เตสัง วูปะสะโม สุโข
ความสงบของสังขารนั้นเป็นสุขสงบอะไรล่ะ
ก็คือถอนอุปาทานออกมาว่า
เห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงของมัน
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
“กิริยาจิต” ที่แฝงอยู่ตาม “อายตนะ” หรือ “ทวารทั้ง ๕” มีดังนี้
“ตา” ไปกระทบกับรูป เกิด จักษุวิญญาณ คือ การเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูปไม่ได้
“หู” ไปกระทบกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือ การได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียงไม่ได้
“จมูก” ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือ การได้กลิ่นจะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่นไม่ได้
“ลิ้น” ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือ การได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รสไม่ได้
“กาย” ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือ กายสัมผัสจะห้ามไม่ให้กายรับสัมผัสไม่ได้
“วิญญาณทั้ง ๕” อย่างนี้ เป็น “กิริยาแฝงอยู่” ในกาย ตามทวาร ทำหน้าที่ “รับรู้สิ่งต่างๆ” ที่มากระทบ เป็น”สภาวะแห่งธรรมชาติ” ของมัน “เป็นอยู่เช่นนั้น”
ก็ “สักแต่ว่า” เมื่อ “จิต” “อาศัยทวารทั้ง ๕” เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยัง “สำนักงานจิตกลาง” เพื่อรับรู้ เราจะ “ห้ามมิให้เกิด” “มีเป็น” เช่นนั้น “ย่อมกระทำไม่ได้”
“การป้องกัน” “ทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น” เราจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕” ไม่เพลิดเพลินใน “อายตนะ” เหล่านั้น
หาก”จำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น” ประกอบการงานทางกาย
ก็ควรจะ “กำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต” เช่น “เมื่อเห็น” ก็ “สักแต่ว่าเห็น” “ไม่คิดปรุง” “ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน” “ไม่คิดปรุง” ดังนี้เป็นต้น
(ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้"จิตเอนเอียง" ไปในความเห็น ทั้งดี ทั้งชั่ว)
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
"อันเป็นความสมมุติว่า โน่น เป็นของเรา
นั่น เป็นของเรา
เป็นความไม่เที่ยง อาศัยอุปาทาน ความ
ยึดถือ จึง เป็นทุกข์
ก็แลธาตุทั้งหลายต่างหาก มีความเป็นอยู่
อย่างนี้
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เกิด แก่ เจ็บ ตายเกิดขึ้นเสื่อมไป อยู่ อย่างนี้
อาศัยอาการของจิต คือขันธ์ ๕ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไปปรุงแต่งสำคัญมั่นหมาย ทุกภพ ทุกชาติ
นับเป็นเอนกชาติ
เหลือประมาณมา จนถึงปัจจุบันชาติ
จึงทำให้ จิต หลงอยู่ตามสมมุติ ไม่ใช่ สมมุติ
มาติดเอาเรา
เพราะธรรมชาติทั้งหลายทั้งหมด ในโลกนี้
จะเป็นของมีวิญญาณ
หรือไม่ก็ตาม เมื่อว่า ตามจริงแล้ว เขาหากมี หากเป็น
เกิดขึ้น เสื่อมไป มีอยู่ อย่างนั้นทีเดียว โดย
ไม่ต้องสงสัยเลย..."
*********************
ปฏิฆะ
#ถาม : “ปฏิฆะ” หมายความว่าอย่างไร สภาวะเป็นเช่นไร
#ตอบ : ปฏิฆะ แปลว่า ความขัดใจ แค้นเคือง ความขึ้งเคียด ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ได้แก่ความที่จิตหงุดหงิดด้วยอำนาจโทสะ จะโกรธจัดระดับเป็นฟืนเป็นไฟ หรือเพียงหงุดหงิดนิดๆ หน่อยๆ ในใจ ก็นับว่าเป็นปฏิฆะทั้งนั้น ถูกนางอิจฉาตบหน้าแล้วโกรธ.. ก็เป็นปฏิฆะ ถูกยุงกัด แล้วไม่พอใจ.. ก็เป็นปฏิฆะ ยุงยังไม่ได้กัดแต่มันบินมาใกล้ๆ เสียงวี้ๆ มาแถวๆ หูแล้วรำคาญ.. ก็เป็นปฏิฆะ นึกว่าบรรลุธรรมครูบาอาจารย์ชี้กิเลสให้ดู บอกว่าไม่ใช่นะแล้วรู้สึกผิดหวังอย่างนี้..ก็เป็นปฏิฆะ นับว่าปฏิฆะนี่.. เป็นตัวทำลายความสงบสุขแห่งจิตที่ร้ายกาจจริงๆ ปฏิฆะ จึงเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่ง ที่จัดว่าเป็นกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏสงสาร คือเป็นสังโยชน์ข้อที่ ๕ เพราะมัดสัตว์ทั้งหลายไว้กับทุกข์ ผู้ที่ละปฏิฆะได้คือพระอนาคามี และพระอรหันต์
หมายเหตุ : สังโยชน์ ๑๐ ได้แก่ ๑.สักกายทิฏฐิ ๒.วิจิกิจฉา ๓.สีลัพพตปรามาส ๔.กามราคะ ๕.ปฏิฆะ ๖.รูปราคะ ๗.อรูปราคะ ๘.มานะ ๙.อุทธัจจะ ๑๐.อวิชชา
.
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
“สุขที่แท้จริง” คือ เหนือสุข เหนือทุกข์
.
.... “พระนิพพาน” เป็น “บรมธรรม” กําจัดปัญหาไม่มีอะไรเหลือ แต่เรามักจะพูดกันว่ากําจัดทุกข์ไม่มีอะไรเหลือ ระวังให้ดี ถ้าสุขเหลืออยู่มันก็เป็นปัญหา มันต้องหมดไป เพราะความสุขนี้มันก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ในตัวความสุขนี้เอง ไม่สุข ไม่ทุกข์ นั่นแหละ ที่เรียกว่า “สุขที่แท้จริง” สุขอย่างชาวบ้านรู้จักนั้นมันเป็นสุขอย่าง “สังขาร” ต้องมี..ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อยู่ในความสุขนั้น ถ้าไม่พูดว่าเป็นความสุขก็จะไม่มีใครสนใจพระนิพพาน พอไปพูดว่าพระนิพพานเป็นความสุข มันก็เข้าใจว่าเป็นความสุขอย่างที่รู้จักอยู่….
.
ขอให้ใช้คําว่า “หมดปัญหา” ดีกว่า หมดปัญหาหรือจะเรียกว่าเหนือสุขเหนือทุกข์ ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสว่า พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะท่านพูดภาษาชาวบ้าน ให้เกิดความสนใจในหมู่คนธรรมดา เป็นสุขชนิดอย่างยิ่ง ไม่ใช่สุขตามธรรมดา สุขตามธรรมดามันสุขๆ ทุกข์ๆ ล้มลุกคลุกคลาน ถ้าสุขอย่างยิ่งไม่มีความเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันอยู่เหนือปัญหา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายแก่คณะสมาธิภาวนา ครั้งที่ ๕ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๓๔ ที่สวนโมกขพลาราม
------------------------------
.
“นิพพาน” กับ “สังขาร”
.
