เกี่ยวกับ ขันธ์๕
มวลมนุษย์ และสัตว์สัตว์ทั้งหลาย มีขันธ์๕
ขันธ์๕ โดยกำเนิดมีลักษณะหน้าที่ของมัน
มนุษย์ปุถุชน, อริยชน ก็มีเสมอกัน ขันธ์๕
ขันธ์๕ เป็นไฉน
🎬รูปขันธ์
🔶รูปขันธ์
รูปขันธ์ เป็นสิ่งที่ ไม่มีสภาพรู้ในตัวมันเอง
เช่น รูปขันธ์ เป็นร่างมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิต,
หรือ รูปร่างสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ร่างไร้วิญญาณ,
อาจจะเป็นรูปที่มีวิญญาณครอง หรือไม่มี
เมื่อใด ร่างไร้วิญญาณ เสมือนคืนธาตุแท้
ธาตุเป็นรูปจับต้องได้พิสูจน์ได้คืนแก่โลก
รูปจะค่อยๆ กลายสภาพสู่โลกเป็น ธาตุ๔
ธาตุ๔
🌏ธาตุดิน
🌏ธาตุน้ำ
🌏ธาตุลม
🌏ธาตุไฟ
ธาตุ๔ ผสมผสานเป็น สิ่งมีชีวิต, สิ่งไร้ชีวิต
เช่น ในเลือดมีธาตุน้ำ และธาตุดินผสมกัน
หากเลือดแข็งตัวจะเป็นก้อนเลือด เป็นต้น
หรือธาตุลม ธาตุไฟ ก็มีอยู่ในร่างกายตน
รูปขันธ์ มีลักษณะเป็นรูปธรรม จับต้องได้
พิสูจน์ได้ด้วยสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น เช่น
ธาตุลมภายในร่างกายตน เช่น ลมในปอด
ลมในลำไส้ บางที ที่ผายลมออกมาเหม็นๆ
เพราะมีกระบวนการต่างๆ ภายในร่างกาย
.....
🎬นามขันธ์
นามขันธ์ เป็นสิ่งที่มีสภาพรู้เอง, คิดเองได้
แบ่งหน้าที่นามขันธ์๔ เป็นเวทนา, สัญญา,
สังขาร, วิญญาณ
🔶เวทนาขันธ์
เวทนาขันธ์ อาการจิตสืบเนื่อง เพราะมีรูป
เกิดเป็นภาวะของจิต อารมณ์จิต ไม่ใช่จิต
ความสืบเนื่องเพราะรูปนาม ณ ขณะจิต
🔍ทุกข์กาย
🔍สุขกาย
🔍เฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์
🔍สุขใจ
🔍ทุกข์ใจ
เวทนาขันธ์ เป็นหน้าที่ลักษณะหนึ่งใน จิต
เป็นอาการ หรือเจตสิก แต่ว่า ไม่ใช่จิต
เป็นเจตสิก ส่วนที่แสดงอาการเป็น เวทนา
คือ ธรรมชาติของจิตหลังจากที่ รู้อารมณ์
สนองอารมณ์นั้นๆ เกิดเป็นเวทนา...
หรือผู้ที่มีฌาน ทรงฌาน จึงไม่ทุกขเวทนา
เพราะรู้ทันเวทนาเลยไม่สนองทุกขเวทนา
จิตจึงวางเฉยจาก ทุกขเวทนา
ขณะจิต จึงทรงอยู่ในความไม่ทุกข์-ไม่สุข
ยิ่งชั่วโมงการฝึกสมาธิ วิปัสสนาบ่อยๆ ก็ดี
จึงเข้าฌาน-ทรงฌานได้ว่องไว เป็นวสี
🔶สัญญาขันธ์
สัญญาขันธ์ อาการจิต ความจำได้หมายรู้
มวลมนุษย์ และสัตว์สัตว์ทั้งหลาย มีขันธ์๕
ขันธ์๕ โดยกำเนิดมีลักษณะหน้าที่ของมัน
มนุษย์ปุถุชน, อริยชน ก็มีเสมอกัน ขันธ์๕
สัญญา เป็นภาวะจิต, อารมณ์จิต ไม่ใช่จิต
หากสัญญาเก่าผิด ย่อมทำให้วิตกอารมณ์
ขณะกำลังเห็นสัจธรรมจนวิตกมิจฉาทิฏฐิ
เพราะสัจธรรมเป็น สัมมาทิฏฐิ
หากสิ่งหนึ่งมี อีกสิ่งหนึ่งจึงดับไปเอง ทันที
เช่น สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น มิจฉาทิฏฐิ ก็ดับไป
หรือวิชชา กำจัดอวิชชา ณ ขณะจิตนั้นๆ
สนองอาการจดจำ จึงระวัง นิวรณ์ครอบงำ
