"จิตว่างคืออะไร"
จิตว่าง คือ สภาวะที่จิตว่างจากความคิดปรุงแต่ง รับรู้ทุกอย่างแต่ไม่ปรุงแต่งใด ๆ
จิตจะทรงความว่างได้นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในสภาวะการปรุงแต่งและการฝึกหัดขัดเกลา ลดละความปรุงแต่งเหล่านั้น ในคนที่เข้าใจครอบคลุมลงไปถึงเรื่องของความหลงปรุงแต่งหรือหลงคิดได้มากแล้ว จิตก็จะทรงความว่างได้มากขึ้นตามลำดับเพราะมีสติที่เป็นมหาสติคอยตักเตือนมิให้หลงง่าย จึงอยู่ในสภาวะที่ว่างรับรู้ได้มากขึ้นนั่นเอง
ตัวชี้วัดความเป็นผู้มีจิตว่าง
ตัวชี้วัดตัวหนึ่งที่ทำให้เราสามารถทราบได้ว่า เรามีจิตว่างได้มากน้อยแค่ไหน สามารถสังเกตได้จากธรรมารมณ์ คือ อารมณ์หรือพลังงานภายนอกที่มากระทบจิต หรือจะเรียกว่า จิตสัมผัส หรือ สัมผัสที่หกก็ได้ (สัมผัสทั้งหกคือ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ นั่นเอง) ตรงนี้มีมากน้อยแค่ไหน
เช่น เรารับพลังพุทธคุณของพระสร้อยห้อยคอได้มั้ยเวลาเราจับองค์ท่านขึ้นมาดู หรือเราสวมใส่อยู่ เราเดินไปวัดหลวงพ่อหรือวัดอื่น ๆ สัมผัสคลื่นพลังงานเย็น ๆ สบาย ๆ หรืออย่างไรได้บ้างมั้ย เราอยู่ใกล้คนโทสะจริต เรารับคลื่นความอึดอัดขุ่นใจของเขาได้มั้ย เราอยู่ใกล้พระอริยเจ้า เราสัมผัสพลังความโล่งโปร่งเบาสบายของท่านได้หรือไม่ เราไปตลาดเดินผ่านเขียงหมู เขียงปลา เราสัมผัสพลังงานอะไรได้บ้าง กับคนใกล้ตัว คนในบ้าน เวลาอยู่ด้วยกัน นั่งรถไปด้วยกัน เรารับรู้ถึงคลื่นอารมณ์ภายในของเขาได้มั้ยว่า เค้ากำลังรู้สึกอย่างไร ตรงนี้น่าศึกษา นี่ถือว่าเป็นตัวชี้วัดความว่างของจิตของเราได้อย่างหนึ่ง
เพราะจิตว่างจึงรับรู้ถึงการทำงานของสัมผัสที่หกได้เป็นอย่างดี
จิตว่างก็เปรียบเหมือนภาชนะที่ว่างเปล่า พร้อมที่จะรองรับอะไรก็ได้ลงไปในภาชนะนั้น จิตที่ไม่ว่าง คือจิตที่มีความปรุงแต่งอยู่ในเวลานั้นก็เหมือนภาชนะที่ถูกใส่ของลงไปจนเต็มแล้ว ไม่มีที่ว่างให้ใส่สิ่งของอื่นได้อีก
คนที่มีจิตว่างถือว่าโชคดี แต่จริง ๆ ทั้งหมดก็มาจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ไม่มีใครอยู่ ๆ จะมีจิตว่างขึ้นมาเฉย ๆ ได้หรอก แต่เพราะเราเคยฝึกเคยปฏิบัติมาต่างหากเราจึงมีจิตว่าง มันอาจเป็นนิสัยข้ามภพข้ามชาติมาเลยก็ได้สำหรับในบางคน แต่บางคนก็กลัวการสัมผัสสิ่งเหล่านี้ กล้วมากซะด้วย ความจริงการมีจิตว่างไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรเลย
จิตว่างมี 2 แบบ