“นิพพาน” ในพุทธศาสนานั้น เมื่อกล่าวสำหรับคนทั่วไปแล้ว พึงเข้าใจเถิดว่ามันตรงกันข้ามกับคำว่า “สังขาร” โดยบาลีว่า
“สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา” สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
“นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ” นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนั้น จึงได้ความว่า สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้น ก็คือไม่ปรุงนั่นเอง
ความปรุง คือ เวียนว่ายไปในสังสารวัฏฏ์ เป็นความทุกข์
ความไม่ปรุง คือ มีสติปัญญาสูงถึงขนาดที่ตัดผ่าวงกลมนี้ได้ขาดกระจายออกไป ไม่ให้หมุนได้อีกต่อไป คือไม่เป็นสังสารวัฏฏ์ อย่างนี้เรียกว่า “ไม่ปรุง” เกิดมาเพื่อหยุดเสียซึ่งสังสารวัฏฏ์ ให้ถึงที่สุดของความทุกข์ คือไม่มีทุกข์เลย นี่เรียกว่า นิพพาน อย่างนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ลึกลับมหัศจรรย์เหลือวิสัยของคน”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง “เกิดมาเพื่อเดินทาง” เมื่อ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๘
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
ดังนั้นการภาวนานะ เราต้องเดินปัญญา
แต่จะเดินปัญญาได้จิตต้องสงบพอนะ
เพราะฉะนั้นเราไม่ทิ้งสมถะหรอก
ช่วงไหนจิตใจฟุ้งซ่านรู้กายไม่ได้รู้ใจไม่ได้
ก็ทำความสงบ
พุทโธๆ ไป หายใจไป เดินจงกรมไป อดทนเข้า
เวลาทำความสงบมีเคล็ดลับคือ
อย่าอยากให้สงบ ถ้าอยากให้สงบจะไม่สงบ
ต้องทำใจให้สบายใจถึงจะสงบ
จำเอาไว้นะ ต้องสบายถึงจะสงบ
เพราะความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดความสงบ
พอจิตใจสงบแล้วอย่าขี้เกียจอย่าขี้คร้าน
ออกมารู้กายออกมารู้ใจ
มาเดินปัญญารู้กายด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง
รู้เวทนาด้วยจิตที่ตั้งมั่นด้วยจิตที่เป็นกลาง
ไม่หลงเข้าไปแทรกแซง ไม่หลงยินดียินร้าย
รู้สังขารที่เป็นกุศลอกุศลด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง
รู้จิตที่เกิดดับไปด้วยความตั้งมั่นเป็นกลาง
ไม่หลงไปแทรกแซงมัน
ไม่รักษาจิตชนิดใดทั้งสิ้นเลย
กระทั่งจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นก็ไม่ต้องไปรักษามัน
เราเรียนเพื่อให้เห็นความจริงว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับ
ไม่ได้เรียนเพื่อจะเอาดี เอาสุข เอาสงบ
อันนั้นตื้นเกินไป
แต่เราเรียนเพื่อให้เห็นความจริง
เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา คือตัวสัมมาทิฏฐิ
คือตัวเห็นความจริงนั่นเอง
เราเรียนให้เห็นความจริงของรูปธรรมนามธรรมนี้แหละ
ความจริงของมันไม่มีตัวมีตน ไม่ใช่เรา
ถ้าเห็นความจริงว่ามันไม่มีตัวมีตน
ก็เป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่ตัวเราแล้ว
มันเกิดแล้วมันดับทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตนถาวร
ถ้ายังเห็นว่ามันเที่ยงอยู่มันก็มีตัวมีตนถาวร
ถ้าเห็นมันเกิดดับได้มันก็ไม่มีตัวมีตนถาวร
ถัดจากนั้นภาวนาเรียนรู้กายเรียนรู้ใจ
รู้รูปรู้นามต่อไป จะเห็นแต่ทุกข์นะ
กายนี้ทุกข์ ถ้าเห็นว่ากายนี้ทุกข์
มันก็สลัดคืนกายให้โลก
ต่อไปภาวนาไปจนเห็นจิตเป็นทุกข์
ก็สลัดคืนจิตให้โลกไป
ไม่ยึดถืออะไรอีกแล้ว มีแต่ความสุขล้วนๆ เลย
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
มันเห็นว่าตัวจิตนั่นแหละตัวทุกข์
บางคนเห็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง
บางคนเห็นทุกข์เพราะมันถูกบีบคั้น มันทนอยู่ไม่ได้
บางคนเห็นมันเป็นทุกข์เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา
ตรงนี้โดยภาษามนุษย์นี่สื่อยากแล้ว
ต้องไปภาวนาเอา
พอเห็นตัวจิตเป็นทุกข์ มันก็สลัดคืนจิตให้โลกไป
พอเห็นจิตเกิดดับไปเรื่อย
บางทีเกิดทางตา บางทีเกิดทางหู บางทีเกิดทางใจ
เวลาเกิดทางใจ
บางทีเกิดเป็นจิตมีความสุข
บางทีเกิดเป็นจิตที่มีความทุกข์
บางทีเกิดเป็นจิตเฉยๆ เกิดทางใจนั้น
บางทีเกิดจิตที่เป็นกุศล บางทีจิตเป็นอกุศล
จิตอกุศลบางทีเป็นจิตโลภ
บางที่เป็นจิตโกรธ บางทีเป็นจิตหลง
บางทีเป็นจิตฟุ้งซ่าน บางทีเป็นจิตหดหู่
นี่เราเห็นจิตเองนั่นแหละเกิดดับ
จิตนานาชนิดนั้นเกิดดับทั้งหมดเลย
เห็นอยู่อย่างนี้จนวันหนึ่งปัญญามันแก่รอบจริงๆ
มันเห็นทุกข์นะ
เรียนรู้ลงไปที่ขันธ์ ๕ ของตัวเอง นั่นแหละ คือทางรอด
เราไม่รู้หรอกว่าทางรอดของเรา
อยู่ตรงที่เรามาคอยรู้รูป รู้นาม...รู้กาย รู้ใจ นี่เอง
เรามัวแต่เที่ยวแสวงหาความรอดที่อื่น
เช่น คิดว่าทางรอดอยู่ที่สวนสันติธรรม อยู่ที่วัดโน้นวัดนี้
ทางรอดอยู่ที่ขันธ์ ๕ ของตัวเอง เรียนรู้ลงมาที่ตัวนี้นะ
ฉะนั้นเรียนรู้ลงในกายเรียนรู้ลงในใจเรื่อยไป
วันหนึ่งมันก็เห็นเลยว่า
▪รูปก็ไม่ใช่ตัวเรา
▪เวทนาก็ไม่ใช่ตัวเรา
▪สังขารทั้งหลายคือความปรุงดีปรุงชั่วทั้งหลาย
ก็ไม่ใช่ตัวเราอีก
ฉะนั้นภาวนาไปนะมันจะเข้ามาที่จิต เราจะเห็นจิตนั้นเกิดดับ
บางคนบอกจิตไม่เกิดไม่ดับ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าจิตเกิดดับ
จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ทั้งวันทั้งคืนจะเห็นอย่างนี้
< ร่างกายนี้มี ๙ ประตู ๔ ล้อ >
"..ดูก่อนน้องหญิง ร่างกายนี้เปรียบเหมือนถุงกระสอบใส่ขี้ ซึ่งมีรูอยู่ ๙ รู อันกายนี้มีแต่ของปฏิกูลโสโครก เน่าเหม็นหลั่งไหลออกมา รังแต่จะเป็นอาหารให้หมู่หนอนชอนไช เธออย่ายึดถือยึดติดในกายนี้ ว่าสวยว่างามว่าคงทนยั่งยืนเลย ไม่นานนี้หนอ กายนี้จะนอนทับถมบนแผ่นดินประดุจท่อนไม้และท่อนฟืน จงหมั่นพิจารณาดูเถิด.."
