ที่จริงพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้งใน ขันธ์๕, แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท, หยุดการปรุงแต่ง, หยุดการแสวงหา, หยุดกริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสุญตา ว่างมหาศาล
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
" พระยาธรรมเอย.. การเป็นองค์พระอรหันต์นั้น จึงไม่ต้องสั่งสมบุญไว้มากมาย เพียงแค่รักษาศีล 5 ตั้งใจขัดเกลากิเลสตัณหาในตน
เพราะมีหนทางที่องค์พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ ที่บังเกิดขึ้นมาในยุคต่างๆนั้น ได้ชี้ทางบอกทางเอาไว้อยู่แล้ว จึงไม่ต้องแสวงหาทางเอง
เพียงแค่หมั่นขัดเกลาจิตของตน หมั่นประพฤติ ปฏิบัติ ชำระล้างจิตให้หลุดจากกิเลสตัณหา แล้วดับการมีของจิต คือ การมีอัตตาตัวตน
ลูกเอ๋ย.. เมื่อทำเช่นนั้นได้ ลูกก็จะพบกับการเป็นองค์พระอรหันต์ "พุทธโอวาทกึ่งพุทธกาล วันที่ 7 กรกฎาคม 2559 ตอนที่ 1 **กายและจิตเป็นแก้วสารพัดนึก**
" อยู่...ที่นี่
มีความรู้สึก...อยู่
เมื่อ กระทบอารมณ์ขึ้น
มัน ชอบใจ(มัน ไม่ชอบใจ)
โยม ก็รู้ ก็เห็นว่า มันเป็นอนิจจัง
อย่าไปยึดมั่น ถือมั่นมันเลย
มัน จะตกทุกข์ ขึ้นมา
โยม ก็เห็นว่า อันนี้
มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ที่นั่น
ก็แปลว่า โยมกำลังปฏิบัติธรรมะ
ฉะนั้น ผู้ประพฤติปฏิบัตินี่
จึงมีสติ ความระลึกได้อยู่...เสมอ
ในการยืน การเดิน การนั่ง การนอน
ของเรา
สัมปชัญญะรู้ตัวอยู่...เสมอว่า
บัดนี้ เราทำอะไรอยู่
อย่างนี้โยมก็จะมีหนทางที่จะ...
บรรลุธรรมะ."
_____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
ดวงจิตเหล่านั้น
ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คงจะเปรียบเทียบกับ ดวงจิตที่เลอะ และปนเปื้อนกับกิเลสตัณหา กับดวงจิตที่ไม่เลอะ ไม่ปนเปื้อนกับกิเลสตัณหา ให้ทำความเข้าใจ 2 อย่างไว้อย่างนี้
จิตที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้อยู่
ก็คือ จิตที่ยังมีเชื้อแห่งความรัก โลภ โกรธ หลง คือ กิเลส
เชื้อแห่งความอยาก และความไม่อยาก คือ ตัณหา นั้น ครอบงำดวงจิตอยู่
จึงยังเป็นดวงจิตที่ปนเปื้อนด้วยกิเลสตัณหา และเป็นไปตามกิเลสตัณหา
เวียนว่ายตามสิ่งที่กิเลสตัณหา สั่งให้เป็น สั่งให้ทำ
จิตนั้น.. ไม่ได้รับความเป็นอิสระ เพราะถูกเชื้อเหล่านี้ครอบงำ สั่งให้เป็นไปตาม..
นั่นคือ ดวงจิตทั้งหลาย ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ที่อยู่ในสภาวธรรม ของการ..
ไม่อยากเกิด - ก็ต้องได้เกิด
ไม่อยากทำ - ก็ต้องได้ทำ
ต้องได้มีความดิ้นรนขวนขวาย ความเร่าร้อน
และต้องดิ้นรนกระวนกระวาย อยู่ตลอดเวลา
ต้องเป็นอยู่อย่างนั้น.. ไม่รู้จบ
นั่นคือ ดวงจิต ผู้ที่ยังปนเปื้อนด้วยกิเลส
และยังไม่ได้ชำระจิตใจของตนให้สะอาด บริสุทธิ์ จึงต้องเป็นเช่นนั้น
ส่วนจิตอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถึงซึ่งความเป็น*องค์พระอรหันต์* แล้วนั้น..
ก็คือ ดวงจิตที่สว่างไสว เป็นอิสระ ไม่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของใคร
ไม่มีเชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ เข้าครอบงำอีกต่อไป
ไม่ต้องมีกรรม ไม่ต้องเกิดตามกรรม ดับตามกรรม
คือ ดวงจิตที่ปราศจากเชื้อแห่งกิเลสตัณหาทั้งปวง..
จึงไม่เร่าร้อน
จึงไม่ดิ้นรนขวนขวาย
จึงไม่ต้องเกิด และไม่ต้องตาย
จึงไม่ต้องมีสิ่งที่พอใจ หรือว่าไม่พอใจทั้งหลาย เกิดขึ้นในดวงจิตเหล่านั้น
และดวงจิตเหล่านั้น จึงเป็นผู้ไม่เกิด ไม่ตายอีก
เพราะในความเป็นจริงแล้ว พระยาธรรมเอ๋ย.. ที่เรา
- ต้องเกิด เราต้องตาย
- ต้องพลัดพรากจากสิ่งของอันเป็นที่รัก ที่พอใจทั้งหลาย
- ต้องมีกรรม ส่งผลมาให้เป็นไป ตามกรรมนั้น ทั้งดีและชั่ว
- ต้องมีตัว ยึดตัว ยึดตนอยู่นั้น
เพราะว่าจิตของเรา คลุกอยู่กับกิเลสตัณหา ปนเปื้อน และเป็นไปตามกิเลสตัณหา กรรมวิบาก..