แบบที่ 1👉 ว่างแบบมีสติน้อย สติอ่อน กลุ่มนี้จะมีสัมผัสที่หกดี แต่โดยมากมักจะกลัวเมื่อได้สัมผัสกับสิ่งลึกลับต่าง ๆ พลังงานต่าง ๆ พอกลัวหนัก ๆ เข้า ด้วยความที่จิตว่าง พวกสัมภเวสีก็มักจะฉวยโอกาสเข้าแทรก ให้รับขันธ์ ๕ บ้าง ขันธ์ ๘ บ้าง เลยกลายเป็นร่างทรงไปก็มีมาก (น่าเสียดาย เพราะทำให้เราปฏิบัติยาก พอจิตว่างพวกนี้ก็มักจะมาแทรกแซง เพราะเค้าก็อยากสร้างบุญบารมีในโลกมนุษย์เหมือนกับเรา ดูสิตอนเป็นมนุษย์มัวทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้) บางคนก็หลงไปก้บการสัมผัสสิ่งเหล่านั้น หลงว่าตนเองมีคุณวิเศษก็มี ทั้งหมดนี้เพราะว่า สติอ่อน จิตไม่มีกำลัง ไม่ได้ตามทำความเข้าใจกับธรรมารมณ์ที่ตนเองสัมผัสได้ ไม่ได้เห็นความหลงคิดเมื่อจิตไปกระทบสัมผัส มัวแต่ไปอินกับเรื่องที่จิตสัมผัสอยู่ ก็เลยพลาดโอกาสทองไป
แบบที่ 2 👉 ว่างแบบมีสติ มีมหาสติ กลุ่มนี้ โดยส่วนตัวคิดว่ามีทั้งที่เป็นปุถุชน และอริยชนครับ คือมีกำลังสติมากพอที่จะไม่หลงไปกับธรรมารมณ์เหล่านั้น รู้จักภาวะของความหลง ความไม่หลง รู้จักดับเมื่อควรดับ รู้จักข่มเมื่อควรข่ม รู้จักการสร้างกำลังจิต ลดละกิเลสให้เบาบาง จนหมดสิ้นไป เข้าใจในสัมผัสเหล่านั้นว่าเป็นเพียงอาการของขันธ์ ๕ อย่างหนึ่ง ที่เราหลงเข้าไปยึดทำให้เกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา เมื่อวางขันธ์ ๕ ได้อัตตาก็หมดไป เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ ใช้สติทำงานแทนจิต คือใช้เหตุใช้ผลทำงานแทนอารมณ์ มีจิตว่างเป็นปกติ (เชื่อว่าการสัมผัสต่าง ๆ ของพระอริยเจ้าเป็นอัตโนมัติหมด เหมือนสัมผัสด้วยตา ได้ยินด้วยหู แต่ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น)
มีความจำเป็นต้องจิตว่างหรือไม่
เราอาจจจะไม่จำเป็นต้องทำจิตให้ว่างหมดจดเสียก่อนก็ได้ (เพราะถ้าจะให้ว่างหมดจดจริง ๆ คงมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่จะทำได้) แต่มีความจำเป็นต้องมีจิตว่างพอ จิตว่างในความหมายนี้คือ จิตว่างจากความปรุงแต่ง ให้ทรงความว่างได้นานพอที่จะทันเห็นอาการที่จิตหลงไปอินกับความคิด แล้วเกิดเป็นอารมณ์ต่าง ๆ ออกมา ต้องว่างพอที่จะเห็นและเข้าใจตรงนี้ จึงจะทำให้เราไม่หลงว่าง หรือว่างแบบหลง ๆ ถ้าเราเข้าใจจุดหลงตรงนี้ได้แล้ว การปฏิบัติธรรมของเราก็จะไม่จืดชืดอีกต่อไป จิตของเราก็จะเป็นจิตที่ว่างแบบมีมหาสติ มหาปัญญา
การเข้าถึงสภาวะจิตว่าง
