เมื่อใดที่สามารถยอมรับ
สิ่งที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่กระทบเข้ามา
ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ได้ด้วยจิตใจ
ที่รู้เท่าทันความชอบ ไม่ชอบ
จนจิตตั้งมั่นและเป็นกลางได้
เมื่อนั้นย่อมสามารถรู้สึกถึงความจริง
ที่เป็นอยู่ รู้สึกได้ถึงความสงบ
ในความจริงนั้น และเป็นต้นทาง
ไปสู่ความสงบอันยิ่ง อันไม่กลับกลาย
พ้นไปจากการนึกคิดคาดเดา....
นักภาวนาโดยมากเลยจริงๆ
มักจะภาวนาเพื่อให้เกิดสภาวะดี
ปลอดโปร่ง เบาสบาย หรือรู้ชัด
แต่มักไม่สนใจจะเรียนรู้ความจริงว่า
ไม่มีสภาวะใดๆที่จะบังคับให้ได้อย่างใจตลอด
พอเกิดสภาวะที่ไม่รู้เรื่อง หรือหยาบกระด้าง มึนๆ
ก็ถูกความไม่ชอบใจ เข้าครองใจ แล้วก็ผลักๆดันตลอด
ต้องเฉลียวใจว่าเราภาวนาเพื่อให้เห็นตามเป็นจริง
ไม่ใช่เอาให้ได้ดีตลอดกาล ให้รู้จักยอมรับ
และรู้เท่าความยินดียินร้าย จนจิตเป็นกลาง
กลางพอที่จะเห็นตามจริงได้จริงๆ
อธิษฐานให้ถึงเจตนาอันสูงสุด
"ทาน เพื่อพระนิพพาน
เรียกว่า สัมมาทานัง...
ศีลก็เหมือนกัน
รักษาศีลเพื่อไปพระนิพพาน
ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
เพื่อพระนิพพาน กะเรียกว่า เจตนาโลกุตระ
หวังได้เมียผู้ฮู้ได้ซู่ผู้ดี เออ...
หวังได้เกิดในภพใด๋ให่มีซาติมีภพให่มีรูปสวยรูปงาม อันนั่นมันเป็นโลกียะทานเป็น โลกียะศีล เป็นโลกียะภาวนา
สิเฮ็ดเมิดสิบหกพระนครกะบ่ถ่อ ผู้เขาทานข้าวเม็ดหนึ่ง เขาปรารถนาเพื่อพ้นทุกข์ในวัฏสงสารโดยด่วน
(ผู้ทานด้วยวัตถุที่มากมายก่ายกองเท่าสิบหกพระนครเพื่อหวังผลทางโลก ก็ดีไม่เสมอกับผู้ที่ทานข้าวเม็ดหนึ่ง เพื่อปราถนาการพ้นทุกข์จากวัฎสงสาร)
เว่าจั่งซั่นเอาโลด..."
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
" ฅน...
ที่จะปฏิบัติ หาทางออกจากกองทุกข์ นั้น
มัน หายากแล้ว
ให้ลูกหลานจำให้ดี จำได้ไหม ?
ให้มีสติ...
มีอารมณ์อยู่...กับพุทโธ พุทโธ เอาให้ได้
ทำให้มันเห็น ของดี จำได้ไหม ?
นี่ ไม่ได้พูดเล่นนะ
ให้จับลม กับกายนี้ กายนี้ ให้เป็นกายพระธรรม
ให้ได้
มีหูฟังแล้ว ก็ให้มันเป็นพระธรรม
ตา ให้เป็นตาพระธรรม กาย ให้เป็นกายพระธรรม
ใจ ก็ให้เป็นใจพระธรรม
ทำให้มันได้
ให้มีพุทโธ อยู่...กับกายนี้ ใจนี้
จำไว้ที่ใจ จำได้ไหม ? จำดี ๆ อย่า...ไปลืมนะ
ไม่ต้องไปรู้ที่อื่น
มันอยู่...ในกายนี้ กายนี้แหละ มันเป็นทุกข์
อยู่ทุกวันนี้
สังขารจะเเตก จะสลาย ก็ให้รู้...จำได้ไหม ?
สมฺปโยโค ก็ให้รู้...จะต้องจากกัน
ไม่ต้องตกใจ ให้พิจารณาเดี๋ยวนี้
จำได้ไหม ? จำให้ดี ๆ
ให้รู้อยู่...กับกาย กับใจ."
________________________________________
(หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง)
📌 ดับไฟที่เหตุที่ใจ
..
ธรรมทั้งหลาย เกิดจาก "จิต" สิ่งใดที่เกิดขึ้นอันนั้นเป็น "สัญญา"
อะไรที่ผ่านมาเป็น "ความรู้" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น "สิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องดับไปทั้งหมด
"จิต" ของเรา ไม่ใช่เป็นของเกิด "ความรู้" ของเรา ไม่ใช่เป็นของเกิด
"ความรู้" ของเรา "รู้" สิ่งที่เกิด ที่ดับ ทั้งนั้น
ถ้าหาก "ความรู้" ของเราเป็น "ของเกิดดับ" สิ่งที่เกิดดับเราจะ "รู้ได้" อย่างไร
เพราะหาก "ความรู้" ก็เป็นของ "เกิดของดับ" เวลา "สิ่งที่มันเกิดดับ" มันเกิดขึ้น
แล้วที่นี้...ถ้า "ความรู้" ของเรามันดับ แล้วมันจะรู้ ได้อย่างไร...
นี่...เรียกว่า..ความรู้ไม่ใช่ของเกิดดับ แต่ ก็ไม่ได้ "ติดรู้" ไม่ใช่ "ยึดความรู้อันนั้น"
"ความรู้" อันนั้นก็จะเป็น"อัตตา" ขึ้นมา.. รู้แล้วปล่อยวาง รู้แล้วละ
"พระนิพพาน" แปลว่า "ดับทุกสิ่งทุกอย่าง"
“อะสังขะตาวา” แปลว่า “ธรรม” ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ปัจจัยใดๆเข้าไปไม่ถึง “อะสังขะตาวา”
หยั่งเข้าหา "จิต" ของเรานี่
หยั่งเข้าหาจิตขณะใด "ธรรมทั้งหลาย" จะเป็นธรรมส่วนใดๆก็ช่าง "ดับทันที"
ดับพร้อมขณะที่ "ใจของเราหยั่งเข้าหาจิต หยั่งเข้าถึงจิต"
พอเข้าหาที่มัน ยังไม่ถึง "ถึงแล้วมันดับ" ทันที
จึงเป็นหลักที่จะต้องยึดเอามาปฏิบัติ
มันอดที่ไป "ลูบๆคลำๆ" ลูบอยู่อย่างนั้น ลูบอย่างนี้
มันก็เหมือนอย่างที่ "ดับไฟ" ดับไปดับไป ก็ตายซ้ำ ตายเลย
ตามไป ตามไปดู ยิ่งตามก็เหมือนเอา เชื้อไฟไปใส่มัน
ดับให้ถูกจุด จุดที่ไฟจะดับ ก็คือ สวิสท์ เพราะไฟเกิด มันจะเกิดตรงนี้
"จิต" อันนี้ แสดง "เหตุ" เป็น "มหาเหตุ".. และเป็น จิตที่รู้แจ้งในเหตุอันนั้น
รู้แจ้งแล้วไม่ใช่จะไปยึดไปถือนะ อันนั้น จะเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
ให้ปล่อยวางไป มันไม่มีอะไรจะไปยึดหรอก
พิจารณาให้ยิ่ง พิจารณาให้ลึกซึ้ง พิจารณาไตร่ตรอง พิจารณาให้ซ้ำๆซากๆ
หลวงปู่แบน ธนากโร
∆∆
"เวทนาในเวทนา" นั้น ..
คือหมายเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของเวทนาทั้งหลายที่กล่าวมานั้น [ โสมนัส,โทมนัส,อุเบกขา ]
คือ "#ไม่ต้องเลือก" เป็นต้นว่า มีสุขปรากฏแก่ตนเมื่อไร
"ให้จิตพิจารณาอยู่ในเวทนาอันนั้น"
เช่นว่า มีสุข ก็ให้ "#ตั้งสติกำหนดระลึกอยู่ในที่นั้น" ประคองสุขอันนั้นให้อยู่ในตน ประคองตนให้อยู่ในสุข
"อย่าให้คลาดเคลื่อน" เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่น
และ "#อย่าให้ความปรารถนาใดๆเกิดขึ้น" ในขณะจิตอันนั้น
แล้วค่อยใช้ "#อาตาปี" ความเพียรเพ่งพิจารณาดูความจริงของเขา "#สัมปชัญญะ" ความรู้ดี ให้คอยสังเกตจิตใจ
"#ให้รู้ตัวอยู่กับที่" อย่าให้กระแสของ "#สมุทัย" เกิดขึ้น
"สมุทัย" ที่จะเกิดขึ้นในครั้งแรกนั้นเกิดจาก .. ความไม่รู้สึกตัวดีแล้วก็มีจิตหวั่นไหว
#ลักษณะที่ไหวตัว นั่นแหละเรียกว่าตัว "#วิภวตัณหา"
เมื่อไหวแรงขึ้นมีกระแสจิตเกิดขึ้น #แล่นส่ายออกไป
กระแสที่ส่ายอยู่นั้นเป็นตัว "#ภวตัณหา"
#เมื่อเจอะสิ่งใดอันเป็นส่วนอายตนะภายนอกแล้วเข้ายึดเอา นั่นเรียกว่าตัว "#กามตัณหา"
ฉะนั้น จึงให้ประคองจิตของตนอยู่ในอารมณ์หนึ่ง
เรียกว่า สุขเวทนา อย่าเอาอารมณ์อื่นเข้าปะปน
ให้ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ประจำตน แล้วให้เพียรเพ่งพิจารณา
ให้ "ดูจนรู้ความจริงของเวทนา" นั้น ๆ ที่เรียกว่า อาตาปี
เมื่อทำได้เช่นนี้จึงจะเรียกว่า เป็นผู้เจริญใน "เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
..
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
สภาพ จิตเดิม ที่เรียกว่า ประภัสสร นั้น
ผู้แต่ง หมายเอา สภาพ จิต อันเป็นอยู่ในปัจจุบัน ตามธรรมดา นี่เอง !!
∆∆∆
"อารมณ์" เป็นส่วน "ทุกข์สัจจ์"
"จิต" ที่แล่นเข้าไป "หลงอารมณ์" เป็น "สมุทัยสัจจ์"
จิตที่เข้าไป "รู้แจ้งเห็นจริง" ในอารมณ์ทั้งหลาย
และกระแสจิตที่แล่นอยู่ และสภาพจริงของจิตเดิม
รู้ได้เช่นนี้เรียกว่า "มรรคจิต"
"ปล่อยวาง" สภาพของอารมณ์และกระแสจิตและสภาพจิตอันนี้
"ปล่อยได้ไม่ยึดถือ" นี่แหละ เรียกว่า "นิโรธสัจจ์"
..
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
#หลวงพ่อพุธพบกับหลวงตามหาบัว_พบมิติแห่งจิต
ที่จังหวัดอุดรธานี ปี พ.ศ 2518 เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อพุธได้พบกับ "หลวงตามหาบัว" ภาพที่จับใจหลวงพ่อพุธก็คือ การที่ท่านได้มีโอกาสสนทนาธรรมเพื่อขอคำชี้แนะจากหลวงตามหาบัว
วันนั้นหลวงพ่อพุธได้ถามถึงเรื่อง "จิต" ซึ่งคำตอบของหลวงตามหาบัวก็ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในจิตของหลวงพ่อพุธ ...
“หลวงตา จิตเมื่อมันเข้าสมาธิที่ถึงขนาดที่ร่างกายตัวตนหายไปหมด มันสามารถรู้เห็นอะไรได้ไหม ?”
“ไม่ตอบ”
“ไม่ตอบก็แสดงว่าหลวงตายอมรับ”
หลวงตามหาบัวไม่ตอบ สิ่งที่ท่านใช้แทนคำตอบก็คือ ...
“สมัยที่เราอยู่ปรนนิบัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะเทศน์อะไรเราไม่สนใจ เรากำหนดจิตรู้จิตของเราอย่างเดียว เรามีหูท่านเทศน์ เราก็ได้ยิน จิตเราก็รู้”
คำพูดประโยคสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำของหลวงตามหาบัวทำให้หลวงพ่อพุธฉุกคิดแล้วย้อนกลับมาพิจารณา "ธรรมชาติของจิต" ในรายละเอียดอีกครั้ง
ที่สุดท่านก็พบว่า การทำงานของจิตนั้นแบ่งออกเป็น 3 มิติ มิติแรกคือ "จิตทำหน้าที่คิด" มิติต่อมาคือ "จิตที่ทำหน้าที่เฝ้าดู" มิติสุดท้ายคือ "จิตที่ทำหน้าที่วางเฉย"
"... ในขณะจิตของเรามันเกิดความคิด ถ้าเราไม่ฝืน ปล่อยให้ไปตามธรรมชาติของมัน ถ้าความคิดที่มันเกิดขึ้นมาเองนี้ ความรู้ตัวนี่เราไม่ได้ตั้งใจ มันจะรู้พร้อม ๆ ๆ ๆ กันไป
ทีนี้ถ้าหากว่าสมาธิมีพลังงาน ในขณะนั้นความคิดมันจะแยกออกไปอีกส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคล้าย ๆ กับว่ามีผู้เฝ้าดูงาน ถ้ากายกับจิตยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ เราจะรู้สึกว่าจิตส่วนหนึ่งมันเข้ามานิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย มันกลายเป็นสามมิติ มิติหนึ่งคิดไม่หยุด อีกมิติหนึ่งเฝ้าดู อีกมิติหนึ่งมานิ่งเฉยอยู่
ตัวที่นิ่งเฉยอยู่นั้น เป็นจิตใต้สำนึก ตัวคอยเก็บผลงาน ตัวที่มันคิดไม่หยุดยั้งแล้วก็รั้งไม่อยู่ในตัวนั้นเป็นจิตเหนือสำนึก ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเองโดยพลังของสมาธิ นี่... ธรรมชาติของจิตเมื่อมันเกิดมีปัญญาแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้
อย่างบางทีนี่เราตั้งใจพิจารณากายคตาสติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ความตั้งใจในการพิจารณาของเราก็รู้สึกว่ามีอยู่ สติก็รู้สึกว่าเรารู้พร้อมอยู่ ทั้ง ๆ ที่จิตยังไม่สงบถึงขนาดความเป็นเองโดยอัตโนมัติ บางครั้งมันก็มีการแยกส่วนของมัน ไอ้ตัวที่มานั่งอยู่ในท่ามกลางก็มีอยู่ ตัวที่พิจารณาก็พิจารณาไป ตัวที่เฝ้าดูงานก็เฝ้าดูไป มันจะเป็นของมันอย่างนี้
ทีนี้ปัญหาที่ว่า เราจะแยกจิตจากอารมณ์ ให้อารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง จิตก็เป็นส่วนหนึ่ง เราจะทำอย่างไร
ไม่มีทางที่จะทำได้ นอกจากว่า เรามีสติรู้อารมณ์จิตอยู่ในปัจจุบัน พอถึงขั้นตอนแล้วจิตเขาจะแยกของเขาเอง เราจะไปตั้งใจแยกมันไม่มีทาง ต้องให้มันเกิดสมาธิถึงขนาดที่เป็นอัตโนมัติโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันพร้อมปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ นั่นแหละมันจึงจะแยก
"ฐีติภูตัง" ของ หลวงปู่มั่น นั่นแหละคือจุดที่จิตกับอารมณ์แยกจากกัน ในลักษณะอย่างที่ว่านี้ จิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสวอยู่ สิ่งรู้ของจิตทั้งหลายนี้มันมาวนรอบจิตอยู่ แต่พอมาถึงความสว่างของจิตแล้วมันตกไป ๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ
.