เช่น จำสิ่งฟุ้งซ่านสืบเนื่อง สงสัยสืบเนื่องๆ
เพราะทำให้สัญญาจดจำเข้าใจผิดต่างๆ
จิต แสดงอาการจดจำ จึงเป็นเพียงเจตสิก
แต่ว่า อาการจดจำ สัญญาขันธ์ ไม่ใช่จิต
ขณะจิตสนองสัญญาขันธ์ จิตเป็น อวิชชา
ถ้าสัญญาครอบงำจิต ณ ขณะมรรคผิดวิธี
แต่ว่า... ความคิดถูก สัมมาสังกัปปะ
ณ ขณะจิต มรรค๘ ถูกวิธี, สัญญาขันธ์ถูก
สัมมาสังกัปปะ ย่อมเอื้อเฟื้อต่อ สัมมาทิฏฐิ
เอื้อเฟื้อมรรคอื่นๆ และเกื้อกูลวิชชา
🔶สังขารขันธ์
สังขารขันธ์ อาการความคิดที่ปรุงแต่งร่วม
เป็นภาวะของจิต อารมณ์จิต, แต่ไม่ใช่ จิต
มวลมนุษย์ และสัตว์สัตว์ทั้งหลาย มีขันธ์๕
ขันธ์๕ โดยกำเนิดมีลักษณะหน้าที่ของมัน
มนุษย์ปุถุชน, อริยชน ก็มีเสมอกัน ขันธ์๕
ณ ขณะจิตต่างกัน อยู่ที่ผู้ใด มีสติเพียงไร
ถ้าสติเท่าทันตน ณ ขณะจิต ย่อมหลุดพ้น
เพราะเท่าทันสังขาร
✔️รู้อะไรที่ควรจะกล่าว
✔️รู้อะไรที่ไม่สมควรกล่าว
✔️รู้อะไรที่สมควรก่อ สมควรทำ
✔️รู้อะไรที่ไม่สมควรก่อ สมควรละ ฯลฯ
อาการรู้ทันสังขารขันธ์ จิตเป็นสัมมาทิฏฐิ
เป็นธรรมเกื้อกูล เอื้อเฟื้อต่อ อธิปัญญา
มรรค๘ จึงเอื้อเฟื้อพัฒนาจิตให้เป็นวิชชา
จิตจึงเป็นอันเดียวกับตัวธรรมเข้าใจธรรม
นั้นแหละ อธิปัญญา จิตเห็นธรรมในธรรม
แต่สติวิปลาส ณ ขณะจิตนั้นสนองตัณหา
อาการสังขารขันธ์เพี้ยนๆ จึงเกิดอุปาทาน
ณ ขณะจิตวิตก วิจารณ์สืบเนื่องควรระวัง
บางฅน จึงเสียสมาธิ ณ ขณะสติวิปลาส
มรรคผิดทาง หรือมรรค๘ ถูกทางเป็นเหตุ
อาการของสังขารขันธ์ จึงแตกต่างกัน
วิธีแก้ไข พระพุทธเจ้าแก้ไขที่อินทรีย์พละ
หรือปรับปรุงอินทรีย์ ขณะนิสัยดีขึ้นด้วย
จิต แสดงอาการคิดนึก ก็เป็นเพียงเจตสิก
แต่ว่า อาการจิตคิด สังขารขันธ์ ไม่ใช่จิต
🔶วิญญาณขันธ์
วิญญาณขันธ์ เป็นสิ่งที่มีสภาพรู้ในตนเอง
เป็นภาวะของจิต อารมณ์จิต, แต่ไม่ใช่ จิต
มวลมนุษย์ และสัตว์สัตว์ทั้งหลาย มีขันธ์๕
ขันธ์๕ โดยกำเนิดมีลักษณะหน้าที่ของมัน
ถ้าจิตรู้ทันตัวมันเอง จิต ไม่หลงติดอาการ
จึงมีความแตกต่างของวิญญาณ ๒จำพวก
👁🗨โลกีย์ สภาวะจิตที่ติดข้องสนองขันธ์๕
👁🗨โลกุตระ สภาวะจิตที่รู้เท่าทันขันธ์๕
เช่น รู้ทันปรมัตถ์๔, รู้ทันไตรลักษณ์, ฯลฯ
รู้ลักษณะ... ที่ว่า...
👁🗨ขันธ์๕ เป็นเพียงเครื่องมือเรียนรู้
👁🗨ไตรลักษณ์ เป็นเพียงเครื่องมือเรียนรู้
ได้แก่ ลักษณะที่มอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา
อาจจะรู้เท่าทันลักษณะขันธ์๕ เห็นธรรมะ
หรือรู้เท่าทันไตรลักษณ์ เห็นสัจธรรม
เมื่อใด ขณะจิตนั้นๆ ขณะนิโรธ ดับขันธ์๕
ไตรลักษณ์ ย่อมดับลง ไม่เหลืออีกแล้ว
เรื่อง ที่อ้างการรับขันธ์อื่นๆ เพิ่ม 👾👾👾
มนุษย์ และสัตว์สัตว์ทั้งหลาย มีแค่ ขันธ์๕
ขันธ์๕ มีมาโดยกำเนิด ไม่มีขันธ์๖ ๗ ๘ ๙..
