึ่งเป็นฝั่งข้างโน้นแห่งชาติและมรณะ
~~~~~~~~~~~~~~~~~
สังยุตตนิกาย
สฬายตนวรรค
< ทุกเรื่องขึ้นอยู่ที่ผัสสะ >
ผัสสะอย่างเดียว นั้นก็ต้องรู้ว่าเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ ๖ ทางก็เป็น ๖ ผัสสะแล้ว ; แต่เราเรียกว่าผัสสะอย่างเดียวก็ได้เหมือนกัน เพราะแม้จะมาทางตาก็เรียกว่าผัสสะ มาทางหูก็เรียกว่าผัสสะ มาทางจมูกก็คงเรียกว่าผัสสะ ฯลฯ ความสำคัญอยู่ตรงที่เป็นการสัมผัส
!...เรื่องกามก็อยู่ที่ผัสสะ
ในพระสูตรนั้นท่านตรัสไว้ชัด เรื่องเกี่ยวกับกามทั้งหลายทั้งปวงระหว่างเพศหญิงเพศชาย ; ว่าเรื่องกามนี้ ก็มีความสำคัญอยู่ที่ผัสสะ. ถ้าไม่มีผัสสะอย่างเดียว สิ่งที่เรียกว่ากามก็มีไม่ได้ ; ถ้าเราไม่ระวังผัสสะ เราก็ไม่มีอำนาจเหนือกาม ไม่สามารถจะควบคุมสิ่งที่เรียกว่ากามได้. การปฏิบัติที่จะเพิกถอนเสียซึ่งกามก็ดี จะต้องอาศัยจัดการกับสิ่งที่เรียกว่าผัสสะ เพราะเหตุว่ากามนั้นเกิดมาจากผัสสะ ; นี่หัวข้อย่อ ๆ มีอย่างนี้.
!..เรื่องกรรมก็อยู่ที่ผัสสะ
ทีนี่ เรื่องกรรมเรื่องกรรมชนิดไหนก็ตามก็มีใจความสำคัญอยู่ที่ผัสสะ ; นับตั้งแต่ว่าผัสสะนี่มันเป็นเหตุให้เกิดเวทนา ให้เกิดตัณหาแล้วเป็นเหตุให้ทำกรรม. กรรมมีรกราก มีต้นตอทีแรกอยู่ที่ผัสสะ ซึ่งเป็นเหตุให้คนเราทำกรรม; ฉะนั้นถ้าเราจะเอาชนะกรรม เราก็ต้องเอาชนะผัสสะที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้ได้. จะควบคุมกรรมบาป กรรมชั่ว หรือว่าละกรรมบาป กรรมชั่ว ก็ต้องควบคุมผัสสะ ที่เป็นทางมาแห่งกรรมชนิดนั้น. จะสร้างกรรมดีก็ต้องระวังผัสสะที่เป็นข้าศึกของกรรมดี แล้วก็ประกอบผัสสะที่จะเป็นที่ตั้งแห่งกรรมดี. ถ้าว่าต้องการสูงสุดขึ้นไปถึงความสิ้น
กรรมก็ยิ่งจะต้องรู้จักเรื่องของผัสสะ ; อย่าให้เป็นทาสขอผัสสะได้อีกต่อไป.
ตัดต้นเหตุคืออำนาจของผัสสะนั้นเสีย ; เพราะเรื่องกรรมอันมากมายยึดยาวพิสดารอย่างไร ที่มัวท่องกันแต่ทฤษฎีนั้น มารวมกันอยู่ที่คำ คำเดียวว่า "ผัสสะ" เป็นต้นเหตุ ; จะอยู่เหนือกรรมได้ ก็ต้องอยู่เหนืออำนาจของ สิ่งที่เรียกว่าผัสสะ.
!...เวทนา สัญญา ทิฏฐิ ตัณหา ก็อยู่ที่ผัสสะ
ทีนี้ ดูกันใกล้ ๆ เข้ามาก็คือ สิ่งที่เรียกว่าเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดกิเลสนี่, เวทนาทั้งหมดนี้ ก็มาจาก ผัสสะ ; ถ้าควบคุมผัสสะไม่ได้ ก็ควบคุมเวทนาไม่ได้.