สิ่งเหล่านั้น - นำพาให้เราเป็นไป
แต่ในความเป็นจริงแล้วลูก จิตของเรา ก็คือ จิตอันบริสุทธิ์ - ที่ปราศจากเชื้อเหล่านี้
ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้..
มืดมิด เป็นทุกข์
ต้องเวียนต้องวน อยู่ในวัฏสงสาร
เป็นไปตามอะไร ทั้งหมดทั้งสิ้น
จิตของเรา คือ ดวงจิตที่เที่ยงแท้ สว่างไสว
รู้แจ้ง เห็นจริง ตามสรรพสิ่งทั้งหลายในวัฏสงสารนั้น
และตนนั้น ก็ไม่มีความยึดในตัวในตน ในสิ่งต่างๆ
มีก็สักแต่ว่ามี สมมุติว่ามี
มี กับไม่มี.. มีค่าเสมอเหมือนกัน
จิตที่เป็นพระอรหันต์แล้วนั้น ก็คือ จิตเหล่านี้ละลูก
แบ่งแยกง่ายๆ ก็คือ
* จิตที่เลอะ ปนเปื้อนด้วยกิเลสตัณหา
* กับจิต ที่ไม่เลอะ ไม่ปนเปื้อนด้วยกิเลสตัณหา
นั่นหละ พระยาธรรม..
คือ สภาวธรรมของ บุคคลผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน
จนตนนั้น.. เข้าถึงซึ่งความเป็นองค์พระอรหันต์..
คือ สภาวธรรม ของดวงจิตผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว
พระยาธรรมเอย.. ถึงแม้ว่า จิตทั้งหลาย ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ
จนป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น ยังถือครองกายอยู่ คือ กายแห่งมนุษย์ คือขันธ์ห้า
ที่มันยังคงมีความหนัก มีความเจ็บ ความป่วย มีภาระหน้าที่อยู่ อย่างนั้นก็ตาม..
องค์พระอรหันต์เหล่านั้น - ก็จะไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ กับสิ่งที่เป็น
มีกายก็สมมุติว่ามีไป สักแต่ว่ามี
มีเหตุที่จะต้องประกอบกิจการงานใด ก็ทำไป ตามเหตุนั้น
มีสุข หรือว่า มีทุกข์... มีเรื่องดี หรือว่าไม่ดีเกิดขึ้น...
องค์พระอรหันต์เหล่านั้น ก็จะสักแต่เห็นว่าเป็นธรรมดา
ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ทุกสิ่งมันเป็นเพียงแค่เรื่องสมมุติขึ้นมา
แท้ที่จริงแล้ว.. สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันไม่มี
และตนนั้น เพียงแค่ทำหน้าที่ตามเหตุไป เพื่อรอให้กายนี้ดับไป.. สลายไป
เมื่อกายนี้ดับไป สลายไปเมื่อไร.. ตนนั้นก็จบกิจที่จะต้องทำ ในสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยกาย
จิตดวงนั้น ย่อมถึงซึ่งพระนิพพาน ตั้งแต่ยังมีกายหยาบครองจิตอยู่
หรือว่าจิตยังครองกายหยาบอยู่
แต่ไม่สามารถที่จะสร้างความสุข หรือความทุกข์ใดให้กับจิตได้อีกต่อไป
จิตจะมีแต่ความเบื่อหน่ายในวัฏสงสาร
จิตจะมีความวางเฉย ในความเบื่อหน่ายนั้น
เบื่อหน่าย เพราะจะไม่กลับไปปนเปื้อน อยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดอีก
วางเฉย เพราะเห็นเป็นธรรมดา
* จิตนั้น ย่อมสว่าง รุ่งเรือง *
พระอรหันต์ จึงเป็นผู้หมดจากความทุกข์ เป็นผู้ไม่ทุกข์อีกต่อไป
แม้จะครองกายหยาบ หรือจะไม่ครองก็ตาม..
พระอรหันต์ คือ ผู้ที่สามารถประพฤติปฏิบัติตนจนละสังโยชน์ได้ ทั้ง 10 ประการ
10 ข้อ การสลัดกิเลสออกจากตน ทั้งกิเลสแบบหยาบ และแบบละเอียด
กิเลสที่จะลุ่มหลง ในกายหยาบ กิเลสที่จะลุ่มหลง ในความละเอียดอ่อนบนโลกทิพย์
ไม่ว่าจะเป็น พรหมโลก หรือว่าเป็นเทวโลก คือ โลกแห่งองค์เทพ หรือกายทิพย์ ผู้สูงศักดิ์ ที่มีความสุข ละเอียดประณีตต่างๆ..
ท่านพระอรหันต์ทั้งหลาย.. ย่อมสามารถละสิ่งเหล่านี้ได้
ไม่เห็น ไม่ยินดี ในการเวียนว่ายตายเกิด ว่า.. ยังดีอยู่
ทุกสิ่งปรากฏชัดเจน แก่องค์พระอรหันต์
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น *องค์พระอรหันต์* จึง
เป็นผู้รู้ตื่นอยู่เสมอ
เป็นผู้ที่มีความสุข แบบที่ไม่ใช่สุขของกิเลสตัณหา
เป็นผู้ที่สุข อย่างแท้จริง
สุข.. เพราะว่าตนสงบแล้ว
สุข.. เพราะว่าตนรู้แจ้งแล้ว
สุข.. เพราะว่าตน ดับเชื้อแห่งความทุกข์ทั้งหลายได้แล้ว
สุข.. เพราะว่าไม่ต้องไปวนเวียน เวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์ อีกต่อไป
เหมือนบุคคล ผู้ที่เคยถูกหลอก แต่วันหนึ่งเลิกโดนหลอก
เหมือนบุคคล ผู้ตาบอด แต่วันหนึ่งตากลับดี มองเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
เหมือนบุคคล ผู้หลับอยู่ หลับใหลในกาลเวลาที่ยาวนาน..
