สตินั่น อบรมจิต
ครั้นอบรมจนขั้นจิตรู้...เท่าตามความเป็นจริงแล้ว
มันจะหายความหลง พบความสว่าง
ความหลงนั้นก็คือ...ไม่มีสติ
ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนแน่วแน่แล้ว
ให้มันแม่นยำ
ให้มันสำเหนียกแล้ว
มัน จะรู้แจ้งทุกสิ่ง ทุกอย่าง
สติ...แก่กล้า
จิต ย่อมทนไม่ได้ เมื่อ...ทนไม่ได้ ก็สงบลง
ครั้นสงบลงแล้ว มัน...ก็รู้
เดี๋ยวนี้ มันไม่มีปัญญา มันก็ส่ายไป - มา
เพราะ มันไปหลายทาง
จิต...ไปหลายทางเพราะเป็นอาการ ของมัน
เมื่อผู้วางภาระ คือ...ว่าง
ไม่ยึดถือว่า ขันธ์ ๕ นี้ เป็นตัว เป็นตนแล้ว
ไม่ยึดถือแล้ว...ปลง
เป็น...ผู้วางภาระ ก็มีความสุข
จะยืน เดิน นั่ง ก็มีความสุข
ไม่ยึดถือ...
เพราะ...รู้ตามความเป็นจริง ของมันเเล้ว."
(หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล)
" สตินี่...ทำให้มันมีกำลังดีแล้ว
จิต...มันจึงจะล่วง เพราะสติ...คุ้มครองจิต
ตัวสติ...ก็คือ จิตนั่นแหละ
แต่ว่า...ลุ่มลึกกว่า
คนเรามันเมายา เมาในสังสารวัฏ
ปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น คนเราถ้ารู้สึกตัว
ตื่นออกมาจากโลกของความคิดแล้ว
มาสัมผัสกับความเป็นจริงของโลก
จะมองอะไรๆ ต่างจากคนอื่นเยอะ
แต่ก็ไม่ไปขัดผู้อื่น เพราะเข้าใจว่า
คนเราต่างก็วิ่งไปตามความคิด
ความปรุงแต่งของแต่ละคน
แต่ละคนก็มัวเมาอยู่กับมายาจิต
มายาที่แต่ละคนร่วมกันสร้างขึ้น
การที่จะรู้สึกตัวตื่นขึ้นนั้น
ขั้นแรกก็ให้รู้สึกตัวให้เป็น ไหลไปคิดแล้วรู้สึกๆ
ไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้รู้สึกๆเรื่อยๆ
เมื่อจิตตื่นขึ้นเราจะเข้าใจเอง
เข้าใจตัวเองมากขึ้น
เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น
จนถึงจุดที่เข้าใจว่า
ไม่มีสิ่งใดๆ ที่ควรยึดถือ
ว่าเป็นเรา เป็นเขาเลย
เมื่อนั้นแหละ จึงสร่างเมา
🔆ธาตุรู้แท้🔆
👩🦳โยม : น้อมกราบนมัสการองค์หลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพสูงสุด
ไฟล์เสียง 200328B-1 ไม่มีตัวเราไปถึงนิพพาน
เสียงธรรมหลวงตามาพร้อมแสงเลเซอร์ทำให้เกิดปัญญา หายโง่ไปบ้างจากที่เคย
จะพิจารณากายต่อไปดี หรือจะพิจารณาจิตดีหรือทั้งกายทั้งจิตดี
รู้เห็นว่า แอบแฝงเพื่อตัวเราจะได้นิพพาน ซึ่งตัวเราขวางนิพพานอยู่ จึงพิจารณาหาตัวตนของเราในขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทุกขันธ์เป็นสังขารทั้งนั้น ล้วนเกิดดับ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณากายก็ไม่มีตัวเราอยู่ในส่วนไหนเลย พิจารณาจิต เห็นผู้รู้ รู้เท่าทันผู้รู้ตัวปลอมไปเรื่อย ๆ ก็พบใจที่บริสุทธิ์หรือธาตุรู้
พบใจ... พบธรรม
ถึงใจ... ถึงนิพพาน
อยู่กับรู้เรา รู้... รู้... รู้ ...ไม่มีเรานิพพาน ไม่มีเราไม่นิพพาน ก็สักแต่ว่า รู้... รู้... รู้ แต่ถ้ามีสงสัย เรานิพพาน หรือเราไม่นิพพาน ก็เป็นนิพพานปลอม
กราบขอคำชี้แนะจากหลวงตาด้วยเจ้าค่ะ
~~~~~~~~~~~~~~~
☀️หลวงตา : “ผู้รู้แท้” หรือ “วิญญาณธาตุ” เป็นธาตุตามธรรมชาติ เหมือนกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ (ความว่าง) แต่ธาตุอื่นเหล่านั้นไม่มีความรู้เหมือนกับธาตุรู้
“ธาตุรู้แท้” หรือ “วิญญาณธาตุ” ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ไม่ได้เป็นของใคร หรือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ไม่ใช่เป็นของเรา ไม่ใช่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา
***** จึงไม่ใช่เราว่างเปล่า หรือ เราถึงความว่าง
“ธาตุรู้แท้” เป็นเหมือนกับความว่างของอากาศ แต่ความว่างของอากาศ หรือ ความว่างของอวกาศ ไม่มีความรู้
ส่วน "ธาตุรู้แท้" แม้มีคุณสมบัติเป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติ แต่เป็นความว่างที่มีความรู้ ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ ไม่มีความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง ไม่มีการเกิดดับ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่ง ไม่ปรากฏอาการของผู้รู้ ไม่มีจุด ต่อม ที่ตั้ง ที่หมายของผู้รู้
***** เราไม่อาจเอาสังขารหรือตัวเรา ซึ่งเป็นสมมุติ ไปค้นหา ธาตุรู้แท้ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ ซึ่งมีชื่อสมมุติว่า "นิพพาน" ได้
เพราะธาตุรู้แท้ ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ ไม่มีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ใด ไม่มีอะไรปรากฏให้ถูกรู้ได้ด้วยอายตนะภายใน
***** จะพบธาตุรู้แท้ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ได้ มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น ต้องสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นสังขาร หรือ ขันธ์ห้า หรือ ร่างกายและจิตใจ ว่าเป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ก็จะไม่หลงมีตัวเราไปยึดถือคนอื่นหรือสิ่งอื่น (รวมทั้งสังขาร และ วิสังขาร) มาเป็นของเราด้วยความยึดมั่นถือมั่น
***** ขณะจิตใดในปัจจุบันขณะที่สิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็จะพบธาตุรู้แท้ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ นิพพานธาตุ
***** อันที่จริง ทั้งสังขาร และ วิสังขารเขาก็มีอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะหลงสังขาร จึงหลงเอาสังขารมาคิดปรุงแต่งยึดถือสังขาร และ วิสังขาร ด้วยความหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
***** สิ่งใดที่มีอยู่ เขาก็คงมีอยู่อย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาโดยธรรมชาติธรรมดาของเขาอย่างนั้น ถ้าไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่มีกิเลส ไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
***** สิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏให้ถูกรู้ได้ด้วยอายตนะ เขาก็เป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และ ไม่ได้เป็นของเรา ถ้าไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่มีกิเลส ไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
***** แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่โดยมากจะปฏิบัติด้วยความยึดมั่นถือมั่น หลงเอาตัวเราเป็นผู้ปฏิบัติ ผู้พยายามเพื่อให้ต้วเราได้รับผลประโยชน์
ไม่ได้ "ปล่อยวาง" ให้สิ่งที่มี (สังขาร) ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา ทรัพย์สิน สิ่งใด ๆ ทั้งหมด และ “วิสังขาร” คือ สิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏให้ถูกรับรู้ได้ ก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น แต่เห็นว่า “สังขาร” ทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ส่วน “วิสังขาร” เป็นอนัตตา ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นมาเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา จนเป็นทุกข์