.
โอวาทธรรมคำสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
.
ที่มาของบทความ: คัดมาจาก หนังสือ "วินาทีบรรลุธรรม พระอรหันต์มีจริง" เล่ม 5
เกร็ดชีวประวัติหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (6) พบหลวงตามหาบัวพบมิติแห่งจิต
.
ทานานํ ยทิทํ ธมฺมทานํ เอตทคฺคํ
ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย
.
~Nirasho Bhikkhu~
.
.........................................
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย กับหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ถ้ามุ่งความสุขยืนยาว ต้อง"ปฏิบัติธรรม"
เหตุผลก็เพราะว่า
โลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นที่อาศัยชั่วคราว
ที่อยู่ยืนยาว คือ "ปรโลก" ต่างหาก
"โลกีย์ทรัพย์" กล่าวคือ...รูป รส กลิ่น
เสียง รสสัมผัส ก็พึ่งได้เพียงชั่วคราว
สิ่งที่จะใช้ยืนยาว คือ "อริยทรัพย์" อันได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตัปปะ พหุสัจจะ จาคะ และปัญญาในทางธรรม สำคัญกว่า...
#หลวงปู่บุญกู้ อนุวฑฺฒโน
โดยสังเขปพวกที่หลงโลก
ก็มีหลงอยู่ ๔ ประการ
๑. หลงของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง
คือหนังหุ้มอยู่โดยรอบที่สมมติว่า
เป็นเราๆ นี่
๒. หลงของเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
คือหนังหุ้มอยู่โดยรอบนี่อีกล่ะ
๓. หลงของไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน
เอาจริงๆ จังๆ จนแกะไม่ได้คลายไม่ออก
๔. หลงหนังหุ้มอยู่โดยรอบอันเป็นของ
บูดราเปื่อยเน่าว่าเป็นของสวยงาม
ถ้าไม่หลงสังขารเหล่านี้แล้ว ภพชาติ
เราก็จบใน ณ ที่นี้เอง จะภาวนาหรือ
ไม่ภาวนามันก็จบอยู่ในตัวแล้ว
แม้จะภาวนา ๗ วัน ๗ คืน ไม่กินอาหาร
ก็ตาม ถ้าหากว่าหลงของ ๔ ประการ
ดังกล่าวมาแล้วอยู่ ก็ยังข้ามภพข้ามชาติ
ไม่ได้
การข้ามภพข้ามชาติก็เอาสติปัญญา
เท่านั้นข้าม จะข้ามด้วยเครื่องบินหรือ
จรวด อะไรๆ ข้ามตั้งล้านๆ ปี ก็ข้าม
ไม่ได้...
#หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
ธรรมะยามแลง
“นิวรณ์” แท้จริงมันก็มีอยู่กับตัวเราเสมอ ถึงจะเรียนก็มี ไม่เรียนก็มี
นิวรณ์นี้มันมีอำนาจ อิทธิพลมาก
เพราะเป็นเครื่องกลบเกลื่อนดวงจิตของเราไม่ให้ก้าวขึ้นสู่ความดีได้
เส้นทางของนิวรณ์ที่จะไหลมาสู่เรา ก็คือ
“สัญญาอดีต” อันได้แก่เรื่องราวต่างๆ ทั้งดีทั้งชั่ว
ทั้งของเราของเขาซึ่งเป็นอดีตทั้งหมดเส้นหนึ่ง
อีกเส้นหนึ่งคือ “สัญญาอนาคต”
นับแต่เรื่องที่คิดไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้จนถึงวันตาย
ซึ่งเราอาจเดาอาจคิดไปด้วยความผิดพลาดทั้งหมดทั้ง ๒ ทาง
นี้เป็นเส้นทางที่ไหลมาจากนิวรณ์ทั้งสิ้น
ฉะนั้น เรื่องอดีต อนาคต ก็ต้องวางไว้ก่อน ยกจิตของเราขึ้นสู่องค์ภาวนา
คือ นึกถึงลมหายใจของลมอันเป็นส่วนปัจจุบันของรูป ปัจจุบันของนาม
ได้แก่ “ตัวรู้” เมื่อเราทำได้เช่นนี้
จิตของเราก็จะเหมือนกับลูกโป่งที่ลอยอยู่ในอากาศ
เพียงตัดเชือกเส้นเดียวเท่านั้นเราก็จะหลุดได้
คือ เมื่อตัดสัญญาขาด จิตของเราก็จะเข้าไปสู่องค์ภาวนาได้ทันที
ใจก็ไม่มีอาการอึดอัด มีแต่ความโปร่งสบาย
ใจก็สูงเหมือนลูกโป่งที่ถูกตัดเชือกออกจากก้อนหินที่ผูกไว้
สิ่งที่จะตามขึ้นไปทำลายรบกวนก็ยาก
เพราะธรรมดาขี้ฝุ่นนั้นก็จะกลบได้แต่เพียงแค่ศีรษะคนเท่านั้น
ที่มันจะปลิวขึ้นไปกลบถึงยอดภูเขา หรือยอดไม้สูงๆ นั้นย่อมไม่ได้
ฉะนั้น เมื่อจิตของเราสูงขึ้นแล้ว
นิวรณ์ทั้งหลายก็ไม่สามารถจะกลบจิตของเราให้เศร้าหมองได้
การที่จะไม่เข้าไปเป็น ไปจมในกาย ในความคิดปรุงแต่ง
ไม่ใช่เกิดจากการที่ดึงจิตออกมา หรือคิดเอาเองว่าไม่ไปเป็น
แต่เกิดจากการเจริญสติ สัมปชัญญะมาอย่างต่อเนื่อง
จนจิตตั้งมั่นขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ไม่มีเจตนาจะให้ตั้งมั่น
ทั้งยังประกอบด้วยการสังเกต ตระหนักว่า สิ่งที่สติระลึกได้นั้นถูกรู้สึกอยู่ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ โดยสั่งสมไปเรื่อย จนเห็นความต่าง ระหว่าง รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อนั้นจิตจึงเกิดปัญญาในระดับหนึ่ง
โดยไม่เข้าไปเป็นในสิ่งที่ถูกรู้นั้น จึงสามารถเห็นความจริงได้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจ มีความเปลี่ยนแปลงเสมอๆ
นี่จึงเป็นปัญญาเพื่อการถอดถอนความเห็นผิด ว่ากายใจนี้เป็นตน
เมื่อ “กามราคะ” แผดเผา
จงเว้นนิมิตที่เห็นว่างามชวนกำหนัดเสีย
.