.. ฝันเรื่องแล้ว เรื่องเล่า ฝันทุกข์เรื่องนั้น แล้วก็ทุกข์ไปเรื่องอื่น.. อย่างไม่รู้ตื่นเลย
แล้ววันหนึ่ง กลับได้ตื่นจากความฝันเหล่านั้น.. ซึ่งฝันเหล่านั้น ก็มีแต่ทุกข์
มีแต่การพลัดพรากจาก มีแต่ความทรมานกาย ทรมานใจทั้งนั้น !
บุคคล ผู้ที่เข้าถึงซึ่งความเป็นพระอรหันต์แล้วนั้น..
มีสภาวธรรม ความรู้สึก ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นละ..
พระยาธรรมเอย.. ลองพิจารณาเช่นนี้ดูเถิด
ถ้าเกิดจิตของเรา ยังเลอะอยู่ ยังเปื้อนอยู่..
เปื้อนมากเท่าไร.. เราก็จะทุกข์มากเท่านั้น
ถ้าเกิดจิตของเรา สามารถชำระการปนเปื้อนได้มากเท่าไร
.. เราก็จะย่อมมีความเบา ความสบายมากเท่านั้น..
โดยเฉพาะถ้าหากว่าเรา สามารถที่จะชำระจิตของเรา
จนหมดจากเชื้อแห่งกิเลส อย่างสิ้นเชิง
จนจิตของเรา ไม่ต้องกลับไปปนเปื้อนอยู่กับสิ่งเหล่านั้น อีกต่อไป
.. เราย่อมเป็นสุข.. พระยาธรรมเอย
หรือจะเปรียบเสมือน หากว่าเราไม่สบาย
เพราะว่ามีเชื้อแห่งความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
เข้ามาเกาะกินจิตใจของเรา
.. จนทำให้เรานั้น เกิดความทุกข์ทรมาน ดิ้นรนขวนขวาย..
เป็นเหตุให้เรางอกแล้วงอกอีก เกิดแล้วเกิดอีก.. อยู่อย่างนั้น
แต่วันหนึ่ง.. เราสามารถถอดถอน และดับเชื้อเหล่านั้นได้ อย่างสิ้นเชิง
ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป.
พระอรหันต์ท่านนั้น เป็นสุขเช่นนี้ละ พระยาธรรม..
ซึ่งเป็นความสุข ที่แตกต่างจากความสุขโดยทั่วไป
แตกต่างจากสุข ที่เป็นสุขในวัฏสงสารนี้
พระยาธรรมเอย.. เป็นเช่นนี้ละลูก พอจะเข้าใจในธรรมนี้บ้างแล้วหรือยัง ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจ ธรรมที่พระองค์ทรงเมตตาอธิบาย หยิบยกตัวอย่าง สภาวธรรมของผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนตนเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์
.. ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
*พระอรหันต์*
คือ ดวงจิตที่ปราศจากเชื้อแห่งกิเลสตัณหา
คือ ดวงจิตที่เป็นสุข เป็นอิสระ
คือ ดวงจิตที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ไม่ต้องเกิดมาเป็นทาสของใครอีกต่อไป
คือ ดวงจิตผู้หายเจ็บ หายป่วย
คือ ดวงจิตที่มีความสุข ที่ไม่ใช่สุข แบบผู้ที่ยังสุขด้วยกิเลส ด้วยตัณหา
แต่เป็นสุข ที่สุขแบบที่ปราศจากกิเลสตัณหา
ซึ่งเป็นความสุขที่เที่ยงแท้ ไม่มีวันที่จะดับ จะกลับมาทุกข์อีก..
และองค์พระอรหันต์นั้น - ก็ยังเป็นผู้ที่ละกิเลสได้
ทั้งกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด
สามารถละได้ โดยสิ้นเชิง
ไม่หลงในพรหมโลก
ไม่หลงในสภาวธรรม ความละเอียดอ่อน ในที่ใดๆทั้งหมด ในวัฏสงสารนี้
เป็นผู้รู้แจ้งในการเวียนว่ายตายเกิด ว่า..ต่อให้จะดี จะละเอียดประณีตเพียงใด
ก็คือ ทะเลแห่งทุกข์อยู่ดี
เป็นผู้รู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้สว่าง
รู้แจ้ง ตามรอยแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
.. เข้าใจเช่นนี้แล้ว เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง
และนำไปประพฤติ ปฏิบัติ
เผยแผ่ ตามความรู้ ความสามารถของลูกทั้งหลาย.. ที่จะทำได้ ที่จะเข้าใจ
วันนี้ ลูกขอกราบลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูก จะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในโอกาสหน้า เจ้าค่ะ.. สาธุ
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 22 เมษายน 2561
ตอนที่ 322 **พระอรหันต์**
+ +
ในเช้าของวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ สวนธรรมิกราช
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอขึ้นเข้าเฝ้า เพื่อทูลถามถึงสภาวธรรมของ บุคคลผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็น*พระอรหันต์* - พระอริยบุคคลขั้นที่ 4 น่ะเจ้าค่ะ
ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. มีสภาวธรรม แบบไหนบ้าง ?