หากปล่อยวางให้สังขาร และ วิสังขาร เขาเป็นธรรมชาติอย่างที่เขาเป็น ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ผู้ทุกข์ก็ไม่มี เรียกว่า “นิพพาน”
ดังนั้น “นิพพาน” จึงไม่ใช่สภาวะที่ว่างเปล่า หรือ สภาวะอะไรที่คาดหมายไว้ แล้วมีตัวเราไปเอา ไปได้ ไปถึง เอามาเป็นของเรา
แต่ “นิพพาน” เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือ ปล่อยวางทั้งสังขารและวิสังขาร ให้เขาเป็นธรรมชาติอย่างที่เขาเป็น
เมื่อมีความเป็นอยู่ด้วยความไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ก็สิ้นความดิ้นรนทะยานอยาก สิ้นสงสัย สิ้นกังวล สิ้นผู้ทุกข์ (นิพพาน)
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
การภาวนานั้น คือ วิถีชีวิตสำหรับผู้มุ่งสู่ความพ้นทุกข์
ต้องรู้จักมีวินัยในตัวเอง รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรอย่างไร
กาลใดควรเว้น กาลใดต้องข่มก็ต้องข่มเมื่อจำเป็น
ไม่ใช่จะปล่อยไปอย่างเสรีตลอด
เพราะส่วนมากก็จะไหลไปกับความเคยชินเก่าๆ
โดยไม่รู้ตัว ในบางคราวก็ต้องอดทน
ต่อความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามา
อดทนเพื่อผลที่ถูกที่ควร แต่สิ่งที่จะขาดไม่ได้
คือ การที่เราสามารถนำจิตให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ
ทั้งผิดทั้งถูก เรียนรู้เพื่อเห็นความจริงของชีวิต
เห็นว่าทุกๆ สรรพสิ่ง ทุกๆ ความรู้สึก
ทุกๆสภาวธรรมที่ปรากฏนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าเอาน่าเป็น
เห็นเป็นของสูญจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน
เราต้องวางความเห็นไว้อย่างนี้
แล้วจึงมุ่งไปดำเนินตามมรรคให้สุดใจ
🎈ดำเนินวิปัสสนาปล่อยวาง🎈
การที่เราจะดำเนินวิปัสสนาปล่อยวาง คือ เราจะต้องมีความสามารถสังเกตเห็นความจริงด้วย “ใจสงบ” จริง ๆ
“สงบ” ไม่ได้หมายความว่าไปทำใจนิ่ง ๆ คือสังเกตอยู่เงียบ ๆ ได้จริง ๆ เห็นอาการของจิตตั้งแต่หยาบ ปานกลาง ละเอียด จนถึงขั้นปรมาณู
เห็นว่า... เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจาก “ความไม่มีอะไร” แล้วก็กลับไปสู่ “ความไม่มีอะไร” หายไปในสิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏ แล้วก็เกิดขึ้นใหม่อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีใครไปยึดถือ “สิ่งที่ปรากฏ” นั้นที่เรียกว่า “สังขาร” และไม่มีใครไปยึดถือ “ความไม่ปรากฏ”
แต่ตอนที่สังเกตใหม่ ๆ มันจะมีสาม คือ มันมีปฏิกิริยา ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ละเอียดเล็กน้อยที่สุดเหมือนกับปรมาณูเลย เรียกว่า “สังขาร” เกิดดับอยู่ใน “วิสังขาร” คือ ความไม่มีอะไรปรากฏ แต่มันเกินมาอีกอันหนึ่ง มันไม่ได้มีแค่สังขาร วิสังขาร มันมี “ตัวเรา” เป็นคนไปมอง
พอเราสังเกตละเอียดจริง ๆ เราถึงรู้ว่ามันมี “ตัวเรา” เกินธรรมชาติขึ้นมา เพราะมันปรากฏ “ตัวเรา” ผู้มองดู ผู้ไปสังเกต แล้วมีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจด้วยนะ นี่คือสังขารทั้งหมดเลย เหมาให้มันเป็นสังขารทั้งแท่ง
เมื่อรู้เห็นว่าอะไรก็เป็นสังขารทั้งหมด อะไรก็สังขารหมดเลย ผู้ที่เห็นว่าทุกอย่างเป็นสังขารหมด แม้แต่ตัวผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้ปล่อยวาง ยังเป็นสังขารเลย ผู้ที่รู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว... ที่รู้แก่ใจอย่างนี้ มันเป็น “วิสังขาร” อัตโนมัติ มันเกิดขึ้นมาพร้อมกันกับสังขารนั้น ไม่ต้องย้อนกลับไปหามันอีก
พอมา “เห็นตัวเรา” สุดท้ายก็ปล่อยให้ “ตัวเราเป็นสังขารไปโดยอิสระ” สังขารเอง เกิดเอง ดับเอง อย่างอิสระ... เป็นอิสระจริง ๆ ไม่มีใครมารองรับ
เพราะฉะนั้น ตัวเราอยากจะสังขารอะไรก็ได้ แต่มัน “ไม่ใช่ตัวเรา” มันเหมือนกับ “ใจ” มันรู้แก่ใจว่า มันไม่สังขารแล้ว สังขารทั้งหมดไม่ใช่มัน และมันรู้ว่าสังขารเป็นทุกข์ เพราะมันเคลื่อนไหวได้ เกิดดับได้ หาเรื่องวุ่นวายได้
ความไม่เกิดไม่ดับ ไม่สังขารใด ๆ มันไม่มีความทุกข์ในนั้นเลย ไม่มีอะไรในนั้นเลย ไม่มีสมมุติบัญญัติ ไม่มีอะไรเรียกชื่อในนั้น มันไม่มีชื่อเรียกว่า “สมมุติ” หรือเรียกว่า “วิมุตติ” ไม่มีชื่อเรียกว่า “อวิชชา” หรือเรียกว่า “วิชชา” มันไม่มีชื่อเรียกว่าอะไรเลย แต่มันรู้แก่ใจว่ามันไม่สังขารแล้ว สังขารคงมีอยู่แต่มันไม่สังขาร แล้วมันรู้ว่าสังขารมีอยู่จนกว่าจะสิ้นอายุขัยก็ดับไป แต่ถ้าเป็นสิ่งนี้แล้วพ้นทุกข์ตลอดกาล มันรู้เลยแก่ใจไม่ต้องถามใคร เพราะว่า... เมื่อมันไม่สังขาร มันก็พ้นจากทุกข์
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรดับไป
สังขารทั้งหมดเป็นทุกข์ สังขารเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สังขารจึงเป็นทุกข์
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า มีแต่ “สังขาร” เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ “สังขาร” เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ “สังขาร” เท่านั้นที่ดับไป นอกจากสังขารแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรตั้งอยู่ ไม่มีอะไรดับไป และนอกจากสังขาร หรือพ้นจากสังขารแล้ว นั่นแหละคือพ้นทุกข์
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (“สังขาร”) ตกอยู่ภายใต้กฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องเป็นทุกข์
“พ้นสังขาร”แล้วจึง “พ้นทุกข์” ตลอดกาล และโดยถาวรสิ้นเชิง อย่างเป็นอมตะตลอดกาล ชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องถามใคร”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
เรื่องการรู้แจ้ง เป็นเรื่องของจิตภายใน...
