"ผู้รู้,ผู้ตื่น,ผู้เบิกบาน"
"ผู้รู้" : รวม "สติ,สมาธิ,ปัญญา". ให้เป็น "หนึ่ง". "ความรู้สึก" ว่ามันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ไม่ข้องเกี่ยวกับ "สัญญาอารมณ์" เรียกว่า "ผู้รู้".
"ผู้ตื่น" : ผู้รู้เจริญ "วิปัสสนาปัญญา". ผู้รู้รู้แจ้งว่า "ความรู้สึก" มันหุ้ม "ความว่างในสิ่งที่มีอยู่" หรือจะเรียกว่า "จิตหนึ่ง" ก็ได้. "จิตหนึ่ง" สัมผัสไม่ได้ด้วยอายตนะใด ๆทั้งสิ้น. รู้แจ้งด้วย "ปัญญา". ตัว "จิตหนึ่ง" ตัวนี้เรียกว่า "ผู้ตื่น".
"ผู้เบิกบาน" : "ความว่างในสิ่งที่มีอยู่". ยึดไม่ได้. "จิตหนึ่ง" ก็ยึดไม่ได้. "ผู้รู้" ก็ยึดไม่ได้. เมื่อผู้รู้รู้แจ้งในผู้รู้. รู้แจ้งในผู้ตื่น. "สิ่งนั้น". จะพลิกตัวออกจาก "ผู้ตื่น" เป็น "ผู้เบิกบาน"
* ผู้เบิกบาน" ประกาศไม่ได้.*
(สู่แดน พระนิพพาน)
ความว่างที่มีตัวปัจจัตตัง. กับ ความว่างโล่ง ๆ. ที่ไม่มีตัวปัจจัตตัง. ต่างกัน.
ความว่างที่ไม่มี "เอกจิต" เป็นสักขีพยาน. เป็นความว่างของโลกีย์ฌาน. เป็นปุถุชน. ยังข้ามทะเลหลงไม่ได้. เป็นนิพพานพรหม. ส่วนความว่างที่มี "เอกจิต" เป็นสักขีพยาน. เป็นโลกุตระฌาน. จิตตกกระแสพระนิพพาน. เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพานแท้.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ความว่างในสิ่งที่มีอยู่"
จิตหนึ่ง. เป็นเหมือนความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. แม้แต่จิตยังไม่ใช่จิต. ในความว่างนั้น. มีสิ่งๆหนึ่ง หรือ มีตัวที่ละเอียดอิงแอบซ้อนอยู่ในความว่างนั้น. ในห้องว่างนั้นมันยังมีตัวเราอยู่ในห้องว่างนั้น. อย่าติดอยู่ในความว่าง.
ให้พลิกสิ่งนั้นออกไปอยู่นอกห้อง. ให้พลิกสิ่งนั้นออกไปอยู่นอกจิตหนึ่ง. ให้พลิกสิ่งนั้นออกไปอยู่นอกถ้ำ.
สิ่งนั้นประกาศไม่ได้.
เมื่อ "สิ่งนั้น" หลุดพ้นเป็น "เสรี" แล้ว. สังขารและอาการทั้งหลายทั้งปวง. รูปกายหยาบ ยังมีอยู่ครบเหมือนเดิมทุกอย่าง. ไม่ได้ดับหายไปไหน. มีแต่มันไม่มี...
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ข้อดีข้อเสีย".
"สายปัญญาอบรมสมาธิ". ต้องเจริญปัญญา. ใน "ภูมิอุปจาระสมาธิ". ต้องใช้เวลานานมาก. จนกว่าจิตมันจะรวมเป็น "หนึ่ง". ต้องอาศัยความอดทนมาก. บางท่านบำเพ็ญเป็นแสน ๆชาติ. ยิ่งถ้าศีลไม่บริสุทธิ์. ก็คือจบเลย. หมดบุญก็ตกนรก. ต้องเวียนว่ายต่อไป. ข้อเสียก็คือ. ส่วนมากมักจะพักค้างคืนก่อนที่จิตจะรวมเป็น "หนึ่ง.
ทีนี้. "สายสมาธิอบรมปัญญา". กำหนด "สติพุทโธลม". รวมความรู้สึกลงที่ "จุดรู้ที่เดียว". จนจิตรวมเป็น "หนึ่ง". จิตเป็น "จิตหนึ่ง" ปิดนรกทันที. ความรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งอยู่แต่เพียงผู้เดียว. เราจะรู้เองเป็นเอง. มันเป็นปัจจัตตัง. ไม่ต้องไปถามใคร. สมาธิไม่เสื่อมเป็นอนันตกาล.. จิตเป็นสมาธิไม่มีกาลสถานที่. จิตตกกระแสพระนิพพาน. ก้าวข้ามโลกีย์เข้าสู่โลกุตระทันที. นี่คือ * ข้อดี *
(สู่แดน พระนิพพาน)
* ที่สุดของการภาวนา *.
"ที่สุดของลม". คือลมหายใจหมดไปจากความรู้สึก. ในขณะที่ภาวนา "อานาปานสติ". คือลมดับไป. "ที่สุดของใจ" คือ "ใจรวมลงสนิท". หมดความรับผิดชอบกับลม. ตั้งเป็น "เอกจิต" มีอารมณ์เดียว. เพียงรู้อย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับสิ่งใดต่อไปอีก.
(หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต)
"มัคคสมังคี"
จิตรวม. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. ลงมาอันเดียว. จิตจึงจะเข้าถึงอริยภูมิได้. นี่เป็นหลักพระพุทธศาสนา.
