“อย่าปล่อยให้จิตตกภวังค์” ภวังค์เป็นบ่วงของมาร. ภวังค์ผูกมัดสัตว์ไว้ไม่ให้เห็นธรรม.
เมื่อใดที่ปล่อยให้จิตตก “ภวังค์”. สิ่งที่ตามมาคือ “นิมิต”. นิมิตและภวังค์ เป็นสิ่งที่มักเกิดควบคู่หรือมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันในการปฏิบัติ. นิมิตเกิดจากภวังค์.
“ภวังค์” คือช่วงว่างของจิต ที่ปราศจากสติ. หมายถึง ในขณะที่เราเข้าสู่ความสงบ. จะด้วย ฌานจิต หรือ สมาธิจิต. ก็ตาม. จิตจะมีอาการเคลิบเคลิ้ม. ความเคลิบเคลิ้ม จะทำให้ไม่สามารถใช้สติได้อย่างบริบูรณ์. ทำให้จิตขาดสติ.
จิตขาดสติ. “จิตจะมีอาการวูบวาบ. คล้ายตกจากที่สูง” ช่วงที่วูบ แล้วจิตนิ่ง. ช่วงนี้เรียกว่า “จิตตกภวังค์.
“ภวังค์. และ นิมิต”. เป็นบ่วงของมาร. ทำให้เกิด “วิปัสสนูกิเลส”. ผูกมัดสัตว์ไว้ไม่ให้เห็นธรรม.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"อานุภาพของจิตหนึ่ง"
"จิตที่เป็นหนึ่ง" ไม่มีอะไรเข้าถึง. "จิตหนึ่ง" เป็นเหมือนความว่าง. อยู่เหนือกรรม. ไตรลักษณ์เข้าไม่ถึง. มันเป็นครรภ์ หรือกำเนิด. ไม่มีใครทำให้เกิด. และไม่อาจถูกทำลายได้. ด้วยอานุภาพที่ไม่อาจถูกทำลาย. และไม่มีอะไรเข้าถึงได้แม้แต่ไตรลักษณ์. นี้เอง. มันจะสะท้อนต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง. ทั้งความดีและความร้าย. ใครคิดดีความดีนั้นจะสะท้อนกลับ. ใครคิดมุ่งร้ายความร้ายนั้นจะตีกลับคืน. อาจถึงตายได้.
จิตหนึ่งพึ่งพิงได้.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"เอกัคตารมณ์"
จิตรวมมีอารมณ์เดียว. เป็น อัปปนาฌาน.
ถ้าเดินปัญญาก็เป็นอัปปนาสมาธิ.
กำลังของสติยังข้ามโลกีย์ไม่ได้. ยังเป็นปุถุชน.
“ฌาน”
"จากฌาน". เดินปัญญา "เป็นสมาธิ". เข้าสู่ "ญาณ".
ฌาน. [ชาน] น. เป็นสภาวะ ที่จิตสงบแน่วแน่. หยุดนิ่งอยู่กับอารมณ์อันเดียว. เมื่อจิตจดจ่อหยุดนิ่งอยู่กับอารมณ์อันเดียวได้แล้ว. จึงปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น. ได้แก่ อารมณ์ที่เป็นรูปฌาน. อารมณ์ที่เป็นอรูปฌาน. อารมณ์ที่เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ. และ ความว่างในสิ่งที่มีอยู่. จนกระทั่งจิตปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมด. มีแต่จิตล้วนๆ. การเพ่งอารมณ์. จนจิตแน่วแน่มีแต่จิตล้วน ๆ. เป็น "สัมมาสมาธิ" หมายถึง “จิตหนึ่ง”.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"อรูปฌาน ๑"
ยึดเอา "ความว่างโล่ง ๆของอากาศ" มาเป็น "อารมณ์" เรียกว่า "อากาสานัญจายตนะ".
"รูปฌาน ๔" จิตสงบลงสู่ "อัปปนา" เต็มที่. อารมณ์นิ่งแน่วแน่. เป็นความว่างโล่ง ๆ. เป็นอากาศอยู่เฉย ๆ. ไม่มีอะไรเป็นสักขีพยาน. เป็น "ความว่างโล่ง ๆของอากาศ".
"ความว่างโล่ง ๆของอากาศ". ตัวนี้แหละ. ที่เราจะยึดเอา "อากาศ" มาเป็นอารมณ์. เข้าสู่ "อรูปฌาน" ต่อไป.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตหนึ่ง" มันว่าง.
มันเป็นความว่างในสิ่งที่มีอยู่.
มันเป็นความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง.
มันไม่เกิดไม่ดับและไม่อาจถูกทำลายได้.
"มีสติ พุทโธ ลม" เพ่งลงไปที่จุดรู้.
รวมความรู้สึกทั้งหมดลงที่จุดรู้จุดเดียว.
ผู้รู้และจิตหนึ่ง. จะเกิดที่นี่.
*** สมาธิหลวงปู่มั่น ภูริฑัตตะ. แปลกและพิสดารมาก ***
ทั้งขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ.
คือขณะจิตรวมเป็น "ขณิกสมาธิ" แล้วตั้งอยู่ได้ขณะเดียว. แต่มิได้ถอนออกมาเป็นจิตธรรมดา. หากแต่ถอนออกมาสู่ "อุปจารสมาธิ". แล้วออกรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่มีประมาณ.
"บางครั้ง" เกี่ยวกับพวกภูตผี เทวบุตร เทวธิดา พญานาคต่าง ๆ นับภพนับภูมิได้ที่มาเกี่ยวข้องกับสมาธิประเภทนี้. ซึ่งท่านใช้รับแขกจำพวก. มีรูปไม่ปรากฏด้วยตา. มีเสียงไม่ปรากฏด้วยหู. มาเป็นประจำ.
บางครั้งจิตก็เหาะลอยออกจากกายแล้วเที่ยวชมสวรรค์วิมานและพรหมโลกชั้นต่าง ๆ และลงไปเที่ยวดูภพภูมิของสัตว์นรกที่กำลังเสวยกรรมมีประเภทต่างกันอยู่ที่ที่ทรมานต่าง ๆ กันตามกรรมของตน.
"ส่วนอุปจารสมาธิ" ของท่านรู้สึกเริ่มเกี่ยวพันกันกับขณิกสมาธิมาแต่เริ่มแรกปฏิบัติ. เพราะจิตท่านเป็นจิตที่ว่องไวผาดโผนมาดั้งเดิม. เวลารวมลงเพียงขณะเดียวที่เรียกว่าขณิกสมาธิ. ก็เริ่มออกเที่ยวรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในวงของอุปจาระ. จนกระทั่งท่านมีความชำนาญและบังคับให้อยู่กับที่หรือให้ออกรู้. รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ได้แล้ว จากนั้นท่านต้องการจะปฏิบัติต่อสมาธิประเภทใดก็ได้สะดวกตามต้องการ. คือจะให้เป็น "ขณิกะ". แล้วเลื่อนออกมาเป็น "อุปจาระ" เพื่อรับรู้สิ่งต่าง ๆ. หรือจะให้ "รวมสงบลงถึงฐานสมาธิ" อย่างเต็มที่. ที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" แล้ว "พักอยู่ในสมาธินั้น" ตามต้องการก็ได้.
"อัปปนาสมาธิ" เป็นสมาธิที่สงบละเอียดแนบแน่นและเป็นความสงบสุขอย่างพอตัว. ผู้ปฏิบัติจึงมีทางติดสมาธิประเภทนี้ได้. ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเล่าว่า ท่านเคยติดสมาธิประเภทนี้บ้างเหมือนกัน. แต่ท่านเป็นนิสัยปัญญาจึงหาทางออกได้. ไม่นอนใจและติดอยู่ในสมาธิประเภทนี้นาน. ผู้ติดสมาธิประเภทนี้ทำให้เนิ่นช้าได้เหมือนกัน. ถ้าไม่พยายามคิดค้นทางปัญญาต่อไป นักปฏิบัติที่ติดอยู่ในสมาธิประเภทนี้มีเยอะแยะ. เพราะเป็นสมาธิที่เต็มไปด้วยความสุข. ความเยื่อใยและอ้อยอิ่งน่าอาลัยเสียดายอยู่มาก. ไม่คิดอยากแยกตัวออกไปทางปัญญา. อันเป็นทางถอนกิเลสทั้งมวล. ถ้าไม่มีผู้ฉลาดมาตักเตือนด้วยเหตุผลจริง ๆ. จะไม่ยอมถอดถอนตัวออกมาสู่ทางปัญญาเอาเลย.
เมื่อจิตติดอยู่ในสมาธิประเภทนี้นานไป. อาจเกิดความสำคัญตนไปต่าง ๆ ได้. เช่น สำคัญว่านิพพานความสิ้นทุกข์. ก็ต้องมีอยู่ใน "จุดแห่งความสงบสุขนี้" หามีอยู่ในที่อื่นใดไม่ดังนี้.
ความจริง "จิตที่รวมตัวเข้าเป็นจุดเดียว" จนรู้เห็น "จุดของจิตได้" อย่างชัดเจน. และรู้เห็นความสงบสุขประจักษ์ใจในสมาธิขั้นอัปปนานี้, เป็นการ "รวมกิเลสภพชาติอยู่ในจิตดวงนั้นด้วย" ในขณะเดียวกัน. ถ้าไม่ใช้ปัญญาเป็นเครื่องบุกเบิกทำลาย ก็มีหวัง "ตั้งภพชาติอีกต่อไปโดยไม่ต้องสงสัย"
ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติในสมาธิขั้นใดก็ตาม. ปัญญาจึงควรมีแอบแฝงอยู่เสมอตามโอกาสที่ควร. เฉพาะอัปปนาสมาธิด้วยแล้ว. ควรใช้ปัญญาเดินหน้าอย่างยิ่ง. ถ้าไม่อยากรู้อยากเห็นจิตที่มีเพียงความสงบสุขอยู่อย่างเดียว. ไม่มีความฉลาดรอบตัวเลยเท่านั้น.
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
"นิพพานเท่านั้น ที่ดับผู้รู้ได้"
วิญญาณ กับ ผู้รู้. เป็นตัวเดียวกัน. หรือจะเรียกว่า.นิพพานเท่านั้นที่จะดับวิญญาณได้. ก็ได้.
"อริยมรรค" รวมเป็น "หนึ่ง" เรียกว่า "มัคคสมังคี" ที่สุดของการปฏิบัติธรรม. คือ "จิตรวมเป็นหนึ่ง".
นี่คือจุดสูงสุด. ของพุทธศาสนา. คุณค่าของความเป็น "หนึ่งของจิต" อยู่เหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด. อัปปมาโน. ประมาณไม่ได้. ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้เลย.
"จิตหนึ่ง" อยู่เหนือเวรกรรมทั้งงหมด. กรรมตามได้แต่ทางกายเท่านั้น. แค่ฝึกให้ "จิตรวมเป็นหนึ่ง" เท่านั้น.
*** จิตหนึ่งมันถึงพระนิพพานเลย. ***
"มันถึงที่หมายเลย". ตื่นได้แล้วชาวพุทธทั้งหลาย.!!!