ที่ใครเขากล่าวอ้าง รับขันธ์ครูบาอาจารย์
อ้างอิง ผู้วิเศษ, หมอผี, ร่างองค์ทรง ก็มั่วๆ
ธาตุ๔ มีธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ เป็นรูปธรรม
ธาตุรู้, และธาตุว่าง เป็นนามธรรม
ธาตุจึงมีเพียง ๖ ที่พระพุทธเจ้า สอนแล้ว
ธาตุ๗ ๘ ๙... ๑๗ ๑๘ พุทธเจ้าไม่เคยสอน
บางฅน อวดอุตริ มุสาสอนกันผิดเพี้ยนๆ
📌จำพวกแรก หลงวิปัสสนูปว่า คุณวิเศษ
แต่สนองอาการสติวิปลาส จาก อุปกิเลส
ณ ขณะที่ตน ปฏิบัติธรรมผิดวิธี พึงระวัง
รับช่วงสืบวงศ์ต่อบาปจะเป็นทายาทอสูร
พึงระมัดระวังเถิด
📌อีกจำพวก เป็นพวกต้มตุ๋น ที่หลอกลวง
อวดอ้างคุณวิเศษต่างๆ ที่ไม่มีในตนจริงๆ
แต่จะมีการเลี้ยงชีพผิดๆ แสวงหาเงิน
ฯลฯ
เจริญพร
ญาณ ๔
อุทยัพพยญาณ
ปัญญาหยั่งเห็น อาการนามรูปเกิดดับ
หรืออาการรูปนามปรากฎขึ้น แจ่มชัด
เห็นอนิจจังชัดเจน ควบคุมไม่ได้จริงๆ
ทั้งที่ขันธ์๕ ของตนเองแท้ (ฮาๆๆๆ)
👉 เห็นอาการเกิดดับนามรูปถี่ๆ มากๆ
เห็นอาการไตรลักษณ์ชัดๆ แจ่ม ๙๐%
สติไวมาก เป็นอาการนามรูปที่ขาดกัน
เป็นเหตุที่ รู้ชัด (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป)
ไม่มีอาการแบบนี้ใน มนุษย์ปุถุชน
ข้อสังเกต ระหว่างรูปฌาน-อรูปฌาน
อาการรูป-นามเกิดดับ มีในขณะจิตดับ
ช่วงใกล้กันอาการท้องพอง-ยุบหายไป
ขณะอาการลมหายใจเข้า-ออกหายไป
แต่จริงๆ แล้วสูงที่สุด ยังไม่พ้นรูปฌาน
เพราะแสงสีเสียงผัสสะอื่นๆ ยังปรากฏ
แสดงว่า จิตยังไม่ข้ามพ้นรูปฌาน
ที่ว่า สักแต่ว่ารู้ๆๆ
รูปฌาน ณ ขณะจิตนั้นๆ จะยังมีผัสสะ
เช่น รู้สึกว่า กำลังมีลมหายใจอยู่นั้น
หรือรู้สึกว่า กำลังไม่มีลมหายใจอยู่นั้น
สูงสุดมาส่งได้แค่นี้ สงบ ตั้งมั่น ฌาน๔
พ้นฌาน๔, ขณะอาการรูป-นามเกิดดับ
เป็นอรูปฌาน แต่ถ้าดับแบบโลกีย์ฌาน
จะดับค้างนานกว่าถูกวิธีแบบ โลกุตระ
แค่อรูปฌาน ปุถุชนยังสำเร็จยากเลย
อรูปฌาน เป็นธรรมที่เอื้อเฟื้อต่อ นิโรธ
ถ้าปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐานถูกวิธีแล้ว
อาการรูป-นามเกิดดับ ก็จักเป็นเข็มทิศ
ดั่งครูบาอาจารย์สอนจนบรรลุนิโรธ
บุคคลที่บรรลุวิปัสสนาญาณ๔ แก้กล้า
ย่อมจะสลัดพ้นจากวิปัสสนูปกิเลสเอง
เพราะควบคุมอาการเกิดดับไม่ได้...
จึงเห็นสรรพสิ่งว่า เกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นๆ ย่อมดับไปเอง มันเป็นธรรมดา
ณ ขณะเจริญสติเนืองๆ จึงรู้เท่าทัน...