"ทำตัวเที่ยงให้เกิดขึ้นมาก่อน"
เมื่อตัวเที่ยงเกิดขึ้นแล้ว. ให้วางทั้งตัวเที่ยง. และ ตัวไม่เที่ยง. สภาวะตัวเที่ยงในทางจิต. กับตัวเที่ยงจากสัญญาความจำ. มันต่างกันราวฟ้ากับดิน. มันเป็นคนละเรื่อง.
"จิตเดิมแท้" กับ "ตัวเที่ยง" เป็นตัวเดียวกัน. ถ้าอริยมรรคทั้ง ๘. ยังไม่รวมเป็น "หนึ่ง" เราจะไม่เห็นสภาวะของ "จิตเดิมแท้" เลย. ที่รู้ที่เห็นที่กล่าวถึง. มันคือ "สัญญาความจำ" สภาวะของความเป็น "หนึ่ง" ของจิต. มันเป็นปัจจัตตัง. รู้เองเห็นเอง. สภาวะนี้ต้องปรากฎขึ้นภายในจิตของเรา. ถ้าไม่มีสภาวะดังกล่าวแล้ว. ยังไม่ใช่ "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน".
"จิตเดิมแท้". เป็นน้ำไหลนิ่ง. เป็นความสงบท่ามกลางความไม่สงบ. เป็นความสงบระงับ. เป็นสันทิฐิโก. รู้เองเห็นเอง. รู้ได้เฉพาะตน.
"จิตเดิมแท้ กับ จิตหนึ่ง". เป็นตัวเดียวกัน. รู้แจ้งเห็นจริงภายในจิตของเราหรือยัง ?.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ความว่าง" ที่ "ไม่มีจิตหนึ่ง"
เป็นสักขีพยาน. เป็น "โลกีย์ฌาน" ตัดสังโยชน์ไม่ขาด.
ทะเลหลงคือแดนเกิด.
"ความรู้สึก. ว่าเป็น "หนึ่ง" เป็น "สักขีพยาน" ของ โลกุตระ"
ปริยัติ : มรรคทั้ง ๘. ย่นย่อเหลือ สติ, สมาธิ, ปัญญา. จาก ๓ รวมลงเป็น "หนึ่งเดียว". หรือ "เอกจิต". หรือ "เอกธรรม" หรือ "เอกัคตาจิต" หรือ "จิตหนึ่ง".
ปฏิบัติ : คำว่า "เอกัคตาจิต" หรือ "จิตหนึ่ง" สภาวะดังกล่าวภายในจิตมันเป็นอย่างไร ? เราจะรู้ได้อย่างไร ?
สภาวะของ "เอกัคตาจิต หรือ จิตหนึ่ง". มันเป็น "ความรู้สึก". มันมี "ความรู้สึก" ว่า. มันเป็น "สิ่งหนึ่ง" เป็นจุด. เป็นต่อม. เป็นดวง. มันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ไม่ข้องเกี่ยวกับ "สัญญาอารมณ์" ใดๆ ทั้งสิ้น. ไม่ข้องเกี่ยวกับลมกับกาย. รู้เองเห็นเอง. เป็นปัจจัตตัง.
"ความรู้สึก" ว่าเป็น "หนึ่ง" ตัวนี้เรียกว่า "ผู้รู้" หรือ "จิตเดิมแท้" หรือ "ฐีติภูตัง" ความรู้สึกว่าเป็น "หนึ่ง" ตัวนี้ เป็น "สักขีพยาน" ว่า "อริยมรรค" รวมเป็น "หนึ่ง".
"เอกัคตาจิต". ตัวนี้. เป็นสักขีพยานว่า "จิตดวงนี้" ได้ข้าม "โลกีย์ เข้าสู่ "โลกุตระ". จาก "ปุถุชน" เป็น "พระอริยเจ้า" แล้ว.
(สู่แดน พระนิพพาน)
*แม้จิตจะหยุดคิดหยุดปรุงแต่ง*.
แล้วก็ตาม. ขันธ์ทั้ง ๕.
มันไม่ได้หยุดกระบวนการของมันเลย. มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น.
"แม้จะหยุดคิด. ถ้าจิตยังไม่เป็นหนึ่ง". ทะเลหลงคือแดนเกิด.
การหยุดคิดหยุดปรุงแต่ง. เป็นบันไดขั้นแรก. ของการฝึกจิตให้เข้าสู่ความสงบ. เข้าสู่ "ฌาน ๔" เป็น "เอกัคตา" เป็น "อุเบกขาในฌาน" จิตรวมเหมือนกัน. แต่เมื่อจิตถอนออกมา สมาธิ หรือ ฌานนั้น. จะเสื่อม. จิตยังไม่รวมเป็น "เอกัคตาจิต"
จิตที่ไม่คิด. ไม่ปรุงแต่ง. เป็น อุเบกขาในฌาน เป็น อารมณ์อุเบกขา. ดับทุกข์ได้ชั่วคราว.
"เอกัคตาจิต" เป็น "อุเบกขาในวิปัสสนาญาณ" หรือ "สังขารุเปกขาญาณ" ประกอบไปด้วย "ญาณสัมปยุตต์กับไตรลักษณ์" เป็น
"ญาณแห่งความพ้นทุกข์". เป็น "อนันต์กาล" เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ผู้รู้ กับ ผู้หลง" ผู้รู้ กับ ผู้หลง. เป็นตัวเดียวกัน.