ตื่นได้แล้ว. เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย.ทั้งหลาย...
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
***ขันธะวิมุติ ***
ถามว่า.ระวิ่งคืออะไร.
ตอบ. วิ่งเร็วคือ "วิญญาณ". "อาการใจ" เดินเป็นแถวตามแนวกัน "สัญญา" ตรงไม่สงสัย "ใจ" อยู่ในวิ่งไปมา. "สัญญา" เหนี่ยวภายนอกหลอกลวงจิต. ทำให้จิตวิ่นวายเที่ยวส่ายหา. หลอกเป็นธรรมต่างๆ อย่างมายา.
ถามว่า "ห้าขันธ์ใครพ้น" จนทั้งปวง.
แก้ว่า. "ใจ" ซิพ้นอยู่คนเดียว. ไม่เกาะเกี่ยวพัวพันติดสิ้นพิศวง.
หมดที่หลงอยู่เดียวดวง. "สัญญา" ทะลวงไม่ได้หมายหลงตามไป.
ถามว่า. ที่ตายใครเขาตายที่ไหนกัน.
แก้ว่า. สังขารเขาตายทำลายผล.
ถามว่า. สิ่งใดก่อให้ต่อวน.
แก้ว่า. กลสัญญาพาให้เวียน. เชื่อสัญญาจึงผิดคิดยินดี. ออกจากภพนี้ไปภพนั้นเที่ยวหันเหียน. เลยลืมจิตจำปิดสนิทเนียน. ถึงจะเพียรหาธรรมก็ไม่เห็น.
ถามว่า. ใครกำหนดใครหมายเป็นธรรม.
แก้ว่า. "ใจกำหนดใจหมาย" เรื่องหาเจ้าสัญญานั้นเอง คือว่าดีว่าชั่วผลักจิตติดรักชัง.
ถามว่า. กินหนเดียวเที่ยวไม่กิน.
แก้ว่า. "สิ้นอยากดูไม่รู้หวัง" ในเรื่องเห็นต่อไปหายรุงรัง ใจก็นั่งแท่นนิ่งทิ้งอาลัย.
ถามว่า. สระสี่เหลี่ยมเปี่ยมด้วยน้ำ.
แก้ว่า. ธรรมสิ้นอยากจากสงสัย ใสสะอาดหมดราคีไม่มีภัย สัญญาในนั้นพรากสังขารขันธ์นั้นไม่ถอน. ใจจึงเปี่ยมเต็มที่ไม่มีพร่อง เงียบสงัดดวงจิตไม่คิดตรอง. เป็นของควรชมชื่นทุกคืนวัน แม้ได้สมบัติทิพย์สักสิบแสน. หากแม้นเหมือนรู้จริงทิ้งสังขาร หมดความอยากเป็นยิ่งสิ่งสำคัญ จำส่วนจำกั้นอยู่ไม่ก้ำเกิน ใจไม่เพลินทั้งสิ้นหายดิ้นรน. เหมือนอย่างว่ากระจกส่องหน้า. ส่องแล้วอย่าคิดติดสัญญา. เพราะสัญญานั้นดังเงา อย่างได้เมาไปตามเรี่องเครื่องสังขาร. ใจขยันจับใจที่ไม่ปน ไหวส่วนตนรู้แน่เพราะแปรไป. ใจไม่เที่ยวของใจใช่ต้องว่า รู้ขันธ์ห้าต่างชนิดเมื่อจิตใหว.
*** แต่ก่อนนั้นหลงสัญญาว่าเป็นใจ ***
สำคัญว่าในว่านอกจึงหลอกลวง. คราวนี้ใจเป็นใหญ่ไม่หมายพึ่ง สัญญาหนึ่งสัญญาใดมิได้ห่วง. เกิดก็ตามดับก็ตามสิ่งทั้งปวง. ไม่ต้องหวงไม่ต้องกันหมู่สัญญา.
เหมือนยืนบนยอดเขาสูงแท้แลเห็นดิน แลเห็นสินทุกตัวสัตว์แต่ว่าสูงยิ่งนัก. แลเห็นเรื่องของตนแต่ต้นมา เป็นมรรคาทั้งนั้นเช่นบันได.
ถามว่า. นี้ขึ้นลงตรงสัจจังนั้นหรือ
ตอบว่า. สังขารแปรก็ไม่ได้. ธรรมดากรรมแต่งไม่แกล้งใคร. ขึ้นผลักไสจับต้องก็หมองมัว. ชั่วในจิตไม่ต้องคิดผิดธรรมดา. สภาพสิ่งเป็นจริงดีชั่ว. ตามแต่เรื่องของเรื่องเปลื้องแต่ตัว. ไม่พัวพันสังขารเป็นการเย็น.
"รู้จักจริงต้องทิ้งสังขาร" เมื่อผันแปรเมื่อแลเห็น. เบื่อแล้วปล่อยได้คล่องไม่ต้องเกณฑ์.
*** ธรรมก็ใจเย็นใจระงับดับสังขาร. ***
"รับอาการ" ถามว่า. ห้าหน้าที่มีครบครัน.
แก้ว่า. ขันธ์แย่งแยกแจกห้าฐาน เรื่องสังขารต่างกองรับหน้าที่มีกิจการ. จะรับงานอื่นไม่ได้เต็มในตัว. แม้ลาภยศสรรเสริญเจริญสุข. นินทาทุกข์เสื่อมยศหมดลาภทั่ว รวมลงตามสภาพตามเป็นจริง. ทั้ง ๘ สิ่งใจไม่หันไปพัวพัน. เพราะว่ารูปขันธ์ก็ทำแก้ไข้มิได้ถ้วน. นานก็มิได้พักเหมือนจักรยนต์ เพราะรับผลของกรรมที่ทำมา. เรื่องดีถ้าเพลิดเพลินเจริญใจ. เรื่องชั่วขุ่นวุ่นจิตคิดไม่หยุด. เหมือนไฟจุดจิตหมองไม่ผ่องใส. นึกขึ้นเองทั้งรักทั้งโกรธไม่โทษใคร.
"อยากไม่แก่ไม่ตายได้หรือคน" เป็นของพ้นวิสัยจะได้เชย.
เช่นไม่อยากให้จิตเที่ยวคิดรู้. *** อยากให้อยู่เป็นหนึ่งหวังพึ่งเฉย.*** จิตเป็นของผันแปรไม่แน่เลย สัญญาเคยอยู่ได้บ้างเป็นครั้งคราว. ถ้ารู้เท่า "ธรรมดาทั้งห้าขันธ์" ใจนั้นก็ขาวสะอาดหมดมลทินสิ้นเรื่องราว. ถ้ารู้ได้ย่างนี้จึงดียิ่ง. เพราะเห็นจริงถอนหลุดสุดวิธี.
*** ไม่ฝ่าฝืนธรรมดาตามเป็นจริง *** จะจนจะมีตามเรื่องเครื่องนอกใน.
(มีต่อ)
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
"จิตหนึ่ง" เป็น "จิตผู้รู้. ผู้ตื่น. ผู้เบิกบาน".
*** ไม่ใช่จิตที่มีความอ่อนโยนนุ่มนวล. .***
ความนุ่มนวล. ความอ่อนโยน. เป็นอาการของจิต. เป็นกิริยาจิต. ไม่ใช่จิตที่เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** ไม่มีอะไรที่ไม่ "โมฆียะ" ***
มันมี "สิ่งหนึ่ง" ที่อยู่เหนือ โมฆียะ. ไม่ว่าจะเป็น. จริงสัจจะ. จริงอริยสัจ. จริงสมมติ. หรือจริงบัญญัติ. สภาวะเหล่านี้. ไม่ใช่พระนิพพาน. เป็นเพียงเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน. "สิ่งนั้น" เหนือ "สิ่งเหล่านี้" ทั้งหมด. "
ไม่โมฆียะ".
"สัจจะทั้งหลาย" ที่เรามีไว้. ที่เราตั้งไว้. เมื่อเห็นโทษของมันแล้ว. มันก็เป็น "สักแต่ว่า.". การเข้าสู่เส้นทางพระนิพพาน. ครั้งแรกต้องยึดมั่นในสัจจะที่ได้ตั้งไว้. เมื่อถึงที่หมายแล้ว. ต้องปล่อยวาง. ในบางกรณีเมื่อเรามองเป็นโทษของสัจจะที่เราตั้งไว้แล้วนั้น. เราก็สามารถปล่อยวางได้เช่นกัน. เนื่องด้วยสัจจะนั้นมันแสนจะยาวไกล. เห็นโทษของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย. กว่าจะถึงที่หมาย. ต่ำสุด ๒๐ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป. การวางก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งการ "ลาสัจจะ". แม้จะยังไม่ถึงที่หมายก็ทำได้. ถ้าสร้างบารมียังไม่เกินครึ่ง. พุทธยังไม่ทำนาย. สามารถปล่อยวางสัจจะนั้นได้.
"อริยสัจ ๔". ทุกข์ สมุทัย. นิโรธ มรรค. เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว. ตัว "จิตหนึ่ง" นั้นคือ. อริยสัจ ๔. คือพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์. คือพุทธวจน. คือพระอภิธรรม. ทั้งหมดเป็นเพียงเส้นทางเท่านั้น. สุดท้ายก็ต้องวาง. เป็นสภาวะของ "โมฆียะ".
"สมมติ" เป็นเงาของตัววิมุติ. ของตัวเที่ยง. เมื่อตัววิมุติเกิดแล้ว. ก็ต้องวางทั้งสมมติและวิมุติ. ตัวที่อยู่เหนือวิมุต. ตัวนั้นไม่ใช่ทั้งตัวเที่ยงและตัวไม่เที่ยง. ค้นไม่ถึง.
"บัญญัติ" เป็นสมมติบัติเพื่อสื่อความหมาย. เพื่อความเข้าใจ. เป็น "โมฆียะ" ทั้งหมด.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"นิพพานอยู่ที่ปลายจมูก"
รวมมรรค ๘, รวมลงที่จุดรู้ที่ปลายจมูก. จิตหนึ่งจะเกิดที่นี่. ออกจากจิตหนึ่ง. ก็ถึงนิพพานแล้ว.
"กิริยาของกาย". ออกมาจากจิต.
วาจาก็เช่นเดียวกัน.
กายเป็นธาตุไม่รู้. กายสังขาร. วจีสังขาร. เป็นอาการของจิต.
*** จิตที่พลิกตัวออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้ว.. ท่านไม่ได้ระวังกิเลส.***
ไม่ได้ระวังจิตสังขาร. กายสังขาร. วจีสังขาร. เป็นสักแต่ว่า. ไม่ได้หลงเอามานึกมาคิด เพราะจิตเลยกระแสพระนิพพานไปแล้ว. ไม่มีกลางวันกลางคืน. "อารมณ์" ก็รู้ตามความเป็นจริง. รูป. เสียง. กลิ่น. รส.สัมผัส. (กาม) ก็รู้แจ้งตามความเป็นจริง. !!.
จิตถอนอุปาทาน. ไตรลักษณ์เข้าไม่ถึง.