การทำจิตให้เข้าถึงความว่างที่ง่ายที่สุดคือ การหยุดคิดเมื่อเผลอคิด ให้หัดรู้ตัวบ่อย ๆ รู้ความเผลอบ่อย ๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอคิดไปแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดที่คิดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า เราหลงคิดแล้ว ถ้าไม่จำเป็นต้องคิดให้หยุดให้ดับความคิดนั้นทิ้งไปเลย อย่าเสียดาย แต่ถ้าเรื่องนั้นเกิดจำเป็นต้องคิดต่อ สติเรายังน้อย เราก็คงจำต้องคิดต่อไป (จะให้มันพร้อมก็คงยากอยู่ เพราะวิบากกรรมทางสมมุติมันยังมีอยู่ สมมุติยังไม่พร้อมมันก็ยาก ยิ่งสมมุติบกพร่องมาก ๆ ยิ่งทำได้ยากมาก ผิดศีลบ่อย ๆ สมมุติก็บกพร่องมาก โดยเฉพาะศีลข้อ 5 สุราเป็นระยะ ๆ นี่ก็ยากหน่อยนะ) เผลอก็เริ่มใหม่ เผลอก็เริ่มใหม่ ไม่ได้เสียหายอะไร ทำบ่อย ๆ รู้ตัวบ่อย ๆ สติก็จะมากเข้า ๆ เอง บางท่านใช้คำว่า สร้างสติ บางท่านอาจจะใช้คำว่า เผลอแล้วรู้ เผลอแล้วรู้ จนจำสภาวะที่เผลอได้เอง แล้วจะไม่เผลอบ่อย ก็แล้วแต่ภาษาใจของแต่ละท่าน
เมื่อสติมีกำลัง หยุดเผลอคิดได้มากขึ้น ๆ ในที่สุดจิตก็จะนิ่ง จิตจะมีกำลังมากพอที่จะเห็นอาการของความคิด การหลงคิดได้ในที่สุด และจะแยกแยะได้ว่า อะไรควรคิดและคิดได้ อะไรไม่ควรคิด และควรหยุดคิด ถึงตรงนี้ถ้าไม่ทอดธุระ ละทิ้งความเพียรก็จะเห็นและเข้าใจคำว่าความว่างในตัวเองได้อย่างแน่นอน ว่าแต่ว่าให้หยุดคิดให้ได้ และหยุดคิดให้เป็น อย่าเพลินหลงกับดอกไม้ริมทางก็แล้วกันมันจะเสียเวลา
เมื่อกิเลสเกิดขึ้นที่ใจ เราต้องรู้จักฝืน ต้องรู้จักดับ ต้องรู้จักข่ม จิตของเราจะมีกำลังมากขึ้น ขณะที่จิตของเรามีกำลังมากขึ้น กิเลสก็จะอ่อนกำลังลง หนทางที่ถูกกิเลสบดบังไว้ก็จะเปิดออกให้เราได้เห็นทางที่จะเดินต่อไปได้อย่างชัดเจน... 🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼 🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼🌼#บารมีปู่ใหญ่
ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตเห็นจิตเป็นมรรค ในการภาวนานั้น การฝึกรู้ด้วยจิตในสติปัฏฐาน 4 ก็เพื่อความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิได้มากพอ ผลที่ตามมาก็คือ เกิดการแยกตัวออกของจิต(ผู้รู้) และ อาการของขันธ์ (ซึ่งก็คือ สิ่งที่ถูกรู้) ซึ่งในสภาวะตอนนี้ ในวงการภาวนาจะเรียกว่า สภาวะแห่งการเป็นของคู่ คือ มีผู้รู้ และ สิ่งที่ถูกรู้ ในบรรดาสิ่งที่ถูกรู้นั้น คือ อาการต่างๆ ในขันธ์ 5 สิ่งถูกรู้เหล่านี้มิใช่จิต นี่ยังเป็นการรู้ การละ ไม่ยึดติดด้วยกำลังของสัมมาสมาธิ การที่นักภาวนาได้ลงทุนลงแรงฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 จนเกิดสภาวะของคู่ขึ้นมาได้นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นกันได้ง่ายๆ ได้มาถึงนี่ ก็ดีมากแล้ว แต่ก็ยังต้องฝึกฝนต่อไปอีก เมื่อสัมมาสมาธิแก่กล้ามาขึ้น เพราะตั้งมั่นมากขึ้น ลำดับต่อไป