ส่วนจิตนอกที่ใช้อยู่เป็นสภาวะปถุชน(จิตนอก,จิตทั่วไป ,มีเกิดดับ,มีเปลี่ยนแปลง,เอาอะไรแน่นอนไม่ได้) จิตตัวนี้ พระพุทธองค์ใช้ตัวรู้..เพื่อเข้าถึง(ทะลุ,บรรลุ)สู่จิตเดิมแท้ภายใน..
การเข้าถึงจิตใน(จิตเดิมแท้) ก็ด้วยหมั่นมีสติรู้ตัวค่ะ.. ทำอะไรให้จิตข้างในได้ทำด้วย อยู่กับจิตภายในบ่อยๆ ให้มากที่สุด..เมื่ออยู่ไปนานๆ จะเกิดญาณรู้ที่เป็นธรรมชาติเกิดขึ้นค่ะ.. ญาณรู้ก็คือ การรู้แจ้ง..จะค่อยๆ มีเพิ่มมากขึ้นตามลำดับค่ะ..
เรื่องทั้งหมดคือไม่มีเรื่อง ที่สุด คือไม่ได้อะไรเลย คืนไป(รู้ความจริง) เลยไม่เคยเป็น ไม่เคยมี อยู่ลอยๆ
#สุขหรือทุกข์เป็นอาการ แต่เราไปยึดเอามาเป็นเจ้าของ
... รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี้เป็นโลกีย์ ถ้าเป็นโลกุตตระแล้ว รูปไม่มี เสียงไม่มี กลื่นไม่มี รสไม่มี โผฎฐัพพะไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มี เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นเท่านั้น แล้วก็หายไป ไม่มีอะไร เมื่อไม่มีอะไร ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี
เมื่อตัวเราไม่มี ของเราก็ไม่มี ตัวเขาไม่มี ของเขาก็ไม่มี ความดับทุกข์นั้นเป็นไปในทำนองนี้ คือ ไม่มีใครจะไปรับเอาทุกข์ แล้วใครจะเป็นทุกข์ ไม่มีใครไปรับเอาสุข แล้วใครจะเป็นสุข
นี่! พอทุกข์เข้า ก็เรียกว่าเราทุกข์ เพราะเราไปเป็นเจ้าของมันก็ทุกข์ สุขเกิดขึ้นมา เราก็ไปเป็นเจ้าของสุข มันก็สุข ก็เลยยึดมั่นถือมั่น อันนั้นแหละ เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา ขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวไปอีก ไม่จบ .
"หลวงปู่ชา สุภทฺโท"
ตั้งผู้รู้ขึ้นนะ ตั้งสตินะ
รู้กับเดี๋ยวนี้ รู้กับขณะนี้
แล้วดูความเปลี่ยนแปลงในใจ
ดูคำบริกรรม อย่าทิ้งบริกรรม
ตั้งสติดูคำบริกรรม เมื่อมันขาดสติไปหาคำอื่นๆ
ตั้งสติแล้วดึงกลับมา เลิกเป็นกรรมฐานเป็ด
เลิกเป็นกรรมลอย ลอยไปหาคำนั้น ลอยไปหาวิธีนี้
ให้มั่นใจในเส้นทางที่ครูบาอาจารย์นำพาพวกเราเดิน
เข้าใจนะ อย่าเป็นกรรมฐานเป็ดนะ
หลวงปู่หา สุภโร
"สติของเราอยู่เป็นอันเดียวกันกับจิต จิตกับสติเป็นอันเดียวกัน สติก็ความรู้สึกตัว จิตก็คือความรู้ มันเป็นอันเดียวกัน
คำว่าวิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา ในเมื่อปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ยังแต่จิตดวงเดียวเท่านั้นนี่ แม้แต่เรานั่งอยู่บางทีไม่รู้ว่าเรานั่ง เดินอยู่บางทีไม่รู้ว่าเราเดิน
คำว่า ไม่รู้ อันนี้ไม่ใช่ไม่มีจิต จิตของเรารู้ที่จิตอยู่อย่างนั้น แต่นั่งไม่รู้ว่าเรานั่ง เดินไป ไม่รู้ว่าเราเดิน แต่ว่าไปได้
*เวลามันแน่วแน่อยู่ในจิตมันถึงขนาดนั้น
ใจของเราจึงเป็นเอกัคคตารมณ์ คือว่าปล่อยวางทั้งหมด ไม่เอาอะไร เอาแต่จิตอันเดียว เรียกว่าเอกัคคตารมณ์หรือเอกัคคตาจิต คือว่ามีจิตดวงเดียวนี้ ปล่อยวางอย่างอื่นทั้งหมด"
ให้จิตใจอยู่กับตัว ให้มีความรู้สึกตัว
จะหลับตา ลืมตา แล เหลียว เหยียด คู้ ให้รู้สึกตัว ตัวนี้เป็นตัวยืนเลย
..
ปัจจุบัน ปัจจุบัน .. ธรรมะ ต้องเอาปัจจุบัน สด ๆ ร้อน ๆ
ของเก่า ไม่ใช่เลย อดีต อนาคต ไม่ใช่
ตัวนี้แหละ คือ ตัวถึง ตัวได้ ตัวจบ รวมกัน เป็นตัวเดียวกัน
..
ตัววิญญาณ ถ้าเราเข้าใจให้ถูก ตัวเขาเอง เกิด - ดับ อยู่แล้ว
แต่ทำไมเราไม่จบ ไม่ดับ , มันจะไปดับได้อย่างไร เพราะเราไปเกิดไม่หยุด
มันก็ต่อไป จากภพนั้น มันก็มาภพนี้
วางมือนี้ มันก็ไปจับอันนั้นต่อ อยู่ตลอด แล้วมันจะไปจบได้อย่างไร
ความจริง วางแล้วไม่จับต่อ มันก็จบ , ตรงนี้ต้อง เข้มแข็ง
ถ้าตรงนี้ไม่ได้ มันก็ไม่ได้ ..