!...ทีนี้ ต่อไปก็มาถึงสัญญา - ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือแม้ที่สุดแต่สัญญาที่จำได้ว่าอะไรเป็นอะไร นั้นก็มาจากผัสสะ. มีสัญญา - จำได้ว่านี่อะไร นั่นอะไร. สัญญาธรรมดา ๆ อย่างนี้มันก็เพราะเคยมีผัสสะในสิ่งนั้นคือตาเคยเห็นสิ่งนั้น ; แล้วเดี๋ยวนี้ตาก็เห็นสิ่งนั้นด้วยผัสสะอีก จึงจำได้ว่านี่เป็นอะไร นี่เป็นอะไร. นี่คือสัญญาตามธรรมดาแท้ ๆ อย่างนี้ก็ยังอาศัยผัสสะ.
--ทีนี้ สัญญาที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น คืออัตตสัญญา หรือว่า สุขสัญญา อิตถีสัญญา ปุริสสัญญา - ความสำคัญมั่นหมายว่าหญิง ว่าชาย ว่าดี ว่าชั่ว ว่าตัวว่าตน สัญญาอย่างนี้ก็ยังมาจากผัสสะอยู่นั่นเอง ; ไม่ว่าสัญญาชนิดไหนจะต้องมาจากผัสสะทั้งนั้น.การที่สัญญาจะถูกต้อง ไม่วิปลาส ก็ต้องมีมาจากการควบคุมผัสสะไว้อย่างถูกต้อง. สัญญานี้ก็คล้ายกับทิฏฐิ, สัญญานั้นเอง เมื่อมันเป็นไปถึงที่สุด ตายตัว ก็เป็นทิฏฐิอย่างหนึ่งของบุคคลนั้น, ฉะนั้น ทิฏฐิทั้งหลายก็มีมูลมาจากผัสสะ ดังที่ได้อธิบายแล้วเมื่อตะกี้นี้.
ทีนี้ ดูครั้งสุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัณหา ; จะเป็น กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาชนิดไหนก็ตาม รกรากของมันอยู่ที่ผัสสะ. จะต้องป้องกันแก้ไขกันที่ผัสสะ แล้วจึงจะแก้ไขเวทนา หรือควบคุมเวทนา และควบคุมตัณหาได้.
!...ทุกข์ สุข นิพพาน ก็อยู่ที่ ผัสสะ
เรื่องทุกข์เรื่องสุขก็ดี มันก็มีรกรากต้นตออยู่ที่สิ่งที่เรียกว่าผัสสะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดความสุข ถ้าไม่มีผัสสะ สิ่งที่เรียกว่าทุกข์และสุขมันก็ไม่มี.
--เรื่องนิพพาน ที่อยู่เหนือทุกข์เหนือสุขนี้ ก็จะต้องเป็นการชนะผัสสะ ควบคุมผัสสะเอาไว้ได้โดยเด็ดขาดและสิ้นเชิง. ถ้ามองเห็นความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าผัสสะอย่างนี้แล้วก็เรียกว่า เข้าใจ เห็นแจ้งในความลับลึกซึ้งของธรรมชาติ ที่เกี่ยวกับกิเลสและความทุกข์. ดังนั้นเราจึงอาจจะปฏิบัติเพื่อจะดับทุกข์เสียได้.
*เดี๋ยวนี้ ผู้ปฏิบัติเหล่านั้นไม่รู้ว่าทุกเรื่องนั้นขึ้นอยู่กับผัสสะสิ่งเดียว ;ความโง่ทำให้ชะเง้อมองไปยังเรื่องอื่นหลายเรื่อง หลายสิบเรื่อง ไม่มองลงไปดูสิ่งที่เรียกว่าผัสสะ. การปฏิบัติจึงติดขัด.อย่างที่กล่าวมานี้จะเรียกว่าปัญหาอันเนื่องมาแต่การปฏิบัติด้วยเหมือนกันคือปฏิบัติผิด, ปฏิบัติไม่ได้ ; เพราะไม่รู้ว่าทุกเรื่องมันขึ้นอยู่กับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันเป็นที่ตั้งของสิ่งที่เรียกว่าผัสสะ. นี้ก็เป็นปัญหาหนึ่ง.