"ผู้รู้" เป็นสภาวะจิตที่มรรคทั้ง ๘. รวมกันเป็น "หนึ่ง". เป็นจิตดวงเดียว. เป็น "เอกจิต" หรือ "จิตหนึ่ง". ผู้รู้เกิดจาก ภาวนามยปัญญา. กำลังของสติเป็น มหาสติ, มหาสมาธิ, มหาปัญญา. เป็น "เอกัคตาจิต" เป็น สติของพระอริยเจ้า.
"ผู้หลง" ผู้หลงเกิดจาก สุตมยปัญญา กับ จิตมยปัญญา. อริยมรรคยังไม่รวมเป็น "หนึ่ง". เอกกัคตารมณ์ ยังไม่รวมเป็น เอกัคตาจิต. จิตยังเป็นปุถุชนอยู่. กำลังของสติ, สมาธิ, ปัญญา. ยังไม่เป็นหนึ่ง. ผู้รู้ที่แท้จริงยังไม่เกิด.
"ผู้รู้" เกิดจาก "ผู้หลง". ผู้รู้เกิด ผู้หลงก็หายไป.
(สู่แดน พระนิพพพาน)
"ศีลของผู้รู้ กับ ศีลของผู้หลง"
"ศีลของผู้รู้". เป็นศีลของพระอริยะเจ้า. มี "อันเดียว". โสดา. สกิทาคา. อนาคา. และพระอรหันต์เจ้า. "ศีลมีหนึ่งเดียว. ส่วน "ศีลของผู้หลง". เป็น "มานะศีล" มีศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑. ยังมีสูง. ต่ำ. เสมอ. เป็นศีลของปุถุชน.
เมื่อศีลเป็นหนึ่งของมันโดยอัตโนมัติแล้ว. ไม่ต้องรักษา "หนึ่ง" นั้นอีกต่อไป. ศีลจะรักษาเราเอง.
เริ่มแรก. เรารักษาศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑. เมื่ออริยมรรครวมเป็น "หนึ่ง" แล้ว. ให้รักษาหนึ่ง. จนมันเป็นหนึ่งของมันเอง. คราวนี้. เราไม่ต้องรักษาศีล. ศีลเขาจะรักษาเราเอง.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ความอยาก"
"รูป. เวทนา. สัญญา. สังขาร. วิญญาณ". รวมกันเป็น "ความอยาก". ให้แยกความอยากกับกาย. ออกจากกันให้ได้. ความอยากมันอยู่ที่ไหน. กายมันอยู่ที่ไหน. แยกให้ได้.
ถ้าเห็นว่า. "กายกับความอยาก". มันเป็นตัวเดียวกัน. การเห็นอย่างนี้. ยุ่งนะ. !! แต่ถ้าเห็นว่า "ความอยาก" กับ "กาย" เป็นคนละตัวกัน. การเห็นเช่นนี้. ผู้ที่ได้ "จิตหนึ่ง" แล้ว. จะเห็นว่า "ความอยากกับกาย" มันจะแยกกันอยู่. อยู่คนละส่วน. ชัดเจน.
ถ้าเห็นอย่างนี้. จิตตกกระแสพระนิพพานแล้ว.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ต่อสุทธาวาท ๕"
สภาวะของจิตในจิต. จิตเป็น "หนึ่ง" ไม่ต้องรักษา. กายหาย. ลมไม่มี. ทุกอิริยาบถ. ไม่มีกาลสถาน.
"อารมณ์" จะไม่เกิดขึ้นภายในจิตเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว. นิมิตยังมี. สุขในฐีติจิตมี. ผู้รู้ยังมี. สัญญาความจำ. สังขารความคิด. วิญญาณความรู้. ยังมีอยู่ครบ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
เมื่อ "สิ่งนั้น" ออกไปอยู่นอก "ผู้รู้" แล้ว.
ความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" ก็ยังมีอยู่. "ผู้รู้" ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม. อาการของจิต. สัญญา, สังขาร, วิญญาณ, นามรูป, มีอยู่ครบ.
จะเอา "ความว่าง" เป็นวิหารธรรม. หรือจะเอา "อานาปานสติ" เป็นวิหารธรรม. อย่างใดอย่างหนึ่ง. ก็ได้. แล้วแต่จริตของแต่ละคน.
ลมเกิด ผู้รู้เกิด. ลมดับ ผู้รู้ดับ. เขาเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น. ธรรมชาติของเขาเกิดดับอยู่อย่างนั้น.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตมันเปลี่ยนรูป" ไม่ใช่ "จิตดับ" นะ.
** จิตไม่ดับ นะครับ **
"จิตมันเปลี่ยนรูป". มันเปลี่ยนรูปจาก "ผู้รู้" ไปเป็น "ความว่างในสิ่งที่มีอยู่" ความว่างในสิ่งที่มีอยู่. "ยังไม่ใช่จิตบริสุทธิ์". ยังมีตัวที่ละเอียดที่มันซ้อนอยู่ในความว่าง. เมื่อใดที่จิต "ตัวที่ละเอียด" มันจะออกไปจากความว่าง. ไปอยู่นอกความว่าง. สิ่งนั้น. ประกาศไม่ได้.
"ถ้าอริยมรรค" ยังไม่เกิด. จิตยังไม่รวมเป็น "จิตหนึ่ง" อย่าหวังว่าจะเข้าสู่ "โลกุตระ" ได้. เป็นได้แค่ "ผู้รู้จำ" ยังไม่ใช่ "ผู้รู้แจ้ง" ยังเป็น "ผู้ลูบคลำอยู่".
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตหลุดพ้น"
จิตจะหลุดพ้นได้ก็ต่อเมื่อ. แยกจิตออกจากกาย. ด้วย "อริยมรรค" จิตรวมเป็น "จิตหนึ่ง". จิตจะเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว.