..
ทำไมจึงละไม่ได้ วางไม่ได้ ?
เพราะธรรมฝ่ายดับมันไม่มี มีแต่ธรรมฝ่ายเกิด
อยู่แต่กับธรรมฝ่ายเกิด แล้วมันจะดับได้อย่างไร
และมันก็จำเพาะแค่นี้เอง ไม่ต้องไปหา แสวงหาอะไรให้ยากเลย
ไม่ต้องไปจำแนก แยกแยะอะไร
มันเป็น " ความรู้สึกตัวตรง ๆ เลย" .. อันนี้ มันเสมอ ราบเรียบ เป็นหน้ากลอง
..
พระอาจารย์ประทีป ธีรปัญโญ : วัดป่าหนองม่วง ประโคนชัย บุรีรัมย์
กิเลสไม่อาจหมดไปได้ เพียงเพราะกำลังสมาธิข่มไว้ ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่ต่างจากฤาษี ที่จะต้องบำเพ็ญตน เพื่อกดข่มอาสวะไม่ให้โผล่ออกมาอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจใช้ชีวิตทำการทำงานได้อย่างปกติสุข
สมาธิไม่อาจมีเฉพาะเวลาที่นั่งหลับตา แต่ในชีวิตประจำวันก็จำเป็นจะต้องมีด้วย ไม่อย่างนั้นชีวิตบนโลกมายา ก็จะเผลอไหลไปตามอารมณ์โลกอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง พลั้งพลาด ถูกลากแล้วลากอีก พอทุกข์หนักๆ มีสติรู้ตัวขึ้นมา ก็จะต้องมาตั้งหลักกันใหม่ ตั้งไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบจึงจะเพียงพอ
กิเลสเป็นมายาก็จริงอยู่ แต่หากชีวิตยังอยู่ในมายา จิตใจย่อมถูกทำร้ายจากกิเลสไม่เว้นแต่ละวัน การเจริญปัญญาให้เห็นแจ้งจึงจำเป็น และปัญญาเท่านั้นที่จะดับความหลงลงอย่างถาวรได้
รากเหง้าแห่งอาสวะ ไม่อาจดับได้จากกำลังของตบะเพียงลำพัง ในเมื่อต้นตอมันยังอยู่ ยังไม่ถูกขุดออกมาหมด เมื่อมีน้ำเมามารดมาเติมลงไป หางย่อมงอกขึ้นมาใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ระหว่างที่มายายังไม่ดับลงอย่างเด็ดขาด จึงมีความจำเป็น ที่จะต้องฝากชีวิตให้ศีลช่วยรักษา ยังมีความจำเป็น ที่จะต้องมีสติระลึกรู้ให้ทันท่วงทีอย่างมากๆ ไม่ให้พลาดพลั้ง เผลอทำอะไรนอกลู่นอกทาง
หากกลัวกรรม ก็จงอย่าสร้างกรรมเพิ่ม ในเมื่อมีสติมากพอที่จะไม่สร้างกรรมเพิ่มแล้ว ก็แปลว่าสามารถใช้ความจริงในชีวิต ใช้ความจริงสอนจิต ให้จิตเห็นความจริงที่ยิ่งขึ้นๆ
ความจริงที่จะช่วยประคองชีวิตให้อยู่บนเส้นทางที่ถูกที่ควร และบนเส้นทางนี้เอง เราจะพบความจริงที่จริงแท้ขึ้นเรื่อยๆ ความจริงซึ่งนำสู่ความนิรันดร์ ..
พระพุทธเจ้าท่าน"ละ"ได้ ทั้งสังขารที่เป็นบาป และ สังขารที่เป็นบุญ อารมณ์ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่เป็นอกุศล
ผู้ปฏิบัติธรรมชอบ มีความต้องการ ชอบมีความปราถนา ความต้องการความปรารถนา ถึงจะต้องการปรารถนา ส่วนกุศลส่วนเป็นคุณธรรม แต่ความปราถนานั้น ก็ยังเป็นความปรารถนาอยู่
ให้ละความปรารถนานั้นเสีย ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านให้ละให้ปล่อยวาง ไม่ได้สอนให้แสวงหาอะไรมา "เพิ่มเติม"
คำว่า "ศีล สมาธิ ปัญญา" ก็ไม่ต้อง "หามาเพิ่มเติม" เพียงแต่ "ละบาป ละความชั่ว"
"ศีล"ก็ปรากฏขึ้นที่จิต บาปอย่างหยาบ บาปอย่างกลาง แม้แต่บาปอย่างพรหมณ์ละเอียด ก็ให้ละ ไม่ต้องไป "แสวงหา" ที่ไหน เพราะใจของเรา "เป็นศีล" อยู่แล้ว "สมาธิ" ก็จิตนั่นแหละเป็น ละให้หมด อะไรที่มันคั่งค้างอยู่ในใจ "สิ่งที่เราพอใจ" "สิ่งที่เราปรารถนา" ละให้หมด "สิ่งที่เราชอบใจ" "สิ่งที่เราไม่ชอบใจ" ก็ละให้หมด
"ใจ" ของเรา "ปล่อยวางได้" "ใจ"ของเราก็เป็น "สมาธื" กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิท อุทัจจะ กุกุจจะ วิกิกิจฉา ความลังเลสงสัย สิ่งเหล่านี้ มันสัมพันธ์ มันสัมผัสสัมพันธ์ เกี่ยวพันกัน กับ "ใจ"
"อิฐารมณ์ อนิจฐารมณ์" เขาก็เป็นของ "เกิดดับ" "สังขาร" ทั้งหลายเป็นของ "เกิดดับ" คำว่า "กิเลสตัณหา" ทั้งหลายก็เป็นของ "เกิดดับ"
"เกิดที่จิตดับที่จิต" "เกิดที่จิตดับที่จิต"
หลวงปู่ แบน ธนากโร
< เครื่องมือแก้ปัญหาธรรมให้กับตนเอง >
๑. ขั้นสร้างเครื่องมือ
▪วางรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ไว้เป็นรูปส่วนโค้งของวงกลม ที่จุดศูนย์กลาง ของความโค้งนั้นวางวิญญาณขันธ์เอาไว้
มาทราบส่วนประกอบของขันธ์แต่ละขันธ์ก่อน
▪รูปขันธ์ ก็มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม หรือถ้าเป็นรูปธรรมก็จะประกอบด้วย รูป(ภาพ) เสียง กลิ่น รส สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไหว ตึง เป็นอนัตตาไม่รู้ความหมายในตัวมันเอง ไม่ใช่กิเลส และไม่มีกิเลส เป็นสัจธรรมล้วนๆ
▪เวทนา คืออารมณ์ประกอบด้วย อารมณ์ที่เป็นสุข์ เป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์(เฉยๆ)
▪สัญญา คือความจำเกิดขึ้นในอดีตแต่มาจำได้ในปัจจุบัน มีจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ และจำธรรมมารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดทางใจมีอารมณ์ทางเวทนา ทางสัญญา ทางสังขาร
▪สังขาร คือความคิด ความนึก เป็นอนัตตาไม่ใช่กิเลส และไม่มีกิเลส เป็นสัจธรรมล้วนๆ
▪วิญญาณ คือผู้รู้เราจะเรียกว่าจิตก็ได้
▪มีรู้ทางตา(จักขุวิญญาณ)
▪รู้ทางหู(โสตวิญญาณ )
▪รู้ทางจมูก(ฆานวิญญาณ )
▪รู้ทางลิ้น( ชิวหาวิญญาณ )
▪รู้ทางกาย( กายวิญญาณ )
▪รู้ทางใจ( มโนวิญญาณ )
ผู้รู้นี้ไม่มีกิเลสเพียงแต่รู้เฉยๆ เป็นอนัตตาไม่รู้ความหมายของมันเอง เป็นสัจธรรมล้วนๆ
๒. ขั้นนำเครื่องมือไปใช้
ตั้งเครื่องมือให้เรียบร้อย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วางเป็นรูปครึ่งวงกลม วิญญาณหรือจิตวางอยู่ที่จุดศูนย์กลางของวงกลม
ภาวนาดูลมหายใจเข้ากล่าวคำว่าพุท ลมหายใจออกกล่าวคำว่าโธ สติตามดูจิตที่รับรู้ลมเข้าลมออก ตลอดเวลาโดยเอาลมเข้า ลมออกเป็นหมุดปักหรือเสาหลักปักไว้ให้แน่น เมื่อสติตามดูจิตรับรู้ลมตลอด
▪คำว่าพุทโธหายไปเป็นฌาน ๑. (ไม่รำคาญเสียง)
▪ลมหายใจเบาลง เป็นฌาน ๒.