ปัจจุบันก็เป็นแต่ "ขันธ์วิบากล้วน ๆ."
"เวทนา". ความเสวยอารมณ์ "สุขทุกข์". ก็มีแต่ในส่วนกาย. อุเบกขาทางกายไม่มี.
"วางเฉยอยู่" .อุเบกขาทางใจ.
*** ท่านจึงไม่ได้ระวังกิเลส ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ท่านที่ถือไตรสรณะคมณ์". ยังเป็นโลกีย์อยู่. มี "ญาณรู้ตัว". มีหลักมีหนทาง.
"ให้รวมญาณความรู้สึกตัว" ไว้ที่ "จุดรู้" จิตจึงจะรวมเป็น "หนึ่ง" เป็น "เอกจิต".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"การเข้าใจแก่นของศาสนา" ยังเข้าสู่พระนิพพานไม่ได้.
อย่าว่าแต่พระนิพพานเลย. จะข้ามโลกีย์เข้าสู่โลกุตรยังไม่ได้เลย. เพราะมันเป็น "สัญญาความจำ". ไม่ใช่ปัญญาของอริยมรรค.
"สัญญาความจำ".มันจะยึดมั่นถือมั่น. เกิดจาก "สุตมยปัญญา กับ. จิตมยปัญญา. ไม่พ้นทุกข์. เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้.
"ปัญญาที่ออกมาจากผู้รู้. ของอริยมรรค." เป็นความรู้. รู้แจ้งตามความเป็นจริง. รู้แล้วมันจะปล่อยวาง. เกิดจาก. ภาวนามยปัญญา. พ้นทุกข์. เข้าสู่พระนิพพานได้.
*** "การเข้าใจแก่นของศาสนา" ยังข้ามโลกีย์ไม่ได้. ยังเป็นปุถุชนอยู่.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"พระเวลาสวดงานศพ"
กุศบาธรรมา อกุศลาธรรมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆก็ธรรมดา ก็เหมือนฝ่ายวัตถุ มีไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆ ทั่วจักรวาล เท่านั้นเอง....ร่างกาย วัตถุ คิด นึก รู้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เรียกว่า ขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด .....กาย เรียกว่า รูป .
...หนาว ร้อน ทุกข์ สุข เรียกว่า เวทนา
....นึกนั่น นึกนี่ รู้นั่น รู้นี่ หลงภพ เรียกว่า สัญญา....ที่คนเราเวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะตัวนี้ หมายรู้ทุกชนิด สัญญาอดีต สัญญาปัจจุบัน สัญญาอนาคต เป็นตัวละเอียด.
...สังขาร ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คำพูด นึกคิด มันเปลี่ยนไป ไม่มีหยุดหรอก กายสังขาร มโนสังขาร คิดบุญ คิดบาป มันเป็นอยู่เรื่อยๆ เหมือนไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ
วิญญาณกระทบหู กระทบตาเห็น กระทบใจนึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันกระทบอยู่เรื่อย มันก็เป็นอย่างนั้น เกิด รู้ ดับ ก็เรียกว่า วิญญาณ....
พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต ในปัจจุบัน ในอนาคต รู้อันนี้แหละ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของธรรมดา เรียกว่า อนัตตา..."สัพเพ ธัมมา อนัตตา" เทียบวิทยาศาสตร์ อะไรก็ Energy ก็หมดเรื่องกันเท่านั้นแหละ
ถ้าเห็นแจ้งแทงตลอดธรรมทั้งหมด อะไรก็เป็นธรรมะ ธรรมดา รู้ธรรมชาติ แจ้งในธรรมชาติ หรือธรรมะ มันก็สบาย ความเห็นอย่างอื่น มันก็ดับไปพร้อมกันนั้น ความเห็นผิดมันดับ ทุกข์ก็ดับพร้อม ก็สบายขึ้นตามธรรมดา ไม่ต้องมหัศจรรย์อะไรหรอก มันเป็นธรรมชาติ
ถึงจะรู้ว่าไฟ ไม่ไปจับมันก็ไม่ร้อน ถ้าไม่รู้มันก็จับอยู่อย่างนั้น!!!
ถ้ารู้ธรรม เห็นธรรม มันก็หายโง่ พ้นทุกข์พอแล้ว หายใจเข้า หายใจออก ก็ธรรมดา ได้ยินก็ธรรมดา ได้เห็นก็ธรรมดา รู้สึกนึกคิดก็ธรรมดา ธรรมดาทั้งนั้น เป็นวิญญาณที่เกิดขึ้นทุกขณะ......
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณธิโต
"พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตตรธรรม"
เห็นก็ได้แต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึด จึงจะไปรอดด้วยสติ ตัวสติแท้ๆ เป็นโลกุตตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก!!!
"ตัวโลกุตตรธรรม" เหมือนไฟฟ้าแลบ แปล๊บเดียว มันก็เห็นหมดแล้ว. แลบหนเดียวไม่แลบมาก....
"เจริญสติ" หนทางเดียวไปรอด เห็น ได้ยิน ก็สักแต่รู้ ไม่ไปถาม ไปตอบอะไร ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา เช่นได้ยิน ไม่ได้เป็นภาษาอะไร ไม่ใช่ว่าฉันได้ยิน ได้ยินของฉัน ฉันได้ยิน พระเจ้าไม่มี ศาสนาพุทธเป็น Fact ไม่ใช่ Fiction เสียงถูกหู ได้ยินปั๊บ นี่เป็น Fact มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็น Fact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปหยุด วิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ ไวมาก โลกสมมุติสิ่งใดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ไปเอามา ไม่ไปเอามาสักอย่าง มันก็ไม่มีเรื่องนะซิ ไม่มีเรื่อง มันก็สบาย จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว หเมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้ว จะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยัง? กินหรือเปล่า ? กินกับอะไร? ไม่ต้องไปคิดแล้ว สำเร็จแล้วนี่ จะไปสงสัยอะไร ถ้ายังสงสัยอยู่ มันจะพ้นไปได้อย่างไร?
"จุดหมายปลายทาง" คือ ทำความโง่(อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว.....
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณธิโต
"จิตหนึ่ง". ไม่ใช่สมาธิกดทับ. ไม่ใช่สมาธิข่ม. ไม่ใช่ศิลาทับหญ้า.
จิตหนึ่งเป็นสัมมาสมาธิ. อยู่เหนือสัมมาสติ. สัมมาสติผู้รู้เกิด. เป็นเอกัคตาจิต. ผู้รู้หรือความรู้สึกมันหุ้มจิตหนึ่งอยู่. ตัวจิตหนึ่งมันเป็นเหมือนความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. สัมผัสไม่ได้ด้วยอายตนะใดๆทั้งสิ้น. รู้แจ้งเห็นจริงด้วยวิปัสสนาปัญญา.
การกล่าวว่า "จิตหนึ่ง" เป็นสมาธิกดทับหรือสมาธิข่ม. หรือเป็นศิลาทับหญ้านั้น. จึงไม่ถูกต้อง. จึงเป็นความเห็นผิด. จิตหนึ่งไม่ใช่ ฌาน. จิตหนึ่งเป็นสัมมาสมาธิ. "ฌาน" ต้องการแค่ความสงบอย่างเดียว. ฌานไม่มีปัญญา.
การกล่าวว่า "จิตหนึ่งเป็นสมาธิข่ม. เป็นศิลาทับหญ้า". เป็นความเห็นผิด. ท่านนั้นกำลังเดินอยู่บนเส้นทางอยู่. ยังอยู่ในทะเลหลงอยู่. จิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. อริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง.
(สู่แดนพระนิพพาน)
"สติสัมปชัญญะ"
"สติสัมปชัญญะ" เป็นเหตุ "มรรคสามัคคีเป็นผล".
"สัมมาสติ" หมายถึง. สติที่มี "สมาธิกับปัญญาสม่ำเสมอกัน". อันมี "ศีลบริสุทธิ์" เป็นฐาน. ถ้า "ศีลไม่บริสุทธิ์" จะเป็น "มิจฉาสติ" .
"สัมปชัญญะ". คือรู้เท่าทันในการรักษาศีลให้บริสุทธิ. เท่าทันในการเจริญสมาธิ. ทั้งอัปปนาจิตและฐีติจิต. และรู้เท่าทันในการเจริญปัญญาที่ไม่ใช่สัญญา.
สติกับสัมปชัญญะ. สองตัวนี้เขาจะทำงานพร้อมกัน. ไม่มีตัวไหนก่อนหลัง. รวมกันกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียวกัน. สติเป็นตัวควบคุมทั้งสมาธิและปัญญา. ถ้าสมาธิเริ่มอ่อน. สติจะพักจิต. เมื่ออิ่มในสมาธิแล้ว. สติจะออกเดินปัญญา. สติจะทำหน้าที่วนอยู่อย่างนี้. ถ้าสมาธิอ่อนยังขืนเดินปัญญา. ก็จะกลายเป็นสัญญา. ให้สติรู้เท่าทันทันทีว่า "นั้นกำลังออกนอกเส้นทางแล้ว" ให้เข้าพักจิตทันที. เมื่ออิ่มในสมาธิแล้ว. ให้ก้าวออกเดินปัญญา. อย่าติดในสมาธิ. อย่าติดสุข. ถ้าจิตติดสุขจะกลายเป็น "สมาธิหัวตอ" ไป. สมาธิหัวตอก็เป็นกิเลสตัวหนึ่ง.
สติ. ต้องรู้เท่าทันกำลังของสติ. สติต้องรู้เท่าทันกำลังของสมาธิ. สติต้องรู้เท่าทันกำลังของปัญญา. ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งไม่สม่ำเสมอกัน. จะกลายเป็นมิจฉาสติ. จะกลายเป็นมิจฉาสมาธิ. จะกลายเป็นมิจฉาปัญญา. ก็คือ "สัญญา" นั่นเอง. จะกลายเป็น "วิปัสสนึก". วิปัสสนึกเป็นเส้นทางของ "วิปลาส"
"สัมมาสติ". จิตรวมเหมือนกัน แต่ ยังไม่เป็นหนึ่ง. เป็นเส้นทางเข้าสู่ "สัมมาสมาธิ" เมื่อใดจิตรวมเป็นหนึ่ง. จิตเป็นหนึ่ง. อริยมรรคเกิด. ผู้รู้ที่แทัจริงเกิดแล้ว. เดินทางต่อได้.
เอา "ผู้รู้ที่แท้จริง." มาอบรม "วิชชา" เมื่อผู้รู้รู้แจ้งในผู้รู้. เรียกว่า "จิตเห็นจิต". ผู้รู้จะพลิกตัวออกจากผู้รู้. จิตจะรวมอีกครั้ง. จึงจะเป็น "มหา". เป็นมหาสติ. เป็นมหาสมาธิ. เป็นมหาปัญญา. ทั้ง ๓ มหารวมกัน. เรียกว่า "จิตหนึ่ง"
"มหาสติ. มหาสมาธิ. มหาปัญญา" เป็นอาการของ "จิตหนึ่ง". ใกล้ถึงที่หมายละ. !!! เข้าสู่ "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง" ได้ละ. อีก นิดๆๆๆ นิดเดียว. อย่าติดในความว่าง. !!!
*** จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ***
ถ้าเข้าสู่ความว่างไม่ได้. ข้ามมรรคเมื่อใด. ที่หมายคือ "วัฏฏะ" มีเส้นทางเดียวเหมือนกัน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ความเคยชิน" ไม่ใช่บารมี.
ที่สุดของบารมีคือ. มรรคทั้ง ๘ รวม
เป็นหนึ่งเดียว. จิตหนึ่งบารมีเต็ม.
วางจิตหนึ่งก็ถึงที่หมาย.
*** อานาปานสติ. ***
เป็นทั้งมัคคสมังคี. เป็นทั้งมัคคปหาน.
เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน.
*** มันเป็นจริงอยู่ในตัว.***
อานาปานสติ. รวมไว้ที่จุดรู้ที่เดียว. ให้ต่อเนื่อง. ทุกลมหายใจเข้าออก. ทั้งหลับตาและลืมตา. ในทุกอิริยาบถ. ไม่มีสถานที่. ไม่มีกาลเวลา.
มันจะแยกจิตออกจากกาย. มันจะแยกผู้รู้ออกจากผู้หลง. ลมดับ. เหลือแต่ผู้รู้ล้วน ๆ. ผู้รู้กับจิตเดิมแท้เป็นตัวเดียวกัน. เมื่อผู้รู้รู้แจ้งด้วยปัญญาจากอริยมรรค. ผู้รู้วางผู้รู้เข้าสู่ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง.
สิ่งหนึ่งที่อยู่ในความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. มันจะระเบิดตัวของมันเอง. (มันเป็นของมันเอง). ออกไปอยู่นอกความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. วางสิ่งนั้น. เอาอานาปานสติเป็นวิหารธรรม. รอสิ้นลมปราณ.
*** อานาปานสติ. มันเป็นจริงอยู่ในตั; ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** ธรรมแท้เป็นของเปิดเผย. ***
"ทุกข์ทางกาย". มันเป็นขันธ์วิบาก. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. มันทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้น. ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. มันอยู่นอกจิต. มันอยู่นอกอำนาจของจิต. มันเกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น.
เมื่อเรารู้แจ้งเห็นจริงด้วยปัญญาของอริยมรรค. ที่ไม่ใช่ปัญญาของสัญญาแล้ว. ให้ปล่อยวาง. อยู่กับความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง.
ถ้าเราปฏิบัติเพื่อให้ทุกข์ทางกายหายไป. เป็น "ความเห็นผิด" ยิ่งจะเพิ่มความทุกข์หนักเข้าไปอีก. เพราะมันเป็น "ทุกขสัจจ์".
"ทุกข์ทางจิต ไม่มี" เมื่อจิตหลุดพ้นออกจาก "ความเป็นหนึ่งของจิต" ไปแล้ว. เรียกว่า "กิเลสนิพพาน" จบไปแล้ว.
ให้วางกิเลสนิพพาน. ออกมาอยู่กับ "กายกับจิต" เยี่ยงสามัญชน. ในจิตปรกติ. โดยไม่ต้องทำอะไรเลย. ไม่ต้องไปดับทุกข์ที่กาย. ไม่ต้องไปทำลายผู้รู้. เพราะ มันมีของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว.
สิ้นลมปราณเมื่อใด. กายดับ. ผู้รู้ดับ. ส่วนตัวที่ออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้วนั้น. ไม่ต้องไปทำอะไร. เมื่อสิ้นลมปราณ. มันจะเป็นของเขาเอง. อยู่กับอานาปานสติ. หรือจะอยู่กับ ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. อย่างใดอย่างหนึ่ง. ก็ได้.
*** ธรรมเป็นของเปิดเผย. ธรรมแท้ไม่ต้องปิดบัง. แลกเปลี่ยนครับ.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
ที่สุดของศีล ที่สุดของสมาธิ ที่สุดของปัญญา.
"มรรค ๘". ย่นย่อลงเหลือ ๓. คือ "ศีล. สมาธิ. ปัญญา" ๓ รวมลงเป็น ๑. คือ "เอกจิต" หรือ "จิตหนึ่ง".
"ที่สุดของศีล ที่สุดของสมาธิ ที่สุดของปัญญา." คือ "จิตหนึ่ง". ศีล.สมาธิ.ปัญญา.ถ้าจิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. ยังข้ามโลกีย์ไม่ได้. ยังขึ้นจากทะเลหลงไม่ได้. ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะสงสารไม่มีที่สิ้นสุด. ถ้าศีล. สมาธิ. ปัญญา.รวมเป็นหนึ่งได้เมื่อใด. ขัามโลกีย์เข้าสู่โลกุตร. จิตตกกระแสพระนิพพาน. เป็นอนันต์กาล. ปิดอบาย. พระนิพพานคือที่หมายเท่านั้น.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ปัญญาอบรมสมาธิ"
"ต้องมีอัปปนาสมาธิ". เป็นฐานในการถอดถอนกิเลส. ในเส้นทางนี้. เมื่อจิตถอนออกจากอัปปนาสมาธิ. มาอยู่ที่ อุปจารสมาธิ. เดินปัญญาด้วย สุตมยปัญญา กับ จิตมยปัญญา. อาศัยสัญญาไปเสียก่อน. พิจารณา. เดินมรรคทั้ง ๘. จนจิตมันยอมรับ. จิตมันจะปล่อยวางด้วยตัวของมันเอง. แล้วรวมมรรคทั้ง ๘ ให้เป็น "หนึ่งเดียว". ผู้รู้เกิด. ผู้รู้กับจิตเดิมแท้. เป็นตัวเดียวกัน.
เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้ว. ให้รักษามันไว้. เอาผู้รู้มาอบรมวิชชา. จิตจะรวมครั้งที่ ๒. เข้าสู่ "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง" ก็คือ "จิตหนึ่ง" เป็นตัวเดียวกัน.
*** จิตหนึ่ง คือ แก่นแท้ของศาสนา ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** เอกจิต หรือ จิตหนึ่ง คือ แก่นแท้ของศาสนา ***
"กายกับจิต" เป็นธรรมะ. เป็นธรรมชาติ.
"กายกับจิต". เป็นของไม่เที่ยง. อยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์. เป็นธรรมชาติ. ถ้ารู้ด้วยสุตมยปัญญา. คือรู้ด้วยการฟัง. การได้ยิน. กับ. รู้ด้วยจิตมยปัญญา. รู้ด้วยการคิดการปรุงแต่ง. รู้ด้วยการพิจารณา. รู้อย่างนี้ "ดับทุกข์ไม่ได้" กำลังของสติยังแยกกายกับจิตไม่ได้. กำลังของสติยังไม่เห็นตนเอง. ยังไม่เห็นจิตเดิมแท้ของตนเอง. ยังไม่พ้นทุกข์. ยังขึ้นจากทะเลหลงไม่ได้.
ต้องเข้าสู่เส้นทาง "ภาวนามยปัญญา" จึงจะเห็นความเป็น "ธรรมะของกายกับจิต" จึงจะเห็น "ธรรมชาติของจิตกับกาย".
ภาวนามยปัญญา มี ๒ เส้นทางคือ ปัญญาอบรมสมาธิ กับ สมาธิอบรมปัญญา. ทั้ง ๒ เส้นทาง. ปลายทางที่หมายเดียวกันคือ "รวมมรรคทั้ง ๘" เข้าด้วยกันเป็น "หนึ่งเดียว" หรือ "จิตหนึ่ง".
*** "จิตหนึ่ง" เป็นแก่นแท้ของศาสนา. ถ้าอริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. ไม่มีทางที่จะเข้าใจในแก่นแท้ของศาสนา. "อย่าข้ามมรรค" ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"นิพพาน. ไม่ใช่นิมิต" นิพพานพ้นจากกองนามรูปไปแล้ว.
เมื่อเห็น "อนิจจัง" ชัด. ก็จะเห็น "นิมิต" ในไตรโลกธาตุชัดเหมือนกัน. รูปนิมิตในอดีต. รูปนิมิตในอนาคต. รูปนิมิตในปัจจุบัน. กับนามนิมิตในอดีต. นามนิมิตในอนาคต. นามนิมิตในปัจจุบัน. ต่างก็ตกอยู่ในอำนาจของอนิจจังเหมือนกัน.
จิตเป็นได้ทั้งรูปนิมิต และ นามนิมิต.เพราะจิตเป็นผู้ไปเหนี่ยว. เหนี่ยวรูปก็เป็นรูปนิมิต. เหนี่ยวนามก็เป็นนามนิมิต.
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ)บ้านแวง อ.หนองสูงใต้ จ.มุกดาหาร
"นิมิต"
นิมิต. เป็นอาการของจิต. เป็นความรู้สึก. สัมผัสได้ด้วยอายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต. เกิดที่จิตดับที่จิต. เป็นของไม่เที่ยง. ได้แก่. นิมิตรูป. นิมิตเสียง. นิมิตแสง. นิมิตสี. นิมิตกลิ่น. นิมิตสัมผัส.
ผู้ที่มีความชำนาญในวสีแล้ว. จะสัมผัสไดัทั้งหลับตา และลืมตา. เช่น เห็นแสงสว่างครอบไปทั้งจักรวาล. เรียกว่านิมิตแสง. บางคนเห็นแสงสว่างในสมาธิขั้นอุปจาระลืมตา. บางคนเห็นแสงสว่างในสมาธิหลับตา. เสียงก็เหมือนกัน. กลิ่นสาปสาง. กลิ่นหอมของเทพ พรหม. รส. สัมผัสร้อนเย็นหนาว. ล้วนแต่เป็น "นิมิต" ทั้งนั้น.
"นิมิตในอดีต นิมิตในอนาคต นิมิตในปัจจุบัน". เป็นของไม่เที่ยง แปรปรวนแล้วก็ดับไป. หลงไม่ได้. ยึดมั่นในนิมิตไม่ได้. รู้แล้วให้ปล่อยวาง.
การรู้วาระจิตก็เช่นเดียวกัน. เป็นความรู้สึก. ยังข้ามโลกีย์ไม่ได้. ยังไม่พ้นวัฏฏะสงสาร. ยังเป็นสังขาร. เป็นของไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน. "อริยมรรค ยังไม่รวมเป็นหนึ่ง"
"นิมิต" ไม่ใช่ "มรรค ๘".
"นิมิต" ไม่ใช่ "ผู้รู้" ใครเป็นผู้รู้ผู้เห็น ใครเป็นผู้สัมผัสนิมิต.
"นิมิต" เป็นสิ่งที่อยู่นอกจิต.
"นิมิต" ไม่ใช่ "สิ่งนั้น".
"นิมิต" ไม่ใช่ความว่าง.
"นิมิต" ไม่ใช่นิพพาน"
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพนฃาน)
"จิตหลงจิต"
ก็คือ. "จิตหลงตัวเอง". หรือ "จิตหลงวิญญาณ" อันเดียวกัน. จิตกับวิญญาณ. เป็นตัวเดียวกัน. จิตตั้งอยู่ในกาย. วิญญาณเป็นผู้ออกไปรู้ที่กาย.