เพราะลูกพอจะเข้าใจ เรื่องของพระอนาคามีบ้างแล้ว ตามที่พระองค์ทรงแนะนำมา
แต่ลูกยังไม่รู้จักพระอรหันต์ และสภาวธรรมของพระอรหันต์ น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติ ปฏิบัติ และเผยแผ่ ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ทำจิตทำใจ ให้สงบ
น้อมพลังงานที่เย็น คลื่นพลังงานที่ดี.. เข้าสู่ศูนย์กลางกายของตน จนจิตกายภายในนั้น มีดวงแก้วดวงธรรม สว่างไสว - ปรากฏชัดเจนที่จิต และกายแห่งตนเสียก่อน..
.. แล้วจึงค่อยพิจารณาธรรมนี้
เพราะธรรมที่จะกล่าวต่อไปนี้.. เป็นเรื่องของ *องค์พระอรหันต์*
ซึ่งเป็นเรื่องที่ดับจากกิเลสตัณหาแล้ว และมีความละเอียดอ่อน มากยิ่งนัก
ฉะนั้น.. จึงต้องใช้จิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง / ต้องใช้จิตที่มีพลังมากพอ / สงบพอ..
จึงสามารถที่จะพิจารณาธรรมนี้ตามได้
พระยาธรรมเอ๋ย.. ลูกนั้น จงตั้งมั่น ในการสดับฟังธรรม
เพื่อที่ลูกนั้น จะได้น้อมธรรมนี้ ไปประพฤติ ปฏิบัติ และเผยแผ่อย่างถูกต้อง
และทุกคนที่ฟังธรรมนี้.. ก็ควรที่จะฟัง ในรูปแบบเดียวกันกับที่ลูกนั้นทำ
คือ การสำรวม ระวังจิตใจของตน..
อย่าให้ฟุ้งซ่าน
อย่าให้มีทิฐิ อัตตา ขึ้นมาปิดกั้น
อย่าปล่อยให้จิตใจของตนล่องลอย หรือว่า มีความเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา..
-- ต้องปล่อยใจว่างๆ.. แล้วจึงค่อยพิจารณาตาม --
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดวงจิตที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน..
จนเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วนั้น..
พระอรหันต์ จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย
ร่างกายไม่มีในเรา ละความยึดติด ลุ่มหลงในตน ปล่อยวางทุกอย่าง มีเหมือนไม่มี
จึงหลุดพ้นจากความทุกข์ จากความไม่เที่ยงแท้ ที่แปรผันไป
ตอนที่ ๓๒๔ พระอรหันต์ละความลังเลสงสัย
พระอรหันต์ จะไม่ลังเลสงสัย ในคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ไม่ลังเลสงสัยในกฎของกรรม และกฎของความไม่เที่ยง เป็นผู้ปฏิบัติเข้าถึงธรรม
แจ่มแจ้งในความจริงเหล่านี้ จึงไม่มีความทุกข์
ตอนที่ ๓๒๕ พระอรหันต์กับการรักษาศีล
พระอรหันต์เป็นผู้มีปัญญา รู้แจ้งในสรรพสิ่ง จึงรักษาศีล ที่สมาทานอย่างไม่บกพร่อง
จนศีลอยู่ในจิตกายใจ ไม่มีวันหวนไป ทำความชั่วอีก จึงรักษาศีลปรับประยุกต์
เข้ากับยุคสมัย โดยไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป อยู่ในทางสายกลางอย่างแท้จริง
ตอนที่ ๓๒๖ พระอรหันต์กับการละกามราคะ *****
พระอรหันต์ จะรู้แจ้ง ในความเป็นจริงของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์
เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ ที่แปรเปลี่ยนไป จึงไม่ยึดติด ลุ่มหลง ในสิ่งใดอีกต่อไป
จึงไม่มีความทุกข์
ตอนที่ ๓๒๗ พระอรหันต์กับสิ่งที่มากระทบใจ
ผู้สำเร็จธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วนั้น เมื่อมีสิ่งมากระทบใจ จะเข้าใจ
รู้แจ้งในความเป็นธรรมดา ซึ่งเป็นไปตามกฎของกรรม ตามกฎของความไม่เที่ยง
จะยอมรับความเป็นจริง จิตจะนิ่งวางเฉย ไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา
ตอนที่ ๓๒๘ พระอรหันต์ละความหลงในสิ่งที่มีรูป
พระอรหันต์ไม่หลงใหล ใฝ่ฝันในสิ่งใด ไม่ว่าสิ่งทั้งหลาย จะมีรูปสวย
มีความละเอียดประณีต เช่นใด ่ทางจิตใจก็ไม่ลุ่มหลง ในฌานที่มีรูป เห็นเป็นธรรมดา
ในความไม่เที่ยงแท้ ปล่อยวางทุกอย่าง เลยไม่มีเหตุให้เป็นทุกข์
ตอนที่ ๓๒๙ พระอรหันต์ละความหลงในสิ่งที่ไม่มีรูป
พระอรหันต์ จะไม่ยึดติดในสิ่งใด แม้แต่สิ่งที่ไม่มีรูป สัมผัสจับต้องไม่ได้ รับรู้ได้ทางจิตใจ เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา จึงไม่หลงในสิ่งใด แม้แต่อรูปฌาน
ตอนที่ ๓๓๐ พระอรหันต์ละการยกตน
พระอรหันต์ จะไม่นำตนไปเปรียบเทียบ กับบุคคลผู้อื่น ว่าเขาดีกว่าตน เขาเสมอตน
หรือเขาด้อยกว่าตน จะเห็นทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งสมมุติ ยึดถือเอาไว้ไม่ได้
แม้แต่ตัวตนของตน ก็ไม่มีอยู่จริง