ธรรมจาก ท่าน ผัสสปเรโต ผัสสะบังหน้า
เมื่อเราปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอารมณ์ใด
จะเกิดขึ้นก็ช่างมัน แต่ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ
ปฏิบัติให้สม่ำเสมอ การตามใจตัวเอง
ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธเจ้า
ถ้าเราปฏิบัติธรรมตามความคิดความเห็นของเรา
เราจะไม่มีวันรู้แจ้งว่าอันใดผิด อันใดถูก
จะไม่มีวันรู้จักใจของตัวเราเอง และไม่มีวันรู้จักตัวเอง
ดังนั้นถ้าปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตนเองแล้ว
ย่อมเป็นการเสียเวลามากที่สุด แต่การปฎิบัติตามแนวทาง
ของพระพุทธเจ้าแล้วย่อมเป็นหนทางตรงที่สุด
หลวงปู่ชา สุภัทโท
"..ถ้าจิตปรุงแต่งเป็นอดีต-อนาคตไป เราก็ต้องเพ่งพิจารณา เพราะอดีตก็เป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา จิตที่รู้ปัจจุบัน เป็นธรรมโม.."
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
การรู้อะไรก็แล้วแต่
ไม่ว่าจะแปลกอย่างไร
ถ้าการรู้นั้น ไม่ได้ละความเห็นผิด
ว่ากายใจนี้เป็นตัวตน ไม่ได้ละความยึดถือในกายใจนี้
ควรตระหนักรู้ เฉลียวใจ แล้วทิ้ง สิ่งที่รู้ไว้ตรงที่มันรู้
เพราะชั่วขณะที่จิตจะตัดสินความรู้นั้น มันรู้เพียงว่า
มีบางสิ่งเกิด และดับ ในขณะนั้นจิตมีแต่สักว่ารู้
เมื่อมันเห็นแล้วจิตมันเข้าใจได้เอง โดยไม่มีคำพูดเลยว่า
นี่ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา เมื่อสลัดสิ่งฉุดรั้งที่ปิดบังนี้แล้ว
จึงรู้ธรรมซึ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนเพียงแค่ลืมตาก็เห็นภาพนั้นเท่านั้นเอง
"รู้ชนะใจตน"
หนึ่งดวงใจ ร้อยวาจา ล้านความคิด
หนึ่งดวงจิต ล้านมายา พาหลอกหลอน
ขาดสติ ไร้สำรวม ไม่สังวร
มารจึงซ้อน กิเลสซ้ำ เข้าย่ำใจ
เอาสติ เตือนใจ ให้รู้คิด
จงพินิจ ตรองดู รู้แก้ไข
จงทำลาย หมู่มาร ที่ผลาญใจ
อย่าอาลัย ใจมาร ที่ผลาญเรา
เอาพระธรรม นำใจ ให้สว่าง
เดินตามทาง มรรคา อย่าได้เขลา
รู้แก้ไข ใจตน พ้นบ่วงเมา
รู้แก้เรา รู้ละ รู้ชนะตน
คติธรรมจากองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ พ.สุรเตโช
๘ กันยายน ๒๕๕๗
มันเป็นการยากจริงๆ
ที่คนเราจะตระหนักถึง
ตัวของตัวเอง
เพราะเกือบทั้งหมด
มักส่งใจไปอยู่ในสิ่งภายนอก
และโลกแห่งความคิดฝัน
ลมหายใจนี่ก็พอจะเป็นเครื่องช่วย
ให้คนเราตระหนักถึงความมีอยู่ของตัวเองได้บ้าง
แม้จะเล็กน้อยแต่เมื่อหมั่นรู้บ่อยๆ
ย่อมมีโอกาสที่จะตื่นขึ้นมารู้จักตัวเอง
รู้จักโลกตามเป็นจริง
การยอมรับตามเป็นจริง โดยไม่ผลักไส ไม่ดึงดูดเข้ามานั้น
เกิดจาการที่รู้สึกตัว ถึงความที่เข้าไปเป็นในอารมณ์ที่เข้ามากระทบ
รู้สึกถึงความเข้าไปเป็นแล้ว มีความยินดี ยินร้าย เกิดขึ้น แล้วรู้เท่าทัน
เมื่อรู้เท่าทันแล้วความยินดี ยินร้ายดับไป
ใจไม่ยินดี ไม่ยินร้าย คือใจที่เป็นกลาง คือใจที่ยอมรับที่จะรู้ตามจริง ตามที่มันเป็น โดยไม่ผลักไส ไม่ดึงดูดเข้ามา