พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 1 ตุลาคม 2560
ตอนที่ 190 **อานาปานสติ แบบที่ ๒**
+ +
ในเช้าของวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 29 แบบที่ 2* ว่าเราจะมีการปฏิบัติในแบบที่ 2* นี้ ยังไง ในการดูลมหายใจเข้า-ออก น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
เอาละนะ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็ตั้งใจฟังให้ดี น้อมปฏิบัติตามนะลูก
การที่เรานั้นจะฝึกฝนกรรมฐาน - โดยการดูลมหายใจเข้า - ออก
นั่นก็หมายความว่า.. ให้เราเอาจิตของเรา ตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับ ลมหายใจเข้า - ลมหายใจออกของเรา
โดยที่จิตของเรานั้น.. จะไม่สนใจสิ่งอื่นใด
นอกจาก ลมหายใจเข้า - และลมหายใจออกของเรา เท่านั้น !
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เราต้องควบคุมอารมณ์ของเรา ให้อยู่กับลมหายใจเข้า - ลมหายใจออก
ลูกเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น เมื่อเข้าใจแล้ว.. ก็ลองทำดู
หลับตาให้สบาย ผ่อนคลายร่างกายของเรา -ให้สงบ
ค่อยๆปล่อย ค่อยๆวาง ทิ้งกายไป..
ค่อยๆปล่อย ค่อยๆวาง ทิ้งความคิดต่างๆไว้..
แล้วเราก็เอาความรู้สึก ความจำ ความนึกคิดของเรา.. มารวมพลังเอาไว้ ที่ตรงจมูกของเรา
หายใจเข้า - สัมผัสกับลมที่หายใจเข้าไป
ลึกเข้าไปสู่ในท้อง / ในศูนย์กลางกาย
- เราค่อยดูความละเอียดอ่อน ของลมที่เข้าไปสู่ในท้อง..
หายใจออก.. เราก็คอยจับดูคลื่นลม ที่หายใจออกมาจากท้องของเรา
หายใจเข้า.. เราก็เฝ้าดูมัน ว่ามันมีการหายใจเข้าแบบไหน ?
ลมค่อยๆวิ่งผ่านจมูกของเรา.. ขึ้นไป
แล้วก็ลงสู่ตรงลำคอ - สู่ในท้องของเรา
อาจจะเห็นว่า เป็นเช่นนี้..
ผ่านจมูก ผ่านคอ ผ่านตัวของเรา.. เข้าสู่ในท้อง
ลมก็ค่อยๆผ่อน เบา.. คลาย
เป็นคลื่นพลังของลม ที่ไปดันสู่ร่างกายของเรา
ลมหายใจเข้า สูดลมหายใจเข้าไป - เราก็ดูความละเอียดอ่อนของลมนั้น ที่มันเข้าไปในตัวของเรา
หายใจออก - เราก็ดูลมนั้น..ไปเรื่อยๆ
พระยาธรรมเอย.. ของทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีความละเอียดอ่อน ที่ซ่อนอยู่ในตัวของมันลูก
แม้แต่แค่ลมหายใจเข้า - ลมหายใจออก
คลื่นกระแสของลม ที่เราหายใจเข้าไป - หายใจออกมานั้น..
หากว่าเราตั้งมั่น อยู่กับลมหายใจเข้า - หายใจออกนี้
จนจิตนั้น.. เกิดพลังของฌานสมาธิขึ้นมา
.. เราก็จะสามารถ เห็นความละเอียดอ่อนที่อยู่ในลมนี้ได้ ลูก
หายใจเข้า - หายใจออก ทำไปเรื่อยๆ...
จนเรารู้สึกว่า.. ในท้องของเรานั้น มีลมเต็มอยู่ในท้อง
ตัวของเราเริ่มโยก เบา.. สบาย
-- เราก็ยังคงดูลมหายใจเข้า - ดูลมหายใจออก.. อยู่อย่างนั้น
อาจจะเลือกคำบริกรรม คำใดคำหนึ่ง ขึ้นมาใช้ในตอนที่เรา หายใจเข้า - หายใจออก
อย่างบางสำนัก ก็อาจจะใช้ *พองหนอ ยุบหนอ*
หรือว่า *พุทโธ* หรือว่า *สัมมา อรหัง*
เช่นของ สัมมาสัมพุทธะ - ก็อาจจะใช้
*สัมมาสัมพุทธะ ปัจฉิมาสัมพุทธะ*
เป็นคำบริกรรม ควบคุมลมหายใจเข้า - หายใจออก ของเรา
เราก็อาจจะเลือกคำบริกรรม ที่เราถนัด
.. แล้วก็ดูลมนั้นไปเรื่อยๆ ลูก
ถ้าเราเพิ่งฝึกทำ - เราก็อาจจะทำนานหน่อย.. กว่าจะรวมพลังของลมได้
ถ้าเราทำบ่อยๆ เป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว.. เราก็จะสามารถรวมพลังของลมได้ไว
และเข้าสู่ฌานได้.. อย่างว่องไว
ทีนี้ เราทำไป ฝึกไปนะลูก…
หายใจเข้า - ดูลมเข้า หายใจออก - ดูลมออก
หายใจเข้า หายใจออก
หายใจเข้า หายใจออก
ดูลมเช่นนี้.. จนเรารู้สึกสัมผัสถึงคลื่น ของลมที่เบาสบาย / ของลมที่สว่างไสว
รู้สึกรับคลื่นพลังของลมนั้นได้.. จนรู้สึกว่า กายของเรานั้น - ไม่มี
- ตัวของเรานั้น มีแต่.. ความเบา ความว่าง ความโล่ง -
ลมนั้น ออกตามรูขุมขนของเรา / ตามกายของเรา แต่ละจุด
จนรู้สึกว่า ลมภายนอก กับลมภายใน.. เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะลืมไปแล้ว ว่า.. เราหายใจอยู่ หรือว่าไม่หายใจแล้ว
เพราะลมภายนอก และลมภายใน - มันสามารถที่จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว ได้แล้ว
เมื่อถึงตอนนั้น.. เราก็เบา สบาย อยู่ในความละเอียดอ่อนของลม
จิตของเราตั้งมั่น อยู่ในความละเอียดอ่อนของลมนั้น ไปเรื่อยๆ
- โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด !
ตอนนี้ เราก็ทรงกำลังฌานได้มากแล้ว ลึกเข้าไปในฌานแล้ว
แล้วก็อยู่กับลม อย่างนั้นละลูก
อยู่อย่างนั้น.. ไม่คิด ไม่สนใจสิ่งใด !
เบา และสบาย เหมือนคล้ายกับว่า..
เราอาศัยลมหายใจเข้า - ลมหายใจออกของเรานี้..
.. นำพาดวงจิตของเรา - เข้าไปสู่พลังแห่งลม / หรือพลังแห่งธาตุลม
และย่อมแน่นอนว่า ธาตุลมนั้น.. ก็จะเกิดคลื่นพลังแห่งความเบา ความว่าง และความโล่ง
ธาตุลม นำพาให้เราเข้าไปสู่คลื่นพลังงานของธาตุลม จนสลายตัวของเรา คือ กายหยาบออก
สลายตัวของเรา จนตัวของเรานั้นเข้าไปสัมผัสอยู่แต่กับลม
เหมือนคล้ายกับว่า เราไปอยู่ในโลกที่มีแต่ลม.. เย็นสบาย
ไม่จด ไม่จำ ไม่นึก ไม่คิดถึงสิ่งใดทั้งนั้นแล้ว..
ทรงกำลังไว้เช่นนั้น ล่ะลูก
ทำอย่างนี้ เช่นนี้..ไปเรื่อยๆ
แล้วลูกฝึกบ่อยๆ.. ลูกก็จะสามารถเข้าสู่ฌาน ได้อย่างว่องไว
-- ฝึกทำเช่นนี้ ปฏิบัติเช่นนี้ ผลที่ดี - ย่อมก่อเกิดแก่ลูก ++
การที่เรานั้น ดูลมหายใจเข้า -ออก เป็นอารมณ์
เราสามารถที่จะทำในแบบที่ 1 ที่ได้สอนได้กล่าวไปแล้ว - ในคลิปที่ผ่านมา
หรือว่าจะทำในแบบที่ 2 นี้..
เราสามารถเลือกที่จะทำตามที่เราถนัด และทำได้ตรงกับจริตของเรา
เราก็ลองฝึกดูไป.. นะลูกนะ
ค่อยฝึกดูลมไปเรื่อยๆ ก็ไม่ยากอะไรหรอก.. ลูกเอ๋ย
การทำสมาธิ ก็คือ *รวมจิตให้ตั้งมั่น*
การที่เราหยิบเอา กรรมฐานกองใดที่มาทำ ก็คือ ให้จิตเราตั้งมั่นอยู่กับสิ่งนั้น
ให้เราอยู่กับลม ให้ลมพาเราเข้าสู่ฌาน.. ทิ้งทุกอย่างเอาไว้
-- เท่านั้นละลูก.. เราก็สามารถที่จะฝึกฝนตนได้แล้ว...
เริ่มต้นด้วยการ ปรับจิตปรับใจของเราให้เบาสบาย
บอกตัวของเราว่า.. ให้อยู่กับลมหายใจเข้า - หายใจออก
รวมพลังของลมเข้า ลมออก.. จนท้องของเรานั้น เต็มไปด้วยลม
กายของเรานั้น เริ่มเบา และสบาย
ลมนั้น เต็มในกายของเรา ..จนลมเหล่านั้น วิ่งออกตามรูขุมขนของเรา
ไปรวมกับลมภายนอก
ภายในและภายนอก.. วิ่งผ่านเข้าหากันได้
ตัวเราก็จะสลายไป เหลือเพียงแต่ความรู้สึก -ที่อยู่กับความเบา ความสบาย
อยู่ในโลกแห่งลมนั้น..
-- แล้วเรา ก็จะเจอกับคลื่นของความสงบสุข ในความละเอียดอ่อนของลมนั้น...