▪ลมหายใจแทบไม่มีเสียงแทบไม่ได้ยินเป็นฌาน ๓.
▪ไม่รับรู้ลมหายใจและเสียงเลยเป็นฌาน ๔.
เมื่อจิตอยู่ที่ลมหายใจถ้าไม่สงบเป็นสมาธิดังข้างต้น จิตจะออกท่องเที่ยวไปตามขันธ์ต่างๆที่วางเอาไว้เป็นรูปครึ่งวงกลมนั้น ซึ่งเรียกว่าวิญญาณฐิติคือสถานที่ท่องเที่ยวของวิญญาณ ใช้สติตามดูจิตว่าขณะนี้จิตออกจากเสาหลักคือลมหายใจออกไปรับรู้อะไร
▪ถ้าไปรับรู้รูป ก็จะเป็นพวก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ให้สติตามทันว่าเสียงก็คือเสียง ไม่ใช่กิเลส จิตก็คือจิตไม่ใช่กิเลส เมื่อผัสสะรับรู้กันแล้วก็ไม่มีกิเลส แต่เมื่อใดที่เกิดความเพลินในเสียงนั้นเริ่มเกิดกิเลสขึ้นแล้ว สติตามให้ทัน ดังนั้นถ้าสติห้ามไม่ให้เพลินโดยดึงจิตกลับมาอยู่ที่เสาหลักคือลมเข้าลมออกเสีย กิเลสก็ไม่เกิดขึ้น จิตก็จะสงบเป็นสมาธิ
มาดูสายปฏิจจสมุปบาท จิตผัสสะเสียงเกิด > เวทนา อารมณ์เป็นสุข หรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อเกิดเวทนาแล้ว > จิตก็จะชอบใจ/ไม่ชอบใจ นี่แหละคือตัณหา ความอยากเป็นกิเลสล้วนๆ เมื่อมีตัณหาจิตติดในตัณหานั้นเพลินคิด เพลินปรุงฟุ้งซ่านไปสะสมทำให้เกิด > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรา มรณะ ทุกข์
หรือเวลานั่งภาวนาไป เกิดคอเอียง คอหมุน มือกระตุก คันตรงนั้นตรงนี้ แน่นหน้าอก ลมเดินไม่สะดวก ปวดหัว ปวดขมับ ต่างๆนาๆ จิตออกจากลมไปรับรู้อาการเหล่านั้น สติตามรู้ด้วยปัญญาว่า อาการเหล่านั้นไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่อาการเหล่านั้น ต่างอันต่างจริงเป็นสัจธรรมไม่ใช่กิเลส สติเตือนจิตเสมอว่าอย่าเพลิน รู้แล้วทราบแล้วก็กลับมาอยู่ที่ลมเสีย
▪เวทนาขันธ์ ก็เหมือนกันเมื่อนั่งนานๆเจ็บปวดตรงไหน ทุกข์เกิดที่ตรงไหน จิตออกจากลมไปสัมผัสเกิดการรับรู้ขึ้นสติตามไปดูให้ทันจิต เวทนาก็คือเวทนา จิตก็คือจิต ต่างอันต่างจริงเป็นสัจธรรมล้วนๆไม่ใช่กิเลสไม่มีกิเลส ถ้าจิตไปเพลินกับเวทนาแล้วจะเกิดกิเลสขึ้นทันทีจะพาไหลไปหาความตายคือทุกข์ตามสายปฏิจจสมุปบาท ดังนั้นสติดูจิตและเวทนาให้เห็นชัดให้เกิดปัญญาว่าทั้งสองต่างอันต่างจริงไม่ใช่กิเลส จิตก็เป็นจิตผู้รู้ เวทนาก็คือเวทนาผู้เจ็บปวด ต่างอันต่างจริงไม่หลอมรวมกัน สติตามดูจิตรู้ชัดแล้วก็จะถอยออกมา(คือปล่อยวางเวทนา)อยู่ที่เสาหลักสงบหรือไปอยู่ที่ฌานใดฌานหนึ่งก็ได้ หรือถ้าสติห้ามไม่ให้จิตหลงไม่ได้ยังเพลินฟุ้งซ่านอยู่ก็ดึงจิตกลับมาที่ลมเสีย จิตก็จะสงบลงไปเอง
▪สัญญา ก็เช่นกันเวลานั่งภาวนาจำอะไรได้บ้างมาปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน เช่นนิมิตเห็น แสง สี เสียง รูปเทวดา รูปเปรต รูปสัตว์ต่างๆ รูปมัจจุราช มาร โอ้ยมากมาย หรืออารมณ์ต่างๆที่เคยเกิดมาแล้ว พวกนี้จัดอยู่ในสัญญาหมด สัญญาก็คือสัญญาไม่ใช่กิเลส ไม่มีกิเลส จิตที่ออกจากลมไปผัสสะจิตก็คือจิตไม่ใช่กิเลส สติตามดูให้เกิดปัญญา ปล่อยวางสัญญาขันธ์เสียอย่าให้จิตเพลิน เดี๋ยวไหลลงสู่ทุกข์หมด เห็นแล้ว รู้แล้วจะเกิดภาวนามยปัญญาจิตรวมสงบกลับมาที่เสาหลักเป็นปัญญาปัจจัตตัง ถ้าจิตยังเพลินอยู่กับสัญญาเหล่านั้นสติสู้ความเพลินของจิตไม่ไหวก็ดึงมาอยู่ที่ลมก่อนก็ได้เพื่อให้จิตสงบ สติแก่กล้าเมื่อใดค่อยให้จิตออกไปรับรู้สู้กันอีกให้เกิดปัญญาปัจจัตตัง
▪สังขาร ความคิดความนึกก็เช่นเดียวกัน คิดแล้วก็ดับ นึกแล้วก็ดับ เช่นคิดวางแผนทำงาน จิตรับรู้ เมื่อหยุดคิด จิตก็ไม่รับรู้ ต่างอันต่างจริงไม่ใช่กิเลส แต่ถ้าความคิดนึกวางแผนงานจบแล้วจิตยังเพลินปรุงแต่งต่อไปนั้นเป็นกิเลสตัณหาและอุปาทาน ทำให้ไหลลงไปสู่ทุกข์ ดังนั้นสติตามดูพฤติกรรมของจิต อบรมจิตและสั่งสอนจิตตนเองให้เกิดปัญญาอย่าไปหลงสัจธรรม คือขันธ์ ทั้ง ๕ จิตก็จะปล่อยวางขันธ์ทั้ง ๕ ได้ ไม่ติดไม่เพลิน ไม่เกิดอุปาทานขันธ์ สิ้นแล้วแห่งอุปาทานขันธ์ก็คือสิ้นทุกข์นั่นเอง สิ้นทุกข์ก็คือนิพพานนั่นเอง
๓. ตัวอย่างการใช้เครื่องมือ
ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาธรรมให้กับตนเองอีกสักรอบ สมมุติว่าเมื่อคืนเราภาวนาไปเห็นอะไรเกิดขึ้น เช่นเห็นอสุภะ ตับไต ใส้ พุง น่าขยะแขยง สงสัยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป
คุณตาบอกว่าให้ตั้งเครื่องมือ ฉึบลงไปนำจิตเราไปรู้พุทโธลมเข้าลมออก เมื่อจิตส่งออกไปผัสสะอสุภะ อสุภะคืออะไร อสุภะคือรูปสัญญาคือความจำรูปนั่นเอง เมื่อเห็นอสุภะ คุณตาบอกว่า อสุภะไม่ใช่จิต จิตก็ไม่ใช่อสุุภะ ต่างอันต่างจริง เป็นสัจธรรม ไม่ใช่กิเลส ให้สติตามรู้ ระลึกรู้อยู่ด้วยปัญญาว่าเป็นของจริงอันหนึ่ง ที่จิตไม่ต้องเพลินยึดเอามาเป็นตนเป็นตัว เป็นเราเป็นเขา
กายนี้ เป็นของน่าเกลียดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราด้วย น่าขยะแขยง เบื่อหน่ายในกายอันนี้จะเกิดปัญญาภาวนามยปัญญาจิตตัดรูปขันธ์(ราคะ)นั้นเป็นปัจจัตตัง จิตจะรวมมาอยู่ที่เสาหลักในลักษณะของความสงบ แต่ถ้าคืนนั้นจิตไปรู้อสุภะแล้วจิตไปหลงเพลินในอสุภะเกิดเวทนาและตัณหาคือไม่ชอบเกลียด ตามมาด้วยอุปาทาน > ภพ > ชาติ ชรามรณ ทุกข์ พอออกจากสมาธิที่เห็นอสุภะแล้วก็ตัดราคะไม่ได้นะ เพราะไปยึดในอสุภะนั้นอยู่ เห็นสามี ภรรยาก็อยากจะอ้วกไปเหล่านี้เป็นต้น
.....ขออวยพร......
บรรยายธรรมโดยคุณตานิพนธ์ ทอดทอง
คำอธิบาย "สภาวะธรรม" หลวงปู่บุดดา
หลวงปู่เล่าเหตุการณ์ในวันที่ท่านบรรลุธรรมว่า คืนหนึ่งขณะท่านกับหลวงพ่อสงฆ์กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสนี่เอง
จู่ ๆ หลวงปู่บุดดาก็เงียบเสียงไปเฉย ๆนั่งลืมตาค้างอยู่ หลวงปู่สงฆ์ที่นั่งเฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ จึงเอ๋ยถามว่า "เอ๊ะ เป็นอะไรไป"
หลวงปู่บุดดาก็นิ่งเฉยไม่ตอบ เบิกตาโพล่งอยู่อย่างนั้น
หลวงปู่บุดดาท่านได้อธิบายภายหลังว่า ท่านรู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง รู้สึกว่าไม่มีตัวไม่มีตน
เห็นชัดทุกอย่างรอบตัวเป็นปรมัตถธรรมสิ่งสมมติขึ้นมา ทุกอย่างเป็นธรรมหมด ไม่ใช่ของใคร
พระพุทธเจ้าไม่ได้ถือเป็นเจ้าของ พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ
สัพพัญญูพุทธะ ปัจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ มันไม่มีตัวไม่มีตนหรอก
ธรรมต่างหากที่ทรงไว้ คงอยู่ในดวงจิตของตนเอง พูดกันแต่เรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีใครชนะใครหรอก
มันติดอยู่ในสมมติบัญญัติต่างหากล่ะ
โพธิธรรม ๓๗ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ ธรรมอันเกื้อหนุนอริยมรรคได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ทั้งหมดนี้
เป็นสิ่งที่ทำให้หลุดรอดได้ พ้นจากสมมติบัญญัติ หลวงปู่บอกว่า "มีความเข้าใจในธรรมทั้งหมดขึ้นเอง"
หลวงปู่ท่านอธิบายต่อว่า "อายตนะภายนอกกับภายในมันรวมกันได้ มันมี จิต เจตสิก รูป นิพพาน เท่านั้นเอง
เป็นเพียงสมมติบัญญัติเท่านั้นเอง ไม่มีเจ้าของ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็เป็นสมมติบัญญัติขึ้นมา พูดกันไม่รู้เรื่อง
แต่พิจารณาได้ อ่านได้ เข้าใจได้ จนรู้ความเป็นจริง ความเป็นไปของสังขาร
รู้ความเป็นจริงของโลก ก็หมดกัน ไม่มีปัจจัยอะไรส่งให้สัตว์ต้องมาเกิดอีก"
(จากหนังสือ ๑ ศตวรรษ หลวงปู่บุดดา ถาวโร)
ขึ้นต้นให้ดีๆ หลับตา นั่งตัวตรง ๆหลังตรง ๆ ให้มีสติอยู่กับตัว
ดูลมหายใจเข้า-ออก #ดูเฉยๆไม่ต้องคิดอะไร
เหมือนกับดูรถวิ่งตามถนน ดูไป เห็นไป รู้ไป
ว่าลมหายใจเดินไปทางไหน ก็เห็น #รู้ๆไม่ต้องไปคิด
ดูลม เห็นลม เห็นก็ไว ได้ยินก็ไว #เกิดเดี๋ยวนั้นรู้เดี๋ยวนั้นนั่นเรียกว่าวิญญาณคือธรรมชาติรู้
#เห็นธรรมดาได้ยินธรรมดารู้ธรรมดา
เห็นธรรม รู้ธรรม มันก็หายโง่ซิ
พระเวลาสวดงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา
ดี ก็ธรรมดา ไม่ดี ก็ธรรมดา กลาง ๆ ก็ธรรมดา
ก็เหมือนฝ่ายวัตถุมีไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลาง ๆ ทั่วจักรวาลก็เท่านั้นเอง
ร่างกาย วัตถุ #คิดนึกรู้มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที
เรียกว่า #ขันธ์5คือกายใจทั้งหมด
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ #โลกุตรธรรมเห็นก็สักแต่เห็นวางไปไม่ยึดถือ
#ดับความยึดจึงจะไปรอดด้วยสติตัวสติแท้ๆเป็นโลกุตรธรรมเป็นธรรมพ้นโลก
#ตัวโลกุตรธรรมเหมือนไฟฟ้าแลบแปล็บเดียวมันก็เห็นหมดแลบหนเดียวไม่แลบมาก
#เจริญสติหนทางเดียวไปรอดเห็นได้ยินก็สักแต่รู้
#ไม่ไปถามไปตอบอะไรไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา
พระเจ้าไม่มี , #เป็นfactไม่ใช่fiction
เสียงถูกหู ได้ยินปั๊บนี่เป็น fact มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่ก็เป็น fact
