เอกายนมรรค
.
การกำหนดลมหายใจนี้ จะต้องพยายามตัดสัญญาอารมณ์ภายนอกออกให้หมด เพราะถ้ามีนิวรณ์มากแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะสังเกตความละเอียดของจิตและลมได้
.
ลมที่อยู่ภายในร่างกายนั้น แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในหัวใจและปอด ส่วนหนึ่งอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกส่วนหนึ่งอยู่ทุกต่อมโลหิตทั่วสรีระร่างกาย ทั้งหมดนี้เป็นลมที่มีลักษณะไหวตัวอยู่เสมอ แต่มีอีกส่วนหนึ่งเป็นลมเฉย ๆ มีลักษณะว่างและเบา ลมนี้กั้นอยู่ชิดกะบังลม ระหว่างหัวใจและปอดกับกระเพาะอาหารและลำไส้ เป็นลมที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหวตัวเหมือนกับลมที่อยู่ในปอดและหัวใจ ซึ่งเป็นลมกลั่น ลมนี้มีลักษณะเบาเหมือนก้อนสำลีที่กลิ้งไปบนกระดาษ ไม่ทำความกระทบกระเทือนอันใดให้เกิดขึ้นแก่ส่วนอวัยวะของร่างกายเลย ส่วนลมที่มีอาการไหวตัวนั้น เมื่อปะทะกับเส้นโลหิตก็มีลักษณะร้อน อุ่น และบางทีก็เป็นกากออกมาทางจมูก ธาตุลมนี้ถ้ามีเป็นส่วนมาก ธาตุไฟก็จะมีเป็นส่วนน้อยและทำให้โลหิตเย็น ถ้าธาตุลมมีส่วนน้อย ธาตุไฟก็มีส่วนมาก และทำให้โลหิตร้อน ส่วนเวทนาที่เกิดขึ้นจากการผสมธาตุถูกส่วนนี้ก็คือ ความสบาย เฉย ๆ สบายเย็น ๆ สบายว่าง ๆ เหมือนกับเรามองขึ้นไปในอากาศว่าง ไม่มีอะไรขัดตา บางครั้งก็มีความรู้สึกว่าง สบาย เย็น แต่ไหวตัวนี้เรียกว่า ปีติ
.
ทางที่ดีที่สุด ให้เอาจิตไปไว้กับลมว่าง ๆ ส่วนการใช้ลมให้เป็นประโยชน์ หมายความว่า ให้ขยายเวทนาอันใดอันหนึ่ง ซึ่งมีน้ำหนักมากที่สุด เช่นเห็นมาก หรือว่างมาก หรือสบายมาก หรือมีอาการไหว แต่อาการไหวนี้ไม่ควรใช้ ให้ใช้แต่ความว่าง ความเย็น และความเบา การใช้คือ ขยายวงให้กว้าง ให้มันว่างไปทุกส่วนในร่างกาย นี่เรียกว่ารู้จักใช้เวทนาที่มีอยู่ แต่การใช้เวทนานี้ต้องมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ มิฉะนั้น ถ้าเกิดความรู้สึกว่างหรือเบาขึ้นแล้ว เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่า ไม่มีตัวจริง ๆ อย่างนี้ก็ไม่ใช้
.
ส่วนการขยายเวทนานั้น จะขยายทีละอย่าง หรือจะขยายพร้อมกันก็ได้ แต่ต้องได้รับความเสมอภาคกันทั้งหมด และกำหนดกายทั้งก้อนให้เป็นอารมณ์อันเดียว ซึ่งเรียกว่า“เอกายนมรรค” ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ก็เปรียบเหมือนกับผ้าขาวทั้งผืน ที่เรากำเข้ามาไว้ในกำมือได้ หรือจะคลี่ออกให้ถึงวาก็ได้ หรือร่างกายของเราซึ่งหนัก ๕๐ กิโลกรัม แต่อาจรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักเพียง ๑ กิโลกรัมเท่านั้น อย่างนี้เรียกว่า “มหาสติปัฏฐาน”
.
เมื่อสติเซิบไปทั่วร่างกายดังนี้ ธาตุทุกส่วนก็จะมีงานทำทั่วกันหมด เหมือนคนเราที่ช่วยกันทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่างคนก็ต่างแบก ต่างคนก็ต่างหาม มิช้า งานนั้นก็จะสำเร็จ เบาสบาย เหมือนไส้ตะเกียงเจ้าพายุที่ถูกไฟเผาทั่วทุกเส้นด้าย ย่อมเกิดความเบา สว่าง และขาวรอบตัวของมัน ฉันใด ถ้าเราสุมจิตของเราด้วยสติสัมปชัญญะ ให้เกิดความรู้สึกทั่วตัวแล้วจิตและกายของเราก็จะเบา เหมือนกับไส้ตะเกียงเจ้าพายุฉะนั้น
.