เห็นเท่าทันปัจจุบันธรรม ขณะรู้ขันธ์๕
สติที่ไวขึ้น ไม่ค่อยไหลสนองอุปาทาน
จิตสมาธิดีขึ้น แต่อาการเกิดดับ กมีอยู่
อาจจะทำให้วิตกวิจารณ์ จนเสียสมาธิ
ไม่คล้อยตามทิฏฐิ ตัณหา และอวิชชา
ถ้าฝึกเป็นอุปนิสัยได้ ก็คงพระอรหันต์
แต่ว่า ถ้าไม่ฝึก ก็คงไม่มีพระอรหันต์
ญาณ๔ ปัญญาระดับภาวนามยปัญญา
และบุคคลนั้นๆ บรรลุฌาน๔ แล้วจริงๆ
แต่ว่า ใครจะทรงฌานชำนาญเพียงใด
เพราะฌานมีขึ้น-มีลงเป็นธรรมชาติๆ
อาการรูป-นามเกิดดับ มีในขณะจิตดับ
ช่วงใกล้กันอาการท้องพอง-ยุบหายไป
ขณะอาการลมหายใจเข้า-ออกหายไป
แต่จริงๆ แล้วสูงที่สุด ยังไม่พ้นรูปฌาน
พ้นฌาน๔ ตอนอาการรูป-นามเกิดดับ
อาการรูปนามเกิดดับรับรองอริยมรรค
หมายถึง บุคคลนั้น มีมรรคถูกทางแล้ว
เพียงบุคคลนั้นๆ ยังไม่สุดทางมรรค
อุปมา ผลทุเรียนจักค่อยๆ สุก หล่นเอง
ผู้ปลูก มีหน้าที่ดูแล ป้องกันแมลงต่างๆ
ถ้ามีโอกาสรดน้ำ บำรุงดิน จะได้ผลดี
ผู้มีความเพียรถูกวิธี ต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ย่อมประสบความสำเร็จ อันควรสำเร็จ
ถ้าย้อนไป ช่วงญาณ๔ อ่อนๆ จะมีฤทธิ์
เรื่องของอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์จะมีเยอะ
เป็นเพราะอินทรีย์๕ กำลังปรับตัวอยู่
เช่น เห็นแสงสว่าง เห็นสีแสงแบบต่างๆ
เห็นนรก-สวรรค์-โลกทิพย์-ผีสางต่างๆ
หรือจะอาการตัวเบาๆ ตัวลอยๆ หายตัว
หรือจะอาการอะไรๆ มาแฝงในร่างกาย
หรือจะอาการได้ยินเสียงนั้นๆ ฅนเดียว
ได้เห็นสิ่งนั้นๆ เพียงฅนเดียว ผู้อื่นไม่❓
แต่จะเป็นปกติอีกทีเมื่อญาณ๔ กล้าคม
ความวิตก-วิจารณ์เบาลง รับรู้จึงสงบ
พอสงบมากๆ ไม่มีตัวกำหนด ช่วงนี้เลย
เพราะบางฅน ไม่เห็นลมหายใจของตน
หรือไม่เห็นท้องพอง-ยุบเลยหยุดตรงนี้
หลายฅนจึงก้าวข้ามมาโลกุตระไม่ได้
เพราะพวกเขาขาดเครื่องคล้องใจจุดนี้
จึงควรเพิ่มความเพียรกำหนดรู้รูป-นาม
เป็นสิ่งที่อริยบุคคล มองต่างจากปุถุชน
ปุถุชนส่วนใหญ่เลิกบริกรรม ตรงจุดนี้
แต่จุดเดียวกันนี้อริยบุคคลสอนให้มีสติ
บริกรรมขณะเพ่งรูป-นาม เป็นภาวนา
จึงต่อยอดไปต่อที่ ญาณ๕ (ภังคญาณ)
และต่อยอดไปจนบรรลุธรรมได้จริงๆ
.....
เรื่อง วิปัสสนาพูดสั้นๆ ฅนฟังออเออเอง
พวกเขายังไม่เข้าใจ, และมักเข้าใจผิดๆ
คิดไปเองโดยไม่รู้ตัว จึงบรรยายยาว
ดีกว่าปล่อยมนุษย์คิดไปเองหลงทางผิด
เจริญพร
วิสุทธิ๗ เปรียบมรรค๘
อุปมาอุปไมย วิสุทธิ ๗ ดุจดั่งราชรถ ๗ ผลัด
อาตมาภาพ เคยอธิบายเรื่องนี้ แล้วยาวมาก
ยิ่งอธิบายละเอียด ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนนี้ เอาเทียบเคียงสติปัฏฐาน๔ ญาณ๑๖
จึงบรรยายยาว ขอให้ผู้ปฏิบัติมีสมาธิอ่าน
อ่านแล้ว ขอให้ลืม เวลากรรมฐาน ไม่ต้องดู
ไม่ต้องนึกถึงสิ่งอาตมากล่าวตรงนี้มากนัก
ปฏิบัติแบบผู้ไม่รู้ แต่ว่า รู้สึกอยู่ขณะปฏิบัติ
จะช่วยให้บรรลุธรรมง่ายกว่า 🙈🙉🙊
🔴
ศีลวิสุทธิ
ความบริสุทธิ์ของศีล
ความสำรวม ระมัดระวังเกรงกลัวต่อบาปเวร
ควรรักษาศีล ด้วยความสำรวมกาย วาจา ใจ
หรือความสำรวมระวังอายตนะ ก็ถือเป็นศีล
ดังนั้นขณะกำลังกรรมฐาน ศีลบริสุทธิ์มากๆ
■ สัมมาวาจา วาจาสุจริต สัจจะวาจาอู้ตรงๆ
พูดตรงไปตรงมา บริสุทธิ์ใจพูดจาจริงใจ
(เห็นอย่างไรๆ กล่าวอย่างนั้นๆ ฝึกแบบนี้)
🔘ไม่โป้ปด มุสา ไม่พูดส่อเสียด หยาบคาย
🔘ไม่สะตอเบอรี่ ไม่อมพระมาพูด (ยิ้มๆ) 🍓
🔘ไม่ใช่ปราศรัยไพเราะ น้ำใจเชือดเฉือน
🔘ไม่ถือศีลแต่ปาก พูดอย่าง ทำอีกอย่าง
🔘ไม่ควรพูด ก็นิ่งเสีย จบแบบไม่มี 😅😅
■ สัมมากัมมันตะ ความสำรวมระวังเป็น ศีล
นักบวชสำรวม-รักษาศีล, ฆราวาสถือศีล๕
ขณะสำรวมระวังจิตถูกวิธีเป็นศีลบริสุทธิ์
⭕ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่สั่งฆ่า, ไม่เบียดเบียนชีวิต
⭕ไม่ผิดทรัพย์ของตน, และผู้อื่น
⭕ไม่ผิดลูกเมียของตน และผู้อื่น
⭕พูดไม่โกหก ถ้าโกหกไม่พูด
⭕ไม่เกี่ยวข้องสิ่งเสพติด และอบายมุขใด
ถึงอบายมุขที่ถูกกฎหมาย ก็ไม่ควรข้อง
เช่น ล๊อตเตอร์รี่, เล่นหุ้น, เหล้า, เบียร์,..