#ก็เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาไม่ต้องไปอยาก
ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปหยุด วิญญาณดับไป ๆ หยุดไม่ได้ มันไวมากนะซิ
ไม่มีเรื่องมันก็สบาย จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว
#เหมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้วจะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยังกินหรือเปล่ากินกับอะไร
ไม่ต้องไปคิดแล้ว สำเร็จแล้วนี่จะไปสงสัยอะไร
ถ้ายังสงสัยอยู่มันจะพ้นได้อย่างไร
จุดหมายปลายทางคือทำความโง่ (อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว
#การภาวนาเป็นกุศลสูงสุดเป็นกุศลชั้นเยี่ยม
#ฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิเป็นบุญชั้นเยี่ยมยิ่งกว่าทานและยิ่งกว่าศีล
#พระพุทธเจ้าทรงเรียกอริยทรัพย์แจกเท่าไหร่ไม่หมด
นึกแผ่ไป send good will to all ตั้งแต่ยอดพรหมโลก กว้างขวางแค่ไหนไปจนถึงก้นนรก
ชีวิตมีค่าทุกวัน ทำน้อยได้น้อย ทำมากได้มาก สตินี่ทำได้ทุกระยะ
#รู้นี่สติพร้อมไม่มีทุกข์เป็นบุญพร้อมจิตผ่องใส
จิตก้าวหน้าพร้อม จะไปมีปัญหาในชีวิตได้อย่างไร
จิตอยู่ในพุทธธรรม อยู่ในแสงสว่าง #จิตมุ่งสู่นิพพานธรรมอะไรมันไม่สูงไปกว่านี้หรอก
มีน้อยคนที่จะถึง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ของดีมีไม่มาก
หาเพชรหาง่ายเป็นทะนาน หาคนดีหาไม่ค่อยได้
จะหาแบบหลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว จะไปหาที่ไหนในโลก
..
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต
🎇ไม่มีตัวเราในความไม่มีอะไร ตอนที่ 3 อวิชชาดับไป คงเหลือแต่ "ใจบริสุทธิ์" 🎇
จิตบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์
มันกระดุกกระดิกไม่ได้
ที่กระดุกกระดิกได้ ที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา มันเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน แล้วเราก็ไปยึดตัวนี้มานานหลายภพหลายชาติ
ส่วนที่เป็น "ความบริสุทธิ์" มันกระดุกกระดิกไม่ได้ ไม่ปรากฏอะไรเลย มันปนผสมกันมาตั้งแต่มีจิตเลย
แล้วเราจะพยายาม ไปยึดเอาตัวเรา ไปเป็นความบริสุทธิ์ได้ยังไง เพราะว่า "ความมีตัวเราในความบริสุทธิ์" มันเป็น "อวิชชา" ที่ปลอมปนมาอยู่กับความบริสุทธิ์
ถ้าเรายังจะพยายามเอาตัวเรา ไปยึดเป็นความบริสุทธิ์ ไปยึดจิตบริสุทธิ์ ให้เราไปเป็นใจที่บริสุทธิ์ ไปเป็นความว่าง... เป็นใจนิพพาน ถ้าเราทำแบบนี้ มันก็กลับคืนไปสู่ความไม่บริสุทธิ์อยู่ดี เพราะว่าเรามาพร้อมกับความมีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา ว่า... จิตมันเป็นของเรา
ตั้งแต่เกิดจิต ปุ๊บ! ก็ยึดเป็นเราเลย พอมาปฏิบัติอีกก็จะกลับไปยึดแบบเดิมอีก คือมีตัวเราจะไปยึดความบริสุทธิ์อีก พอมี "ตัวเรา" มันก็กลับไปมีอวิชชาอยู่ในความบริสุทธิ์ ผสมกันไปอีก มันเลยกลายเป็นจิตไม่บริสุทธิ์ หรือธาตุรู้ไม่บริสุทธิ์ เพราะมี "ความเป็นเรา"
ตัวนี้มันมาตั้งแต่จิตแรกแล้ว ที่กำเนิดจิตมา แล้วมีอวิชชาปนมาในความบริสุทธิ์ คือมีเราไปยึดมัน ไปยึดจิตที่มาแรก ๆ แล้วเราปฏิบัติ ยังโง่กลับไปอย่างเดิมอีก กลับไปยึดมันอีก จะเอาความบริสุทธิ์ มาเป็นของเราให้ได้ จะเอาเราไปเป็นความบริสุทธิ์ จะเอาเราไปเป็น "จิตนิพพาน" เป็นใจที่บริสุทธ์ ที่เป็นนิพพาน
มันจะเอาเราไปเป็นนิพพานอีก "เรา" ที่ไปอยู่ในความบริสุทธิ์ มันเลยทำให้ไม่บริสุทธิ์ จึงทำให้ธาตุรู้มันไม่บริสุทธิ์
มันเหมือนทองคำ ความเป็นเราพอไปใส่ผสมอยู่ในทองคำแท้ มันเลยไม่แท้ มันไม่แท้เพราะความเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา มันอยู่ในทองคำแท้ ที่มันแท้ แท้โดยธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าไปทำให้มันแท้ขึ้นมา มันแท้ขึ้นมาเพราะว่า... มันเอาความเป็นเราออกไป ทองคำมันเลยแท้
จิตที่บริสุทธิ์เหมือนทองคำ ไม่ใช่ไปทำให้มันบริสุทธิ์ คือเอาความเป็นเราที่จะไปเป็นเจ้าของมันออกไปแค่นั้นแหละ มันก็กลายเป็นทองที่เป็นจิตแท้เหมือนทองคำแท้ เรียกว่า... "นิพพาน"
แต่เราก็จะไปยึดถือ สิ่งที่มันอยู่กับเราตั้งแต่จิตแรกเลย ความบริสุทธิ์ความที่มันไม่มีตัวเรา มันมากับความมีตัวเรามาตั้งแต่กำเนิดจิตมาเลย