…. “ พระวังคีสเถระ เมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์ บวชได้ใหม่ๆ เที่ยวบิณฑบาต พบสตรีคนหนึ่งเข้า ราคะเกิดขึ้นเสียดแทงจิต ต้องเข้าไปขอความช่วยเหลือจากพระอานนท์ :
.
…. “ กามราคะแผดเผาภายในของข้าพเจ้า จิตของข้าพเจ้าถูกไฟไหม้เสียแล้ว อุบายอย่างใดเป็นเครื่องดับได้ดี ข้าแต่ท่านผู้โคตมโคตร ! ขอท่านจงบอกเพื่อความเอ็นดูแก่ข้าพเจ้าเถิด.” ท่านขอร้องกับพระอานนท์.
.
…. “ เพราะยึดมั่นนิมิตนั่นไว้ด้วยสัญญา จิตของท่านจึงเดือดพล่าน #ท่านจงเว้นนิมิตที่ท่านเห็นว่างามและชวนกำหนัดนั่นเสียเถิด.
…. จงอบรมจิตในอารมณ์ที่ไม่งาม ให้แน่วแน่เป็นหนึ่ง
…. จงมองให้เห็นสังขารทั้งปวงเป็นของผู้อื่น เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
…. จงดับความกำหนัดอันหยาบใหญ่เสีย แล้วอย่าฟุ้งขึ้นอีก”
.
…. นี่เป็นคำเตือนสติของพระอานนท์. อัฏฐกถาหาริตชาดก นวกนิบาต เล่าเรื่องนี้ไว้.”
.
ที่มา : ตามรอยพระอรหันต์ ของ พุทธทาสภิกขุ
พิมพ์ครั้งที่ ๘ สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, หน้า ๒๕๑
.
หมายเหตุ :
“โคตมโคตร” คือ โคตรเดียวกับพระผู้มีพระภาค
“นิมิต” คือ เครื่องหมาย หรือ ภาพที่เป็นอารมณ์
“สัญญา” ความจำได้หมายรู้ คือ หมายรู้ไว้ซึ่ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ อารมณ์ที่เกิดกับใจ
ภาวนาคือชีวิต ชีวิตคือภาวนา
ออกจากโลกก็เหมือนอยู่ในโลก
อยู่ในโลกก็เหมือนออกจากโลก
วิถีจิตที่ตื่นรู้ไม่มีแบ่งแยกนอกใน
สิ่งทั้งปวงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น
เป็นเพียงสิ่งใด สิ่งหนึ่ง...ไม่หมาย ไม่ให้ค่า
แต่ก็รู้เท่าทันสมมุติ ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร
เข้าใจก็เข้าใจ...ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ
เพิกถอนใจออกมาจากโลกของความคิดเสียก่อน แล้วความเข้าถึงใจจะปรากฏชัดกับใจเอง
ไม่ต้องเป็นผู้รู้
แต่ให้มีผู้รู้ประจำใจ
ขอเพียงไม่หลงไม่ไหลไปก็พอ
ความคิดว่ารู้ มักลากใจให้กลายเป็นอสุรกาย คอยติคนนั้น คอยเตือนคนนี้ ด้วยทิฏฐิและมานะ
เมื่อมีคนเชื่อถือ ยิ่งสำคัญตัวเหนียวแน่น
ไม่ต้องรู้มาก ไม่ต้องคิดเยอะหรอก
เพียงแค่รู้....รู้ใจก็พอนะ รู้แล้วไม่ไปเป็น
มื่อผู้ใดไม่เพียรละภายในจิตใจแล้ว
ไม่สอนใจของตนให้ละความยึดถือในความชั่ว
ความไม่พอใจ ความโกรธให้บุคคลผู้อื่นไว้ไม่รู้จักหาย
นึกถึงบุคคลนั้นมาเวลาใดก็ใจขุ่นมัวขึ้นมาอย่างนี้นะ
นั้นแหละมันเป็นกรรมเป็นเวรติดตามไปสนองน่ะ
ถ้าหากว่า ก่อนนั้นน่ะตนเคยเกลียดชังคนนี้มาจริง
แต่ว่า เมื่อตนได้มาเจริญสมถะวิปัสสนา
เห็นแจ้งเหตุปัจจัยชีวิตดังกล่าวมานี้แล้วตนก็อภัยให้เขาไปเลย
ไม่ผูกโกรธไปแล้ว เพียรสอนใจของตนให้ยกโทษ
อภัยให้แก่ผู้ที่เป็นศัตรูกับตนเรื่อยไป เช่นนี้แล้ว
กรรมเวรอันเกิดจากโมโหโทโสมันก็หมดไป
มันก็ไม่ได้ติดตามไปสนองในชาติต่อๆ ไป ให้พากันเข้าใจ
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
ชัยชนะที่แท้นั้น
อยู่ที่รู้จักตัวเองไหม
สามารถละทิ้งความเป็นตัวตนได้ไหม
เมื่อละทิ้งความเป็นตัวตนได้
ก็คือสามารถทิ้งชัยชนะลงไปได้ด้วย
ชัยชนะที่แท้จึงเป็นความที่ไม่ต้องชนะสิ่งใดเลย
เพราะไม่มีอะไรเป็นอะไร ให้ต้องเอาชนะ
การที่เราจะรู้ลงในปัจจุบันนั้น
ไม่ใช่จะไปยึดกับปัจจุบัน
แต่การรู้ลงปัจจุบันนั้นก็เป็นเพียง
เครื่องมือในการเรียนรู้ความจริงเท่านั้น
ความจริงจะปรากฎให้รู้ได้ในปัจจุบัน
อดีต อนาคต เป็นเรื่องในความปรุงแต่ง
เมื่อรู้ลงปัจจุบันย่อมเห็นทั้งอดีต อนาคต
เป็นสิ่งมายา แม้ปัจจุบันก็เคลื่อนที่ตลอด
แปรปรวน จึงไม่ควรไปจับถือไว้
รู้ได้เท่าที่รู้ รู้ลงปัจจุบันแต่ไม่ไปเป็น...
. เวลาภาวนานะไม่ต้องยกเอาธรรมะ
ที่อ่านมา ที่คิดได้เข้าไปด้วยหรอกนะ ...
... อ่านตรงไหนเข้าใจแล้วก็วางไว้ตรง
นั้น จะต้องไปคิดอะไรมากมาย ...