นักภาวนาจะเกิดสัมมาญาณ อันเป็น ญาณ ที่เห็นจิตได้ การเห็นจิตได้ด้วยญาณนี้ จึงจะเข้าสู่ขั้นต้นของสิ่งที่เรียกว่า #จิตเห็นจิต การเห็นจิตนี้ จึงเป็นการเริ่มต้นของการ ตกกระแส พระนิพพาน เพราะเมื่อนักภาวนาได้เห็นจิตได้แล้ว ก็จะรู้จักจิตและจะเห็นจิตได้มากขึ้น ได้บ่อยขึ้น (หมายเหตุ นักภาวนาที่เพิ่งเห็นจิตได้ใหม่ๆ จะเห็นจิตได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ยังเห็นได้ไม่ต่อเนื่องตลอดเวลา) ชาวพุทธสักคนจะเข้าสู่การตกกระแส เพราะเขียนไว้ เพียงสังโยชน์ขาดขั้นต้น 3 อันดับคือ
1. สักกายทิฏฐิ
2. วิจิกิจฉา
3. สีลัพพตปรามาส
แต่ในความเป็นจริงในการภาวนา ถ้ากล่าวว่า โสดาบัน คือ ผู้ตกกระแสพระนิพพานแล้ว และจะมีแต่ก้าวต่อไป ไม่กลับมาอีก ไม่เกิน 7 ชาติ ผู้ที่จะมีคุณสมบัติอย่างนี้ได้ ก็จะมีแต่นักภาวนาที่พบอาการ จิตเห็นจิต ได้แล้วเท่านั้น จึงจะเป็นปัญญาขั้นต้นในระดับญาณที่จะมีสิทธิทำลายกิเลสได้สิ้นจนถึงที่สุด และ การเสื่อมจากญาณก็จะไม่มี เพราะได้รู้แล้ว เห็นแล้ว รู้จักแล้ว เพียงแต่ยังไม่สมบูรณ์ต่อเนื่อง 100 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง (หมายเหตุ การได้สภาวะของคู่ เพราะสัมมาสมาธิ โดยยังไม่เกิดญาณ สัมมาสมาธิสามารถเสื่อมถอยได้อยู่)
การที่ จิตเห็นจิต จึงเป็นสิ่งที่ยากสุดๆ สำหรับนักภาวนาที่ยังไม่เคยเห็นจิตของจริง เพราะอธิบายให้ฟังก็ยากมาก ทั้งๆ ที่สิ่งนั้น มันปรากฏอยู่แล้วอยู่ข้างหน้า แต่นักภาวนาไม่เห็นเอง เพราะไม่รู้จัก เมื่อนักภาวนาพบจิตได้แล้ว นักภาวนาเพียงหมั่นฝึกฝนต่อไปอีก ขอให้เชื่อได้เลยว่า เมื่อนักภาวนาได้ตกกระแสแล้ว ก็จะมีแต่จะไม่หวนกลับ เพราะกำลังสัมมาสมาธิที่ยิ่งตั้งมั่น ก็จะเสริม สัมมาญาณให้มั่นคง แล้วการเกิด จิตเห็นจิต ก็จะยิ่งได้บ่อย เห็นได้นาน เห็นเหมือนจิตไม่หายไปไหนเลย ในคำสอนของครูบาอาจารย์ และในพระไตรปิฏก ได้กล่าวเปรียบเทียบ จิตเหมือนฟองไข่ และในคำสอนก็บอกว่า ให้ทำลายจิตทิ้งเสีย เมื่อจิตถูกทำลายทิ้ง สภาวะของคู่ก็จะสลายไป กลายเป็นสภาวะใหม่ ที่เรียกว่า ความเป็นหนึ่ง ขึ้นมาแทน ในความเป็นจริง ไม่มีใครทำลายจิตได้ แม้แต่ตัวนักภาวนาเอง แต่การที่จิตเกิดการแตกสลายออกไปนั้น เกิดจากที่จิตที่บ่มเพาะปัญญาที่จิตไปเห็น จิตที่แปรเปลี่ยนไปมาเพราะมีการสร้างขันธ์ขึ้นของจิต และเห็น #สภาวะแห่งจิตที่หยุดสร้างขันธ์ ปัญญานี้แหละที่จะทำลายจิตให้เป็น จิตหนึ่ง การที่จิตหยุดสร้างขันธ์ ในครูบาอาจารย์มักกล่าวว่า ให้จิตหยุดคิด หรือ ฮวงโปได้กล่าวว่า ให้หยุดปรุงแต่งเสีย นี่เป็นสิ่งที่ยากยิ่งอีกอย่างของนักภาวนา จิตหยุดคิด เพราะนักภาวนาไม่รู้จัก จิตหยุดคิดเป็นอย่างไร ถ้านักภาวนาเพียงคิดว่า จะทำอย่างไรให้จิตหยุดคิด นั้นคือ เป็นการคิดแล้ว ถ้านักภาวนาเพียงรู้ว่า นี่ลมหายใจเข้า นี่ลมหายใจออก นี่กินข้าวไปแล้วสิบคำ นี่ก็คือ การคิดแล้วเช่นกัน