โอวาทธรรมคำสอน ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเจ้า
๙ ประตูแห่งสิ่งปฏิกูล (ขี้ทั้งหลาย) เป็นเหมือนถุงขี้ก็ว่าได้ซึ่งมีอยู่ ๙ ช่องทางในร่างกายเรา
▪ตา ๒
▪หู ๒
▪จมูก ๒
▪ปาก ๑
▪อุจจาระ ๑
▪ปัสสาวะ ๑
๔ ล้อ (อิริยาบถ ๔) ซึ่งจะต้องมีความสมดุล จึงจะขับเคลื่อนร่างกายไปด้วยดี คือทำให้พอๆกันแล้วสุขภาพร่างกายจะดี เราไม่ควรนอนอย่างเดียวแต่ต้องมี ยืน เดิน นั่งบ้างให้สมดุลหรือเหมาะสม
▪ยืน
▪เดิน
▪นั่ง
▪นอน
San Nirvana
คำว่า “สังขาร” ใน “ไตรลักษณ์” และใน “ขันธ์๕” ต่างกันอย่างไร?
มีพุทธพจน์แสดงหลักไว้ในรูปของกฎธรรมชาติ ว่าดังนี้...
“ตถาคต(พระพุทธเจ้า)ทั้งหลายจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ(หลัก)นั้นก็ยังคงมีอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ว่า
(๑) สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง
(๒) สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
(๓) ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา
ตถาคตตรัสรู้ เข้าถึงหลักนั้นแล้ว จึงบอก แสดง วางเป็นแบบ ตั้งเป็นหลัก เปิดเผย แจกแจง ทำให้เข้าใจง่าย ว่าสังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง...สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์...ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา...”
( องฺ. ติก. ๒๐/๕๗๖/๓๖๘ )
คำว่า “สังขาร” ในไตรลักษณ์นี้ ต้องเข้าใจว่าต่างกับ “สังขาร” ในขันธ์ ๕ ( ขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) คือ
ในขันธ์ ๕ “สังขาร” = ความดีความชั่วที่ปรุงแต่งจิตใจ เป็นนามธรรมอย่างเดียว
ในไตรลักษณ์ “สังขาร” = สิ่งทั้งปวงที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง หรือที่เกิดจากส่วนประกอบต่างๆประชุมกันเข้า จะเป็น*รูปธรรมหรือนามธรรม*ก็ตาม คือเท่ากับขันธ์ ๕ ทั้งหมด
คำว่า “ธรรมทั้งปวง” แยกได้เป็น ๒ อย่าง คือ
๑.สังขตธรรม ธรรมที่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่มีปัจจัยหรือสภาวะที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง สภาวะที่ปัจจัยทั้งหลายมาร่วมกันแต่งสรรค์ขึ้น สิ่งที่ปัจจัยประกอบเข้า หรือสิ่งที่ปรากฎและเป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"สังขาร' ซึ่งมีรากศัพท์และคำแปลเหมือนกัน หมายถึงสภาวะทุกอย่าง ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ ทั้งที่ดี ที่ชั่ว และที่เป็นกลางๆทั้งหมด เว้นแต่ นิพพาน
๒.อสังขตธรรม ธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง
ได้แก่ ธรรมที่ไม่มีปัจจัยหรือสภาวะ ไม่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของปัจจัย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า'วิสังขาร' ซึ่งแปลว่า สภาวะปลอดสังขาร หรือสภาวะที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง นิพพาน นั่นเอง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “ไตรลักษณ์”
กิ เ ล ส ส อ น กิ เ ล ส
ถูกใจ พอใจ กิเลส
ไม่ถูกจริต นั้นคือ ไม่ถูกกิเลส
หลงในอารมณ์ คือหลงกิเลส
ฝึกสติเจริญสติให้ยิ่งขึ้น
สติมีกำลังรวดเร็ว
เท่าทันจิตสังขาร[ความคิด]
นั้นแหละคือทางดับลงแห่งทุกข์ทั้งหลาย
เพราะทุกข์ทั้งหลาย[อารมณ์]
เกิดจากจิตสังขารหรือความคิดปรุงแต่งนั้นแล..
คิดเมื่อใด ความสงสัยก็เกิดขึ้นพร้อมกัน
หยุดคิด ก็หยุดสงสัยหรือสิ้นสงสัย
ความคิดมันตั้งคำถามอยู่เสมอ[สงสัย]
หยุดคิด ถึงรู้...
ความกลัวเป็นเหตุ เกิดจากความคิด [สังขาร]ทั้งสิ้น..
นักปฏิบัติผู้เห็นจริง
[เห็นโทษของความคิด]
ว่าไม่ว่า นรก สวรรค ์ล้วนเกิดจาก
จิตสังขาร[ความคิดปรุงแต่ง]ทั้งนั้น
สติคือเบรกของจิตสังขาร[ความคิด]
ฝึกสติเจริญให้มีกำลัง
คือทางสายเอก สายเดียว
มีสติ มีครบ
ศีล สมาธิ ปัญญา [มรรค]
การปฏิบัติธรรมนั้น
ไม่ว่านักพรตนักบวชหรือฆราวาส
ก็มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรมพิจารณาธรรมได้เท่ากัน
และธรรมที่พิจารณานั้น
ก็เป็นธรรมอันเดียวกันนั่นเอง
พิจารณาให้ไปสู่ความสงบระงับอันเดียวกัน
ด้วยวิถีของมรรคอันเดียวกัน
ฉะนั้น ท่านจึงว่าจะเป็นฆราวาสก็ตาม
บรรพชิตก็ตาม มีสิทธิที่จะประพฤติ
หรือปฏิบัติธรรมจนได้รู้ได้เห็น
ตามความเป็นจริงเหมือนกัน
เมื่อเรารู้สภาวะสังขารตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว
เราก็วางเสีย และเมื่อรู้เท่าอย่างนี้แล้ว
ภพก็เกิดไม่ได้ เพราะอะไรก็เกิดไม่ได้
เพราะมันไม่มีทางจะเกิด
เพราะเรารู้เท่าตามความเป็นจริงเสียแล้ว
ฉะนั้น ให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เรามีอยู่เป็นอยู่นั้น มันเป็นสักแต่ว่า “อาศัย” เท่านั้น
ถ้ารู้ได้เช่นนี้ ท่านว่ารู้เท่าตามสังขาร
ทีนี้แม้จะมีอะไรอยู่ก็เหมือนไม่มี
ได้ก็เหมือนเสีย เสียก็เหมือนได้
สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงสอนให้รู้อย่างนี้
เพราะนี่คือความสงบ สงบจากความสุข
สงบจากความทุกข์ สงบจากความดีใจเสียใจ
ได้มาก็ไม่ดีใจ เสียไปก็ไม่เสียใจ
มันเป็นเรื่องที่ทั้งไม่เกิดและไม่ตาย
เรื่องเกิดเรื่องตายนี้ไม่ได้หมายถึง
อวัยวะร่างกายอันนี้ แต่หมายถึงอารมณ์
ความรู้สึกที่ไม่มีแล้ว หมดแล้ว
ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดา
ท่านจึงทรงบอกว่าภพสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์จบแล้ว ไม่มีภพอื่นชาติอื่นอีกแล้ว
ท่านรู้อย่างนั้นแล้ว ท่านก็รู้สิ่งที่มันไม่เกิดไม่ตาย
ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้เอง นี่คือโอวาท
ที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านทรงกำชับ
สาวกมากที่สุดว่าให้พยายามเข้าให้ถึง
อันนี้ที่เป็นสัมมาปฏิปทา
ถ้าไม่ปฏิบัติให้ถึงทางสายกลาง
ไม่ตรงเข้าไปถึงทางสายกลางให้ได้แล้ว
ก็จะไม่มีวันพ้นทุกข์
-------------------------
ทางสายกลาง ตอนจบ
การบรรยายธรรมด้วยภาษาพื้นเมืองแก่พระภิกษุ
สามเณร และฆราวาส เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓
(หนังสือนอกเหตุเหนือผล ของ พระโพธิญาณเถร
"กายคงที่ จิตคงที่"
อินทรีย์สังวร คือ มีกายคงที่ มีใจคงที่
พระองค์ตรัสอย่างนั้นนะ..
