พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 30 เมษายน 2561
ตอนที่ 327 **พระอรหันต์กับสิ่งที่มากระทบใจ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถาม ถึงการละสังโยชน์ ข้อที่ 5* ขององค์พระอรหันต์
องค์พระอรหันต์นั้น ละสังโยชน์ข้อที่ 5ได้ คืออะไร และละได้แบบไหน ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
น้อมจิตน้อมใจ รวมพลังอยู่ในเสียงธรรม
ทำใจของตนให้สงบ
ละการปรุงแต่งต่างๆ
ละการยึดมั่นถือมั่น ในตัวในตน ในความรู้ ความนึกคิดต่างๆทิ้งไป
ให้ใจบริสุทธิ์ ให้จิตนั้นบริสุทธิ์
ให้กายนั้นว่างลง แล้วจงพิจารณาธรรม ตามนี้เถิด.. พระยาธรรม
*องค์พระอรหันต์* นั้น..
ท่านเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ท่านเป็นผู้ที่ ประพฤติปฏิบัติตน - จนอยู่เหนือกิเลสตัณหา
คือ “ความรัก โลภ โกรธ หลง / ความอยาก และความไม่อยาก”
.. ละซึ่งกิเลสเหล่านี้ได้แล้ว อย่างสิ้นเชิง...
ท่านจึงเป็นผู้รู้แจ้ง เห็นตามความเป็นจริงของสรรพสิ่งทั้งหลาย
จิตของท่าน ยกระดับสูงเหนือกว่า สิ่งที่มันสมมุติอยู่บนโลกนี้
ฉะนั้น.. ท่านจึงเป็นผู้ที่สามารถที่จะละ ความขัดเคืองใจ ความไม่พอใจ การผูกโกรธ..
ละสิ่งเหล่านี้ได้ - เป็นสังโยชน์ข้อที่ 5*
พระยาธรรมเอ๋ย.. การไม่พอใจ.. นั้นย่อมเกิดขึ้น กับบุคคลที่ยังมีกิเลส คือ ความหลง
ยังหลงอยู่ว่า..
สิ่งนั้นดี - สิ่งนั้นไม่ดี
หลงว่าสิ่งนั้นถูก - สิ่งโน้นไม่ถูก
หลงว่าเราถูก - ว่าเขาผิด
หลงอยู่ในการเปรียบเทียบเขา - เทียบเรา
เห็นในมุมของเรา - มุมของเขา
- เลยยังมีความไม่พอใจ ความขัดเคืองใจ
- มันเลยยังมีอยู่ เกิดขึ้นอยู่ กับดวงจิตเหล่านั้น..
แต่องค์พระอรหันต์ ท่านนั้น.. เป็นผู้ที่ละซึ่งความหลงแล้ว
เมื่อไม่หลงแล้ว.. ย่อมไม่มีสิ่งใด ที่ทำให้ท่านรู้สึกว่า..
สิ่งนั้นดี - สิ่งโน้นไม่ดี
เราดี - เขาไม่ดี
เราถูก - เขาผิด
ย่อมมองไม่เห็นความแตกต่างอย่างนี้.. อีกต่อไป
จะมองสักแต่ว่า เห็นเหตุที่มา ที่เป็น ของแต่ละเรื่อง แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง
ก็มันมีเหตุเช่นนี้.. เลยมีเหตุเช่นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งนั้น หรือสิ่งโน้น.. มันก็ไม่ต่างอะไรกัน !
มันก็เป็นธรรมดาของมัน อย่างนั้น..
องค์พระอรหันต์ จึงละความพอใจ - ไม่พอใจได้
องค์พระอรหันต์ จึงละความขัดเคืองใจ ในสิ่งต่างๆ ในเรื่องราวต่างๆ ในตัวบุคคล เรา- เขานั้น.. จึงไม่มี
จะมีดวงปัญญาที่สว่างไสว ที่ตั้งมั่นอยู่ในความรู้ตื่น โดยที่ไม่ขุ่นมัว เศร้าหมองอีก
จะสักแต่ว่า.. เห็นว่ามันเป็นปรกติของมัน อยู่อย่างนั้น
สิ่งทั้งหลายบนโลก / เรื่องราวทั้งหลายบนโลก / บุคคลทั้งหลายบนโลก
รวมถึงร่างกายของตน ก็ด้วย.. เลย
- ไม่ได้สร้างความพอใจ
- ไม่ได้สร้างความไม่พอใจ
- ไม่ได้สร้างความขัดเคืองใจให้กับตนเลย
-- เพราะตนรู้อยู่ เห็นอยู่ เข้าใจอยู่ ว่า.. มันเป็นธรรมดา เช่นนั้นอย่างนั้น
.. รู้เหตุที่มาของทุกสิ่ง อย่างแจ่มแจ้ง --
และองค์พระอรหันต์นั้น ท่านก็เป็นผู้ที่สิ้นแล้ว - ด้วยความโกรธ
- ท่านจะไม่มีความโกรธเลย +
.. ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น กระทบแบบไหน ในเรื่องราวต่างๆที่ได้ยินได้ฟังมา ได้พบ ได้เห็น..