"ผู้รู้เกิด". จากนั้นเอา "ผู้รู้มาอบรมปัญญา". เมื่อ "ผู้รู้.รู้แจ้งในผู้รู้" ผู้รู้จะปล่อยวางผู้รู้. เข้าสู่ "ความว่างในสิ่งที่มีอยู่". จากนั้น จิตจะพลิกตัวออกจากความว่าง. จิตหลุดพ้นเป็นเสรี.
(สู่แดน พระนิพพาน)
ถาม : "อริยมรรค" ที่ท่านบอกว่ารวมเป็น "หนึ่ง" เป็นอย่างไรท่าน. ?
ตอบ : "อริยมรรค" รวมเป็น "หนึ่ง" นั้น. เป็นสภาวะของจิตเป็น "หนึ่ง" หรือ "เอกัคตาจิต" หรือ "จิตหนึ่ง". ในทางปริยัติเรียกว่า "สติ สมาธิ ปัญญา" แต่ในทางปฏิบัติแล้ว. คำว่า "สติ สมาธิ ปัญญา" นั้น. มันเป็น "ความรู้สึก" ที่มันเกิดขึ้นภายในจิต. มันไม่ได้เป็นคำพูดว่า "สติ สมาธิ ปัญญา" แต่มันเป็น "ความรู้สึกว่า" มันเป็น "หนึ่ง" ภายในจิต. เราจะรู้เองเห็นเอง. ที่เรียกว่า "ปัจจัตตัง". นั่นเอง.
ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่พ้นทุกข์ คือ "จิตหนึ่ง" ให้มี "สติ" จี้ลงไปที่ "จุดรู้". จุดรู้อยู่ที่ไหน เพ่งมันลงไปที่จุดนั้น. เมื่อ "จุดรู้" มันเป็น "หนึ่ง". เด่นเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียวแล้ว. ไม่ต้องเอาผู้รู้ไปตามรู้สิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น. ให้ "อยู่กับผู้รู้" อย่าส่งนอก. จะ "อารมณ์ใด" ก็ตามที่เข้ามากระทบกับผู้รู้. อารมณ์เหล่านั้นดับหมด.
"อารมณ์เกิด. ผู้รู้เกิด". ผู้รู้เกิดเพื่อมารับรู้อารมณ์. อารมณ์ดับ. ผู้รู้ก็ดับด้วย.ทั้ง ๒ สภาวะ. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. มันเป็นความว่างที่หุ้มความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง (จิตหนึ่ง). อารมณ์ก็ว่าง. ผู้รู้ก็ว่าง. "จิตหนึ่งมันความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง". เป็นหนึ่งของมันอยู่แต่เพียงผู้เดียว. เป็นหนึ่งของมันอยู่อย่างนั้น. เป็นสภาวะของ "จิตเห็นจิต". เป็นสภาวะของ "ผู้รู้รู้แจ้งในผู้รู้". จุดนี้. !! หลุดพ้นด้วยปัญญา.
สายเจโต. เมื่อผู้รู้เด่นชัด. ผู้รู้จะพลิกตัวออกจากผู้รู้. ไม่ต้องเดินปัญญา. เป็นเสรีอยู่แต่เพียงผู้เดียว.
(สู่แดนพระนิพพาน)
"การปฏิบัติ เป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์"
ปัจจุบัน พระสัทธรรมของปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) เอาสัญญามาเป็นปัญญา. กำลังแพร่ระบาดในวงการปฏิบัติ. ทำให้พระสัทธรรมบริสุทธิ์ วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิม. เป็นการ "ทำลายศาสนา" โดยไม่รู้ตัว.
"สุตมยปัญญา. กับ จินตมยปัญญา". มันเป็นสัญญา. เมื่อศึกษาและเข้าใจในในเส้นทางแล้ว. พระพุทธเจ้าให้ปล่อยวาง. แล้วเข้าสู่เส้นทาง "ภาวนามยปัญญา".
"ปล่อยวางให้หมด". ความรู้ที่เป็นสัญญา. ตำหรับตำรา. แม้แต่โอวาทธรรมหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงตา พระอรหันต์เจ้า. เผาไฟทิ้งเลย. ให้มีแต่ "กายกับจิต" เท่านั้น.
ศีล : มีสติอยู่กับลม "ศีลบริสุทธิ์"
สมาธิ : รวม "ความรู้สึกลงที่จุดรู้". จุดเดียว. วางความคิด. วางนิมิต. วางอดีตอนาคต. ประคอง "สติให้ต่อเนื่อง". อย่าให้ขาดสาย. เป็น "สัมมาสมาธิ"
ปัญญา : เห็นความ "เกิดดับของลมเข้าออกที่จุดรู้". เป็น "ปัญญา".
ที่กล่าวมานี้เป็น "นิโรธ" เป็น "เส้นทางแห่งความดับทุกข์" จิตรวมเป็น "หนึ่ง" เมื่อใด. เราจะรู้เองเห็นเอง "ความรู้สึก" ว่ามันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียวเป็น "มรรค".
สภาวะของความเป็น "หนึ่ง". เป็นสภาวะของมรรคทั้ง ๘. รวมเป็น "หนึ่ง" ความรู้สึกว่ามันเป็นหนึ่ง. เป็นต่อม. เป็นดวง. ตัวนี้เรียกว่า "ผู้รู้". ผู้รู้เป็น "จิตสะอาด" ยังไม่ใช่ "จิตบริสุทธิ์" เป็นสภาวะของ "จิตเดิมแท้" หรือเรียกว่า "ฐีติภูตัง".