พอใจ หรือไม่พอใจ เราก็เฉยไว้ คงที่
ความยินดี หรือ ความไม่ยินดีไม่เกิดนั้นแหละ
เรียกว่า...คงที่..."
อย่านึกทำใจให้เป็นสุข อย่านึกทำใจเป็น...ทุกข์
เห็นเป็นทุกข์ก็ไม่ต้อง..ละมัน.. เห็นเป็นสุขก็ไม่ต้องประคองให้มันอยู่
"ดูมันเฉยๆ" ทุกข์เนี่ย มันเป็นอย่างไร ?
เรายังไม่รู้ เราไปว่าทุกข์เสียก่อน เราเลยเห็น "ทุกข์" ไม่ได้
ความโลภ มันเป็นยังไง ? ความอยากมันเป็นยังไง ?
อ้าว...!!! อยาก นี่มันเป็นทุกข์ ไม่ต้อ้งไป "ละ" อะไรซักอย่าง
ดู ดู ดู เพื่อให้รู็ว่ามันเป็นอย่างไร ?
ไม่ได้ดูเฉยๆ อย่างเดียว
เห็นกิเลสในจิตตน กิเลสทำให้เกิดทุกข์
ตาเห็นรูปสวย ก็ชอบ ไม่สักแต่เห็น ไม่มีกิเลสก็ไม่ทุกข์
อุปทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์
อุปทานและขันธ์ เป็นที่ตั้งให้กิเลสเกิดขึ้น ทำให้เกิดทุกข์
ขันธ์ 5 ไม่ใช่ทุกข์ อุปาทานก็ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่ "จิต"
จิต ไม่ใช่ "ทุกข์" ทุกข์ก็ไม่ใช่ "จิต"
ใจเราเป็นทุกข์ เราหลงว่า "ทุกข์เป็นจิต"
อวิชชา คือ ความไม่รู็ ไม่รู้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตน
อวิชชา มันก็รู็เหมือนกัน แต่รู้ไม่จริง รู้ไม่ทะลุ
อุปทาน คือ สิ่งที่ใจเอาไปยึด ไปถือว่าเป็น "ตน"
ของเค้าไม่ใช่ของเรา คิดแค่นี้ "มันก็กั้นบาปได้"
คนมีศีลบริสุทธิ์ สติ มันนึกไปในส่ิงดีดี
สมาธิ ก็เป็นไปในทางดีดี
คำสอนหลวงปู่เจือ สุภโร
เหตุฉะนั้น ท่านจึงไม่ให้ยืนยันว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของเที่ยง
เกิดขึ้น ก็แปรปรวนแตกสลายเหมือนดั่งหัวฝี
ท่านทั้งหลายอย่าได้ยินดีเน้อ
สิ่งใดไม่เที่ยง ท่านทั้งหลายอย่าได้ยินดี
ท่านทั้งหลาย จงพิจารณาให้เอือมระอา
สิ่งใดไม่เที่ยง .. ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นเอง
สิ่งใดเป็นทุกข์.. ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นเอง
สิ่งใดเป็นอนัตตา.. ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั่นเอง
ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง
ท่านทั้งหลาย จงทอดอาลัย ทอดธุระเสียเน้อ
อย่าได้มีอุปาทาน ไปยึดถือในนั้น ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันด้วย
จงปลงสังเวช ที่ตนเคยหลงมา อย่าได้หลงต่อไปอีกเน้อ ..
..
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต.