"สัญญากับสังขาร". รวมกันเรียกว่า "วิญญาณ".
อีกนัยหนึ่ง จะเรียกว่า "จิตหลงสัญญา" ก็ได้. หรือจะเรียกว่า "จิตหลงสังขารก็ได้. กับ จิตหลงความคิด" ก็อันเดียวกัน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
ผู้ที่ต้องการพ้นทุกข์.
ในภพชาติปัจจุบัน.ให้หาทางเข้าสู่ความเป็นหนึ่งของจิตให้ได้.
มีอยู่แค่นี้.
*** สังเกตจับรู้ได้สบายยิ่ง.***
หลวงปู่มั่น ภูริฑัตตะ.ท่านไม่ให้ทำลายผู้รู้. เมื่อผู้รู้เกิดแล้ว. ท่านให้รักษาผู้รู้. "จับรู้ได้สบายยิ่ง". เมื่อ "จิตเห็นจิต" ผู้รู้จะเปลี่ยนรูป. เข้าสู่ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. ก็คือ "จิตหนึ่ง" นั่นเอง.
พระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ได้ทิ้งผู้รู้ ไม่ได้ทิ้งกาย. แม้พระองค์จะเสวยสะอุปาทิเสสะนิพพานแล้วก็ตาม. จิตผู้รู้กับกาย. ก็ยังมีอยู่. มันมีอยู่อย่างใด. มันก็มีอยู่อย่างนั้น. ไม่ได้ทำลาย. ไม่ได้ทิ้งแต่อย่างใด.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ดีหรือชั่วต้องดับ". เลื่อนลับไป.
ยึดสิ่งใด. ไม่ได้ตามใจหมาย.
"ในไม่เที่ยวของใจ" ไหววะวับ.
*** สังเกตจับรู้ได้สบายยิ่ง.***
"เล็กบังใหญ่" รู้ไม่ทัน. "ขันธ์บังธรรม" ไม่เห็นเป็นธุลีไป.
"ส่วนธรรมมีใหญ่กว่าขันธ์". นั้นไม่แล.
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
"อย่ามากล่าวว่า. จิตหนึ่งเป็นจิตที่เกิดดับ นะ !!!"
*** จิตหนึ่ง. เป็นเหมือนความว่าง. แจ่มจ้าและไร้ตำหนิ. ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น. และไม่อาจถูกทำลายได้เลย. *** (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล.)
ในกาลที่ผ่านมาได้มี “คนตาบอดบางคน” ออกมากล่าวว่า : คำว่า จิตหนึ่งนั้นไม่ใช่จิตเที่ยง. อย่าไปสำคัญว่าจิตเที่ยง. และจิตหนึ่งเป็นจิตของพระอรหันต์ ฯ นั้น. คนนั้นยังไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง.
“จิตหนึ่ง”. เป็นภูมจิตภูมธรรม ของพระอริยเจ้า. นับตั้งแต่พระโสดาบัน. พระสกทาคามี. พระอนาคามี. และพระอรหันต์. แม้จิตจะหลุดพ้นไปแล้ว. ความเป็นหนึ่งของจิตมันก็ยังมีอยู่.
"จิตหนึ่งเป็นตัวเที่ยง". มันเป็นหนึ่งของมันอยู่อย่างนั้น. “จิตหนึ่ง” เป็น "อกิริยาจิต". เป็น "เหมือนความว่าง" จิตไม่สูญ. ไม่เกิด.ไม่แก่. ไม่เจ็บ. ไม่ตาย. และไม่อาจถูกทำลายได้เลย.
พระพุทธเจ้าให้ทำตัวเที่ยงให้เกิดขึ้นเสียก่อน. แล้วจึงวางทั้งตัวเที่ยงและตัวไม่เที่ยง.
จิตไม่ได้มีหลายดวงนะ. “จิตมีดวงเดียว.” นอกนั้นเป็น “อาการของจิต”
จิตพระอรหันต์. ได้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวงไปแล้ว. พ้นทุกข์. พ้นสุข. พ้นสามโลกไปแล้ว. พ้นจากสติ สมาธิ ปัญญา. ออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้ว. ออกจากนอกห้องไปแล้ว. ออกจากถ้ำไปแล้ว. ออกจากญาณไปแล้ว.
จิตพระอรหันต์ ไม่มีหลายแบบ ไม่มีแบบไหนทั้งสิ้น. จิตพระอรหันต์ไม่มีอยู่ในกามาวจร. จิตพระอรหันต์ไม่มีอยู่ในอรูปพรหม. และอรูปพรหมก็ไม่มีอยู่ในจิตพระอรหันต์. จิตพระอรหันต์ไม่มีแบบไหนทั้งสิ้น.
(สู่แดน พระนิพพาน)
ความว่างโล่ง ๆ.
ที่ไม่มีจิตหนึ่งเป็นสักขีพยาน.มันคือ ฌาน.
นักปฏิบัติร้อยทั้งร้อยตกม้าตายอยู่ตรงจุดนี้.
" จิตหนึ่ง มีจริง ทำได้จริง"
เป็นปัจจัตตังจริง ๆ. รู้เองเห็นเองจริง ๆ.
ผู้รู้สัมผัสผู้รู้ ได้จริง ๆ.
นิพพานมีจริง !!
ตาเห็นรูป. หูได้ยินเสียง.
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเกิด. อารมณ์เกิด. วิญญาณปฏิสนธิเกิด. ภพเกิด. ชาติเกิด.
(ปัจจยาการ).
"แยกจิตออกจากกาย. แยกจิตออกจากจิต"
แยกได้ ๒ เส้นทาง. แยกด้วยปัญญา กับ แยกด้วยสมถะหน้าเดียว (เจโต). ทั้ง ๒ เส้นทางนี้. จิตต้องมีสมาธิจิต "อัปปนาสมาธิ" หรือ "อัปปนาฌาน". เป็นพื้นฐาน. จึงจะแยกกายออกจากจิต. จึงจะแยกจิตออกจากจิตได้.
"แยกด้วยปัญญา" เรียกว่า "ปัญญาอบรมสมาธิ". แยกด้วยสมถะหน้าเดียว. เรียกว่า "เจโต". ทั้ง ๒ เส้นทางนี้. เป็นการ "รวม มรรคทั้ง ๘". ให้เป็น "หนึ่งเดียว". เมื่อจิตรวมเป็น "หนึ่ง" แล้ว. "ความรู้สึก" ว่าเป็น "หนึ่ง" นั้น. เรียกว่า "ผู้รู้" ตัวผู้รู้มันจะหุ้ม "จิตหนึ่ง" อยู่. ตัว "จิตหนึ่ง". ตัวนี้แหละจะเป็น "สักขีพยาน" ในการ"เปรียบเทียบว่า "จิตได้แยกออกจากกายได้แล้ว" และจะเป็นตัวเปรียบเทียบว่า. "ผู้รู้กับจิตหนึ่งได้แยกออกจากกันอย่างเสิ้นเชิงแล้ว" เช่นกัน. กายก็อยู่ส่วนกาย. จิตก็อยู่ส่วนจิต. จิตผู้รู้ก็อยู่ส่วนจิตผู้รู้. จิตหนึ่งก็อยู่ส่วนจิตหนึ่ง. แต่มันอยู่ในที่เดียวกัน.
"ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว"
เมื่อฝึกจิตให้มีความชำนาญในในวสี ๕. ด้วยการ "รักษาจิตหนึ่ง" ให้มันเป็น "หนึ่ง" จนเราจะมีความรู้สึกว่า "จิตหนึ่ง" มันก็เป็น "หนึ่ง" ของมันอยู่แต่เพียงผู้เดียวอยู่อย่างนั้น ได้แล้ว.
ทีนี้. จะเห็นว่า. "รูปกาย กับ เวทนาในกาย". ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากอย่างชัดเจน. ไม่ต้องไปถามใครเลย. รู้ได้เฉพาะตน.
ส่วน "ผู้รู้กับจิตหนึ่ง" รู้แจ้งด้วย "ปัญญาที่ออกมาจากผู้รู้".
จะเป็นเส้นทาง "ปัญญาหรือ เจโต". ก็ตาม. จิตต้องเป็น "หนึ่ง" เหมือนกัน. ถ้าจิตยังไม่เป็นหนึ่ง. ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ดับอวิชชา"
มีสติอยู่กับลม. "รวมความรู้สึก" ไว้ที่ "จุดรู้จุดเดียว". จิตรวมเป็น "หนึ่ง" ในอิริยาบถลืมตาเมื่อใด. อวิชชา, ตัณหา, อุปาทาน, กรรม. "ดับสิ้นไม่มีเหลือ". กรรมตามได้แค่กาย. เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ.
"วิชชาเกิด". อวิชชาก็หายไป. วิชชาคือตัวปัญญา. วางวิชชาวางปัญญาอีกที. เข้าสู่ความว่าง. แล้วออกจากความว่างเข้าสู่ "ความว่างของจักรวาลเดิม".
(สู่แดน พระนิพพาน)
"โลกวิทู" ขึ้นอยู่กับกำลังของสติ.
โลกวิทูของปุถุชน : ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา ไตรสรณคมณ์.
โลกวิทูของโลกุตตระ : มีจิตหนึ่งเป็นวิหารธรรม. นับตั้งแต่.
โลกวิทูของพระโสดาบัน : มีจิตหนึ่งเป็นวิหารธรรม. ยังข้ามกามราคะไม่ได้.
โลกวิทูของพระสกิทาคามี : มีจิตหนึ่งเป็นวิหารธรรม. ข้ามกามราคะได้แล้ว. แต่ยังข้ามปฏิฆะ. ความพยาบาทไม่ได้.
โลกวิทูของพระอนาคามี : มีจิตหนึ่งเป็นวิหารธรรม. ข้ามธุลีทุกอย่างสิ้นเชิง. เสวยสุขจาก ฐีติจิต. กำลังเดินอยู่่บนเส้นทางสังโยชน์ข้อที่ 6-10.
ส่วนโลกวิทูของพระอรหันต์ ; จะไม่ขอกล่าวถึง. ท่านมีจิตหนึ่งเป็นวิหารธรรมเหมือนกัน. และสิ่งนั้นออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้ว. ยังค้นไม่ถึง. ท่านไม่ต้องโลกวิทูแล้ว. พระอรหันต์ท่านไม่ต้องระวังกิเลสแล้ว. ไม่มีอะไรต้องระวังอีกแล้ว.
(สู่แดน พระนิพพาน)
ถ้า "ผู้รู้" เป็นผู้ "ผัสสะ". วิญญาณปฏิสนธิ ดับเกลี้ยงไม่มีเหลือ.
"ผู้รู้" เป็น "มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา" ผู้รู้จะกระทบกับสิ่งใดก็ตาม. สิ่งนั้นจะกลายเป็นความว่างทันที. "วิญญาณปฏิสนธิดับ". ภพดับ. ชาติดับ.