ทำเช่นนี้ละ พระยาธรรม.. การส่งจิตของเรา ให้ไปพักผ่อน อยู่ในพลังงานของลม หรือว่าฌานของลม เพื่อที่จะ..
/ ให้จิตของเรา ห่างไกลจากกิเลสตัณหา
/ ให้เราหยุดหลงชั่วคราว หยุดโลภ หยุดรัก หยุดโกรธ ชั่วคราว
/ ให้เราหยุดฟุ้งซ่าน หยุดยึดถือในตัวในตน / ในกาย / ในสิ่งของต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกาย
/ ให้จิตของเราปล่อยวาง และละจากทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปก่อน
ฝึกชั่วคราว / ฝึกบ่อยๆ.. จะทำให้จิตของเรา เห็นแจ้งตามความเป็นจริงว่า..
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น.. เป็นของไม่เที่ยงแท้
- ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
- ไม่ใช่ของของตน
แม้กายนี้.. ก็มีแต่ธาตุลม ที่วิ่งเข้า-วิ่งออก หล่อเลี้ยงเอาไว้
ธาตุลมของเรานั้น..หยุดเดินเมื่อไร - กายนี้ก็สลายไป
กายของเรา สลายไปกับลมได้ อย่างที่เราทำนี้
และเมื่อไรก็ตามที่หมดเวลาที่เราจะอยู่ในโลกนี้แล้ว.. กายของเรา สลายไปตามลม
คลื่นลมดับในกาย - ไม่หล่อเลี้ยงกายแล้ว
- กายสลายไป - ทุกอย่าง ก็สลายตาม ++
ฉะนั้น..
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะยึดติด ลุ่มหลงในกายนี้
ไม่มีเหตุผลอะไร ที่ต้องมาดิ้นรน ขวนขวาย ..
ให้ได้รัก ได้โลภ ได้โกรธ ได้หลง
ให้ได้คนนั้นมาครอบครอง
ให้ได้สิ่งนั้นมาครอบครอง
ได้แล้ว ก็โลภ.. อยากจะให้ได้มากกว่านี้อีก
ได้มาแล้วไม่สมอารมณ์หมาย หรือว่าต้องสูญเสียไป - ก็ต้องมาโกรธ โมโห สร้างกรรมเบียดเบียนตนและผู้อื่น
ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่เราจะต้องทำเช่นนั้น !
.. ทุกสิ่งทุกอย่าง - มันเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งนั้นเลย …
ทำไป - ก็โง่หนอ
ทำไป - ก็หลงหนอ
หลงยึดตัวยึดตน ยึดกายนี้ ทั้งที่มันเป็นแค่ของจะเสื่อม จะเน่าไป
มันเป็นแค่ของ ที่ธาตุลมหล่อเลี้ยงมันเอาไว้
ท้ายที่สุด.. ก็เสื่อมสลายเข้าสู่ลม กลับสู่ลม.. เช่นนี้ละ
มีสิ่งใดเล่าเป็นของเรา - ไม่มีเลยสักสิ่งสักอย่าง..
ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน - เราก็สลายไป
/ สิ่งของ ข้าวของ คำพูดที่ดี หรือว่า ไม่ดี
/ ลาภ ยศ สรรเสริญ
/ บุคคลที่รักทั้งหลาย..
-- ย่อมเสื่อมสลาย ไปกับลมทั้งนั้น …
เมื่อเราทำกรรมฐานอยู่บ่อยๆ จนจิตของเราเกิดเป็นกำลังของสมาธิขึ้นมา
เมื่อจิตของเรา - เป็นกำลังของสมาธิขึ้นมา
... เราก็จะเป็นผู้รู้แจ้ง เข้าใจตามความเป็นจริง เช่นนี้ละ..พระยาธรรม
เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้ง ขนาดนี้แล้ว.. ความลุ่มหลง - ย่อมไม่มีในเรา
การพ้นทุกข์ การดับการเกิด - ย่อมมีในเรา
พระยาธรรมเอย.. ฝึกเช่นนี้ละลูก ไม่ยากอะไร - ฝึกทำให้ได้ ++
ได้แล้ว.. ก็เอากำลังที่ได้ ที่มีนั้น - กลับมาพิจารณาให้รู้แจ้ง ตามความเป็นจริง
ในสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป..
-- เมื่อลูกทำจนครบในสิ่งที่กล่าวมานี้.. การเกิดไม่มีในลูกอีก เป็นแน่แท้ --
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้เข้าใจ
น้อมไปปฏิบัติตาม
ลูกเข้าถึงธรรมที่ได้สั่งสอน.. จนลูกเห็นกายของมนุษย์นั้น
เกิดเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นสิ่งที่ไม่สวยงาม และไม่เที่ยงแท้
ดับความลุ่มหลงในร่างกายของเราทุกคนได้แล้ว.. ในช่วงเวลาสั้นๆ
ลูกจะฝึกฝนให้เห็นเช่นนี้ตลอดเวลา..
ลูกจะได้ดับการเกิดของตน และชี้ทางให้กับผู้อื่นได้.. เจ้าค่ะ
สาธุ