"สังขาร" แปลว่า "ความปรุงแต่ง"
เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ในเรื่องของสังขารให้รู้แจ้งเห็นจริง
และรู้เท่าทันมันด้วย
"สังขารโลก" ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ ความปรุงแต่งอันนี้เกิดแล้วย่อมเสื่อมไป
"สังขารธรรม" ได้แก่ ตัวเราเอง คือ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ เกิดแล้วก็เสื่อมไปเช่นเดียวกัน
ฉะนั้น เมื่อเรามีให้รีบใช้ให้เกิดประโยชน์เสีย มิฉะนั้นมันจะกลับมาฆ่าเราเอง
"สังขารธรรม" ก็อาศัยความปรุงแต่งส่งอาหารไปเลี้ยง เช่น ข้าวก็บำรุงธาตุดิน พริก บำรุงธาตุไฟ ขิง ข่า กระเทียม ไพล บำรุงธาตุลม
สังขารนี้แบ่งออกเป็นสอง คือ รูปธรรม กับ นามธรรม
ถ้าเราไม่ดัดแปลงแก้ไขมัน ก็เป็น "ธรรม" อยู่เฉย ๆ
ถ้าเราตกแต่งขัดเกลา มันก็สูงขึ้น ดีขึ้น
เหมือนก้อนดินที่เรารู้จักใช้ ก็อาจมาทำเป็นหม้อหุงข้าวต้มแกงได้
สูงขึ้นกว่าหม้อก็ทำเป็นกระเบื้องสำหรับมุงหลังคา
ถ้าเราเคลือบสีด้วยก็ยิ่งมีราคาขึ้นอีก
ทั้งนี้แล้วแต่ใครจะมีปัญญารู้จักดัดแปลงของนั้นๆ ก็จะมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิม
"ตัวเรา" เปรียบเหมือนต้นไม้
"ความยึดถือ" คือ เถาวัลย์
ถ้าเรายินดีในรูป มันก็มัดตา
ยินดีในเสียง มันก็มัดหู ฯลฯ
ยินดีในธัมมารมณ์ มันก็มัดใจ
เมื่อเราถูกมันมัดทั้งหมด เราก็ต้องตาย
บางคนตายไม่ทันใจ ยังต้องมัดคอตัวเองก็มี
"ผู้ไม่มีความยึดถือ" ย่อมจะเข้าถึง "พุทธะ" มีอายุยืนไม่ตาย
พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานมาตั้งสองพันกว่าปี
คนก็ยัง "สาธุ สาธุ" อยู่
พระองค์ไม่ต้องการในวัตถุหรืออามิสใด ๆ ตอบแทนเลย
นอกจาก "ปฏิบัติบูชา"
เหมือนกับตัวอาตมาเอง ก็ไม่อยากได้อะไรเป็นส่วนตัวเลย
นอกจากจะมุ่งให้คนอื่นดีแท้ ๆ
ต้องการให้เขาทำจิตใจให้เป็นสมบัติของเขาเอง
คนที่ไม่ทำหัวคันนาไว้ให้ดี น้ำก็จะพัดเข้านาพังหมด
เรียนแล้วไม่ปฏิบัติ ไม่มีเครื่องมือพอ กิเลสมาตึงเดียวก็ล้มพินาศหมด
จึงให้หมั่นหัดทำไว้บ่อย ๆ จะได้เป็นนิสัย ตัวก็เบา ใจก็เบา
ใครมาบอกบุญก็ไม่หนักอกหนักใจ ไม่กลัวยากกลัวจน
"พรหม ๔ หน้า" คือ
"เมตตา" ได้แก่ "ปฐมฌาณ"
"กรุณา" ได้แก่ "ทุตยฌาณ"
"มุทิตา" ได้แก่ "ตติยฌาณ"
"อุเบกขา" ได้แก่ "จตุตถฌาณ"
แต่เหล่านี้ก็เป็นเพียงกระพี้หรือเปลือก ต้องทำให้สุดยอดถึงจะถึงแก่น คือ "พระนิพพาน"
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมสำเร็จที่ใจ ไม่ใช่ปฏิบัติที่ภายนอก
คือ ตา หู จมูก ปาก มือ เท้า ศีล บริสุทธิ์ก็พ้นทุกข์กาย
สมาธิ พ้นทางวาจาไม่ต้องพูดพล่าม สงบปากสงบคอ
ปัญญา พ้นทุกข์ใจ
"ความยึดถือ" เป็นเหตุให้เกิดทุกข์โทษภัย
ผู้ไม่มีปัญญาย่อมเห็นสังขารเป็นตัวเป็นตนและยึดถือไว้ไม่ปล่อยวาง
"สติ" คือ ตัว "มรรค"
จะอยู่ในอารมณ์ดีหรือชั่วก็ตาม ขอให้มีสติอยู่เป็นใช้ได้
จิตที่พ้นโลก คืออยู่เหนือเหตุเหนือผล หมายถึงอารมณ์ ๕ ด้วย
ร่างกาย เป็นผู้ไม่รับทุกข์รับสุขอะไรกับเราด้วยเลย
ตัวจิตผู้เดียวเป็นผู้รับ เหมือนคนที่เอามีดไปฟันเขาตาย
เขาจะไม่จับมีดลงโทษ แต่เขาจะต้องจับคนที่ฆ่าไป
"กายสุข" ระงับเวทนา
"ใจสุข" ระงับนิวรณ์
.
.
.
ธรรมบรรยายอบรมสมาธิ โดย
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)
ณ.วัดป่าคลองกุ้ง อ.เมือง จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๙๖
จิตที่นึกถึงอารมณ์อันใดอันหนึ่งเป็นที่พอใจ ก็จะคิดปรุงแต่งจนมากมายเขาเรียกว่าจิตกับสังขารหลอกเอา เพราะฉะนั้นคนที่เรียกว่าวิตกจริตอะไรสักอย่างใดอย่างหนึ่งก็คิดเสียจนมากมายเกินไป
จึงถูกจิตกับสังขารเพราะสังขารในที่นี้ได้แก่ความนึกคิดเรื่องราวต่างๆไม่ใช่สังขารคือร่างกาย
สังขารในเบญจขันธ์คือขันธ์ ๕ สังขารความรู้สึกนึกคิด
แต่ส่วนสังขารในสังขาร ๒ หมายเอารูปวัตถุที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณแต่เป็นคำศัพท์เรียกเหมือนกันเขียนก็เหมือนกันสังขารเหมือนกัน
แต่เมื่อพูดถึงสังขารด้วยความนึกคิดแล้วพึงเข้าใจว่าสังขารนั้นคือเบญจขันธ์
ถ้าสังขารคือรูปร่างมีวิญญาณไม่มีวิญญาณนั้นคือสังขาร ๒ ไม่ใช่สังขารในเบญจขันธ์คือขันธ์ ๕
ที่ท่านว่าถูกจิตกับสังขารคือจิตเป็นตัวนึกคิดพอคิดแล้วแยกขยายต่อเนื่องเป็นอารมณ์ปรุงแต่งเรื่อยไปมากมายหลายประการจนเกิดความฟุ้งซ่าน กิริยาที่ปรุงแต่งนั้นเป็นสังขาร กิริยาที่นึกถึงนั้นคิดถึงนั้นเป็นจิต
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะบำเพ็ญกรรมฐานสมาธิภาวนาจะต้องระวังข้อนี้เป็นอารมณ์ของอกุศลวิตก เป็นกามวิตกก็ได้,เป็นพยาบาทวิตกก็ได้,เป็นวิหิงสาวิตกก็ได้ การป้องกันจิตไม่ให้เกิดอกุศลทั้ง ๓ ประการนั้นเป็นแต่เพียงผลักดันอกุศลหยาบๆไม่ให้เกิดขึ้นแต่ส่วนละเอียดยังมีอยู่ในจิต และส่วนละเอียดที่มีอยู่ในจิตนี้จะเห็นอกุศลเหล่านี้ได้จึงต้องรู้จักจิต ดูจิตและพยายามให้เห็นจิตอันนี้ก่อน
จิตคือความนึกความคิด ความนึกความคิดนั้นประสานกับลมอัสสาสะ ปัสสาสะคือการหายใจเข้าหายใจออก ลมหายใจเข้าออกหยาบเพียงใดความคิดก็หยาบ ลมหายใจเข้าออกละเอียดประณีตขึ้นเพราะจิตสงบขึ้นความนึกคิดก็ประณีตขึ้น ผู้ที่บำเพ็ญกรรมฐานสมาธิจึงต้องรู้เรื่องจิต จิตเป็นอย่างไรมีตัวตนอย่างไรหรือไม่เราจะรู้ได้ด้วยตนเอง ทำกรรมฐานหรือทำสมาธินั้นพยายามให้เห็นจิตให้รู้จิต