■ สัมมาอาชีวะ การดำรงชีพไม่เป็นโทษตน
กิจที่กระทำ จะไม่เป็นโทษเบียดเบียนใคร
เพื่อรักษาแก่นธรรม หิริโอตัปปะ เช่น...
⭕ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่สั่งฆ่า, ไม่เบียดเบียนชีวิต
⭕ไม่ผิดทรัพย์ของตน, และของผู้อื่น
⭕ไม่ผิดลูกเมียของตน และของผู้อื่น
⭕ถ้าโกหกไม่พูด, แต่ว่า ถ้าพูดไม่โกหก
⭕ไม่เกี่ยวข้องสิ่งเสพติด, และอบายมุขใด
แม้อบายมุขใดถูกกฎหมาย แต่ว่า ผิดศีล
เช่น ล๊อตเตอร์รี่, เล่นหุ้นที่ความเสี่ยงสูง,
เหล้า-เบียร์ที่กฎหมายรับรอง,...
เรื่อง อาชีพ การดำรงชีพ...
มีอาชีพการงานมากมายเลี้ยงชีพ ไม่ผิดศีล
ยกตัวอย่าง นักบวชชั้นดี มีศีล 🙈🙉🙊✔
ข้าราชการที่คุณธรรม นักธุรกิจที่ไม่คดโกง
🙄🙄🙄
เรื่องนี้ อาตมาภาพอธิบายลักษณะมนุษย์ว่า
มนุษย์ชั้นดี จะมีใจสูงส่ง ปฏิบัติดีกว่ามนุษย์
แต่มนุษย์ชั้นเลว ใจต่ำ ปฏิบัติเลวกว่ามนุษย์
ส่วนใหญ่มนุษย์ทำดี-เลวปะปน ไม่แยกแยะ
นักบวชพวกใดทุศีล
พุทธองค์ไม่ถือว่า ผู้เป็นนักบวช, แต่ฅนพาล
ฅนพาล มักกล่าวอำพรางความชั่ว
กล่าวว่า เงินทองถือเป็นกิเลส, ควรสละทาน
แต่เขาพาลกอบโกยเงินทองกองทาน ❌
ข้อน่าเป็นห่วงมาก คือ การผิดทรัพย์ในสงฆ์
เพราะการล่อลวง, โฆษณา, เรี่ยไรทรัพย์สิน
สะสมทรัพย์สินมิชอบจำนวนมากต้องอาบัติ
โดยไม่รู้ หรือโดยไม่เชื่อว่า ตนต้องอาบัติ
บางรูป อาจต้องอาบัติปาราชิกนานมากแล้ว
และอาจจะกำลังก่ออาบัติเหล่านั้นอยู่ด้วย
การรักษาศีล โดยระวัง สำรวมกาย วาจา ใจ
เอื้อเฟื้อต่อศีลบริสุทธิ์ หรืออธิศีล
ฮาๆๆๆ เรียกว่า ถือศีล อย่าถือสา 🙈🙉🙊
เจริญพร
.....
ศีลบริสุทธิ์ เป็นประโยชน์
เกื้อกูลต่อสมาธิ หรือเกื้อกูลจิตเป็นหนึ่ง ☟
🔴🔴
จิตตวิสุทธิ
ความเพียรกำหนดรู้, ย่อมมีสมาธิ ขณะมีสติ
สมาธิ เป็นความเพียรเผากิเลส ระงับตัณหา
รวมจิตสู่ จิตหนึ่ง พัฒนาจิตสู่วิปัสสนาญาณ
ขณะระลึกได้ สำนึกได้ พัฒนาจิต สติไวขึ้น
ศีลบริสุทธิ์เอื้อเฟื้อสมาธิจิต ช่วยจิตบริสุทธิ์
หรือเกื้อกูลต่อ อธิจิตต์
ฅนเรา เมื่อใดทำลายนิวรณ์, ระงับนิวรณ์ได้
ย่อมเห็นประโยชน์จากความสงบวิเวกธรรม
เข้าถึงวิมุตติ ด้วยความเป็นปกติของวิมุตติ
วิมุตติจะบังเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยฌานด้วย
หรือฌาน๔ ควบคู่กับสติปัฏฐาน๔ เป็นต้น
■ สัมมาวายามะ เป็นความเพียรถูกวิธี
ในทางวิปัสสนา ความเพียรเผากิเลสตน
🔘เพียรสังวร ระวังจิต เป็นศีล
🔘เพียรสำรวมจิต เป็นสมาธิ
🔘เพียรระลึกรู้ เพียรสำนึกรู้ นี่เป็นปัญญา
ระลึกรู้-เป็นวิตก-เป็นสัมมาทิฏฐิ
สำนึกรู้-วิจารณ์-เป็นสัมมาสังกัปปะ
ฅนทางโลก เพียรขยันทำการงานสุจริต
ไม่ควรผิดกฎหมาย และไม่ควรผิดศีล
🔘ไม่ผิดกฎหมาย ชีวิตไม่ต้องระแวงถูกจับ
🔘ไม่ผิดศีลธรรม
■ สัมมาสมาธิ ขณะที่เพียรกำหนดรู้รูป-นาม
ค่อยๆ รวมจิต เป็นสมาธิยิ่งๆ เป็นฌานยิ่งๆ
ทรงฌานได้ในอริยาบถต่างๆ ยืน, เดิน, นั่ง
ทรงฌานขณะพูด, ขณะฟัง, กิจวัตรต่างๆ
สัมมาสมาธิ ก็เรียกว่า เป็นฌาน๔ แบบถูกวิธี
เพราะอาศัยศีลบริสุทธิ์เป็นพื้นฐาน
🙄🙄🙄
เรื่อง ทรงฌาน อธิบายเสริมว่า...