สมาธิจิต. ตรงจุดนี้เป็นสมาธิจิต "ฐีติจิต" จิตเป็นจิตหนึ่งในอิริยสบถ-ลืมตา. ไม่มีกาลสถานที่. หรือจะเรียกว่า "อัปปนาสมาธิลืมตา" ก็ได้. เป็นสมาธิของพระอริยเจ้า. สมาธิจะไม่เสื่อมเป็นอนันต์กาล. จิตจะเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา.
** ปิดอบาย. จิตตกกระแสพระนิพพาน **. จิตแยกออกจากกายเป็น "สมุทเฉท". ตัดขาดจากกายโดยสิ้นเชิง. จิตจะไม่ย้อนกลับไม่ยึดกายอีก. เป็นอนันตกาล.
(สู่แดน พระนิพพาน)
ปล่อยวางในปัจจุบัน.
ลืมตามองออกไปนอกกาย. แล้วหลับตาดิ่งความรู้สึกลงสู่จุดรู้. พลิกจิตออกจากผู้รู้.
ออกสู่ความว่างของจักรวาลเดิม.
*อย่าแบกมานะเข้ามาอวดกัน*
ปัญญาหรือเจโต. รสชาดเดียวกัน. ไม่มีสูงต่ำเสมอ.
เอกมรรค. เกิดขึ้นที่จิตหรือยัง ?
เอกัคตา มีจริง.
มรรคทั้ง ๘. รวมกันเป็นหนึ่ง มีจริง.
มัคคสมังคี มีจริง.
มัคคปหาน มีจริง.
ผู้รู้ มีจริง.
จิตหนึ่ง หรือ ความว่างในสิ่งที่มีอยู่ มีจริง.
สิ่งที่มีอยู่ออกไปอยู่นอกความว่าง. ออกไปอยู่นอกจิตหนึ่ง. ออกไปอยู่นอกห้อง. ออกจากถ้ำ. มีจริง.
"จิตเดิมแท้" มันมีความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. มีจริง.
ถ้าท่านไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่กล่าวมานี้. ท่านคือ "เถรใบลานเปล่า"
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ความผิดมันฝังอยู่ในความถูก".
ถ้าเรายึดอยู่ในความถูก. ก็เรียกว่ามันผิดถือถูก. ไม่เป็นการปล่อยวาง.
(หลวงพ่อชา สุภัทโท)
"สงครามของจิต กับทุกขเวทนา".
แยกกายและอาการต่าง ๆของกาย. ได้แก่ รูป กับ เวทนา. ออกเป็นขันธ์หนึ่ง.
แยกสัญญาที่คอยมั่นหมายหลอกลวงเรา. ออกเป็นขันธ์หนึ่ง.
แยกสังขารคือความคิดปรุงแต่ง ออกเป็นขันธ์หนึ่ง.
แยกจิตออกเป็นพิเศษ. ขันธ์หนึ่ง.
เพราะ "ความทุกข์" ตัวเดียวเท่านั้น. "ต้องสู้กับความทุกข์" ด้วย "สติปัญญา". ทุกขเวทนาเป็นขันธ์อะไร ?. เป็นรูป เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ และ เป็นจิตได้ไหม ?.
"สงครามระหว่างจิต กับ ทุขเวทนา". ต่อสู้กันในเวลานั้น. กินเวลา ๕ ชม. จึงได้รู้ความจริงของขันธ์แต่ละขันธ์. เฉพาะอย่างยิ่ง. "รู้เวทนาขันธ์ด้วยปัญญา". ทุกขเวทนาดับลงทันที ที่พิจารณารอบตัวเต็มที่. เมื่อจิตรวมลงสู่ฐานสมาธิเต็มที่ เพราะอำนาจของการพิจารณาแล้ว. ทุกขเวทนาได้หายไป ณ บัดนั้น. ไม่กลับมาอีกเลย. เป็นที่น่าปลาดใจว่า. เป็นไปได้อย่างไร ?
(หลวงปู่ขาว อนายโย)
"ธรรมแท้ต้องมีปัจจัตตัง"
ปัจจุบันเป็นยุคสมัย "พระสัทธรรมปฏิรูป" การปฏิบัติธรรม. มันเข้าไม่ถึง "ตัวปัจจัตตัง". ตามรอยโคแต่ยังไม่ถึงตัวโค. ก่อนจะถึงตัวโค. มันจะเจอ "หลุมว่าง". แล้วสำคัญตนว่า "จบกิจแล้ว" จึงเรียบร้อยโรงเรียนพญามารไป.
พญามารขุดหลุม "ว่าง" ดักพวกตาบอดไว้. ไม่ให้เห็นตัวโค. ไม่ให้เข้าถึง "ตัวปัจจัตตัง". เป็น "หลุมแห่งความว่าง" อะไรก็ ว่าง ๆๆๆ. ไม่มีอะไรแม้แตนิดเดียว.
"ความว่าง" ตัวนี้. มันเป็น "ความว่างของพญามาร". จิตถ้า "ตกหลุมว่าง" หลุมนี้แล้ว. ขึ้นยาก !! ตายยกเข่ง. มันว่างหมดทุกสิ่งทุกอย่าง. พวกนี้ "ว่างสูญ". พวกฤษีชีไพร. พวกเล่นฤทธิ์. พวกเล่นอภิญญา. พวกนี้รู้อดีต. รู้อนาคต. รู้วาระจิต. แล้วสำคัญตน. ว่าจบกิจ.