อย่าไปนึกถึงอารมณ์ต่างๆที่เรียกว่า ฟังเขาพูดว่าเห็นสวรรค์เห็นวิมานบ้าง,เห็นเทพบุตรเห็นนางฟ้าบ้าง สิ่งนั้นอย่าไปจับมาเป็นอารมณ์ทีเดียวเพราะเป็นทางให้จิตหลง สิ่งที่จิตจะเกิดประโยชน์คือไม่หลงแล้วเกิดความสงบได้แท้จริงนั้นต้องดูที่จิต การที่จะดูที่จิตนั้นเราจะต้องหาจิตก่อนว่าจิตของเราอยู่ตรงไหน โดยทั่วๆไปท่านก็พูดถึงหทัยวัตถุคือหัวใจเพราะจิตใจนี้อยู่ส่วนกลางของร่างกาย โดยท่านแนะนำง่ายๆว่าถ้าเรานึกถึงจิตว่าจิตของเราอยู่ตรงไหน ตัวนึกตัวคิด ตัวต้นเหตุนึกคิดนั้นอยู่ตรงไหนเราก็ลองนึกสวดมนต์ นะโมตัสสะไม่ต้องออกเสียงอยู่ในใจ ผู้ที่สวดนะโมนั้นอยู่ตรงไหน ถ้ายังไม่เห็นก็ลองกลั้นใจเสียหน่อยหนึ่งหยุดหายใจแต่มีความรู้สึกอยู่ ความรู้สึกอยู่นั้นอยู่ตรงไหนดูตรงนั้น ถ้ายังไม่เห็นเพียงพอแล้วลองนึกว่าพุทโธ พุทโธ พุทโธด้วยความมีสติ ดูอยู่ตรงไหนเป็นผู้นึกเมื่อจับผู้นึกได้แล้วตรงนั้นแหละคือจิต มีสติขีดวงไว้ในจิตของตนในกายของตนว่าคือลักษณะอย่างนี้คือจิต ครั้นเมื่อรู้จิตอย่างนี้แล้วภาวนาไป ภาวนาพุทโธ พุทโธไป มีสติดูจิตที่ระลึกอยู่ในวงของเราไว้พอไปเผลอซะนิดเดียวจิตมักจะคิดเรื่องราวอื่นๆค่อยๆมาแทรก ค่อยๆมาให้รู้ให้เห็น เรื่องที่ค่อย มาแทรกและสิ่งที่จะมาให้รู้ให้เห็นนั้นที่ไม่เป็นประโยชน์มีอยู่สองประการคือ อดีตและอนาคต
อารมณ์อันใดสิ่งใดที่เคยสัมผัสไว้แล้ว,เคยเห็น,เคยถูกต้องมาแล้ว ครั้นล่วงเลยมายังจำความนั้นได้นั้นนี่ชื่อว่าอารมณ์ นึกย้อนไปถึงอารมณ์นั้นที่เคยสัมผัสชอบก็ดีไม่ชอบก็ดีนี่คือจิตวิ่งไปหาอารมณ์แห่งอดีต
สองไม่เช่นนั้นความนึกคิดปรุงแต่ง อาศัยจิตกับสังขารดังกล่าวมานึกเรื่องราวใหญ่โตเป็นไปต่างๆนาๆประการ คืบไปข้างหน้าสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่นึกว่ามันเกิดขึ้นแล้วจะต้องเป็นอย่างนั้นๆนี่อนาคต
หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร
" เมื่อจิตเคลื่อนเมื่อใด ก็เป็นสมมุติสังขาร เมื่อนั้น
ท่าน จึงให้พิจารณาสังขาร
คือ จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง เมื่อมันเคลื่อนไหว
ออกไป ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เมื่อ"ผู้รู้"...รู้ตามความเป็นจริงของจิต หรือเจตสิกเหล่านี้
จิต...ก็ไม่ใช่เรา สิ่งเหล่านี้มีแต่ของทิ้ง ทั้งหมด
ไม่ควรเข้าไปยึด ไปหมายมั่น ทั้งนั้น
เหมือนกับตะเกียง เป็น"ตัวผู้รู้"
แสงสว่างของตะเกียง มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
มันเกิดจาก"ผู้รู้" อันนี้
ถ้าจิตนี้ ไม่มี...ผู้รู้ ก็ไม่มีเช่นกัน มันคือ อาการของพวกนี้
ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด
ท่านว่าจิตนี้ ก็ชื่อว่าจิต มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล
มิใช่ตัว มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา
ธรรมนี้ ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตน เรา เขา
ไม่เป็นอะไร
(พระศาสดา)ท่าน ให้เอาที่ไหน
เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้
ล้วนเเต่เป็นขันธ์ ๕ ท่านให้...วาง
สิ่งทั้งหลายที่"จิตคิด"ไป ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้
ล้วนแต่ เป็นสังขาร(ความปรุงแต่ง)ทั้งหมด
เมื่อรู้แล้ว..ท่านให้"วาง"...เมื่อรู้แล้ว...ท่านให้"ละ"
ให้รู้...สิ่งเหล่านี้ ตามความเป็นจริง
ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริง ก็ทุกข์ ก็...ไม่วาง สิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นของหลอกลวง
สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า
จิตนี้...ไม่มีอะไร...ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายตามใคร
จิต เป็นเสรี...รุ่งโรจน์โชติการ ไม่มี เรื่องราวต่าง ๆ
เข้าไปอยู่ในนั้น ที่จะมีเรื่องราว..ก็เพราะ มัน"หลงสังขาร"
นี่เอง "หลงอัตตา"นี่เอง
พระศาสดา จึงให้มองดูจิต ของเรา
เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มี อะไรจริง ๆ
สิ่งเหล่านี้ มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย
ถูกอารมณ์ดีมากระทบ ก็มิได้ดีด้วย
ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบ ก็มิได้ร้ายไปด้วย
เพราะ...***รู้ตัว...ของตัว*** อย่างชัดเจน
รู้ว่า...สภาวะเหล่านั้น ไม่เป็นแก่นสาร
ท่านเห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
"ตัวผู้รู้"..นี้ รู้ตามความเป็นจริง
ผู้รู้ มิได้ดีใจไปด้วย มิได้ เสียใจไปด้วย
อาการที่ดีใจไปด้วย นั่นแหละเกิด
อาการที่เสียใจไปด้วย นั่นแหละตาย
ถ้ามันตาย ก็เกิด ถ้ามันเกิด ก็ตาย
ตัวที่เกิด ที่ตาย นี่แหละ เป็นวัฏฏะ
เวียนว่ายตายเกิด อยู่...ไม่หยุด
เมื่อจิต...ผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสงสัย
ภพมีไหม ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร
พิจารณาอาการสังขาร เหล่านี้แล้ว
จึงได้ปล่อยวางสังขาร วาง...ขันธ์ เหล่านี้
เป็นเพียงผู้รับทราบไว้ เฉย ๆ
มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน เป็นคนดูอยู่ เฉย ๆ
ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน
เพราะ มันขาดจากปัจจัยแล้ว
เมื่อ รู้ตามความเป็นจริง
ปัจจัย ที่จะส่งเสริมให้เกิด ไม่มี
เมื่อถูกอารมณ์ ที่ไม่ชอบใจมากระทบ
มัน ก็เป็นอาการ ขึ้นกับใจเรา
เรา ติดมันไหม ?...เรา วางมันได้ไหม ?
อาการ ที่ไม่ชอบใจนั้นเกิดขึ้นมา
เรา...รู้แล้ว...ผู้รู้ เอาความไม่ชอบไว้ในใจ หรือเปล่า ?