#จิตหยุดคิด ก็คือ #จิตหยุดสร้างขันธ์ จิตที่ไม่สร้างขันธ์ ใน มโน จะใสกระจ่างแจ้ง จิตที่กำลังสร้างขันธ์ ใน มโน จะขุ่นมัว ไม่สดใส ในสภาวะแห่ง #จิตหนึ่ง แสงแห่งจิต จะส่องสว่างขึ้นไม่มืดมัว เมื่อจิตส่องแสงสว่าง อันกิเลสต่าง ๆ ที่อาศัย โมหะ เป็นชนวนการเกิด ก็เกิดไม่ได้ เพราะ โมหะ ต้องกาศัยเกิดตอนจิตมืดมิด เมื่อ จิตส่องสว่าง ความมืดย่อมหายไป กิเลสจึงเกิดอีกไม่ได้เพราะเหตุนี้ #นี่คือธรรมชาติของจิตที่ประภัสสร เปล่งกระกายออกมา แล้วกิเลสก็เกิดไม่ได้เอง #นี่คือวิถีแห่งมรรค
หลักการทำสมาธิภาวนา
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ ( ท่านพ่อลี ธมฺมธโร )
ให้พยายามใช้สติกำหนด ตามลมหายใจเข้าออกไม่ให้เผลอ ไม่ให้ลืม พยายามปลดปล่อย สัญญาอารมณ์ทั้งหมดทั้งอดีต อนาคต แล้วภาวนาในใจว่า “ พุทโธ ๆ” ให้ “ พุท ” ตามเข้าไปกับลมหายใจเข้าทุกครั้ง และ“โธ” ก็ตามออกมาพร้อมกับลมหายใจออกทุกครั้งไป จนกว่าใจจะหยุดนิ่งจึงค่อยทิ้งคำภาวนา
ต่อจากนี้จงสังเกตดูลมหายใจเข้าออก ว่าช้า-เร็ว , ยาว-สั้น หนัก เบา, กว้าง-แคบ, หยาบ-ละเอียดอย่างไรถ้าอย่างใดดีเป็นที่สบาย ก็จงรักษาลมนั้น ๆ ไว้ให้คงที่ ถ้าอย่างใดไม่ดีไม่สะดวก ไม่สบาย ก็จงปรับปรุงแก้ไขและตกแต่งให้พอดี ใช้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นหลักพิจารณา ( ตอนที่ขยับขยายเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ต้องใช้คำภาวนา ทิ้งคำว่า “พุทโธ” เสียได้ )
ต้องคอยระวังจิตอย่าให้วอกแวก หวั่นไหว และแส่ส่ายไปตามสัญญาอารมณ์ภายนอก วางตัวเฉยเหมือนกับมีตัวเรานั่งอยู่คนเดียวในโลก กระจายลมหายใจออกไปให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ศรีษะจดปลายมือ ปลายเท้า ข้างหน้า ข้างหลัง ทรวงอก ส่วนกลาง ช่องท้อง ตลอดถึงลำไส้ และกระเพาอาหาร ไปตามเส้นโลหิตทะลุผิวหนังออกขุมขน
สูบลมหายใจให้ยาว ๆ เข้าไปในตัวจนเต็มอิ่ม กายก็จะเบาโปร่งโล่ง เหมือนกับรังบวบที่อมน้ำไว้ได้ชุ่มและบีบเอาน้ำออก ก็จะไหลกลับออกมาได้ทั้งหมดโดยง่ายไม่ติดขัด ตอนนี้ร่างกายก็จะรู้สึกเบาสบาย ใจก็จะเย็นเหมือนกับน้ำที่ซึมซาบไปตามพื้นดิน หรือที่เข้าไปหล่อเลี้ยงในลำต้นไม้ให้สดชื่น จิตก็จะตั้งตรงเที่ยง ไม่มีอาการเอียงไปทางซ้าย เอียงไปทางขวา หรือเอียงไปข้างหน้า เอียงมาข้างหลังคือ ไม่ยื่นออกไปในสัญญาอารมณ์ใด ๆ