มันเป็นเรานี่แหละ ถ้าพูดตรง ๆ มันก็คือเรานี่แหละ ความบริสุทธิ์กับความไม่บริสุทธิ์น่ะ แต่เราเนี่ยไปยึดมันพอเราเห็นว่า อ้าว... นี่เราไปยึดมัน...แค่นั้นแหละ!! ในภพชาติใด ความเป็นเรา เลยขาดจากมัน มันก็เลยบริสุทธิ์
มันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แต่เราจะยึดมันให้ได้ เราจะเอาตัวเราไปเป็นให้ได้ เอาตัวเราไปหามันให้ได้ พอมีตัวเราไปปน ปุ๊บ! ความโง่มาเลย!!! แล้วโง่มาตั้งแต่ชาติแรก กำเนิดจิตดวงแรกโน่น
เราปฏิบัติก็เพื่อกลับไปสู่ "ความไม่มีอะไร" แล้วความมีอะไร คือ ความมีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา ที่ไปยึดความไม่มีอะไร พอสิ้น "ความมี" มันก็กลับคืนไปสู่ "ความไม่มี"
เพราะว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมาจากความไม่มี มันกำเนิดมาจากความไม่มี...ไม่มีสิ่งนั้นมาแต่แรก... แล้วมีขึ้นมา พอได้ชื่อว่ามีขึ้นมา ปุ๊บ! มันเลยตกอยู่ใต้กฏ "อนิจจัง... ทุกขัง... อนัตตา... " เพราะสิ่งใดมีขึ้นมาเรียกว่า "สังขาร" มันเลยถูกธรรมชาติบังคับ ให้กลับคืนไปสู่ความไม่มีมันดังเดิม
มันจึงเป็นสภาพที่เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เมื่อเราเห็นสัจธรรมความจริงนี้ ใจมันก็เป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากใครยึดมั่นถือมั่นมัน มันเป็นของมันอยู่แล้วในตัวเรา มันมีของมันอยู่แล้ว เราจะไปหามันทำไม ไปยึดมันทำไม จะไปเอามันทำไม จะพยายามไปปรุงแต่งเอามาเป็นของเราทำไม ก็มันเป็น "ใจ" เรานี่เอง
แล้วเราจะอยากได้นิพพาน... กูอยากได้นิพพาน... กูอยากได้นิพพาน... กูอยากได้ใจบริสุทธิ์... ก็มันมีอยู่แล้วในตัวเรา แล้วเราจะไปเอามันที่ไหน เราจะไปหามันที่ไหน กูอยากได้นิพพาน... กูอยากได้นิพพาน... ก็มันใจเรา จะไปหาอะไรที่ไหน
ถ้าพูดได้เขาก็จะด่าว่า... มึงนี่โง่จริง ๆ คือ "อวิชชา" จริง ๆ เลย ก็ใจมึงแท้ ๆ มึงยังจะอยากได้นิพพาน ๆ กูอยากได้นิพพาน ๆ ก็ใจมึงเองนั่นแหละ แล้วมึงจะไปเอาอะไรที่ไหน จะไปหาที่ไหน
มันก็เป็นใจเรานั่นแหละ แต่เรากลับจะไปยึดมันให้มันบริสุทธิ์ เราไม่เข้าใจตรงนี้
มันก็เลยไม่ต้องทำอะไร อยู่ในปัจจุบันขณะเนี่ย ความเกิดดับ มันก็เกิดดับคู่กับความไม่เกิดดับ มันคู่กันมาตั้งแต่จิตแรกนะ!!
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้อวิชชาดับ ปุ๊บ! มันเลยเหลือแต่ความไม่เกิดดับ พอขันธ์ห้าตาย ขันธ์ห้าแตกดับ ความยึดถือ "อวิชชา" มันดับไป แล้วเหลือแต่ขันธ์ห้าทำงานคู่กับใจที่ไม่เกิดดับ
เพราะอวิชชามันดับไปก่อนที่จะตายแล้ว เป็น "สอุปาทิเสสนิพพาน" พอขันธ์ห้าดับมันเลยเป็น "อนุปาทิเสสนิพพาน" คือดับเศษของกรรมที่เหลือ คือ... ขันธ์ห้า แต่อวิชชาที่ปนอยู่ในจิตเดิมแท้ มันดับไปก่อนแล้ว เป็น "สอุปาทิเสสนิพพาน" แล้ว
แต่พอตายแล้ว ขันธ์ห้าดับปุ๊บ มันก็เลยดับที่เป็นเศษของกรรมที่เหลือ คือขันธ์ห้าที่ต้องรับกรรมที่เหลือ คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ทรมาน ที่เป็นเศษของกรรมที่เหลือ แต่อวิชชาในใจมันดับไปแล้ว มันเลยเป็น "อนุปาทิเสสนิพพาน" คือดับเศษของกรรมที่เหลือ เศษของความทุกข์ที่เหลือ
มันก็เลยเหลือแต่... "ใจบริสุทธิ์"
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ผู้ไม่รู้มาจาก2กรณี
1 จิตบริสุทธิ์ สว่าง ใสไร้มลทินใดๆมาแปดเปื้อน
2 จิตที่มืดบอด จนมืดมิดสนิท
ความไม่รู้ที่เกิดจากจิตบริสุทธิ์นั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับความไม่รู้ที่เกิดจากจิตที่มืดบอด
จิตบริสุทธิ์นั้นอัตตาตัวตนนั้นยังไม่มี
การยึดติด ยึดแน่นจนฝังรากลึกยังไม่เกิด
การยอมรับเพื่อการรับรู้จึงเกิดขึ้นในจิตได้ง่ายกว่า
ความไม่รู้ที่เกิดจากจิตมืดบอด เกิดจากการสร้างกำแพงแห่งอัตตาให้ตนเองจนหนาทึบ ฝังรากลึกเข้าสู่ด้านมืดจนฝังแน่น การยอมรับในสิ่งใดๆที่แตกต่างจากตนจึงยากนัก....
การรู้ในจิตบริสุทธิ์จึงพอได้ง่ายและปล่อยวางได้เร็ว
แต่การรู้ในจิตที่มืดบอดนั้นไม่เคยพอ ปล่อยวางไม่ได้เพราะไม่เคยคิดที่จะปล่อยวาง....
อวิชชาจึงมีมาจากจิต 2ประเภท...
คุณ!!! อยู่ในประเภทไหน ตอบหัวใจตนเองดู
มโนกรรม.คือกรรมที่ละเอียดเพราะเป็น"นามธรรม"การเห็นความคิดหรือรู้เท่าทันความคิดคือการตัดกระแสแห่งมโนกรรม.สติจึงต้องมีกำลังมาก...#พระสิ้นคิด.