ก็รู้ อารมณ์เดียวไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ
จนจิตแน่วแน่ และสงบตั้งมั่นในที่สุด
ก็ใช้ จิตที่ตั้งมั่นนั้นคอยรู้
ความเป็นไตรลักษณ์ ของรูป นาม เท่านั้นเอง
... ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ซับซ้อนเลยนะ ...
... สำคัญ คือ ต้องมีความอดทน
สร้างเหตุในปัจจุบัน ไม่หวังในผล สมาธิปัญญา
... การเรียนหนังสือ
เราจำได้ เรารู้ มันเกิดปัญญา
แต่ มันเป็น สติปัญญา ธรรมดา
แต่ .. ความรู้ที่เกิดในสมาธิ
นี่มันเป็น " สมาธิปัญญา "
เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นมาเอง
โดยที่เราไม่ตั้งใจจะรู้
อันนั้นจึงจะได้ชื่อว่า ..
ความรู้ในสมาธิ สติ นึกถึง สัมปชัญญะ รู้พร้อม
เมื่อ.. มีสติ
กับสัมปชัญญะควบคู่กัน
มันมีพลังขึ้น
จิตของเรามีการ
... เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา
... เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ และ สิ่งแวดล้อม
พอ อะไรเข้ามามันรู้
พอ รับรู้แล้วมันจะวิจัยว่า ..
ดี หรือ เลว
ควร หรือ ไม่ควร อันนี้ คือ " ปัญญา "
ปัญญา คือ ความคิด
ความคิดใดที่มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อม คือ ..
" สมาธิปัญญา "
... เทศนาธรรม
ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
ข้อธรรมต่างๆ ที่ได้รับฟัง หรือศึกษามา
จากที่ต่างๆนั้น อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ
เพียงเพราะมีเหตุผลดี ให้รับฟังไว้
แล้วน้อมนำไปปฏิบัติก่อน แล้วเกิดผลอย่างไร
ความถือมั่นลดลงบ้างไหม หรือตัวตนยิ่งมากขึ้น
ถ้าความถือมั่นลดลง มีความสุขมากขึ้น
เห็นทุกข์มากขึ้น แต่ไปเป็นทุกข์น้อยลง
ก็พอปลงใจเชื่อได้ว่ามาถูกทาง
พุทธองค์ทรงวางหลักธรรมไว้
เป็นไปเพื่อการสละออกโดยถ่ายเดียว
ถ้าปฏิบัติแล้วจิตใจยิ่งพอง ด้วยตัวตน
ด้วยกิเลส แสดงว่า กำลังหลงทาง
ให้ทบทวนความเชื่อในวิถีนั้นๆ
เรื่องความคิดนี่ ในการภาวนานั้น
เราไม่ต้องไปเที่ยวคอยดับมันนะ
ใหม่ๆนั้น เวลาหัดรู้สึกตัวทีความคิดดับทีแล้วก็มาใหม่
ถ้าฝึกมากขึ้นๆไปรู้สึกตัวได้ถี่ขึ้น แบบไม่จงใจ
ความคิดก็เห็นๆอยู่ แต่อยู่ต่างหาก ไม่มีใครเข้าไปเป็น
ไม่เข้าไปดัดแปลงแก้ไขอะไร มันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไป
เกิด ดับไปเรื่อยๆ แต่ใจที่รู้ ไม่เข้าไปจับ เวลาจะใช้งานก็
เข้าไปใช้ แต่จะคล้ายๆกับ น้ำ กับ น้ำมัน เอามารวมกัน
เขย่าอย่างไร เดี๋ยวมันก็แยกกันเอง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านกล่าวไว้ว่า
"คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิดจึงจะรู้ แต่ก็ต้องอาศัยคิด"
คือไม่ห้ามความคิด ตรงที่ว่าหยุดคิดก็คือหยุดการเข้าไปเป็นความคิด
ก็ต้องลองไปสังเกตดูนะว่าเห็นอย่างไรบางคนอาจจะเห็นไม่เหมือนอย่างนี้ก็ได้นะ....
ความรู้สึกตัว ตื่นรู้ขึ้นมา
การตระหนักถึงภาวะที่เป็นอยู่
มิใช่ไปควานหาหรือจดจ้องอะไร
มันเป็นสิ่งที่เป็นโดยอัตโนมัติ
เป็นผลมาจากการฝึกฝนที่คอยรู้สึก
รู้สึกถึงกายใจทีละนิดละหน่อยนั่นแหละ
รู้สึกได้ถึงภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เป็นเพียงเพราะหลุดออกมาจากความปรุงแต่ง
หลุดออกมาจากความเป็นเรา
จึงรู้ถึงสภาพธรรมที่เป็นจริงๆ
การเรียนสูงหรือต่ำ
มันไม่ได้เป็นเครื่องวัดจิตสำนึกของคน
ไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าใครโง่หรือฉลาด
หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านเคยกล่าวว่า
"เรียนจบปริญญาตรี กิเลสมันก็ปริญญาตรี
เรียนจบปริญญาโท กิเลสมันก็ปริญญาโท
เรียนจบดอกเตอร์ กิเลสมันก็ดอกเตอร์"
การรู้การทำในสิ่งที่สมควร
การรู้ว่ากระทำด้วยทิฏฐิมานะหรือไม่
การรู้ว่าอะไรกุศล อะไรอกุศล
การรู้จักเรียนรู้ตัวเองต่างหาก
จึงเรียกว่าผู้มีปัญญา
การแผ่เมตตาต้องแผ่เป็นอัปปมัญญา
ถ้ามีว่าคนนี้รัก ให้มากๆ คนไม่ชอบใจ ไม่ให้
แสดงถึงความมีอคติ ต้องให้เท่าเทียม
ไม่เจาะจง ให้หมด ใจจึงเป็นกลาง ให้หมดแหละ
แผ่เมตตาให้เต็มดวง พ่อแม่จะได้บุญน้อยลงไปไหม
ไม่หรอก เหมือนพระอาทิตย์ส่องโลก
มันก็สว่างไปหมดทั่วทุกมุมโลก
ทุกคนก็เห็นความสว่างเท่ากันหมด
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
" จิต...
เสวยเวทนา อย่างละเอียดนั้น
ให้ละลายเวทนาเข้าไปอีก
เอามรรค...เข้าไปฟอก
แล้วทำความรู้...
ตั้งอยู่...แทนเวทนา จึงจะ...
เห็นตน
เห็นธรรม
เห็นความบริสุทธิ์."