หรือว่าไม่ว่าจะถูกกระทำด้วยเหตุใดๆก็ตาม..
การผูกโกรธนั้น ย่อมไม่มีในองค์พระอรหันต์ ++
เพราะองค์พระอรหันต์ เป็นผู้ที่มีปัญญารู้แจ้งแล้ว
ในเรื่อง กฎแห่งกรรม ก็ดี
ในเหตุต่างๆทั้งหลาย.. ที่มันเกิดขึ้น- ตั้งอยู่- และดับไป ก็ดี
ในเรื่องที่สมมุติว่าดี / สมมุติว่าไม่ดี ก็ตาม
ย่อมเป็นผู้รู้แจ้ง เห็นจริงตามความเป็นจริงของมัน
จนไม่จำเป็นต้องไปโกรธอะไรใครเขา..
ถ้าเกิดว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น องค์พระอรหันต์ ย่อมมีปัญญารู้แจ้งว่า..
เหตุนั้นที่เกิดขึ้น - เกิดขึ้นเพราะว่าตามผลของกรรม
กรรมเราทำไว้ - เขาจึงทำคืน ให้เราได้ใช้มันไป .. จงใช้มันไปเถิด !
-- เขาจึงไม่มีความโกรธอะไรเลย.. ยินดีที่จะชดใช้มัน +
เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้น กระทบมา - ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มันดี / หรือไม่ดี
ก็รู้ว่านั่น คือสิ่งที่มันกระทบเข้ามา /ส่งมา.. เพื่อทดสอบเรา
- ให้หลงชั่ว หลงดี
- ให้เรานั้น ไปยึดติดลุ่มหลง พัวพันมัวเมา - กับสิ่งเหล่านั้น
ย่อมมองเห็นโทษที่ซ่อนอยู่ในสิ่งเหล่านั้น
- จึงไม่จำเป็นที่จะต้องไปดีใจ เสียใจ
ผูกโกรธ หรือว่าไม่พอใจ กับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น..
องค์พระอรหันต์.. เป็นผู้มีดวงปัญญาสว่างไสว
รู้แจ้ง
รู้ถึงกฎแห่งกรรม
รู้ถึงเหตุที่มันเกิดเพื่อให้ใช้กรรม เหตุที่มันเกิดเพื่อมาทดสอบตน
รู้ชัดเจนในทุกสิ่งทุกอย่าง
-- จนองค์พระอรหันต์ปราศจากความโกรธ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ ละสังโยชน์ข้อที่ 5* ได้
คือ การละจากความไม่พอใจ หรือพอใจ ความขัดเคืองใจ ความโกรธ หรือผูกโกรธได้
เช่นนี้ละลูก
องค์พระอรหันต์.. ละสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว อย่างสิ้นเชิง
ไม่มีทางกลับคืนมาเกิด ในจิตขององค์พระอรหันต์ ได้อีกต่อไป ..
ความรู้สึกนี้ ดับลงแล้ว..
ดับลงอย่างแท้จริง - เพราะดับด้วยสติ ด้วยปัญญารู้แจ้ง
ถอดถอน ถอนรากถอนโคน ออกจากดวงจิตขององค์พระอรหันต์แล้ว
องค์พระอรหันต์.. จึงดำรงชีวิตอยู่ บนความรู้ตื่น
เข้าใจเหตุที่เกิด- และดับ
แล้วมีสติ มีปัญญา ที่จะแก้ไขเหตุต่างๆ..
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ หรือจะเป็นอะไรก็ตาม..
-- จึงสามารถที่จะแก้ไข ให้มันเป็นไปตามเหตุที่สมควร --
.. แต่ความโกรธ ความพอใจ หรือไม่นั้น - มันไม่มี !
เพียงแต่สักว่า แก้ไข สักว่าบอก ว่ากล่าว สักว่าพูดไป ทำไป..