พวกนี้. * ไม่มีตัวปัจจัตตัง เป็นสักขีพยาน *
พวกนี้เล่นฌาน. เป็น "ฌานที่ขาดปัญญา". จึงตก "หลุมว่างที่ไม่มีตัวปัจจัตตัง". พวกที่เจ็บหนักก็คือพวกพิจารณาเอาเลย. เอาสัญญา. เอา "จิตแต่งจิต" เอาเลย. พวกนี้ไม่มีฌานไม่มีสมาธิ. คิดเอาแต่งเอา. พวกนี้ "ยังหาฝั่งไม่เจอ".
พวกที่เห็นว่า "ความว่างที่ไม่มีตัวตน. ไม่มีปัจจัตตังใด ๆทั้งสิ้น". พวกนี้เห็นว่า "จิตสูญ". มันจะไม่สูญได้อย่างไร. ก็มันไม่มีปัจจัตตัง. มันไม่มีอะไรเป็นสักขีพยาน. "ทุกอย่างสูญหมด".
"ธรรมแท้ต้องมีปัจจัตตัง" ต้องมีสักขีพยาน. จิตไม่สูญนะ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จิตรักษาจิต".
จิตถ้าไม่รักษา. มันเป็นโทษ. คือมันนำทุกข์มาให้. เราจึงต้องรักษาจิต. ต้องอบรมจิต. จิตที่อบรมดีแล้ว. นำสุขมาให้. จิตที่ไม่ได้รับอบรม. มันพาให้กายวิ่งว่อน. พากายให้เป็นทุกข์.
จิตที่ไม่ได้รักษา. มันจะคิดอาลัยอาวรณ์. ผูกพันกับสิ่งเหล่านั้น. เป็นเหตุแห่งทุกข์. จิตที่ฝึกอบรมดีแล้ว. มันจะไม่กังวล. ไม่ห่วงหาอาลัย. เมื่อจิตถอนจากเรื่องเหล่านั้น. มันมารวมอยู่ในที่แห่งเดียว.
จิตเป็น "หนึ่ง" แล้ว. จะนำมาซึ่ง "สันติสุข"
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"แก่นธรรม"
เมื่อเข้าถึง "หนึ่งเดียว" แล้ว. นอกนั้นเป็น "อาการของจิต" เป็น "สักแต่ว่า". ตัวเราคือ "จิตเดิมแท้". มัน "ไม่ปรุงไม่แต่ง". เป็น "อกิริยาจิต".
"ตัวจิตเดิมแท้". ตัวนี้แหละคือ "ตัวธรรม". มันอยู่สภาพของมันต่างหาก. ภาษาธรรมท่านเรียกว่า "จิตหนึ่ง" อาการที่มันฉายออกไป. มันเป็น "แสงสว่าง". มันเป็น "แสงของจิต" ไม่ใช่ "ตัวจิต". อย่าไปเอาอาการของจิต. "อย่าไปเอาแสงสว่าง" ว่าเป็นตัวเราของเรา.
เมื่อเราเข้าใจว่า "อาการของจิต" ไม่ใช่เรา. เมื่อมีตัว. ย่อมมีอาการ. อย่าไปเอาอาการ. ให้เอาตัวที่ "ไม่มีอาการ". ให้เข้าหา "จุดรู้" จุดที่ "ไม่มีอาการ". เมื่อเราเห็นชัดตามความเป็นจริงแล้ว. "แสงสว่าง" ที่เป็นอาการทั้งหลาย "มันจะหายไป". มันจะหดตัวเข้ามาหา "อันเดียว". มันเข้าถึง "หนึ่งเดียว" ของมัน.
"ตัวนี้" คือรากฐานสำคัญ. "จิตหนึ่ง" เป็น "แก่นของธรรม" นอกนั้นเป็น "สักแต่ว่า".
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ผู้รู้" หรือ "วิชชา" เป็น "เหตุแห่งความพ้นทุกข์" ส่วน "ผู้หลง" หรือ "อวิชชา" เป็นเหตุแห่งทุกข์".
"ผู้รู้" ไม่หลงในตำรา,แม้แต่ความรู้จากจาก พ่อแม่ครูจารย์ รู้แล้วท่านก็ปล่อยวาง, ไม่หลงในคำบริกรรม "พุทโธ", ไม่หลงในลมหายใจ, ในเส้นทางอริยมรรค จะปล่อยว่างทั้งหมด, เมื่อจิตรวม อริยมรรคเกิด ผู้รู้เกิด, "ผู้รู้" จะปล่อยวาง "ผู้รู้", แล้วอยู่กับ "ความว่าง" หรือจะอยู่กับ "พุทโธ" หรืออยู่กับ "ลม" ก็ได้ เพราะ "จิตเห็นจิต", จิต "รู้แจ้ง"" ด้วย "ปัญญาที่แท้จริง" แล้ว.แม้จะอยู่กับ "พุทโธ" อยู่กับ "ลม" ท่านอยู่ด้วย "สติปัญญา", "มีแต่ไม่มี". "ความว่าง" จึงเป็น "มัคคปหาน" ในขณะเดียวกัน,
ส่วน "ผู้หลง" จะยึดใน "ความรู้" ที่เรียนมา, จะยึดใน "สัญญา", แม้จะภาวนา "จิตรวม" ลงถึง "อัปปนาสมาธิ" แล้วออกมาเดินปัญญาในภูมิจิต "อุปจารสมาธิ" ก็ตาม, มี"ฤทธิ์, มีอภิณญา" ก็ตาม, เข้าสมาบัติได้ ๕ วัน, ๗ วัน ก้ตาม. ถ้าจิตยัง "ไม่รวม" เป็น "หนึ่ง" ท่านยังเป็น "ผู้หลง" อยู่. อย่าหยุดอยู่แค่ "อัปปนาสมาธิ" ให้ฝึกจิตให้เข้าสู่ "ฐีติจิต" ให้ได้. ที่สุดของสมาธิคือ จิตเป็น "หนึ่ง"... สาธุครับ.