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
ความรู้สึกตัวเป็นธรรม
ความหลงเป็นกิเลส
แต่คนก็มักยอมตัวปล่อยใจ
ให้กับกิเลส มากกว่าจะอยู่กับธรรม
เพราะความมักมาก กับมักง่าย
เพียงแค่ปล่อยตัวปล่อยใจ
มันก็พาไหล ไปพบเจอกับ
ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
แต่กลับยึดถือเอาเป็นจริงเป็นจัง
แต่กับธรรม มันเป็นการสวนทางกัน
เหมือนยากลำบาก เพียงแต่ยากกับกิเลส
แต่มันไม่ยากกับผู้ยินดีในธรรมเลย
กลับพบแต่ความสุขจากการปลดภาระ
ปลดสิ่งที่แบกไว้ไปตลอดทาง
จนไม่เหลือสิ่งที่แบก...อีกต่อไป
. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างไร
เห็นอยู่อย่างไร อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯ
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งจักษุ
โดยความเป็นอนัตตา อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯลฯ
เมื่อบุคคลรู้อยู่ เห็นอยู่ซึ่งหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ธรรมารมณ์
มโนวิญญาณ มโนสัมผัส สุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
โดยความเป็นอนัตตา อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่อย่างนี้
เห็นอยู่อย่างนี้แล อนุสัยจึงจะถึงความเพิกถอน ฯ
____________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
อนุสัยสูตร
เมื่อใดที่รู้สึกว่าฟุ้งซ่านมาก
หรือมีสิ่งกระทบเข้ามาจนสติตามไม่ทัน
ให้หยุดทุกอย่างก่อน
หายใจเข้าลึกๆ อั้นไว้5วินาที
แล้วสังเกตุความรู้สึกที่นิ่งๆภายใน
แล้วผ่อนลมออกช้าๆๆ
ทำซ้ำ5ครั้งให้จิตใจมีกำลังก่อน
ใครๆ ทำร้ายน้ำใจเราไม่ได้
ถ้าเราไม่เปิดใจรับหรือให้ค่าความหมายกับเขา
มันก็เหมือนหมามันเห่าน่ะแหละถ้าเราเอ็นดูหมา
หมามันเห่าเรา เราก็ไม่เดือดร้อน
ชีวิตมันต้องผ่านอะไรอีกเยอะ
ถ้าเราไปแบกรับเอามาที่เราทั้งหมด
เราก็คงทุกข์จนตาย ความจริงแล้วมันทุกข์
เพราะความคิดของเราเอง
สิ่งภายนอกก็อยู่ตามเรื่องของมัน
ความสุขก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ความทุกข์ก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง
ก็เพียงเท่านั้นเอง...
พระศาสดาทรงตรัสไว้
ในกาลก่อนปรินิพพานว่า
สังขารทั้งหลาย(ความปรุงแต่ง)
มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวง
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด...
เพราะงั้นหน้าที่ของเราคือมีสติระลึกรู้ว่า
มีสุขเกิดขึ้น ไม่เพลินไปกับสุข
มีทุกข์เกิดขึ้น ไม่ผลักไสทุกข์
เป็นเพียงระลึกได้รู้สึกตัวและยอมรับ
เมื่อนั้นจึงจะเห็นตรงตามจริง
ที่พระองค์ตรัสไว้ว่า
มันไม่เที่ยงแท้เลย มันเสื่อมสิ้นไป
ต่อหน้านั้นนั่นเอง
... วิธีเจริญกรรมฐานอย่างที่เราเข้าใจกัน
โดยทั่วๆไป
ซึ่งเป็นสายใหญ่ๆ มีอยู่ ๓ สาย ...
๑.สาย พุทโธ
๒.สาย สัมมาอรหัง
๓.สาย ยุบหนอพองหนอ
... ทั้งสามสายนี้ อาจทำให้ท่านผู้ฟัง
หรือผู้ปฏิบัติยังเข้าใจขัดแย้งซึ่งกันและกันอยู่
แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าจะขัดแย้งกัน
เพราะมันเป็นอารมณ์จิตด้วยกันทั้งสิ้น ...
ขอให้ท่านทั้งหลายพึงเข้าใจว่า ..
เป็นแต่เพียง ’อารมณ์’ ที่เราจะยึด ให้เป็นสื่อ ...
เพื่อนำจิตเข้าไปสู่ความสงบแต่ละอย่างเท่านั้น
ใครจะภาวนา แบบไหน อย่างไรก็ตามมันเป็นอุบาย
เพื่อ ให้จิตของเราอยู่กับคำบริกรรมนั้น
เมื่อ จิตสงบเป็นสมาธิแล้วมีค่าเท่ากัน
แต่ ... ถ้าจิตไม่สงบลงเป็นสมาธิ มันเป็นแค่วิธีการเท่านั้น
แต่ ... ถ้าจิตสงบลงเป็นสมาธิ
คำบริกรรมภาวนาต่างๆข้างต้นจะหายไป
.. กายเบา.. จิตเบา
.. กายสงบ.. จิตสงบ
นิวรณ์ ๕ อันเป็นกิเลส
คอยขวางการปฏิบัติระงับลงไปอย่างสิ้นเชิง
... หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
" จงมีจิต...
ที่เปิดรับทุกอย่าง
แต่...
ไม่ยึดติดสักอย่าง."
__________________________________________
(ท่านติโลปะ มหาสิทธา ชาวพุทธอินเดีย
ผู้ปฏิบัติอนุตรโยคะตันตระ เพื่อเข้าสู่พุทธภาวะ
ศตวรรษที่ ๑๐; ๑,๐๐๐ ปีก่อน)
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตและสังคม
มันมีความขัดแย้งเสมอเพราะว่า
คนต่อคนมันก็ขัดแย้งกันด้วยทิฐิ
เพราะแต่ละคนก็มักจะมองว่า
ความเห็นของตนถูกต้องเสมอ
พอขัดแย้ง ก็มีโทสะ ความเกลียดชัง
ยิ่งแก้ไม่ได้นอกจากว่า
เราจะเอาความเกลียดชังออกเสีย
จนจิตเป็นกลาง หรือประกอบด้วยเมตตา
ปัญหานั้นมีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่เป็นที่จุดเชื้อกิเลส
อันนำไปสู่ความทุกข์ ทุกข์ทั้งตัวเองทั้งคนรอบข้าง
สิ่งที่ผ่านมาแล้ว
ก็ผ่านมาแล้ว
สิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ก็ยังมาไม่ถึง
พาจิตใจออกจากความวิตกทุกข์ร้อน
พาจิตใจออกจากคำว่า 'ถ้า' แล้วดำรงจิตให้เป็นปัจจุบัน
ด้วยการรู้สึกตัว รู้กาย รู้ใจ หนทางที่ตีบตันอาจเปิดออกได้
หรือแม้ไม่ได้ใจก็จะไม่ถูกความทุกข์ครอบงำนะ
สุขและทุกข์ ที่รู้สึกได้
ทั้งทางกายและใจ
ให้เราสังเกตดูว่าเมื่อสุข
ใจจะดึงดูดเข้ามา
เมื่อทุกข์ ใจจะผลักไสออกไป
เพราะมีเราเข้าไปเป็น ไปรองรับ
อยากให้อยู่นานๆ กับ อยากให้พ้นไปเร็วๆ
ต้องคอยรู้ให้ทัน เมื่อสุขเกิดขึ้นมา
มันก็ไม่เที่ยง หมดเหตุมันก็ดับไป
ทุกข์เกิดขึ้นมาก็ไม่เที่ยง หมดเหตุมันก็ดับไป
เมื่อเข้าใจอย่างนี้ใจจะเป็นกลางมากขึ้นๆ
ความกลัวจะเสียไป กับความกลัวว่าจะคงอยู่ก็หมดไป
เพราะเห็นจริง ว่าไม่มีสิ่งใดว่าเป็นเราของเราที่บังคับได้จริง....