เจริญสติ ไม่ติดข้องอารมณ์ใด-อารมณ์หนึ่ง
ขณะสมาธิสมบูรณ์พร้อมสดับรู้ตรัสรู้เนืองๆ
ขณะจิตนั้นๆ ไม่สนองนิวรณ์ จิตจะมั่นคงขึ้น
ความคิด-ความเห็น จึงเกื้อกูลจิตญาณ
ขณะจิตใด ที่จิตไม่ขาดสติ
ณ ขณะเจริญสติเนืองๆ แบ่งเป็นธรรม ๒ส่วน
● ขณะจิตเกิดขึ้นจากความไม่มี
ณ ขณะจิตไม่รู้มาก่อน จิตรู้ตื่นเบิกบานเอง
ณ ขณะจิต ย่อมสำนึกเห็นจิตก่อนหน้านั้น
○ ขณะจิตดับไปจากเคยมีจากความมีเป็นอยู่
ณ ขณะจิตที่เคยรับรู้ จึงดับรู้ ดับขันธ์ต่างๆ
ณ ขณะนิโรธ เกิดผลสมาบัติ, นิโรธสมาบัติ
ณ ขณะจิตนั้นๆ เสวยนิพพานชั่วขณะ
สุญญตาธรรม~นิพพาน 🙈🙉🙊
สุญญตา หรือนิพพาน ไม่ใช่ใครหลงว่างหมด
เห็นทั้งหมด-ทั้งมวลอยู่ภายใน สุญญตาธรรม
ธรรมที่เกิดจากความไม่มี-ดับไปจากความที่มี
ธรรมชาติที่เตือนสติอยู่ทุกขณะจิต
○ ขณะความไม่มี ความไม่รู้ = เกิดขึ้น
● ขณะความมีเป็น ความรู้ = ดับไป
ความจริงที่คั้นมา-คั้นไป เกิดดับอยู่ทุกขณะๆ
แต่สัตว์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงธรรมแท้
■ สัมมาสติ ขณะกำหนดรู้ รูป-นาม เจริญสติ
🔘ขณะจิตสติ ยิ่งไวขึ้นๆ สมาธิสูงขึ้นๆ ตาม
🔘ขณะจิตสติ ยิ่งไวขึ้น เขายิ่งรอบรู้ลำดับๆ
🔘ขณะจิต ยิ่งเห็นเท่าทันผัสสะ๖
🔘ขณะจิต ยิ่งเห็นเท่าทันความรู้สึก-เวทนา
🔘ขณะจิต ยิ่งเห็นเท่าทันอุปาทาน เป็นต้น.
สัมมาสติ ก็คือ สติปัฏฐาน พัฒนาจนสมบูรณ์
เรียกว่า ปฏิบัติธรรมไปจนสติสมบูรณ์นั้นเอง
จึงอาศัยฌาน๔ ที่ถูกวิธีเป็นพื้นฐานปฏิบัติ
เจริญพร
.....