สัญญาทั้งหมดเป็นตัว “สังขาร” คือ จิตคือนึกไปในเรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีต อนาคต แล้วก็เกิด ความปรุงแต่งเป็นดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็ชอบใจ เพลิดเพลินไปเป็นตัวโมหะ ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีก็เกิดความไม่ชอบใจ ทำจิตให้ขุ่นมัวเศร้าหมอง หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ กลายเป็นตัวพยาบาท สิ่งที่ทำให้ดวงจิตเกิดความไม่สงบวุ่นวายเหล่านี้จัดเป็นตัวนิวรณธรรมทั้งสิ้น เป็นตัวสังขารที่ปรุงแต่งใจ เป็นตัวที่ทำลายคุณความดี ในการเจริญสมาธิ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องขจัดทิ้งให้หมด
ตัวสังขารนี้ ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของโลก ก็เป็นสังขารโลก ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของธรรม ก็เป็นสังขารธรรม ทั้งสองอย่างนี้ ย่อมเกิดจาก “ อวิชชา ” คือความไม่รู้ ถ้าตัวไม่รู้นี้ดับก็จะเกิด “ วิชชา ” ขึ้นแทนที่ ฉะนั้น เราต้องพยายามเพิ่มกำลังแห่งสมาธิขึ้นอีก จนสังขารเหล่านี้ดับไป เมื่อนั้น อวิชชาก็จะดับไปด้วย คงเหลือแต่ “วิชชา” คือตัวรู้ ตัวรู้ตัวอันนี้เป็นตัว “ปัญญา” แต่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นในตัวเอง ไม่ใช่เกิดจากครูบาอาจารย์สั่งสอน เกิดขึ้นจากความสงบนิ่งของดวงจิตที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันธรรมเป็นตัวความรู้ที่ลึกซึ้งมาก แต่ตัวรู้นี้ยังเป็นโลกีย์ปัญญา ไม่ใช่โลกกุตตปัญญา เพราะเป็นความรู้ที่เกิดจากสัญญา ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวแก่ชาติภพอยู่ บางทีก็รู้ไปในเรื่องอดีต รู้เห็นชาติภพของตัวเองที่เป็นมาแล้ว เรียกว่า บุพเพนิวาสญาณ
บางทีก็รู้ไปในอนาคต รู้เรื่องของคนอื่น รู้ถึงการเกิดการตาย ของเขา เรียกว่า จุตูปปาตญาณ ความรู้ทั้งสอง อย่างนี้ ยังมีความยึดถือเข้าไปเจือปนเป็นเหตุให้ดวงจิตหวั่นไหวไปตามเรื่องที่ชอบและไม่ชอบเป็นตัว“วิปัสสนูปกิเลส” บางคนได้รู้เห็นไปในเรื่องอดีตของตัวเองที่เป็นชาติภพที่ดี ก็เกิดความเพลิดเพลินยินดี ตื่นเต้นไปกับเรื่องนั้นๆ ถ้าไปพบเรื่องราวที่ไม่ดี ก็เกิดความน้อยใจเสียใจก็เพราะจิตยังมีความยึดถืออยู่ ในชาติในภพของตัวนั่นเอง
ชอบในเรื่องที่ดี ที่ถูกใจ ก็เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ไม่ชอบในเรื่องที่ไม่ดีไม่ถูกใจ ก็เป็นอัตตกิลมถานุโยค จัดเป็นมิจฉามรรคทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่ดำเนินตามทางที่ถูกต้อง คือ สัมมาทิฏฐิ เรื่องอดีตก็ดี ถึงแม้จะเป็นธรรมก็ยังเป็นสังขารใช้ไม่ได้