- เพื่อที่จะได้ปรับ และแก้ไขสิ่งต่างๆทั้งหลาย ให้มันเป็นไป ดำเนินไป - ตามเหตุตามปัจจัย..ที่มันควรจะเป็นไปในทิศทางที่ดี ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. ที่องค์พระอรหันต์ท่านนั้น สามารถที่จะทรงจิต อยู่เหนือสิ่งที่เรียกว่า สังโยชน์ คือ กิเลส หรือว่าสิ่งที่จะทำให้ดวงจิตผู้บริสุทธิ์นั้น - ปนเปื้อน มืดมัว มืดมิด เศร้าหมองไป..
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. คือ สิ่งที่องค์พระอรหันต์ท่าน สามารถละได้แล้ว อย่างแท้จริง --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง เจ้าค่ะ
ลูกก็พอเข้าใจแล้วว่า องค์พระอรหันต์ *
* ท่านเป็นผู้รู้ตื่น
* ท่านเป็นผู้รู้แจ้ง
* ท่านเป็นผู้เห็นเหตุ
ทุกสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป - ท่านจึงมองเห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง
และมีสติ มีปัญญา มองเห็นสิ่งเหล่านั้น.. เป็นปรกติธรรมดาของโลก วัฏสงสาร
จนท่านนั้น..สามารถละความพอใจ ไม่พอใจ ความขัดเคืองใจ ความโกรธ และผูกโกรธ
สิ่งเหล่านี้ - ไม่มีในตัวท่านอีกต่อไป.. ด้วยปัญญาที่รู้แจ้ง
และองค์พระอรหันต์ท่านนั้น - ก็ยังสามารถดำรงชีวิตที่มีอยู่ เหลืออยู่ บนโลกนี้ /ในกายหยาบ ได้อย่างมีสติ มีปัญญา
มีเหตุใดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ - ท่านก็ย่อมสามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยน
ทำให้มันไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้..
ด้วยเหตุ ด้วยสิ่งที่สักว่าทำ สักว่าพูด สักว่าแก้ไขไป - ตามเหตุนั้นๆ
นี่คือ *องค์พระอรหันต์* ที่สามารถละสังโยชน์ได้แล้ว ในข้อที่ 5* เพิ่มเข้ามาอีก - จาก 4 ข้อที่มีอยู่..
.. ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้ว เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. องค์พระอรหันต์นั้น ท่าน..
/ เป็นผู้ที่มีปัญญา รู้แจ้ง รู้ตื่น
/ เห็นชัดในสรรพสิ่งทั้งหลาย
.. จนดวงจิตของท่านสว่างไสว จนรู้ตื่น..
-- ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ในวัฏสงสาร หรือในโลกสมมุตินี้ ทำให้ท่านเศร้าหมองได้ อีกต่อไป ++
อย่างนั้น.. ลูกพอเข้าใจเรื่ององค์พระอรหันต์ มากขึ้นแล้วละเจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย..
ฟังธรรมเรื่องของพระอรหันต์ เรื่องการละสังโยชน์มาแล้ว ถึง 5 ข้อ
พอจะดูออกว่า.. องค์พระอรหันต์นั้น- มีสติ มีปัญญาแบบไหน มีสภาวธรรมเป็นเช่นไร ?
ก็ดีแล้ว.. พระยาธรรม
แต่การละสังโยชน์นั้น.. ควรที่จะศึกษากันให้ดี
ฝึกฝนกันให้รู้แจ้ง - ตามความเป็นจริง ++
เพราะกิเลสนั้นมันซ่อนลึก ลูก
.. ลึกมากจริงๆ
หากว่าดวงจิตใด ที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ - ก็อาจทำให้ตนนั้นต้องลุ่มหลงได้ **
หลงไปในความละเอียดอ่อน ที่ซ่อนอยู่
.. อยู่ในโลกทิพย์บ้าง / ในจิตส่วนลึกของตนบ้าง..
ฉะนั้น พระยาธรรมเอ๋ย.. สังโยชน์ ทั้ง 5 ข้อแรกนี้ - เป็นสังโยชน์ที่มันเป็นแบบหยาบ
เป็นกิเลสหยาบ ที่สามารถที่จะฟัง พิจารณา ทำความเข้าใจได้..