"สติพุทโธลม" รวมลงที่ "จุดรู้". ให้ต่อเนื่อง. ในทุกอิริยาบถ. ทั้งหลับตาและลืมตา. ในสภาวะจิตปรกติ. เมื่อมี "ความรู้สึก" ว่ามีสภาวะอันหนึ่ง. ที่มันเป็น "หนึ่ง". เกิดขึ้นที่ "จุดรู้". สภาวะนี้คือ "ผู้รู้".
(สู่แดน พระนิพพาน)
ฌาน.
เพ่งลม : รูปฌาน.
เพ่งจิต : อรูปฌาน.
“วิโมกข์ ๘”
ฌาณ ๘. หรือ วิโมกข์ ๘. เป็นสภาวะเดียวกัน. เรียกชื่อต่างกัน. พระองค์ทรงแสดงแก่พระอานนท์ว่า. : อานนท์. ภิกษุจะฆ่าวิโมกข์ ๘. นี้. ได้ด้วยอาวุธ ๕ ประการ. คือ. เข้าวิโมกข์ได้โดยอนุโลมบ้าง. ทั้งอนุโลมปฏิโลมบ้าง. เข้าออกได้ในที่ตนประสงค์ เข้าออกได้นามตามที่ตนประสงค์. จึงจะสำเร็จ “เจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ” ดังนี้. (อาวุธ ๕ ประการ. คือมีความชำนาญในวสี ๕.)
ทีนี้. ผู้ที่ได้ “จิตหนึ่ง” แล้ว. ให้ปฏิบัติดังนี้.
ให้ฝึกจิตให้เข้าสู่ความเป็น “จิตหนึ่ง” ให้มีความชำนาญให้ยิ่ง. "ให้เห็นจิตหนึ่งเหมือนดั่งตาเห็นรูป". ดังที่ได้ฝึกจิตไว้คือ. ฝึกให้มีความชำนาญในการสังเกตุอารมณ์. กำหนดให้มีความรู้สึกว่า. “ให้ลมกับจุดรู้” อยู่ในที่เดียวกัน. "ดึงลมทีเดียว" ให้เข้าสู่ “จิตหนึ่ง” ได้เลย. แล้วให้ "รักษาจิตหนึ่ง" ไว้. จนมันเป็นหนึ่งของมันเองโดยอัตโนมัติ. มีสติก็เป็นหนึ่ง. ไม่มีสติก็เป็นหนึ่ง. มันเป็นหนึ่งของมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่ต้องรักษา. ในทุกอิริยาบถ. ทำได้ทั้งอิริยาบถลืมตาและหลับตา. ในสภาวะจิตปรกติ. การดำเนินชีวิตในปัจจุบัน. ก็ใด้ดำเนินชีวิตตามปรกติอย่างสามัญชนทั่วไป. เคียงคู่อยู่กับ “จิตหนึ่ง” ในอารมณ์ปรกจิต.
ดังที่กล่าวมานี้. คือการ *** ฆ่าวิโมกข์ทั้ง ๘ *** ตามที่พระองค์ทรงแสดงแก่พระอานนท์. ตามที่กล่าวมาแล้ว. ความชำนาญใน วสี ๕. จึงเป็นสภาวะจิตของผู้ที่สำเร็จ “เจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ”.
*** ท่านที่ได้จิตหนึ่งแล้ว จึงให้รักษาความเป็นหนึ่งของจิต จนมันเป็นหนึ่งของมันเอง. โดยอัตโนมัติ.
“เจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ”. จะเป็นของเราอย่างแน่นอน ***
(สู่แดน พระนิพพาน)
"สัมมาสติ" มี "สมาธิชอบและ ปัญญาชอบ". รวมกัน เป็น "ภูมิวิปัสสนาปัญญา".
ภูมิวิปัสสนาปัญญา. เป็นสภาวะของจิต. ที่ถอนออกมาจาก "อัปปนาสมาธิ". มาอยู่ที่ "อุปจารสมาธิ". แล้วเดินปัญญา. เมื่อรู้แจ้งตามความเป็นจริงแล้ว. "ให้ปล่อยวางปัญญา". โดยการเข้าพักจิต. เข้าสู่ "อัปปนาสมาธิ". เป็นภาวะของ "สัมมาสติ" (สายปัญญาจะเดินบนเส้นทางนี้).
จุดนี้ยังเข้าสู่ "โลกุตตระ" ไม่ได้.
จนกว่าจิตยอมรับ. เมื่อจิตยอมรับแล้ว. จิตจะปล่อยวางแล้วรวมเป็น "หนึ่ง". เป็น "เอกัคตาจิต". หรือ "จิตหนึ่ง"
"จิตหนึ่ง" เป็น "มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา"
(สู่แดน พระนิพพาน)
"เห็นแสงสว่างครอบจักรวาล"
เป็น "อุปจาระฌาน" เป็น "อุปจาระภาวนา" เป็น "ภวังคจลนะ"
"อริยมรรค" ยังไม่รวมเป็น "หนึ่ง" เป็นฌานโลกีย์.
"วิญญาณของพระอรหันต์"
ยังมีอยู่. แต่ไม่มีกิเลสสิง.
เป็นวิญญาณขันธ์. อยู่ใต้อนิจจังเหมือนกัน.
"สันติ"
คำว่า “เป็นหนึ่ง” นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก. สมมติทั้งหลาย ถูกลบด้วย "ธรรมชาติ" ที่เป็น "หนึ่ง" นั้น. "ธรรมชาติ" อันนี้ "หยั่งลึก" เกินอธิบาย.
"จิต" ปล่อย "จิต" เป็น "ธรรมอันเดียว" เป็น "ธาตุที่บริสุทธิ์" เป็น "มหัศจรรย์" ยิ่งแห่ง "สติ สมาธิ ปัญญา"
มัน “ขาดสูญ” เหมือนดั่งถูก "ตัดคอขาด" มันขาดออกจากกัน, ไม่มีวันนำมา "ติดต่อชีวิต" ได้แล้ว, ทราบชัดด้วยการหยั่งทราบว่า "ขาดอย่างแท้จริง" ไม่มี "สอง" กับอันใด.
"เอกจิต" ไม่มีภพ, อีกต่อไป, รากเหง้าของมารถูก "ตัดทำลาย" แล้ว. เป็น "สันติ"
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี.
"เอกจิต, เอกธรรม"
เมื่อถึงฝั่งได้ตามที่เราต้องการแล้ว, ย่อมทิ้งเรือต่างๆ ไว้เบื้องหลัง, เหลือไว้แต่ "เอกจิต, เอกธรรม" ชั่วนิรันดร.
"เรือแห่งชีวิต" ที่เราเคยขี่มานาน, ด้วยอำนาจแห่งกิเลส กรรม วิบาก อันเป็นประดุจลูกคลื่นนั้น.
"เมื่อถึงชายฝั่งแล้ว เราก็ทิ้งเรือไม่แบกเรือขึ้นฝั่งไปด้วย"
เรือคืออะไร. ก็คือศีล, คือธรรมทั้งหลาย, ที่ปฏิบัติมา เป็นประดุจลำเรือ, อาศัยปัญญาเป็นเครื่องนำทาง, อาศัยพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องส่องทิศ, อาศัยครูบาอาจารย์เพื่อเดินสู่จุดหมาย, มีพระธรรมวินัยเป็นแผนที่, มีพระสงฆ์เป็นลูกเรือ,
"เมื่อถึงฝั่ง" อย่างที่เราต้องการแล้ว, ย่อมทิ้งเรือต่างๆ ไว้เบื้องหลัง, เป็น "เอกจิต, เอกธรรม" ชั่วนิรันดร.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี
"มี ไม่มี" - "ไม่มี มี"
สังขารที่มีวิญญาณครองสิง และ สังขารที่ไม่มีวิญญาณครองสิง. ที่เป็นรูปหยาบ, ที่นามรูป. และนามอรูป. ตกอยูในกฏของธรรมชาติ. หรือไตรลักษณ์. เกิดขึ้นมา แปรปรวน ดับไป. เป็นสภาวะมี แต่ไม่มี. เป็นข้อต้น.
*** สังขาร มันปิดบัง จิตเดิมแท้. มันปิดบังธรรม. ***
เมื่ออริยมรรครวมเป็นหนึ่ง. "ผู้รู้เกิด" ความสงบลงถึง "จิตเดิมแท้" ตัว "ผู้รู้" กับ "จิตเดิมแท้" เป็นตัวเดียวกัน.
*** ธรรมเกิด ***
ตัวนี้คือ "ธรรมที่ล้ำลึก" ใครพบ "จบประสงค์" "ไม่มีสังขาร. มีธรรมที่มั่นคง". สภาวะนี้คือ "ไม่มี. มี"
นั้นแลคือ "องค์ธรรมเอก" คือ "จิตหนึ่ง" หรือ "เอกจิต" หรือ "ความสงบระงับ" หรือ "เอกัคตาจิต" หรือ "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง".
ความอยากถอน. ไตรจักรหัก. อารมณ์ของใจไม่ไหวติง (มันเป็นหนึ่งเสียแล้ว) วิญญาณปฏิสนธิดับ. ภพดับ.
*** มี คือ จิตไม่สูญ ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน).
ถามว่า- "มี,ไม่มี. ไม่มี,มี". นี้คืออะไร ?
ทีนี้ติด. หมดคิด. แก้ไม่ไหว. เชิญชี้ให้ชัดทั้งอรรถแปลโปรดแก้เถิด.
ที่ว่า "เกิดมี" ต่างๆ ทั้งเหตุผล. แล้ว "ดับไม่มี" ชัดใช่สัตว์คน.
นี่ข้อต้น "มีไม่มี" อย่างนี้ตรง.
ข้อปลาย "ไม่มีมี" นี้เป็น "ธรรม. ที่ล้ำลึก" ใครพบ "จบประสงค์" "ไม่มีสังขาร. มีธรรมที่มั่นคง"
นั่นแล "องค์ธรรมเอก" วิเวกจริง "ธรรมเป็นหนึ่ง" ไม่แปรผันเลิศพบสงบนิ่ง. เป็น "อารมณ์ของใจ" ไม่ไหวติง ระงับยิ่งเงียบสงัดชัดกับใจ.
ใจก็สร่างจากเมาหายเร่าร้อน. "ความอยากถอน" ได้หมดปลดสงสัย. เรื่องพัวพันขันธ์ห้าชาสิ้นไป. เครื่องหมุนใน "ไตรจักรก็หักลง" ความอยากใหญ่ยิ่งก็ทิ้งหลุด. ความรักหยุดหายสนิทสิ้นพิศวง. ร้อนทั้งปวงก็หายหมดดังใจจง. เชิญเถิดชี้อีกสักอย่างหนทางใจ.
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
"สภาวะของ "สติ สมาธิ ปัญญา" ภายในจิต.
มันไม่ได้เป็นคำพูด. มันไม่ใช่ความนึกคิด. มันไม่ใช่ความจำ. มันเป็น "ความรู้สึก" รู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง". มันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ไม่ข้องเกี่ยวกับ "สัญญาอารมณ์" ใด ๆทั้งสิ้น.
ความรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งอยู่แต่เพียงผู้เดียว. คือ "มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา". สภาวะนี้เป็น "ภูมิจิต" ของสาย "เจโต". เรียกภูมิจิตนี้ว่า "ฐีติจิต".
*** ทุกสาย. เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้ว. หลุดพ้นด้วยปัญญา.***
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ความรู้สึก"
ความรู้สึกใด ที่เกิดที่กาย. ความรู้สึุกนั้นคือ เวทนา. เป็น "ทุกข์". แต่ถ้าความรู้สึกนั้นเกิดที่จิต. ความรู้สึกนั้น. เรียกว่า "ผู้รู้" ในผู้รู้นั้นมีทั้งทุกข์. สมุทัย. นิโรธ. และมรรค. ล้วนแต่ยึดไม่ได้ทั้งนั้น.
ความรู้สึกเกิด. วิญญาณเกิด. เราจะไปห้ามไม่ให้วิญญาณก็ไม่ได้. มันเกิดของมันเอง และมันก็ดับของมันเอง. ความรู้สึกดับ. วิญญาณดับ. เป็นสังขารทั้งคู่. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว. อย่าไปเพิ่ม อย่าไปตัด และอย่าไปเปลี่ยนแปลงมัน. มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น.
"รวมอริยมรรคให้เป็นหนึ่ง". สติ สมาธิ ปัญญา. เป็น "ญาณ" เป็นเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์. เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน.
(สู่แดน พระนิพพาน)
*** อย่าเอาสัญญาออกมาเผยแผ่ธรรม. จะทำให้พระสัทธรรมคลาดเคลื่อน. เป็นการทำลายศาสนา !!! ***
......................................................................................
* เป็นข้อความที่คัดลอกมา *
จิตหนึ่ง(คือจิตพระอรหันต์) หมายถึงว่า
จิตที่ไม่มีอะไรมาเติมแต่งมันลงไปได้อีกแล้ว
แต่ว่าไม่ใช่จิตเที่ยงนะ จิตเที่ยงไม่มีหรอก
จิตมีแต่จิตเกิดแล้วดับทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าเกิดมากี่ดวงๆนะ
(จิตหนึ่ง)ก็เป็นสภาวะที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้
แต่ตัวจิต(พระอรหันต์)นั้นนะ
บางทีก็มีความสุขนะ
บางทีก็เป็นอุเบกขา
งั้นจิตพระอรหันต์ก็ยังมีหลายแบบ
บางดวงมีความสุข
บางดวงเป็นอุเบกขา
บางดวงประกอบด้วยปัญญา
บางดวงไม่ประกอบด้วยปัญญานะ รู้สึกตัวอยู่เฉยๆ
มีหลายแบบ งั้นจิต(พระอรหันต์)ไม่ได้เที่ยง
แต่ทำไมเรียกว่า จิตหนึ่ง ?
เพราะจิตนี้ไม่เข้าคู่กับโลกนะ
(จิตหนึ่งนี้)ไม่เข้าไปจับกับอารมณ์
มันหลุดพ้น มันเป็นอิสระ
จากอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง
ถามว่ามีอารมณ์มั้ย ? มี
มีจิตเมื่อไหร่ ต้องมีอารมณ์เมื่อนั้น
จิตกับอารมณ์เป็นของคู่กัน
งั้นอย่างจิตพระอรหันต์เนี่ย
บางทีก็เป็นจิตที่อยู่ในกามาวจร
(คือ)จิตอยู่ในโลกธรรมดาเนี่ย
ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำงาน
บางทีก็เป็นจิตที่อยู่ในรูปพรหมนะ
บางทีเป็นจิตอยู่ในอรูปพรหม ก็มี
บางทีก็เป็นจิตที่ทรงพระนิพพานอยู่ก็มี
(จิตพระอรหันต์)มีหลายแบบนะ
คำว่าจิตหนึ่ง
จิตหนึ่งนั้นไม่ใช่จิตเที่ยง
อย่าไปสำคัญว่าจิตเที่ยง
(จิตพระอรหันต์)มีหลายชนิด
อย่างพระอรหันต์ก็ยังมองเห็น
ยังเห็นรูป ยังได้ยินเสียง ยังได้กลิ่น ยังได้รส
เนี่ยอาศัยจิตคนละดวงทั้งสิ้นเลย จิตยังโคจรไป
โคจรไปกระทบอารมณ์ทางทวารทั้ง ๖ ได้
คิดนึกได้ แต่ว่าไม่มีกิเลสเกิดขึ้นในใจแล้ว
.
นี้ทำอย่างไร
เราจะเข้าถึงจิตหนึ่งอันนี้ได้ ?
ต้องทำลายอวิชชาให้ได้(คือ)ความไม่รู้
ไม่รู้อะไร ? ไม่รู้อริยสัจนะ
ไม่ใช่ความไม่รู้เรื่องอื่น
ความไม่รู้เรื่องอื่นนั้นไม่มีที่สิ้นสุดหรอก
อย่างเรียนเรื่องหมอรักษาคนไข้ ใช่มั้ย
วันนี้รู้อย่างนี้ อีกวันนึงเทคโนโลยีพัฒนาไป
วิทยาการพัฒนาไป ความรู้ไม่เหมือนเดิมหรอก
เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ความรู้ในโลกไม่มีวันจบวันสิ้น
แต่ความรู้ในทางธรรมเนี่ย
ถ้าเราเรียนเข้ามาจนทำลายอวิชชาได้แล้วเนี่ย
มันจบตรงนั้นเลย
งานในโลกนี้ไม่มีวันจบ
งานในทางธรรมมีวันจบ
ฯลฯ ....
...................................................................................
อย่าทำ !!!
...................................................................................
*** จิตหนึ่ง. เป็นเหมือนความว่าง. แจ่มจ้าและไร้ตำหนิ. ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น. และไม่อาจถูกทำลายได้เลย. *** (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล.)
(สู่แดน พระนิพพาน)
"อุทธัจจะ"
ฟุ้งในการเดินปัญญา. เป็นผู้มีปัญญามาก. จิตเดินปัญญาโดยไม่ยอมพักจิต. มันเป็นจิตส่งนอก.
จิตหนึ่งเป็น "มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา". เป็นสภาวะจิตไม่ส่งนอก. ดูมัน. ไม่ต้องวิตกวิจารณ์. ปัญญาจะมากหรือปัญญาน้อยก็ตาม. มันเป็นจริงอยู่ในตัวอยู่แล้ว. อย่าไปสงสัย.
อย่าไปเพิ่ม. อย่าไปตัด. อย่าไปเปลี่ยนแปลงมัน.
ดูมัน. !!!
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ภพ"
อย่าให้ "สัญญา ความจำ" มันเป็ภพ.
อย่าให้ "สังขาร ความคิดความปรุงแต่ง" มันเป็นภพ.
อย่าให้ "วิญญาณ ความรู้สึก" มันเป็นภพ.
อย่าให้ "รูปกายหยาบ" มันเป็นภพ.
อย่าให้ "เวทนา" มันเป็นภพ.
อย่าให้ "ธรรมารมณ์" มันเป็นภพ.
อย่าให้ "วิญญาณของขันธ์ ๕." มันเป็นภพ.
อย่าให้ "สังโยชน์ ๑๐" มันเป็นภพ.
"เอโกมัคโค" เข้าสู่อริยมรรค. มีเส้นทางเดียว. เส้นทางอื่นไม่มี. มีสติพุทโธลม. รวมลงที่จุดรู้. จิตรวมเป็นหนึ่ง. ผู้รู้เกิด. ภพดับ. ชาติดับ. จิตตกกระแสพระนิพพาน. ถึงที่หมายแน่นอน.
(สู่แดน พระนิพพาน)
*** จิตหนึ่ง ***
"มหาสติ. มหาศีล. มหาสมาธิ. มหาปัญญา" ก็คือ. "ที่สุดของสติ. ที่สุดของศีล. ที่สุดของสมาธิ. และ ที่สุดของปัญญา".
ที่สุดของสติ. คือ สติเป็นหนึ่ง.
ที่สุดของศีล. คือ ศีลเป็นหนึ่ง. ศีลมีอันเดียว. ศีล 5,8,10,227และ311. รวมกันเป็น "หนึ่ง". รักษาศีลคือ รักษาหนึ่ง. (ถ้าศีลมี 5,8,10,227 และ 311 เป็น มานะศีล.)
ที่สุดของสมาธิ. คือ ฐีติจิต.
ที่สุดของปัญญา. คือ ปัญญาเป็นหนึ่ง.
"อาการทั้งหลาย" ได้แก่ สัญญา. สังขาร. วิญญาณ. อารมณ์. (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา.) อาการเหล่านี้. เกิดที่ผู้รู้ ดับที่ผู้รู้. เป็นสภาวะที่ * รู้พร้อมกัน ดับพร้อมกัน ทันที *
อาการดับ ผู้รู้ดับ. อาการเกิด ผู้รู้เกิด. มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น. ไม่มีอันไหนเกิดดับก่อนหลัง.
มัน *ว่าง*
มันเป็น *ความว่างในสิ่งที่มีอยู่*
มันเป็น *ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง*
"ธรรมชาติ" ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มันคือ. "จิตหนึ่ง"
กล่าวโดยย่อ. "สติ. สมาธิ. ปัญญา". รวมกันเป็น "หนึ่ง". เรียกว่า "ผู้รู้". ผู้รู้รู้แจ้งในผู้รู้. (จิตเห็นจิต) ผู้รู้พลิกตัวออกจากผู้รู้. เข้าสู่ "ความว่าง" เรียกว่า "จิตหนึ่ง". จิตหนึ่งเป็นเหมือน "ความว่าง".มัน "ว่าง" ...
(สู่แดน พระนิพพาน)
"สมาธิ. ฌาน"
สมาธิ. เป็นความตั้งมั่นแห่งจิต, ความมีใจตั้งมั่น. ความสำรวมใจให้แน่วแน่ไม่ฟุ้งซ่าน. เพื่อให้จิตสงบ หรือเพื่อให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง.
อิริยาบถของการฝึกสมาธิ. มีทั้งหลับตาและลืมตา. ไม่มีเพศ ไม่มีวัย ไม่มีชนชั้นวรรณะ ฯ. ถ้า "หลับตา" ต้องมีกาลเวลา ต้องมีสถานที่. อิริยาบถยกเว้นเดิน. หยุดการเคลื่อนไหวของกาย. ถ้ากายเคลื่อนไหว. จิตจะไม่รวมเป็นสมาธิ. ถ้า "ลืมตา". ได้ทุกอิริยาบถ. ไม่เลือกกาล. ไม่เลือสถานที่. ได้ทั้งหลับตาและลืมตา. ทุกอาการเคลื่อนไหวของกาย.
จะหลับตาหรือลืมตาก็ตาม. ต้องมีกรรมฐานตามจริตของแต่ละคน. เช่น อานาปานสติ. หรือ พุทโธ. ฯ ต้องกำหนด "จุดรู้" เช่น ที่ปลายจมูก หรือ กลางอก. กำหนดให้ "ลม หรือคำบริกรรม "พุทโธ". ให้ออกมาจาก "จุดรู้".