สมาธิถูกวิธี เป็นประโยชน์
เกื้อกูลต่อปัญญา เกื้อจิตญาณเข้าสู่วิปัสสนา
ด่านแรกๆ คือ การกำจัดวิปัสสนูปกิเลสตัวเอง
เพื่อกำจัดอุปสรรคออกจาก วิปัสสนาญาณ ☟
🔴🔴🔴
ทิฏฐิวิสุทธิ
ปัญญาเห็นนาม-รูปสู่ปัญญาญาณ วิปัสสนาฯ
■ สัมมาทิฏฐิ ขณะวิตก ระลึกรู้
■ สัมมาสสังกัปปะ ขณะวิจารณ์ สำนึกรู้
ปัญญาทิฏฐิวิสุทธิ จึงอยู่ในระหว่างญาณ๑-๓
เป็นญาณทบทวน พิจารณาด้วยความคิดได้
สูงสุด ญาณ๓ ยังไม่บรรลุธรรม ก็มีได้ คิดได้
สัมมาสนญาณ เป็นญาณ๓ เห็นจากความคิด
สามารถเห็นเกิดดับจากมีความคิดใหม่แทนที่
โดยเข้ามาแทนที่ความคิดเก่า เป็นต้น
ดังนั้น ณ ขณะวิตก-วิจารณ์
ปัญญาเห็นจริงๆ ช่วยเอื้อความคิดถูกยิ่งขึ้นๆ
แต่ว่า โลกีย์วิสัยเป็นอัตตา ยังยึดภาษาอักษร
ตรงกันข้าม โลกุตระรอบคอบ เที่ยงธรรม
ความรู้นาม-รูป ขณะสมาธิถูกวิธี
หรือความรู้ อันเกิดขึ้นขณะเจริญสมาธิถูกวิธี
ณ ขณะสัมมาสติ ที่กำหนดรู้ลักษณะนาม-รูป
ความรู้ ณ ขณะจิตนั้น คือ สัมมาทิฐิ เห็นถูก
เห็นตามความเป็นจริง แรกๆ ใจนั้นยังติดข้อง
ขณะจิต มีอาการอุปกิเลส ขณะกรรมฐานนั้น
ชื่อว่า วิปัสสนูปกิเลส ค่อยๆ ละ ขณะตัดภพ
ความเห็นที่เกื้อกูลได้คิดบนพื้นฐานความจริง
สัมมาทิฏฐิ ย่อมเอื้อเฟื้อต่อ สัมมาสังกัปปะ
สัญญาปัจจุบัน อาจจะช่วยแทนที่สัญญาเดิม
ลบล้างความเหผิด สำเนาจะค่อยๆ ถูกต้อง
🔘 ไม่ว่า ปฏิบัติผิด หรือถูกวิธี แต่เห็นจริง
ที่ว่า เห็นถูก คือ จะเห็นเองจริงๆ (ขำ ยิ้มๆ)
ที่ว่า เห็นถูก เห็นจริง นี้แลๆ จะจริงแค่ไหน
ที่ว่า ถูกยิ่งกว่า จริงยิ่งกว่าจริง ก็ยังมี ✔
ที่สมควรใจกว้างๆ จึงเห็นสัจธรรม
🔘วิปัสสนูปกิเลสจะปรากฎในผู้กรรมฐานถูก
แต่ว่า กรรมฐานเขายังไม่สุดทาง มีอาการ
ที่อุทยัพพยญาณอ่อนๆ จะเห็นวิปัสสนูปฯ
ที่ความรู้ในวิปัสสนูปกิเลสจักสอนจิตออก
สอนจิตถอดถอนวิปัสสนูปกิเลส
ผู้ที่ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส
แต่ผู้ไม่ปรากฎวิปัสสนูปกิเลส ก็มี 🙈🙉🙊
🔘ผู้ใดละทิ้งกรรมฐาน ก่อนสุดทาง
🔘ผู้ใดไม่ปฏิบัติกรรมฐาน หรือไม่เคยฝึกตน
🔘ผู้ใดปฏิบัติกรรมฐานผิดวิธี ก็ไม่เห็น
🔘อริยบุคคล โสดาปฏิผลขึ้นไป ก็ไม่ปรากฎ
ดังนั้น โสดาปฏิมรรค ถ้าละทิ้งกรรมฐานก่อน
ก่อนจะบรรลุอริยสัจ๔ ไม่เห็นวิปัสสนูปกิเลส
แต่ว่า วิปัสสนูปกิเลสเขายังแฝงตัวอยู่
โสดาปฏิมรรค ก็อาจจักโดยฅนหลอกลวงได้
ต้องระมัดระวัง ได้สติ ก็ควรเร่งปฏิบัติธรรม
อย่ากินบุญเก่าๆ จนหมดลืมสะสมอริยทรัพย์
อย่าลืมตัวเด้อ 🙈🙉🙊
เจริญพร
.....
ปัญญาเห็นถูกวิธี สัมมาทิฏฐิ ก็เป็นประโยชน์
เกื้อกูลต่อระบบการคิดถูกเป็นสัมมาสังกัปปะ
จะเห็นอาการไตรลักษณ์ ด้วยวิปัสสนาญาณ
จุดนี้ เป็นความแตกต่างจากปุถุชนที่ไม่เคย ☟
🔴🔴🔴🔴
กังขาวิตรณวิสุทธิ
ปัญญา เห็นทันอาการนาม-รูปขณะจิตดับไป
แต่ว่า ปุถุชน ยังไม่มีคุณสมบัติ, และไม่เคยมี
เป็นญาณที่๔ แก่กล้า หลังตัดวิปัสสนูปกิเลส
ปัญญาขั้น โลกุตรธรรม (โสดาปฏิมรรค)
อุทยัพพญาณแก่กล้า ญาณ๔
อาการนาม-รูปเกิดดับ บ้าง ก็ว่า "ธรรมวิเศษ"
ลักษณะ ๓ประการ ขณะเห็นนาม-รูปเกิดดับ
แต่ว่า ไม่ได้ความเห็นจากความคิดแล้ว
ข้ามวิสัยปุถุชนที่เคยสุดที่ ญาณ๓
เกินวิสัยปุถุชน ปุถุชน ย่อมไม่เคยเห็นอาการ
เปรียบคุณสมบัติ จะการันตี "โสดาปฏิมรรค"
จิตญาณ ข้ามความสงสัยมาระดับหนึ่งแล้ว
จิต ณ ญาณ๔ แก้กล้าชื่อว่า อุทยัพพยญาณ
เกิดขณะทำลายสักกายทิฐิแล้ว ผู้ละนิวรณ์๕
แม้ด้วยสมาธิชั่วครู่ แต่มีคติธรรมแน่นอนว่า...