หรือว่า เห็นแล้ว...วาง
ถ้า...เห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้ว ยังเอาไว้ในใจ ของเรา
ให้เรียนใหม่ เพราะ...ยังผิดอยู่ ยัง ไม่ยิ่ง
ถ้า มันยิ่งแล้ว มัน....วาง
ให้ดู...อย่างนี้."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
#ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต สำเร็จมาจากจิต
"กุศลธรรม อกุศลธรรมเกิดจากจิต จิตที่คิดเป็นกุศล จิตที่คิดเป็นอกุศล เกิดจากจิตทั้งนั้น จิตที่คิดเป็นกุศลแค่คิดแล้วก็ดับไป จิตที่คิดเป็นอกุศลคิดแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นที่จิตเท่านั้น
ความคิดทั้งหลายเป็นความคิด ความคิดทั้งหลายไม่ใช่จิต ความคิดทั้งหลายเป็นสังขาร
สังขารทั้งหลายเป็นอนิจจังมันไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา สังขารไม่มีตัวตน สังขารทั้งหลายเกิดที่จิตดับที่จิต เกิดแล้วดับที่จิตทั้งนั้น
ใครก็ต้องการรู้ต้องการเห็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น อย่าไปคิดว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าพระสาวกเจ้ารู้เห็นนั้นอยู่ที่อื่น นอกจากจิต
เราจึงต้องศึกษาลงที่จิตของเรานี้ เดี๋ยวมันเกิดอันนั้นขึ้นมา เดี๋ยวมันเกิดอันนี้ขึ้นมาร เดี๋ยวเรื่องอันนั้นก็เกิดขึ้นมา เดี๋ยวเรื่องอันนี้ก็เกิดขึ้นมาไม่หยุดไม่หย่อน มันเกิดมาจากไหน ทวนกระแส ทวนหาสถานที่เกิด ในเมื่อทวนหาสถานที่เกิด มันก็จะเห็นว่ามันเกิดมาจากจิตนี่
ท่านจึงว่าธรรมทั้งหลายเกิดจากจิตอันเดียวนี้ จิตของเรานี้มหัศจรรย์ เรียกว่าเป็นธรรมชาติที่มีความอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทรงรู้แจ้งโลก ก็ตรัสรู้ที่จิตดวงเดียวนี้"
หลวงปู่แบน ธนากโร
#การละหรือปล่อยวางแท้จริงนั้นต้องไม่มีเจตนาเข้าไปละไปวาง.ไม่ใช่ไปคิดไปนึกไห้มันวางมันละ นั้นมันวางไม่ได้ดอกเป็นแค่เปลี่ยนอารมณ์หรือคิดบวกแก้คิดลบนั้นเอง.
ปล่อยวางแท้จริง..ต้องรู้เท่าทันความคิดปรุงแต่งมันดับเองนั้นแล.
"จึงเป็นธรรมแท้จริง".หรือมันดับเองวางเองด้วยสติปัญญา
#พระสิ้นคิด.
สาธุ 🙏🏻ค่ะ
พระพุทธเจ้าท่านละได้ ทั้งสังขารที่เป็นบาป และ สังขารที่เป็นบุญ อารมณ์ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่เป็นอกุศล
ผู้ปฏิบัติธรรมชอบ มีความต้องการ ชอบมีความปราถนา ความต้องการความปรารถนา ถึงจะต้องการปรารถนา
ส่วนกุศลส่วนเป็นคุณธรรม แต่ความปราถนานั้น ก็ยังเป็นความปรารถนาอยู่ ให้ละความปรารถนานั้นเสีย ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านให้ละให้ปล่อยวาง ไม่ได้สอนให้แสวงหาอะไรมา "เพิ่มเติม"
คำว่า "ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็ไม่ต้อง "หามาเพิ่มเติม" เพียงแต่ "ละบาป ละความชั่ว" ศีลก็ปรากฏขึ้นที่จิต บาปอย่างหยาบ บาปอย่างกลาง แม้แต่บาปอย่างพรหมณ์ละเอียด ก็ให้ละ ไม่ต้องไป "แสวงหา" ที่ไหน เพราะใจของเรา "เป็นศีล" อยู่แล้ว
"สมาธิ" ก็จิตนั่นแหละเป็น ละให้หมด อะไรที่มันคั่งค้างอยู่ในใจ "สิ่งที่เราพอใจ" "สิ่งที่เราปรารถนา" ละให้หมด "สิ่งที่เราชอบใจ" "สิ่งที่เราไม่ชอบใจ" ก็ละให้หมด
"ใจ" ของเรา "ปล่อยวางได้" "ใจ"ของเราก็เป็น "สมาธื" กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิท อุทัจจะ กุกุจจะ วิกิกิจฉา ความลังเลสงสัย สิ่งเหล่านี้ มันสัมพันธ์ มันสัมผัสสัมพันธ์ เกี่ยวพันกัน กับ "ใจ"
"อิฐารมณ์ อนิจฐารมณ์" เขาก็เป็นของ "เกิดดับ"
"สังขาร" ทั้งหลายเป็นของ "เกิดดับ"
คำว่า "กิเลส ตัณหา" ทั้งหลายก็เป็นของ "เกิดดับ"
"เกิดที่จิต ดับที่จิต"..."เกิดที่จิต ดับที่จิต"
หลวงปู่ แบน ธนากโร
การบำเพ็ญจิตตภาวนาอย่ามุ่งแต่ให้ใจสงบ อย่าไปพอใจ
ให้ใจสงบอย่างเดียว ถ้าหากว่าพอใจก็ให้พอใจ
ในการกระทำให้มาก กระทำให้มากเท่าไรยิ่งอันนั้น
คือความถูกต้อง ถ้าหากว่าไปพอใจแต่ความสงบอย่างเดียว
พอใจแต่ความสงบอย่างเดียว เราได้สิ่งที่ไม่ชอบใจ
เพราะใจของเรานี่จะสงบตลอด ตลอดกาลไปไม่มี
มันเหมือนกับการเดินทางอย่างนี้ จะเดินทางไปไม่ให้มีแดด
เดินไปไม่ให้มีฝน นี่เป็นไปไม่ได้ มันจะต้องเจอแดดมั่ง เจอฝนมั่ง
เหมือนกับการลงเรือไปในลำน้ำอย่างนี้ จะให้ทะเลมันเรียบ
อย่างที่เราต้องการ เป็นไปไม่ได้ มันจะต้องมีคลื่นมีลม มีคลื่นมีลม
ของเขาอย่างนั้น บางทีคลื่นลมก็มาก สูงใหญ่มากๆ บางทีคลื่นลม
ก็น้อย บางทีทะเลก็เรียบ นี่ใจของเราทำเหมือนเรือ คลื่นจะเรียบ
เราก็อยู่เหนือน้ำ คลื่นจะน้อยคลื่นจะใหญ่ เราก็อยู่เหนือคลื่น
เหนือน้ำนั้น อย่าหยุดพอใจแต่ความสงบน้ำนิ่ง เวลาน้ำไม่นิ่งนั่นล่ะ
เราจะโดนคลื่น เราจะต้องโดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงพอใจ
ในการอยู่เหนือน้ำอยู่เสมอ เหนือความสงบ แล้วความไม่สงบมา
เราก็อยู่เหนือ ความไม่สงบเกิดขึ้น เราอย่าไปติด เมื่อเราไม่ติดแล้ว
เราจะไปเดือดร้อนไปเป็นทุกข์เพราะความไม่สงบของใจได้ยังไง
คำว่า สังขารต้องเป็นสังขาร พระพุทธเจ้าท่านไม่กำหนดแต่ง
สังขาร ไม่เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้รู้สังขาร คำว่าแต่ง
สังขารก็หมายความว่า ทะเลไม่มีคลื่น.เป็นไปไม่ได้ แม้แต่
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่สามารถไปแต่งทะเลให้เรียบได้ เพียงแต่ให้
รู้ทะเล ให้รู้สังขารเท่านั้น พอใจในความสงบก็จะเจอในสิ่งที่ไม่
พอใจ สงบไม่สงบไม่สน..ทำให้ยิ่งอยู่เสมอ แล้วไมได้ทำเพื่ออะไร
เราทำเพื่อละทำเพื่อปล่อยวาง ทำเพื่อสลัดทิ้ง ดีก็ไม่เอา จะเอา
ทำไม เอาแล้วหนักทั้งนั้นเป็นภาระทั้งนั้น
หลวงปู่แบน ธนากโร
..." สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน...