แต่อย่าเพิ่งหลง นึกว่า.. ถ้าอย่างนั้น ฉันก็คงจะเป็นพระอรหันต์แล้วสินะ
อย่าหลงนึกว่า รู้แล้ว ใช่แล้ว ถูกต้องแล้ว อย่างนั้นเลย.. พระยาธรรม
เพราะสังโยชน์อีก 5 ข้อสุดท้ายนั้น - เป็นกิเลสที่ละเอียด *.. ลูกเอ๋ย
-- เมื่อเป็นกิเลสที่ละเอียด - ก็ยิ่งต้องใช้ใจ ใช้ความรู้ สติปัญญาแห่งตน ตรึกตรองให้ลึก ++
ส่วนใหญ่แล้ว.. คน หรือดวงจิต มักจะไปติดอยู่ในกิเลสละเอียดเหล่านี้
จึงทำให้หลงทาง และไม่สามารถที่จะไปถึงซึ่งความพ้นทุกข์ อย่างแท้จริง !
ฉะนั้น ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ที่ฟังธรรมแล้ว ก็พอจะเข้าใจอยู่..
แต่ว่าทุกคน รวมถึงตัวเธอด้วยนะ.. พระยาธรรม
จงเผยแผ่ไป เช่นนี้เถิดว่า..
กิเลส 5 ตัว หรือสังโยชน์ 5 ข้อแรกนี้.. เป็นกิเลสหยาบ ฟังแล้ว เข้าใจแล้วดี..
แต่อย่าเพิ่งตัดสินอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น
- ต้องฟังสังโยชน์ อีก 5 ข้อหลัง - ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดมาก -
* เป็นกิเลสที่ซ่อนลึกอยู่ในจิต *
-- จึงจะสามารถที่จะไปสู่พระนิพพานได้ ++
องค์พระอรหันต์นั้น
- เป็นผู้รู้แจ้ง รู้ตื่นแล้ว
- เป็นผู้สว่างไสวแล้ว
.. อย่างนั้น เป็นเรื่องจริง ..
แต่ลูกทั้งหลาย.. ควรที่จะศึกษาสังโยชน์ที่ละเอียด คือ กิเลสละเอียด อีก 5 ข้อ
- เพื่อเป็นองค์ความรู้ -
หากวันหนึ่ง ที่ลูกนั้นพากันประพฤติปฏิบัติ ไปจนถึงจุดนี้
- จุดที่จะต้องสำรวจ ดูกิเลสอันละเอียดอ่อนแห่งตน.. ลูกจะได้เข้าใจ ++
และบุคคลผู้ใด ที่ปฏิบัติได้แค่สังโยชน์ได้ 5 ข้อแรกนี้..
- ยังไม่ถือว่า บรรลุเป็นองค์พระอรหันต์ ลูก +
จะต้องได้ ทั้ง 10 ข้อ *
/ จึงถือว่า.. บรรลุเป็น *องค์พระอรหันต์*
/ จึงถือว่า.. สามารถดับกิเลสได้ อย่างแท้จริง
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณที่ทรงเมตตา เจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ว่า.. ส่วนใหญ่แล้ว คนเราจะหลงในช่วง 5 ข้อแรกนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว.. ยังมีอีก 5 ข้อ ที่ละเอียด เป็นกิเลสที่ละเอียด *
ดวงจิตทั้งหลาย.. อาจไปติดอยู่ตรงนั้นได้ ถ้าเกิดหลงในตน ว่าตนเป็นองค์พระอรหันต์แล้ว..
สามารถที่จะไปติดอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง - โดยที่ละกิเลสละเอียดไม่ได้ !
เช่น ดวงจิตที่เขาไปติดอยู่ในอรูปพรหมบ้าง / ติดในฌานบ้าง อย่างนี้เป็นต้น น่ะเจ้าค่ะ
ติดสุขอยู่ในฌานสมาธิ
.. ลูกพอจะมองออกเช่นนี้บ้าง แล้วละเจ้าค่ะ
แล้วลูกจะมาเฝ้าฟังธรรม เรื่องของกิเลสละเอียด อีก 5 ข้อ หรือสังโยชน์ อีก 5 ข้อหลัง นะเจ้าคะ
เพื่อลูกจะได้ทำความเข้าใจ ให้มันละเอียดไป
จะได้ไม่เดินไป - หลงทางในครึ่งหนึ่งของการละกิเลส
ลูกจะได้รู้ว่า พระอรหันต์ท่านนั้น มีสภาวจิตแบบไหน จริงๆท่านอยู่เหนืออะไรบ้าง ?
เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ.. เข้าใจว่า อย่างนี้แล้วเจ้าค่ะ
แล้วลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ นะเจ้าคะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อน ไว้ลูกจะกลับมาอีกในโอกาสหน้า เจ้าค่ะ..
สาธุ