คนเราชอบที่จะเอาชนะ
แม้การปฏิบัติธรรมก็คิดแต่อยากจะชนะ
ชนะกิเลสบ้าง ชนะความรู้สึกต่าง
ชนะความเป็นไปของขันธ์
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้จริง
อาจได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
พระพุทธองค์มักตรัสว่า
"พระขีณาสวะ ละความชนะความแพ้ได้แล้ว"
หนทางที่ควรดำเนินไปสู่ความไม่ชนะ ไม่แพ้
ก็คือการรู้ รู้สึกตัว เพียงแค่รู้ ดีก็รู้ ชั่วก็รู้
สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ ในทุกๆอารมณ์
เมื่อเพียงแค่ รู้ ไม่มีเจตจำนงค์จะไปทำอะไรๆ
ไม่มีใครไปเป็นไปทำ ก็ไม่มีใครชนะหรือแพ้
เพราะเพียงแค่รู้มันเกิดก็รู้ มันดับก็รู้
ไม่มีเราไปเกาะเกี่ยวอันใด.......
สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมนั้นแล้ว
ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก
เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน
หยาบบ้าง ประณีตบ้าง พระองค์จึงเปลืองคำสอน
ไว้มากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
เมื่อมีนักปราชญ์ฉลาดสรรหาคำพูดให้สมบูรณ์ที่สุด
เพื่อจะอธิบายสัจธรรมนั้น นำมาตีแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจธรรมด้วยกัน
เราย่อมจะต้องอาศัยแนวทางในสัจธรรมนั้น
ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุด
นำแผ่ออกไปอีก โดยไม่ได้คำนึงถึงคำพูด
หรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะตัวใดเลยแม้แต่น้อยเดียว
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ผู้เพลินในโลกมาก
จะเป็นผู้เศร้าโศกมาก
ผู้เพลินในธรรมมาก
จะนำความเศร้าโศกออกมากมาย
ผู้เห็นภัยในสงสาร ผู้ไม่ไว้ใจในสงสาร
ก็คือผู้ถือกุญแจเปิดประตูพระนิพพานนั้นแล
ใจใดไม่ติดอยู่ในผู้รู้เป็นตัวเหตุ
ใจนอกเหตุ
ก็ไม่ต้องได้หาใจนั้น แลนามิได้ท่องเที่ยว
ใจเดียวธรรมเดียวทรงนอกเหตุ
หมดประเภทใจอื่นจะตามหา
ใจนั้นข้ามโลกาไปแล้วไม่มีรอยแล
ใจใดไม่รู้จักใจ ใจนั้นก็ไปพบแต่ภัย
ยิ่งไปเท่าใดก็ยิ่งพบแต่ภัยล้านๆ อสงไขยก็ไม่พบสุข
..
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
กายวิเวก เป็นเหตุ จิตวิเวก
จิตเป็นเอก ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
เห็นทุกสิ่ง เกิดดับ เลื่อนลับไป
จิตไม่ไหล รู้ตามจริง จึงปล่อยวาง...
ปล่อยวางได้ เพราะจิต นั้นแจ่มแจ้ง
ไม่คลางแคลง ในธรรม พ้นสงสัย
แจ้งธรรมหนึ่ง ทิ้งของคู่ หมดอาลัย
ธรรมวินัย พากเพียรตาม ย่อมถึงจริง
ภาวนา พาใจ เหมือนแผ่นดิน
หมายว่าสิ้น ชอบชัง สู่วางเฉย
อยู่เพียงรู้ ไม่วุ่น รู้ให้เคย
ความคุ้นเคย อยู่กับรู้ สงบใจ
ภาวนา พาใจ ให้เห็นแจ้ง
ดุจดั่งแสง ตะวัน พ้นภูผา
เห็นกายใจ ตามจริง เป็นมรรคา
อนิจจา ทุกขา อนัตตา
"ดวงจิต" ก็มีกำลังตั้งอยู่โดยลำพัง จะเกิดมี "วิชา" ขึ้นอีกอย่างหนึ่งในทางจิต ที่เรียกว่า "วิปัสสนา" หรือ "วิชชาวิมุติ"
"ธาตุทั้ง ๔" เป็น "ธาตุกายสิทธิ์", "ดวงจิต" เป็น "จิตตานุภาพ"
เมื่อประสงค์ปรารถนาส่วนใดส่วนหนึ่ง อันเป็นส่วนของธรรมของโลก ก็ให้ "ขยับจิต" "เพ่งลม" ให้หนักและแรง
กำลังจิตเข้า "ไปจ่อ" ในธาตุอันบริสุทธิ์ ก็จะมี "ญาณผุด" ขึ้นในธาตุนั้น
เปรียบเหมือนเข็มของแผ่นจานเสียงซึ่งจดจ่อลงไป ย่อมเกิดเสียงของมนุษย์และสัตว์ปรากฏขึ้นในที่นั้นฉันใด
"สติ" ของเรา "จดจ่อ" เพ่งเล็งลงใน "อารมณ์" อันสะอาด
ต้องการ "รูป" ก็จะปรากฏ "รูป" ต้องการ "เสียง" ก็จะปรากฏ "เสียง"
ไม่ว่าใกล้หรือไกล ย่อมรู้ได้ ทั้งเรื่องโลกและเรื่องธรรม เรื่องตนและคนอื่น สุดแท้แต่เราประสงค์
เรื่องใด จดจ่อลงไปก็ "ให้นึกขึ้น" จะปรากฏได้ทันทีฉันนั้น
นี่แหละเรียกว่า "ญาณ" รู้ได้ใน อดีตและอนาคต พร้อมด้วยปัจจุบัน
จึงเป็น "วิชา" สำคัญอันหนึ่ง ที่เรียกว่า "ปัจจัตตัง" รู้ได้เฉพาะตน
"ธาตุนั้น" เปรียบเหมือน "กระแสไฟ" ที่แล่นอยู่ในอากาศ
"สติและจิต" มีกำลังกล้า มีวิชาความรู้สูง สามารถที่จะทำให้ "ธาตุ" นั้นเป็นสื่อสัมพันธ์ทั่วไปในโลก
เป็นทางให้ "เกิดวิชาความรู้" ขึ้นในตัวเองได้เป็นอย่างดี
"ฌานที่ ๔" นี้ เมื่อมีแล้วโดยสมบูรณ์ก็เป็นเหตุให้เกิด "วิชา ๘ ประการ" ขึ้นในตัวของเราเอง มี วิปัสสนาญาณ
มี "วิปัสสนาญาณ" คือ
๑. "วิปัสสนาญาณ" คือ "ความรู้แจ้งเห็นจริง" ใน "นามและรูป" เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป วิปัสสนาญาณนี้เป็นส่วนพิเศษ เกิดขึ้นจากการอบรม จิต มีหนทางรู้ได้ ๒ วิธี
(๑) รู้ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องนึกคิด
(๒) รู้ขึ้นจากการนึกคิด แต่ไม่ใช่การตรองให้ยืดยาวเหมือนความรู้ธรรมดา นึกเมื่อใดก็โพลงขึ้นมาเมื่อนั้น เหมือนน้ำมันเบนซินที่ชุ่มอยู่ด้วยสำลี เมื่อจ่อไฟเมื่อใดก็ลุกโพลงขึ้นได้โดยเร็ว "วิปัสสนา" ก็ดี "ญาณ" ก็ดี ย่อมมีความเร็วได้เช่นนั้น จึงต่างจาก "ปัญญาสามัญธรรมดา" (สัญญา)
๒. "มโนมยิทธิ" ฤทธิ์ในทางจิตใจ นึกเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น
๓. "อิทธิวิธี" แสดงฤทธิ์ได้ให้ปรากฏแก่คนบางพวก เช่น แปลงรูป แปลงสถานที่ ให้ประชาชนแลเห็นด้วยตา บางคราวบางสมัย
๔. "ทิพพโสต" หูทิพย์ ฟังเสียงไกลได้
๕. "เจโตปริยญาณ" กำหนดรู้ในวาระน้ำใจของบุคคลอื่นได้ ว่าดี ชั่วหยาบหรือละเอียด
๖. "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" ระลึกชาติหนหลังได้ (ท่านจะไม่ต้องยุ่งในเรื่องตายเกิด ตายสูญ เพราะได้วิชาข้อนี้)
๗. "ทิพพจักขุ" ได้ตาทิพย์ มองเห็นรูปละเอียดและหยาบ ใกล้หรือไกลได้ (อนุปรมาณู)
๘. "อาสวักขยญาณ" รู้จักวิธีทำอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ ให้เบาบางและสิ้นไปได้
วิชา ๘ ประการนี้ล้วนแล้วแต่สำเร็จมาจาก "ภูมิฐานของสมาธิ" ทั้งสิ้น
ฉะนั้นแนวทางที่จะทำให้เกิด"สมาธิญาณ"โดยทางของ"อานาปา ฯ" ที่แสดงไว้นั้น เมื่อผู้มีความมุ่งหวังในส่วนความดี ทั้งหลายนี้ จงสนใจปฏิบัติอบรมจิตใจของตนเองนั้น เทอญ ฯ
..
ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
อย่าไปมองในแง่ร้าย
อย่าไปมองในแง่ดี
ให้มองให้ตรงความจริง
มองในแง่ร้าย ก็เพราะอคติ
มองในแง่ดี ก็เพราะฉันทาคติ
เป็นการมองเพราะเอาตนเป็นที่ตั้ง
รู้เท่าทันทั้งดีทั้งร้าย ใจจึงเป็นกลาง
กลางเพื่อเห็นทุกสิ่งตามที่เป็นจริงๆ
จะภาวนาแต่ถูกตัณหา
นำพาให้กระทำไปต่างๆ
จะภาวนาแต่มัวคิดว่า
จะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้
ยึดแน่นในความคิดตน
ปิดตนจากวิถีทาง
จะภาวนามัวแต่คิดสำคัญในตน
เปรียบเขาเปรียบเรา
เหล่านี้เรียกว่า ปปัญจธรรม
ธรรมอันเป็นเหตุให้เป็นเครื่องเนิ่นช้า
ให้คอยรู้ให้เท่าทันไว้
เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วหลงไปจับเข้า
ให้คอยรู้สึกๆไว้ รู้สึกตัวเอาไว้
วิถีจิตอันนำไปสู่มรรคาแห่งความหลุดพ้น ตัดให้สั้นแล้วเหลือเพียงแค่....รู้...
รู้ตามเป็นจริงแบบไม่แทรกแซง
รู้ลงในขันธ์๕ นี้เองนะ...
รู้ลงในกายในใจนี้เองนะ...
เมื่อสมาธิถูกต้องแล้ว มันทำจิตให้เกิดปัญญา
อย่างนี้เรียกว่า “วิปัสสนา” มันก็เกิดความรู้เห็นตามเป็นจริง
นี้เรียกว่า “สัมมาปฏิบัติ” เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง
มีอิริยาบถสม่ำเสมอกัน
คำว่า “อิริยาบถสม่ำเสมอกัน” นี้ ท่านไม่ได้หมายเอา
อิริยาบถภายนอกที่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน
แต่ท่านหมายเอาทางจิตที่มีสติสัมปชัญญะอยู่นั่นเอง แล้วก็รู้เห็นตามเป็นจริงทุกขณะ คือมันไม่หลง
ความสงบนี้มีสองประการคือ ความสงบอย่างหยาบหนึ่ง
และความสงบอย่างละเอียดอีกอย่างหนึ่ง
อย่างหยาบนั่นคือเกิดจากสมาธิ ที่เมื่อสงบแล้วก็มีความสุข แล้วถือเอาความสุขเป็นความสงบ
อีกอย่างหนึ่งคือ ความสงบที่เกิดจากปัญญา
นี้ไม่ได้ถือเอาความสุขเป็นความสงบ แต่ถือเอาจิต
ที่รู้จักพิจารณาสุขทุกข์เป็นความสงบ
เพราะว่าความสุขความทุกข์นี้ เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน
จะไม่พ้นจากวัฏฏสงสาร เพราะติดสุข ติดทุกข์ ความสุข
จึงไม่ใช่ความสงบ ความสงบจึงไม่ใช่ความสุข
ฉะนั้น ความสงบที่เกิดจากปัญญานั้น จึงไม่ใช่ความสุข
แต่เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริงของความสุข ความทุกข์
แล้วไม่มีอุปาทานมั่นหมายในสุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา
ทำจิตให้เหนือสุขเหนือทุกข์นั้น ท่านจึงเรียกว่า
เป็นเป้าหมายของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
__________________________
หลวงปู่ชา สุภัทโท
ท่านพ่อลี สอนว่า .....
"ความยึดถือ เปรียบเหมือนสะพาน ถ้าสะพานไม่มีแล้วใครเล่าจะเป็นคนเดิน มันก็จะมีแต่ฟากข้างโน้นกับฟากข้างนี้ ตาก็มีอยู่ มันก็มองเห็นกันอยู่อย่างนี้
จิตที่ไม่ติดกับอารมณ์ก็เหมือนใบบัวที่อยู่ในน้ำ
แต่น้ำ มันก็กลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ติดซึบฐามเข้าไปในใบบัว ความรู้นี้มีอยู่ แต่ไม่ยึด พูดก็รู้ว่าพูดอยู่ แต่ไม่เข้าไปยึด ทำก็รู้ว่าทำอยู่ แต่ไม่เข้าไปยึด ให้ทำไปแต่กิริยาเท่านั้น
จิตวางเฉยเป็นปกติไม่ต้องปรุง
ระงับกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
เป็นกายวิเวก จิตตวิเวก สงบสงัดอารมณ์ภายนอก ทั้งอดีต อนาคต ดีไม่ดี"
ทำอะไร รู้อะไร เข้าใจอะไร อย่าคิดเข้าข้างตนเองเลยนะ
เข้าข้างตนเองเมื่อไร ก็คือเข้าข้างกิเลสทั้งนั้น
ฉันรู้ ฉันเข้าใจ ฉันถูก ฉันผิด
ฉันสุขดีแล้ว ฉันทุกข์มากเหลือเกิน...ฯลฯ
มีแต่ ฉัน คอยรับสนองอยู่เสมอ
ถ้าฉุกใจได้ ก็ให้สังเกต
เมื่อความเป็น ฉัน มีเมื่อใด ให้...รู้ รู้สึกตัวนะ