เมื่อเรานึกขึ้นด้วยอำนาจของสติ ก็จะเกิดความสว่างรอบคอบขึ้นในตัวทันที อันความเจริญในร่างกายและในทางจิตใจ ซึ่งสามารถที่จะนั่ง นอน ยืน เดิน ได้อย่างผิดธรรมดา เช่นนั่งหรือยืนได้นาน ๆ โดยไม่เมื่อย เดินได้ไกล ๆ โดยไม่เหนื่อย กินน้อยผิดธรรมดาก็ไม่หิว หรืออดกินอดนอนได้หลาย ๆ วัน โดยไม่เสียกำลัง อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นผลซึ่งเกิดขึ้นทางกาย ซึ่งเราบริหารในส่วนสุขวิทยา
.
ส่วนทางดวงจิตก็ได้รับความเจริญ กล่าวคือความบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลทินเครื่องปกปิด จิตก็สว่างเบากระจ่างแจ้ง คล่องแคล่ว สว่างไสว ว่องไว และกล้าหาญ เป็น “จิตฺตปุญฺตา” ความเชื่อคือ สทฺธาพลํ ก็แล่นไปเหมือนกับรถที่แล่นไปตามถนนโดยไม่หยุดยั้ง วิรยพลํ ความเพียรก็เร่งรัดก้าวหน้า ไม่ท้อถอย สติพลํ สติก็แก่กล้า สามารถที่จะกำหนดรู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคตได้ เช่น บุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ จุตูปปาตญาณ เป็นต้นญาณนี้ก็คือตัวสติ ถ้าสติแก่กล้าแล้ว ก็ย่อมสามารถที่จะรู้เรื่องกรรมดี กรรมชั่ว และกำเนิดชาติภพของมนุษย์ในโลกได้ สมาธิพลํ จิตก็ตั้งอยู่ในสมาธิอย่างแน่วแน่และมั่นคง ซึ่งอิริยาบถทั้งหลายไม่สามารถที่จะไปฆ่าสมาธิของจิตได้คำที่ว่า “อิริยาบถไม่สามารถฆ่าสมาธิได้” นั้น หมายความว่า ถึงแม้เราจะนั่ง จะยืน จะเดินจะพูด หรือทำอะไร ๆ อยู่ก็ตาม เมื่อจิตนึกจะทำสมาธิเมื่อใด ก็เป็นสมาธิได้เมื่อนั้น คือพอต้องการนึกก็ได้ทันที เมื่อจิตมีกำลังแห่งสมาธิมั่นคงเช่นนี้ ก็สามารถที่จะเจริญวิปัสสนาได้อย่างง่ายดาย ปัญญาพล ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเหมือนกับหอกหรือมีดที่คมทั้ง ๒ ด้าน คือความรู้ที่แล่นเข้าไปก็มีคม ความรู้ที่แล่นออกมาก็มีคม
.
เมื่อกำลังทั้ง ๕ ประการนี้เกิดขึ้นในดวงจิตของบุคคลผู้ใด จิตของผู้นั้นก็จะมีความเป็นใหญ่โดยสมบูรณ์ เช่น สทฺธินฺทฺริยํ วิริยินฺทฺริยํ สตินฺทฺริยํ สมาธินฺทฺริยํ และ ปญฺญินทริยํ ต่างฝ่ายต่างก็มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเอง ธรรมดาของผู้ใหญ่นั้นย่อมมีนิสัยไม่เกะกะและจะทำอะไรก็สำเร็จ ส่วนเด็กนั้นมักไถลถลาก และทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นเมื่อผู้ใหญ่ทั้ง ๕ คน เกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อใด ก็สามารถที่จะสั่งงานหรือบริหารกิจการให้สำเร็จได้ทุกอย่าง จิตก็จะมีอำนาจเป็น “มโนมยิทธิ” สามารถที่จะระเบิดสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ให้พินาศหมดสิ้นไปจากใจได้ ที่เรียกว่า อนุสัยกิเลส คือทำความพินาศฉิบหายให้แก่กิเลสได้ทุกอย่าง เหมือนกับระเบิดปรมาณู ซึ่งทำความพินาศฉิบหายให้แก่โลกได้ทุก ๆ แห่ง
.
ฉะนั้นเมื่อมีอำนาจเกิดขึ้นทางใจเช่นนี้ วิปัสสนาญาณก็จะเกิดขึ้น เหมือนกับหอกที่มีคมซึ่งใช้ได้ทั้ง ๔ ด้าน หรือเหมือนกับเลื่อยวงเดือน ซึ่งมีกงจักรหมุนไปรอบ ๆ ตัวของมัน ร่างกายก็เหมือนกับแผ่นไม้ที่วางตัวเลื่อย จิตก็เหมือนกับตัวเลื่อย เมื่อหมุนไปทางไหนก็ย่อมตัดสิ่งต่าง ๆที่ป้อนเข้าไปนั้นได้ขาดหมด นี้แหละเรียกว่าวิปัสสนาญาณ นี่กล่าวถึงอำนาจอานิสงส์ของการที่เราทำลมละเอียด แล้วสามารถขยายลมละเอียดนั้นให้เกิดเป็นคุณประโยชน์ขึ้นได้อย่างไรในทางจิตและทางกาย เหตุนั้นจึงควรที่เราจะต้องน้อมนำเข้าไปให้ เพื่อให้บังเกิดคุณประโยชน์แก่ตนเองบ้างตามสติกำลังที่จะทำได้
.
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)
วัดอโศการาม ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๕ ฉบับที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๔