ฉะนั้น ต่อจากนี้จะต้องพยายามใช้อำนาจสมาธิเพิ่มกำลังจิตขึ้นอีก จนดับโลกียปัญญานี้ได้ จิตก็จะก้าวขึ้นสู่โลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาที่สูงขึ้น เป็นความรู้ที่นำมาให้จิตหลุดพ้นจากความยึดถือ เป็นสัมมาสติ สัมมามรรค คือถึงจะรู้เห็นในเรื่องดี เห็นในเรื่องดีหรือไม่ดีของตัว หรือ ของคนอื่น ก็ไม่ดีใจเสียใจ แต่มี นิพพิทา เกิดความเบื่อหน่าย สลดสังเวชในการเกิดการตายของสัตว์โลก เห็นเป็นของไม่มีสาระแก่นสาร อะไรเลย หมดความยินดียินร้าย หมดความยึดถือในตัวของตน และสิ่งทั้งหลาย จิตก็มีความมัธยัสถ์เป็นกลางวางเฉย เป็น ฉฬังคุเบกขา ปล่อยเรื่องราวที่รู้ ที่เห็น ที่เกิดขึ้น ให้เป็นไปตามสภาพธรรมดาโดยไม่ติดใจ ระดับของจิตก็จะเลื่อนขึ้นสู่วิปัสสนาญาณ
ต่อจากนี้ จงเพิ่มอำนาจแห่งกำลังจิตให้สูงขึ้นอีกจนพ้นจากความยึดถือ แม้แต่ในความรู้ความเห็น ที่ตัวมีตัวได้ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น กันจิตไว้คนละทาง ไม่ให้ตามออกไปกับความรู้ รู้ก็รู้ เฉยๆ เห็นก็เห็นเฉยๆ ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา จิตก็จะมีอำนาจเต็มที่เกิดความสงบขึ้นโดยลำพัง ไม่เกี่ยวเกาะกับสิ่งใด ๆ สังขารดับสนิทเหลือแต่สภาพธรรมล้วนๆ คือ ความไม่มีอะไร เป็นวิสังขารธรรม เป็นวิมุตติธรรม จิตก็จะเป็นอิสระ พ้นจากโลก ตกอยู่ในกระแสธรรมฝ่ายเดียว ไม่มีการขึ้นลงก้าวหน้าหรือถอยหลัง เจริญขึ้นหรือเสื่อมลงใจเป็นหลักปักเป็นแน่นอยู่ที่เดียว เหมือนกับเชือกที่เขาผูกต้นไม้ไว้กับหลัก พอตัดต้นไม้โค่นเชือกก็ขาด แต่หลักยังคงมีอยู่
ใจที่คงที่ย่อมไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ใดๆ เป็นจิตของพระอริยเจ้าผู้พ้นแล้วจากอาสวกิเลสบุคคลใดปฏิบัติใจให้เป็นไปตามที่กล่าวมาแล้ว ก็ย่อมจะประสพความร่มเย็นสันติสุข ปราศจากความทุกข์เดือดร้อนใด ๆ ได้อธิบายมาโดยย่อพอเป็นแนวทางที่จะให้น้อมนำไปปฏิบัติจิตใจของตนให้พ้นจากทุกข์ในโลกนี้ ผู้ใดสนใจก็เป็นประโยชน์แก่ตนต่อไปในภายภาคหน้า
ผู้รู้ ก็เห็นความรู้สึกอันนี้ จึงเขียนภาพนี้ขึ้นมา พอเห็นความรู้สึกจึงเห็นว่า
เป็นธรรมชาติ หรือเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา
ส่วนมากคนเรา เป็น “ เรารู้สึก ” เลยเข้าใจว่า ตัวความรู้สึกนี่เป็นตัวเรา
เรารู้สึกยินดี เรารู้สึกยินร้าย เรารู้สึกเป็นทุกข์เป็นสุข
นี่เราก็มาหลง หลงความรู้สึกอันนี้ เราไม่รู้จักความรู้สึกอันนี้