...คำว่า 'สังขาร' คืออะไร...ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น ๆ.. มันปรากฏขึ้นให้ใจของเรารู้ ใจของเราเห็น.. นั่นล่ะตัวสังขารตัวนั้น..
คำว่า ' รู้สังขาร' ก็คือ..รู้ว่าตัวนั้น
ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน.. รู้ตัวนั้นว่าเป็นของเกิดดับ.. นี่จึงรู้สังขาร.. ไม่ใช่ว่ารู้สังขาร แต่รู้สังขารแต่ในตัวหนังสือแต่ในคำพูด.. ต้องรู้ต้องเห็นตัวที่มันเกิดขึ้นตัวนี้เป็นตัวสังขาร.. ตัวนี้เป็นสิ่งที่จะต้องมาเกิดมาดับ.. ตัวนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน
...ในเมื่อมันดับไปแล้ว.. มันจะมีอะไรเป็นตัวตนเล่า เห็นสังขาร.. ต้องเห็นจิตของเราที่มันเกิดขึ้นๆ... รู้สังขารก็ต้องรู้ตัวนี้.. มันเกิดขึ้นอยู่เท่าไหร่ มันก็ดับเท่านั้น.. ไปยึดถือมันจะเป็นประโยชน์อะไร. ตะครุบมันไม่ใช่ไม่เป็นประโยชน์อย่างเดียว..แต่ยังเสียประโยชน์อีก... ไปหอบแต่เงาจะได้ประโยชน์อะไร
...ถ้าหากอะไรเกิดขึ้นเรารู้ทันที..เราก็ปล่อยวางทันที..ละไปตามสภาพของเขา.. ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นเราไม่รู้ทันที เราก็ไปยึดทันที.. ยึดทันทีก็หลงทันที.. ยินดียินร้ายทันทีเหมือนกัน.. ปรุงแต่งหนักไปหน้าเพิ่มขึ้นกว้างขวางออกไป.. ยิ่งปรุงแต่งกว้างขวางออกไปมากเท่าไหร่ ความฟุ้งซ่านยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น ..
...จึงว่า มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่.. ก็ให้ทำความรู้ความเห็น ให้เห็นทันทีที่มันเกิดขึ้นนั้น..ถ้าหากไม่รู้ไม่เห็นทันทีที่มันเกิด...มันหลงไปเสียแล้ว " ...
หลวงปู่แบน ธนากโร
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
...........................
ความโกรธ..เป็นเพียงสิ่งถูกดู ถูกรู้
หากเรามีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ ความโกรธจะเป็นเพียงอาการของจิตที่หลงเข้าไปในความคิด หรืออารมม์ที่จิตกำลังรับรู้อยู่เท่านั้น
หากไม่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของความโกรธนั้น การรับรู้ของจิตจะเป็นเพียงการเห็นอาการของจิตที่กำลังปรากฎขึ้น และดับไปตามปกติ
.
วิมุตติธรรม
"สังขาร" มันแปลว่า การปรุง ปรุงแต่ง
หรือ สิ่งปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง
พอเป็นภาษาไทย รู้กันแต่ว่าคือ "ร่างกาย"
สังขารคือร่างกาย ดับสังขารคือตาย
เมื่อไปงานศพจะได้ยิน พระสวด "อนิจฺจา วต สงฺขารา"
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มักจะเล็งถึงร่างกาย
และโดยเฉพาะศพที่นอนอยู่ในโลง อย่างนี้ไม่ถูกดอก
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
ในที่นี้ก็แปลว่าของปรุงทั้งหลาย
ของที่ถูกปรุงทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
เพราะมันถูกปรุงขึ้นมา แล้วมันก็เปลี่ยนไป
ควรจะเข้าใจเสียให้ถูก
สำหรับจะไปฟังอะไรถูก คิดนึกอะไรถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักสองอย่างนี้
ซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับพุทธบริษัทเรา คือบอกว่า
ที่ปรุงนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ที่ดับ หยุดนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง
หัวข้อนี้จำไว้ให้ได้ แล้วก็ให้นึกได้ทันทีที่มันมีเรื่อง
คนเรามันก็มีเรื่องสองเรื่องนี้ตลอดชีวิต
ตลอดชีวิตของคนเรา จะมีเรื่องปรุงกับเรื่องดับ
เรื่องปรุงเรื่องดับ สลับกันไป
สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา –สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
เตสํ วูปสโม สุโข –การระงับเสียซึ่งสังขารนั้น
คือการระงับเสียซึ่งการปรุงนั้นเป็นสุข
ไม่ใช่หมายความว่าการตายเป็นสุข
พุทธทาสภิกขุ
ในโลกนี้ไม่มีใครทำให้เราโกรธได้...
นอกจากตัวเรา...
คนทั่วไปมักมองว่า...อยู่ดีๆจะโกรธได้อย่างไร
ก็เพราะมีเหตุการณ์มากระทบนั่นละ...จึงโกรธ
แต่แท้ที่จริงแล้ว
สังขารเป็นปัจจัยทำ ให้เกิดวิญญาณ...
ถ้าสังขารไม่มี วิญญาณก็ไม่มี
เรื่องเหมือนกัน...
บางคนโกรธมาก บางคนโกรธน้อย บางคนก็ไม่โกรธ นั่นก็เพราะวิบากอันเป็นสังขารนั้นแตกต่างกัน
คนที่เข้าใจจุดสำคัญนี้...
จึงกำจัดวิบากความโกรธออกไปจากสันดานของตน
ทั้งกำจัดทิฎฐิ มานะ การถือตน ความไม่ยอมก็ละออกไป
เมื่อเขาได้ฝึกจนกระทบเหตุการณ์ มาเย้า ให้โกรธ...
แต่เค้าก็สงบลงได้เร็ว เย็นลงเร็ว จนท้ายสุดก็ไม่โกรธต่อไป
นั่นก็หมายถึง เค้าได้ฝึกใจที่ชนะได้ยากลบล้างความโกรธที่มีอยู่ในวิบากสันดานให้อ่อนจางลงไปได้(อ.พร รัตนสุบรรณ)