จึงปล่อยวาง ไม่เห็นความแตกต่าง ในสมมุติที่เป็นเขาเป็นเรา
ตอนที่ ๓๓๑ พระอรหันต์กับความฟุ้งซ่าน
บุคคลผู้ที่ยังไม่สำเร็จเป็นองค์พระอรหันต์ จะฟุ้งซ่านว่า จะไปถึงพระนิพพานไหม
จะไปดีหรือไม่ดี พระนิพพานเป็นเช่นใด
แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ความคิดคำนึงเหล่านี้ จะหายไป
เพราะรู้แจ้งถึงสภาวธรรมความเป็นจริงนั้นแล้ว
ตอนที่ ๓๓๒ พระอรหันต์ละความไม่รู้
พระอรหันต์ เป็นผู้ละแล้วซึ่งอวิชา ความไม่รู้ ความหลงในสิ่งใด
แม้แต่ความสุขในสวรรค์ ในพรหมโลก
ก็ไม่สามารถทำให้องค์พระอรหันต์ ติดอยู่ ในความสุขเหล่านั้นได้
จึงเป็นเป็นผู้ดับการเกิด ไม่กลับมาเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป
ผู้สำเร็จธรรมเป็นพระอรหันต์ ดวงจิตจะเป็นอิสระ ปราศจากสิ่งครอบงำ
จะอยู่ที่ไหนไม่มีความแตกต่าง อยู่เหมือนไม่อยู่ มีเหมือนไม่มี ไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งใด เสร็จกิจที่ต้องทำ จิตจึงอยู่ว่างๆ วางอุเบกขาอารมณ์
...ตอนที่ ๓๓๔ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๑
แนวทางการปฏิบัติ เพื่อความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จะต้องรู้จักความทุกข์ เคยพบประสบทุกข์ หรือเคยเห็นทุกข์มาก่อน จึงจะหาหนทางดับความทุกข์ ซึ่งต้องรู้ในเหตุของความทุกข์ แล้วจึงดับความทุกข์ด้วยศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา ตามที่พระพุทธองค์ชี้บอก ก็สามารถนำจิตตนให้พ้นจากความทุกข์ จนถึงความเป็นพระอรหันต์ได้
...ตอนที่ ๓๓๕ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๒
การใช้ทานบารมีนำ ในการสร้างความดี ทานแรงกาย ทานวาจา ทานสิ่งของข้าวของที่ได้มา ให้อภัยทาน พร้อมการรักษาศีล บางครั้งออกบวชเนกขัมมบารมี เติมเต็มความดี จนรู้แจ้งตามความเป็นจริง จึงดับอัตตา สลายตัณหา ละความยึดติด ปล่อยวางทุกอย่างที่มี เข้าถึงความหลุดพ้น สำเร็จตนเป็นองค์อรหันต์
...ตอนที่ ๓๓๖ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๓
แนวทางการปฏิบัติอีกแบบ เมื่อได้ทำสมาธิ เข้าถึงความสงบดีแล้ว ให้พิจารณาร่างกาย จะแยกตามธาตุทั้งสี่ หรือพิจารณาแยกขันธ์ทั้งห้า ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถอดถอนความยึดติด ดับความยึดถือ จนเห็นแจ้งในจิตที่ซ้อนอยู่ข้างใน ถอดถอนภายในจิต ไปถึงความไม่มีอยู่จริง จะเข้าถึงสภาวธรรมของพระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๓๗ การปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แบบที่ ๔
การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ไม่ต้องสนใจผู้อื่น ให้ดูจิตกายใจของตนเอง ว่ามีกิเลส ตัณหา อยู่มากน้อยเท่าใด มีสังโยชน์ใด ที่ยังเหลืออยู่ ให้ทำการชำระถอดถอนไปเรื่อยๆ จนไม่มีสิ่งใดมาร้อยรัดดวงจิตแล้ว จึงจะเป็นผู้พ้นจากความทุกข์ เข้าถึงพระนิพพาน
... ตอนที่ ๓๓๘ เคล็ดลับการเป็นพระอรหันต์
เคล็ดลับการปฏิบัติ เพื่อความสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แบบง่ายๆ เป็นทางลัดตัดเข้าสู่พระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๓๙ สายการปฏิบัติของพระอรหันต์
...ตอนที่ ๓๔๐ พระอรหันต์สายสุกขวิปัสสโก
พระอรหัรต์สายนี้ จะใช้ความดีนำ ทำความดีไป อย่างไม่ลังเลสงสัย ไม่อยากรู้เรื่องของใคร ไม่ลองผิดลองแต่ถูก จนชำระกิเลสดับตัณหาได้ในตน สำเร็จผลเข้าสู่พระนิพพาน
...ตอนที่ ๓๔๑ สุกขวิปัสสโกกับความเป็นทิพย์
พระอรหันต์สายสุขวิปัสสโก จะเป็นผู้ไม่ค่อยลังเลสงสัย
จะทำสิ่งใดก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำ กรรมฐานก็ทำได้ ไม่จำกัดว่ากองใด
แต่เมื่อไม่ลังเลสงสัย ก็ไม่รู้จะดูสิ่งนั้น สิ่งนี้ไปทำไม ให้วุ่นวายใจ
แค่เอามาพิจารณาถอดถอนร่างกาย จิตใจให้พ้นทุกข์ก็พอ
...ตอนที่ ๓๔๒ พระอรหันต์สายเตวิชโช
บุคคลผู้มีความลังเลสงสัย ถ้าไม่ได้รู้เห็นด้วยตนเอง ก็จะไม่ยอมรับที่จะเชื่อ
จึงต้องมียาขนานนี้ มาเพื่อรักษาดวงจิตเหล่านี้ ให้หายจากความสงสัย
มีวิชาสามอย่าง คือ