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ถ้าอริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง". อย่าออกมาจำแนกแจกธรรม !!.
เมื่อฝึกหัดปฏิบัติจิต. เข้าสู่เส้นทาง "สติ สมาธิ ปัญญา". กำจัดเหล่า กะปอมก่า คือ "อุปกิเลส" (อวิชชา). ได้แล้ว. จะทำให้ "พระสัทธรรมบริสุทธิ์". ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อน. ไปจากหลักเดิม. เมื่อนำไปปฏิบัติจึงจะเกิดผล.
เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่ง. "ผู้รู้" เกิดขึ้นภายในจิตแล้ว. จึงค่อยออกมา "จำแนกแจกธรรม". เป็นการสืบทอดศาสนา.
แต่ถ้าบุคคลใดไม่ปฏิบัติให้ "ผู้รู้" ที่แท้จริงเกิดขึ้นภายในจิตก่อนแล้ว. แล้วออกมาทำการจำแนกแจกธรรม. จักเป็นผู้มีโทษ "ปาปโกสทฺโท" เป็นผู้มี "ชื่อเสียงชั่วฟุ้ง" ไปในจตุรทิศ. เป็นการทำลายศาสนาโดยไม่รู้ตัว.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ผู้รู้ กับ ผู้หลง"
อริยสัจ ๔. มี. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. ในสัจธรรมทั้ง ๔ นี้. "ผู้หลง" เป็นผู้ยังไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริง. ผู้หลงจะรู้ด้วยสัญญาความจำ. อันเกิดจากสังขาร ความคิดความปรุงแต่ง. อยู่ในขั้น. รู้ธรรม เรียนธรรม. เรียกว่า "ปริยัติ" เป็นก้าวแรกเข้าสู่ความเป็น "พุทธะ" มี. "ทาน ศีล ภาวนา". ศีล. มี. ศีล ๕,๘,๑๐,๒๒๗. ภาวนา. ฝึกจิตให้เข้าสู่ความสงบ. จิตสงบลงถึง อัปปนาจิต. หรือ อัปปนาฌาน. เรียนรู้อริยสัจ ๔. ด้วยสัญญาความจำ. มรรคทั้ง ๘ ยังไม่รวมเป็น "เอกัคตาจิต" จิตรวมลงเป็น "เอกัคตา" เป็น สภาวะจิตของ "ปุถุชน". เป็นสภาวะจิตที่ยังไม่พ้นทุกข์. กำลังของสติยังข้าม โลกีย์ไม่ได้.
"ผู้รู้" เมื่อจิตแน่วแน่มั่นคงใน. ทาน ศีล ภาวนาแล้ว. จิตจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความพ้นทุกข์. คือ เส้นทางของ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา. เข้าสู่เส้นทางของการรวมมรรคทั้ง ๘.ให้เป็น "หนึ่งเดียว. เส้นทางของการปฏิบัติจะเริ่มขึ้นที่ตรงนี้คือ เข้าสู่เส้นทางนิโรธ. มรรค. เมื่อมรรคทั้ง ๘ รวมเป็น "หนึ่ง" แล้ว. "ผู้รู้" เกิด. สภาวะของ "จิตผู้รู้" จิตเป็น "เอกัคตาจิต" กำลังของสติ สมาธิ ปัญญา. เป็น "มหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา". จิตข้ามโลกีย์เข้าสู่ โลกุตระ. เป็นอริยบุคคล. "ผู้รู้" เป็นผู้ "เห็นธรรม". เป็นผู้ "เห็นธรรมเป็นธรรม". เมื่อ "ผู้รู้" เกิด. "ผู้หลง" ก็หายไป. จุดนี้. จิตตกกระแสพระนิพพาน. จิตจะไม่หวนกลับคืนสู่สามแดนโลกธาตุอีกเป็นอนันต์กาล.
จากนั้น. "ผู้รู้" จะเข้าสู่เส้นทางของ "วิปัสสนาปัญญา" เมื่อจิตเห็นจิต. เมื่อผู้รู้รู้แจ้งในตัวผู้รู้เองแล้ว. ผู้รู้จะปล่อยวางผู้รู้. เข้าสู่ความว่างในสิ่งที่มีอยู่. แม้แต่ "ความว่าง" ก็ยึดไม่ได้. ผู้รู้ศีลมีอันเดียว. สมาธิมีอันเดียว. ปัญญาก็มีอันเดียว.
หลวงปู่เทสก์ให้เอา "จิตหนึ่ง" ตัวเดียวก็พอ. หลวงพ่อชา ให้รักษาหนึ่งไม่ต้องเอามาก. หลวงปู่ดูลย์. ให้เอาอย่างเดียว. อย่าส่งจิตออกนอก. ทุกพระอรหันต์เจ้าส่องเส้นทางให้เจ้าสู่ "เอกคตาจิต" ทุกรูป. ลงที่เดียวกันหมด.
"ผู้รู้". อริยมรรครวมเป็นหนึ่ง จิตเข้าสู่โลกุตระ. "ผู้หลง". อริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. เป็นโลกีย์.