มันจะซับซ้อนหน่อยความรู้สึกตัวนี้
ธรรมดามันจะเฉยๆ แต่ถ้าเป็นเรารู้สึกจะถูกปรุงแต่งเลย
ตัวรู้สึก(ตัวใหญ่)นี่ก็หมายถึง มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มี กาย มีใจ
เวลากระทบสัมผัสต่างๆมันเพียง รู้เท่านั้นเอง
รู้แล้วก็จะไม่มี ไม่มียินดียินร้าย สงบไม่สงบ พอใจไม่พอใจ มันจะไม่มี
ถ้าเป็นเรารู้สึก มันจะมีทันทีเลย เกิดโลภะ โทสะ โมหะ โมหะแปลว่าไม่รู้ความจริง
ไม่รู้ความจริงว่าตัวนี้น่ะ มันเป็นธรรมชาติ เป็นความรู้สึก ไม่ใช่ตัวเรา
ต้องให้เห็นอย่างนี้ว่า ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเพียง “ความรู้สึก”
สักว่าเป็นความรู้สึก
ถ้าเป็นเรารู้สึกมันจะปรุงแต่งเลย ตรงกับหลวงพ่อเทียน
ต่างกันที่คำพูด ท่านบอกว่าให้ดูความคิด
อันนี้เข้าไปอยู่ในความคิด ก็เข้าไปอยู่ในความรู้สึกนั่นเอง
หลวงพ่อสมบูรณ์
เมื่อใดที่เราสละวางสิ่งที่ยึดที่หลง
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้
ก็จะหลุดเข้าสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์
เข้าถึงความว่างที่บริสุทธิ์ได้
>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<
สภาวะของสุญญตา
ภายในจะเป็นมิติที่ว่างบริสุทธิ์
เหลือแต่สติที่บริสุทธิ์
เหลือแต่ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์
ส่วนมิติภายนอกสภาวธรรม
จะเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นคนละมิติกัน
ภายในจะว่างบริสุทธิ์เป็นวิสังขาร ไร้การปรุงแต่ง
ก็คือขีดความสามารถที่จะเข้าถึงสภาวะที่มันพ้นจากทุกข์ได้
ภายในที่มันบริสุทธิ์เนี่ยมันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
เป็นมิติที่บริสุทธิ์ แต่เพราะว่าจิตใจเราหลงวังวนของโลก จึงหลงวกวนอยู่กับสมมุติต่างๆ
เมื่อใดที่เราสามารถสละวางทุกสิ่งทุกอย่างได้
จากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้
ก็จะหลุดเข้าสู่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์
เข้าถึงความว่างที่บริสุทธิ์ได้
ผู้ปฏิบัติก็จะพบกับความสุขที่ลึกซึ้งที่สุด
ไม่มีสิ่งใดเทียบได้เลย
ทุกคนก็มีความสามารถที่จะเข้าถึงเนื้อธรรมนี้ได้ ถ้าเราเจริญสติปัฏฐานสี่อยู่เสมอๆ
จึงจะสมกับที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา
เราก็เป็นคนหนึ่งที่มีขีดความสามารถ
ที่จะเข้าถึงธรรมชาติที่บริสุทธิ์ได้
ถ้าเราได้ฝึกหัดพัฒนาสติอยู่เสมอ
ก็จะเป็นโอกาสอันดีของชีวิตเรา
ที่จะปลดเปลื้องตนจากวังวนแห่งกองทุกข์
พบกับความสงบสุขที่แท้จริง คือพระนิพพานได้
🙏🙏🙏