๑. ปุเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติที่แล้วๆ มาได้
๒. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าสัตว์ที่ตายไปแล้ว และเกิดมานี้ ตายแล้วไปไหน
ก่อนเกิดมาจากไหน
๓. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวกิเลสให้สิ้นไป
...ตอนที่ ๓๔๓ พระอรหันต์สายฉฬภิญโญ
พระอรหันต์สายฉฬภิญโญ หรือสายอภิญญาหก จะมีความสามารถพิเศษ
เพื่อมาช่วยในการดับกิเลสตัณหา สลายอัตตาตัวตน ๖ อย่าง คือ
๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
๒. ทิพพโสต มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
...ตอนที่ ๓๔๔ พระอรหันต์สายปฏิสัมภิทัปปัตโต
พระอรหันต์สายปฏิสัมภิทัปปัตโต มีปฏิสัมภิทา 4 (ปัญญาแตกฉาน)
1. ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมหรือความย่อ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร
2. ปัญญาแตกฉานในธรรม เห็นอรรถาธิบายพิสดาร ก็สามารถจับใจความมาตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อได้ เห็นผลอย่างหนึ่ง ก็สามารถสืบสาวกลับไปหาเหตุได้
3. รู้ศัพท์ ถ้อยคำบัญญัติ และภาษาต่างๆ
เข้าใจใช้คำพูดชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้
4. มีไหวพริบ ซึมซาบในความรู้ที่มีอยู่ เอามาเชื่อมโยงเข้าสร้างความคิดและเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้สบเหมาะ เข้ากับกรณีเข้ากับเหตุการณ์
🌕 จิตอวิชชา 🌖
มันต้องปฏิบัติที่จิตเดิมแท้ "วิญญาณ" นี่แหละ มันมี "อวิชชา" อยู่
ก็ต้องให้มันเข้าใจที่ถูกต้องว่าตัวตนมันไม่มีหรอก มันมีแต่ความรู้ ตัวตนมันไม่มี แต่กลายเป็นในความรู้มีตัวตน มีตัวเราซะ มันก็เลยสร้างเป็นกายโปร่งแสงไว้
แต่ถ้ามันมีแต่ความรู้ ไม่มีตัวตนของเราหรอก
"วิญญาณ" มันมีแต่ความรู้ ตัวตนมันไม่มี
มันก็เลยมีแต่ความรู้ที่ว่างเปล่าเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แม้แต่ขันธ์ห้ายังไม่ตายมันก็เป็นความรู้ที่ว่างเปล่า ไม่มีตัวตน
มันต้องปฏิบัติที่จิตนั่นแหละ ให้จิตมันหายโง่ มันยังเป็นอวิชชา คือมันยังโง่อยู่ ก็ให้มันหายโง่
ให้มันเข้าใจให้ถูกต้อง
โอวาทธรรมส่วนหนึ่งจากไฟล์เสียง
"191210A-1 วิญญาณที่มีอวิชชา ตอนที่ 1"
------------
สิ่งใดปรุงแต่งเกิดดับได้ เรียกว่า "สังขาร"
ส่วน "วิสังขาร" จะคิดปรุงแต่งยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราไม่ได้
ดังนั้น ความปรุงแต่งหลงยึดถือขันธ์ห้า หรือ หลงยึดถือใจ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา นั้น
ก็เป็นเพียงสังขารที่ปลอมปนผสมอยู่ใน “วิสังขาร”
เป็นเหมือนผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำ
แต่สำหรับผู้ที่เฝ้าสังเกตจิตใจของตนเองอยู่เงียบ ๆ
ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และ ขันติ
โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู
ซึ่งระหว่างการฝึกอย่างหนัก จะหลงมีตัวตนของผู้เฝ้าดูเสียก่อน โดยหลงยึดถือว่า เราเป็นผู้เฝ้าดู หรือ ผู้เฝ้าดูเป็นตัวเรา
ความรู้สึกว่าเราเป็นผู้เฝ้าดู หรือ ผู้เฝ้าดูเป็นตัวเรานั้น
จะเป็นเหมือนกับผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำบริสุทธิ์
ซึ่งเป็น “อวิชชา” ตัวจริง
แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าผู้เฝ้าดูนั้น เป็นสังขาร
เพราะสามารถคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ได้ เช่น มีเจตนา จงใจ ตั้งใจ พยายามที่เริ่มต้นจะดูจิต
มีความแทรกแซง มีความอยาก มีความพยายาม ดิ้นรน ค้นหา สงสัย มีความเพ่ง จ้อง เน้น กด ข่ม บังคับ กดดันตนเอง หงุดหงิดเมื่อปฏิบัติไม่ได้อย่างใจอยาก มีความสุขใจสบายใจ เมื่อปฏิบัติได้อย่างใจอยาก
ปรุงแต่งยึดถือว่าเราเป็นผู้ดู เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้เห็น
เราเป็นผู้รู้แจ้ง เราถึงธรรม เราบรรลุนิพพาน..... เป็นต้น
เมื่อรู้เท่าทันสังขารที่ปรุงแต่งเป็นเรา หรือ ตัวเราผู้เฝ้าดูจิตแล้ว ก็ไม่หลงทำตามสังขาร ที่ปรุงแต่งเป็นเราหรือตัวเราเริ่มต้นมีเจตนา จงใจ ตั้งใจ หรือ พยายามจะดูจิต หรือ แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวในปัจจุบันขณะนั้นเสีย
และไม่หลงไปพยายามดับเขา
แล้วสังขารในปัจจุบันขณะก็จะเกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง.......... โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู ไม่มีตัวตนของเราไปรองรับหรือไปยึดถือสิ่งเกิดดับ
ก็จะรู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า สังขารในปัจจุบันขณะที่เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง..... โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู ไม่มีตัวเราของเราไปยึดถือรองรับนั้น เกิดดับในความว่าง
ที่ไม่ปรากฏอะไรเลย
แต่ถ้าหากรู้ไม่เท่าทัน ก็จะหลงมีตัวตน มีเรา หรือ มีตัวเรา
เป็นผู้หลงยึดถือความว่าง และ รังเกียจสังขารที่เกิดดับ
ถ้าสังเกตให้ดี ๆ โดยไม่มีตัวตนของผู้สังเกต หรือ ไม่หลงมีตัวเราเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ก็จะรู้เท่าทันความหลงเอาสังขารมายึดถือ "วิสังขาร" ซึ่งเป็นความไม่มีอะไรปรากฏ
โดยหลงสังขารปรุงแต่งเป็นความอยากพ้นทุกข์
หรือ อยากเป็นวิสังขารอย่างถาวร ซึ่งมันเป็นอวิชชา เหมือนกับผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำที่บริสุทธิ์
แต่สำหรับผู้มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และขันติอย่างต่อเนื่อง ก็จะสังเกตเห็นว่ายังหลงยึดถือว่าผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้เงียบ สงบ สงัด ผู้ถึงความว่าง ผู้นิพพานเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ยังมีกิเลส มีความทุกข์ มีความกังวล มีความผ่องใสแล้วเศร้าหมองได้ มีความรู้สึก นึก คิด ตรึก ตรอง วิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย สงสัย ดิ้นรนค้นหา ยังโหยหานิพพาน มีการปรุงแต่งพูดพากษ์อยู่ในใจคนเดียวเหมือนคนบ้าอยู่ตลอดเวลาได้ หรือ มีอาการต่าง ๆ เกิดดับได้
ถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็จะหลงไปเป็นสังขารเหล่านี้
เกิดเป็น “อวิชชา” ห่อหุ้มจิตหรือใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นความว่างไว้ภายใน เป็นเหมือนกับลูกโป่งวิทยาศาสตร์ หรือ ลูกโป่งฟองสบู่ ที่เด็กเอามาเป่าเล่น ที่ห่อหุ้มความว่างไว้ภายใน โดยจะหลงมีเรา ตัวเรา ตัวตนของเราอยู่ในห้องว่าง
เมื่อรู้เท่าทันว่าหลงเอาสังขารมาปรุงแต่งยึดถือจิตหรือใจบริสุทธิ์ ก็จะสิ้นหลง
จิตหรือใจจึงเป็นความบริสุทธิ์ หรือ นิพพานแท้จริง ๆ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
"..ธรรมบทเดียวกัน
บางท่านฟังแล้วไม่ได้อะไรเลย
บางท่านฟังแล้วสำเร็จโสดาบัน
บางท่านฟังแล้วสำเร็จสกิทาคามี
บางท่านฟังแล้วสำเร็จอนาคามี
บางท่านฟังแล้วสำเร็จอรหันต์
บางท่านฟังแล้วตกนรก
เพราะเพ่งโทษธรรม
สิ่งที่สัตว์โลก
เป็นเหมือนกันก็คือ..
เมื่อฟังธรรมแล้ว..
ต่างคนก็ต่างจะน้อมธรรม
เข้าสู่กิเลสของตน
กิเลสที่ต่างกัน..
ทำให้ผลของธรรม
บทเดียวกัน ออกมาต่างกัน.."
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ) หนองสููง มุกดาหาร
**....จิตอรหันต์ ..ไม่.๑๐ อย่าง **
๑ไม่กลัว
๒ ไม่ตกใจ
๓.ไม่ ขี้เกียจ
๔. ไม่ง่วง
๕. ไม่หลง
๖. ไม่ฟุ้งซ่าน
๗. ไม่หิว(ทะยานอยาก)
๘. ไม่ เกิดตาย
๙. ไม่ขุ่นเคือง
๑๐.ไม่ดีใจเสียใจ
มโนธาตุ โพธิญาณ
ข้อปฏิบัติ ๑๒ ประการ เพื่อบรรลุอรหัตตผล คือ
(๑) ศรัทธา
(๒) การเข้าไปหา
(๓) การนั่งใกล้
(๔) การเงี่ยโสตลงสดับ
(๕) การฟังธรรม
(๖) การทรงจำธรรม
(๗) การพิจารณาเนื้อความ
(๘) ความเพ่งพินิจธรรม
(๙) ฉันทะ
(๑๐) อุตสาหะ
(๑๑)การไตร่ตรอง
(๑๒) การอุทิศกายและใจ
***********
[๑๘๓] ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการบรรลุอรหัตตผลด้วยขั้นเดียวเท่านั้น แต่การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขา โดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ
การบรรลุอรหัตตผล ย่อมมีได้ด้วยการบำเพ็ญสิกขาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญกิริยาโดยลำดับ ด้วยการบำเพ็ญปฏิปทาโดยลำดับ เป็นอย่างไร?