เมื่อผู้รู้เกิด. จิตตกกระแสพระนิพพาน. อวิชชาดับหมด. หลงอีกไม่เกิน ๗ ชาติ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา". เป็นของเปิดเผย. ไม่ใช่ของปิดบัง. ไม่ใช่ของปกปิด.
"ความเกิด" ก็เกิดมาให้รู้ให้เห็น. ให้เห็นอย่างเปิดเผย.
"ความแก่" ก็แก่ให้เห็น. อย่างเปิดเผย.
"ความเจ็บ" ก็เจ็บให้เห็น. อย่างเปิดเผย.
"ความตาย" ก็ตายให้เห็น. ไม่มีปิดบัง.
ตานอกมันปิดเอาไว้. ถึงจะเอาสิ่งเหล่านี้. เอาไว้กลางแจ้ง. มันก็ไม่เห็น. ของทั้งหลายมันอยู่ในจิตใจ. ให้มีตาใน. ตาในคือ "ตัวปัญญา".
พระพุทธเจ้า. ให้น้อมเข้ามา. อย่าน้อมออกไป. อาการที่มันน้อมออกไป. มันไม่เห็นเจ้าของ. ให้น้อมเข้ามา. น้อมเข้ามาที่ "จุดรู้" มันจึงจะเห็นเจ้าของ. มันจึงจะเห็น "จิตเดิมแท้" ของตนเอง. หลักใหญ่มันอยู่ตรงนี้. ต้นทางมันอยู่ตรงนี้.
ให้เอาจิตรักษาจิตเจ้าของ. ผู้เป็นใหญ่ในจิตเจ้าของคุ้มครองจิตเจ้าของ. ให้น้อมเข้ามา. น้อมเข้ามาหา "จุดรู้".
(สู่แดน พระนิพพาน)
"จะสายไหนก็ตาม"
ถ้าจิตยังไม่ "มัคคสมังคี". จิตยังไม่รวมเป็น "หนึ่ง". อริยมรรคทั้ง ๘. ยังไม่รวมเป็น "เอกัคตาจิต". ผู้รู้ที่แท้จริงยังไม่ปรากฎ.
** ทะเลหลงคือแดนเกิด **.
(สู่แดน พระนิพพาน)
** ถ้าตามรอยคนตาบอด. มันจะพากันตายยกเข่ง **
ให้ "ตามรอยโพธิญาณ. ตามรอยพระอรหันต์เจ้า". เท่านั้น. จับหลักให้ได้. ** อย่าข้ามมรรค **. ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์. "เอโกมัคโค" เส้นทางอื่นไม่มี. ต้องดับทุกข์ให้ได้เสียก่อน. ** อย่าเอาสัญญามาดับทุกข์ **
เมื่อจิตเป็น "หนึ่ง" แล้ว. จึงค่อยเอา "ปัญญาที่แท้จริง" มาเก็บเอาทีหลัง.
"ภูมิวิปัสสนาปัญญา" ไม่ใช่ "ภูมิสัญญา" นะ. อย่าเข้าใจผิด. "อุปจารสมาธิ" เป็น "ภูมิวิปัสสนาปัญญา". ถ้าจิตเริ่มฟุ้ง. ให้พักจิต. เข้าสู่ความสงบ "อัปปนาสมาธิ". ถ้าจิตเริ่มฟุ้ง อย่าพิจารณา อย่าดันทุรัง เดินปัญญา. เพราะมันจะกลายเป็น "สัญญา". ให้หยุดพิจารณา. เข้าพักจิต. แล้วถอยออกมา. เดิน "วิปัสสนาปัญญา" ต่อ.
อย่าเข้าใจว่า "สัญญามันคือปัญญา". ที่จิตไม่รวมเป็น "หนึ่ง". เพราะเหตุที่เข้าใจว่า "สัญญาคือปัญญา". จึงเป็นเหตุให้ "ตายกันยกเข่ง".
อย่าดื้อ !! อย่ารั้น !! อย่าข้ามมรรค.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"การได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า".
ถ้าเราเข้าใจว่า. สังขารที่มีวิญญาณครองสิง. กับสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองสิง. มีสภาวะเดียวกัน. ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้. แปลว่า "เราเข้าใจในธรรม". เมื่อเห็นของภายนอก. ก็คือเห็นของภายใน. เมื่อเห็นของภายใน ก็คือเห็นของภายนอก. เพราะมันเหมือนกัน.
ถ้าหากเราเข้าใจอย่างนี้. แปลว่า "เราได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า".ถ้าเข้าใจอย่างนี้. "พุทธภาวะ". หรือ "ผู้รู้". มันตั้งขึ้นมาแล้ว. มันรู้แล้ว รู้อาการภายนอก. รู้อาการภายใน. เราจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม. ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าทรงเทศน์โปรดเราตลอดเวลา. เราได้ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าอยู่เสมอ.
พระพุทธเจ้าก็คือ "ผู้รู้" ที่อยู่ในใจเรานี้แหละ. "พุทธภาวะ" คือ "ตัวผู้รู้". ตัวนี้แหละจะพาเราพิจารณาธรรมทั้งหลาย.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"เจโต"
"อะไรไม่เอาทั้งนั้น" ไม่ต้องคิดลึกอะไรมากมาย. ดิ่งลงไปหาความสงบสุขอย่างเดียว. ทิ้งไปเฉย ๆ. ไม่ต้องมีเหตุมีผล. ทิ้งทั้งนั้น. จนเข้าไปถึง "เอกัคตารมณ์. เอกัคตาจิต" จนถึง "จิตเดิมแท้"
(สู่แดนพระนิพพาน)