"ฌาน". เพ่งนอก. เพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ ฯ อย่างใดอย่างหนึ่ง. ให้มีอารมณ์อันเดียว. จากนั้นให้น้อมลงมาที่ "จุดรู้" มีสติลม. รวมลงที่จุดรู้. เป็น "สมาธิ". จาก "เอกัคตารมณ์" (แค่จิตรวมแต่ยังไม่เป็นหนึ่ง). เมื่อ "สติ สมาธิ ปัญญา". เต็มรอบทั้งสามแล้ว. จากเอกัคตารมณ์. "จิตจะรวมเป็นหนึ่ง". เรียกว่า "เอกัคตาจิต" เป็น "มัคคสมังคี".
"มัคคสมังคี". เป็นสภาวะของ "มรรคทั้ง ๘ รวมเป็นหนึ่ง". ผู้รู้ที่แท้จริงเกิด. ผู้รู้กับฐีติภูตัง. เป็นตัวเดียวกัน. "ฐีติภูตัง" เป็นจิตที่สะอาด. ยังไม่ใช่จิตบริสุทธิ์.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"แสงสว่างครอบโลกธาตุ".
"แสงสว่าง". เป็นอาการของจิต. อย่าไปหลงว่ามันคือ "จิตบริสุทธิ์". อย่าไปหลงคิดว่ามันคือ "พระนิพพาน".
"แสงสว่าง". ไม่ใช่จิตเดิมแท้. แสงสว่างไม่ใช่เอกัคตาจิต. แสงสว่างไม่ใช่จิตหนึ่ง. แสงสว่างไม่ใช่สัมมาสมาธิ. พวกนี้ตายไปหมดบุญก็ต้องตกนรก. พวกนี้ยังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารไม่มีที่สิ้นสุด.. ยังวนอยู่ในทะเลหลง.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตเดิมแท้จักรวาล"
เมื่อใดที่เรากำหนด "กำลังของสติ" ได้ตามความความปรารถนาของเราได้แล้ว. ด้วยการเข้าไป. ตั้งอยู และถอยออก. ได้ตามความประสงค์. และ มีความชำนาญยิ่งได้แล้ว.
ทีนี้. ฝึกให้มีความชำนาญในการสังเกตุอาการ และ อารมณ์.ที่มันผุดขึ้น. และเกิดดับ. "ที่จุดรู้". ในขณะที่เราถอยจิตออกมา. เข้าไปและตั้งอยู่ของ "จิตหนึ่ง".
"อาการ และ อารมณ์". ในจุดรู้นั้น. ได้แก่. รูปนิมิต. เวทนาทุกข์สุข. สัญญาในอดีต. สัญญาในอนาคต. และสัญญาในปัจจุบัน. สังขารความคิดความปรุงแต่ง. วิญญาณความรู้ทั้งภายในและภายนอก. "มันจะเกิดดับที่จุดรู้". ให้สังเกตนะ.
ในขณะที่เรา "เพ่งสติ" เข้าไปที่ "จุดรู้". อาการ และ อารมณ์. จะดับลงทั้งหมดเลย. จิตจะรวมเข้าสู่ความเป็น "หนึ่ง" เป็น "จิตหนึ่ง".เป็น "หนึ่ง" ของมันอยู่แต่เพียงผู้เดียวเหมือนเดิม.
แล้วรักษาความเป็นหนึ่งไว้.
อ่านให้เข้าใจ. แล้วให้ฝึกตาม. ฝึกให้ชำนาญในวสี ๕ ให้ยิ่ง. ชำนาญในการสังเกตอารมณ์ ๑. เข้าไป ๑. ตั้งอยู่ ๑. ถอยออกมา ๑. รู้ภูมิจิตภูมิของตนเองและผู้อื่น ๑.
"จากนั้น" เราจะ "พลิกจิต" ออกจาก "จิตหนึ่ง". เป็นเสรี. ออกสู่ความว่างของจักรวาลเดิม.
(สู่แดน พระนิพพาน)
*** จิตหยุดนิ่ง. ยังไม่ถึงนะ ***
"อกิริยาจิต". เป็น "อาการ. ที่ไม่ใช่อาการ". มันสะอาดบริสุทธิ์. มันยังสะอาดอยู่. ยังไม่บริสุทธิ์. มันต้องบริสุทธิ์ด้วยตัวของมันเอง. แค่มันไม่เดินหน้า. ไม่ถอยหลัง. เป็นแค่หยุด. หยุดแล้วมันนิ่ง. ยังไม่ใช่ "รู้อยู่เฉย ๆ". แม้แต่รู้อยู่เฉย ๆ. ก็ยังไม่ใช่. "รู้แต่ไม่ใช่รู้"
มะม่วงสุก. คือมะม่วงหยุดการเจริญเติบโตแล้ว. มะม่วงสุกเต็มที่แล้ว. เตรียมหล่น. แต่ยังไม่หล่น. อย่าไปบังคับให้มันหล่น. จากนี้ไปมันจะหล่นด้วยตัวของมันเอง.
"อย่าไปบังคับให้มันหล่น. คืออย่าไปบังคับจิต. สภาวะนี้. ที่จุดนี้.. มันจะเป็นของมันเอง"
*** อยู่อย่างสามัญชน. ในสภาวะจิตปรกติ. มี อานาปานสติ. เป็น วิหารธรรม. ตามรอยพระพุทธองค์ ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
เมื่อ "กำลังสติ" ยังไม่รวมเป็น "หนึ่ง".
"สฬายตนะ" จะผัสสะกับ "อารมณ์ใด" ก็ตาม. "วิญญาณ" นั้น. จะกลายเป็น "เวทนา" ทันที. "ตัณหาความอยาก" จะเข้าครอบงำ. "อุปาทาน" เข้ายึดมั่น. เป็นตัวกูของกู. เป็น "วิญญาณปฏิสนธิ". เป็นภพ. เป็นชาติ. เป็นวัฏฏะ.
เมื่อใด "กำลังสติ" เป็น "หนึ่ง" แล้ว. "วิญญาณ" นั้นจะเปลี่ยนรูป. กลายเป็นความว่างทันที. วิญญาณปฏิสนธิดับ. ภพดับ. ชาติดับ.
(สู่แดนพระนิพพาน)
"อุปาทาน" คือความยึดมั่น.
อุปาทาน. เป็นอาการของจิต. เกิดที่จิตดับที่จิต. เป็นของไม่เที่ยง. เกิดขึ้นมาแปรปรวน. ดับไป. เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์. ตกอยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์.
"อุปาทานเป็นเหตุแห่งทุกข์". มันเป็นอาการ. สัญญาก็เป็นอาการ. สังขารความปรุงแต่ก็เป็นอาการ. มีวิญญาณปฏิสนธิเป็นที่อยู่อาศัย. มีภพเป็นผู้นำทาง. มีชาติเป็นแดนเกิด. มีวัฏฏะวนเป็นที่ท่องเที่ยว. เบิกบานสำราญทุกข์. ไม่มีที่สิ้นสุด.
เมื่ออริยมรรครวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว. วิญญาณปฏิสนธิดับ. ภพดับ. ชาติความ้กิด. เกิดได้อีกไม่เกิน ๗ ชาติ. อุปาทาน. สัญญา. สังขาร. ผู้รู้ (เดิมเรียกว่าวิญญาณ). ก็ยังมีอยู่. ไม่ได้ตาม "สิ่่งนั้น" ไปด้วย. อุปาทานจึงเป็น "สักแต่ว่า"
*** รวมอริยมรรคให้เป็นหนึ่ง. อย่างเดียว ***
หายสงสัย แน่นอน !!!
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
ห้ามไม่ให้จิตคิด. ห้ามไม่ให้ดวงอาทิตย์ส่องแสง. ห้ามไม่ได้ดอก. จิตตัวที่คิดมันเป็นสังขาร. ให้อยู่กับจิตตัวที่เป็น "วิสังขาร"
"ว่างนอก. ว่างใน"
"สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี" มันเป็นปัจจยาการ. เมื่อ "นอกไม่มี. ในก็ไม่มี" เมื่อก่อน. "จิต" ออกมารู้ที่กาย เรียกว่า "วิญญาณ". ออกมารู้ที่ ตา. หู. จมูก. ลิ้น. กาย.
"เมื่ออริยมรรครวมเป็นหนึ่งแล้ว".
*** วิญญาปฏิสนธิดับทันที. ในขณะที่ผู้รู้เกิด. ภพดับ. ชาติดับ.***
หลังจาก "อริยมรรครวมเป็นหนึ่งเดียว" แล้ว. "ผู้รู้จะออกมารู้แจ้ง" ที่. ตา. หู. จมูก. ลิ้น. กาย. ออกมารู้แจ้งเห็นจริงที่กายเลย. รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส. มันว่างตั้งแต่ผู้รู้ออกมาสัมปยุตที่กายแล้ว. "ตาเห็นรูป. มันว่างเลย". นอกว่าง ในว่างเลย. เรียบร้อยโรงเรียนจีน.
*** "นอกไม่มี. ในก็ไม่มี *** มันเป็นเช่นนั้นแล.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"การรู้ภูมิจิตภูมิธรรมของตนเอง และ ผู้อื่น"
เมื่ออริยมรรค รวมเป็น "หนึ่งเดียว" เป็น "เอกัคตาจิต" แล้ว. ผู้รู้เกิด. ฝึกผู้รู้ให้เข้าออกและตั้งอยู่. ได้ตามความประสงค์ได้แล้ว. เอาผู้รู้มาอบรมวิชชา. จนมันเป็นหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว. โดยไม่ต้องรักษาได้แล้ว.
วสี ๕. มีความชำนาญ. ในการสังเกตุอารารมณ์. เข้าไป. ตั้งอยู่. ถอยออกของจิต. ความชำนาญในการรู้ภูมิจิตภูมิธรรมของตนเอง. และผู้อื่น. มันจะเกิดของมันเอง.
โดยเฉพาะ "ภูมิจิต. ภูมิธรรม. ของผู้อื่น. เราจะรู้ได้อย่างชัดเจน. ว่าเก๊หรือแท้" มันรู้ของมันเอง. มันรู้เองโดยอัตโนมัติ. เป็น "ความอัศจรรย์" ของ "ผู้รู้" ที่เกิดจาก "อริยมรรครวมกัน" เป็น "เอกัคตาจิต".
"รู้แจ้งในอดีต. รู้แจ้งในอนาคต. รู้แจ้งในปัจจุบัน". ไม่ติดอยู่ในเงื่อนทั้ง ๓. ผู้รู้รู้แจ้งตามความเป็นจริงแล้ว. ผู้รู้จะปล่อยวางรู้. อยู่กับ "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง"
"ธรรมเป็นของเปิดเผย."
เจริฐธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
ใน "ความว่างของธรรมชาติ" นั้น.
มี "สิ่งหนึ่ง" ที่เป็นเหมือนความว่าง. ที่ไม่ใช่ความว่าง. รู้ได้เฉพาะตน.
เป็นสักขีพยาน. ไม่สูญ.