คือ กุลบุตรในศาสนานี้ เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหาย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลงสดับ เงี่ยโสตลงสดับแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมแล้วย่อมทรงจำไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงจำไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมควรเพ่งพินิจ เมื่อมีการเพ่งพินิจธรรมอยู่ ฉันทะย่อมเกิด กุลบุตรนั้นเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมอุทิศกายและใจ เมื่ออุทิศกายและใจแล้ว ย่อมทำให้แจ้งสัจจะอันยอดเยี่ยมด้วยนามกาย และเห็นแจ่มแจ้งสัจจะอันยอดเยี่ยมนั้นด้วยปัญญา
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าศรัทธาไม่มี การเข้าไปหา การนั่งใกล้ การเงี่ยโสตลงสดับ การฟังธรรม การทรงจำธรรม การพิจารณาเนื้อความ ความเพ่งพินิจธรรม ฉันทะ อุตสาหะ การไตร่ตรอง และการอุทิศกายและใจก็ไม่มี เธอทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติพลาดเป็นผู้ปฏิบัติผิด โมฆบุรุษเหล่านี้ได้ก้าวออกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเท่าไร?
[๑๘๔] ภิกษุทั้งหลาย คำอธิบายสัจจะ ๔ ประการมีอยู่ เมื่อยกคำอธิบายดังกล่าวขึ้นมาแสดง วิญญูชนพึงเข้าใจเนื้อความได้ด้วยปัญญาในไม่ช้า เราจักแสดงแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจักเข้าใจถึงเนื้อความได้”
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นคนเช่นไร และผู้เข้าใจถึงธรรมได้ เป็นคนเช่นไร”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ศาสดาใดเป็นผู้หนักในอามิส รับแต่อามิสอยู่ ข้องอยู่ด้วยอามิส แม้ศาสดานั้นก็ยังไม่ต่อรองเลยว่า ‘เมื่อสิ่งเช่นนี้พึงมีแก่เรา เราพึงทำสิ่งนั้น เมื่อสิ่งเช่นนี้ไม่พึงมีแก่เรา เราก็ไม่พึงทำสิ่งนั้น’ ตถาคตไม่ข้องอยู่ด้วยอามิสโดยประการทั้งปวงจะสมควรกับการต่อรองหรือ สาวกผู้มีศรัทธาผู้ทำตามคำสั่งสอนของศาสดา ย่อมมีหลักปฏิบัติว่า ‘พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดา เราเป็นสาวก พระผู้มีพระภาคทรงรู้ เราไม่รู้’
คำสอนของศาสดาย่อมงอกงามมีโอชาแก่สาวกผู้มีศรัทธา ผู้ทำตามคำสั่งสอนของศาสดา
สาวกผู้มีศรัทธา ผู้ทำตามคำสั่งสอนของศาสดา ย่อมมีหลักปฏิบัติว่า...
‘หนัง เอ็น และกระดูกจงเหือดแห้งไปเถิด เนื้อและเลือดในสรีระของเรา จงเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อเรายังไม่บรรลุผลที่พึงบรรลุด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรนั้น’
ภิกษุทั้งหลาย สาวกผู้มีศรัทธา ผู้ทำตามคำสั่งสอนของศาสดา จะพึงหวังได้ผลอย่าง ๑ ใน ๒ อย่าง คือ (๑) อรหัตตผลในปัจจุบัน (๒) เมื่อมีอุปาทานเหลืออยู่ก็จะเป็นอนาคามี”
………
ข้อความบางตอนใน กีฏาคิริสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓
http://www.84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=13&siri=20
อรรถกถากีฏาคิริสูตร http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=13&i=222
หมายเหตุ ข้อปฏิบัติ ๑๒ ประการ เพื่อบรรลุอรหัตตผล คือ (๑) ศรัทธา (๒) การเข้าไปหา (๓) การนั่งใกล้ (๔) การเงี่ยโสตลงสดับ (๕) การฟังธรรม (๖) การทรงจำธรรม (๗) การพิจารณาเนื้อความ (๘) ความเพ่งพินิจธรรม (๙) ฉันทะ (๑๐) อุตสาหะ (๑๑)การไตร่ตรอง (๑๒) การอุทิศกายและใจ
นอกจากนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสสอนให้ภิกษุยึดหลักศรัทธาว่า พระผู้มีพระภาคเป็นศาสดา ตนเป็นสาวก ควรปฏิบัติตามคำสั่งสอนด้วยความเพียรอย่างสูงสุดคือ ตั้งใจว่า “แม้หนัง เอ็น กระดูก เนื้อและเลือด จะเหือดแห้งไป ถ้ายังไม่บรรลุ อรหัตตผลก็จักไม่ลุกขึ้น”
ทรงสรุปว่า สาวกผู้มีศรัทธาเมื่อปฏิบัติตามที่ทรงแนะนำจะได้รับผล ๒ อย่าง คือ อรหัตตผล หรืออนาคามิผล
เมื่อ จิต เข้าถึงความว่าง หรือความเป็นกลางโดยสมบูรณ์แล้ว จิตจะดำรงอยู่ในสภาวะดังกล่าว เว้นจากการแสวงหา ความยึดมั่น ไม่มีตัวตน มีแต่กระแส รู้ แห่งความบริสุทธิ์ ในการที่จะรับรู้กับ สิ่งต่างๆ รอบข้างเป็นอย่างดี รู้แล้วปล่อยๆ ไม่เกาะเกี่ยวหลงยึดอีก...
Trader Hunter พบธรรม