"ตน ไม่ใช่ตัวตนของตน"
แต่ผู้ไม่มีฌาน อาศัยปัญญาญาณคิดญาณ๓
ท่านว่า จุฬโสดาบัน ยังไม่เป็นโสดาปฏิมรรค
ญาณเห็นขันธ์๕ จากความคิดว่า ไตรลักษณ์
คือ วิปัสสนาอ่อนๆ ญาณ๓ "สัมมาสนญาน"
ส่วนอาการรูปนามเกิดดับ ทำให้สิ้นสงสัยลง
ในส่วนที่ว่า ปฏิจจสมุปบาท จริงไหม?
เจริญพร
.....
วิปัสสนาญาณเห็นไตรลักษณ์เป็นประโยชน์
เกื้อกูลต่อจิตญาณสูงขึ้นๆ เพื่อสติมั่นคงยิ่งๆ
ความหวั่นไหว ค่อยๆ ถูกละทิ้ง ด้วยตัวมันเอง
ย่อมเป็นผลให้สติมั่นคงมากขึ้นๆ แก่ ☟
🔴🔴🔴🔴🔴
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
ปัญญาเห็นความติดข้อง จะทำลายตัวมันเอง
จิตญาณ เห็นจิตในจิตๆ จึงเห็นจุดบกพร่องๆ
จิตญาณ ค่อยๆ ทำลายล้างกิเลสในตนเอง
ที่เห็นเท่าทันความติดข้อง วิปัสสนูปกิเลส๑๐
จิตละความยินดี-ยินร้าย ตัดความยึดถือผิดๆ
ละความติดข้องอารมณ์ จะละจากทุกข์ต่างๆ
🙏อดทน ณ ขณะเห็นทุกข์ ละทุกข์นั้นๆ
🙏อดทน ณ ขณะเห็นโทษ ละโทษนั้นๆ
🙏อดทน ณ ขณะเห็นภัยละภัยนั้นเอง
ละวิปัสสนูปกิเลส๑๐ แล้วจิตญาณ ก็คมกล้า
กิเลสพัฒนาวิปัสสนาญาณสูงขึ้นเป็นลำดับๆ
เมื่อเห็นจิตในจิตจึงเห็นกิเลสนั้นตามอาการๆ
ณ ขณะจิตนั้นๆ จะทำลายกิเลสด้วยมรรค๘
ระหว่างเจริญสติปัฏฐาน ทบทวนญาณ๔-๑๑
แก้กรรมฐานทบทวนเปลี่ยนญาณ สม่ำเสมอ
รู้วิธีการทำให้ อุทยัพพยญาณปรากฎสภาวะ
กระทั่งสังขารุเปกขาญาณปรากฎสภาวะ
ช่วงนี้ นักปฏิบัติพอจะรู้ตนเองจากจิตเปลี่ยน
เปลี่ยนแปลงดีขึ้นมาก หรือน้อยอย่างไร
เช่น ผู้ที่ไม่เคยมีฌาน ก็มีฌาน และเข้าใจเอง
ชำนาญมากขึ้นๆ ตามความเพียร เป็นต้น
หรือแม้แต่ ประสบการณ์อัศจรรย์ยากพิสูจน์
ตนเอง ก็ได้พิสูจน์ตนเอง รู้อดีตชาติ เป็นต้น
เจริญพร
.....
ปัญญาญาณขณะเท่าทันตัณหา ทันนิวรณ์๕
ถ้านิวรณ์ถูกระงับ ย่อมเห็นสัจธรรมตามจริง
เป็นประโยชน์ ช่วยให้มีสติมั่นคงมากขึ้น ☟
🔴🔴🔴🔴🔴🔴
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
ปัญญา หรือจิตญาณรู้วิธีแจ่มแจ้งในมรรค๘
ปัญญาญาณพบวิธีพ้นทุกข์ สมถะ, วิปัสสนา
พัฒนาสมาธิ โลกุตรฌาน จงกรม เป็นต้น
มรรค๘ สามัคคี หรือมรรคฟั่นเป็นหนึ่งเดียว
ย่นย่อชื่อว่า ไตรสิกขา
🙈ศีล อธิศีล
🙉สมาธิ อธิจิตต์
🙊ภาวนา อธิปัญญา
สยบตัณหา ขณะสงบจิตพร้อมสดับตรับฟัง
ณ ขณะจิตวางเฉยนั้น เด็ดเดี่ยว นิ่ง แน่วแน่
อนุโลมญาณ ปัญญาที่ทบทวนเหตุไปหาผล
ปัญญา ยิ่งแจ่มขัดขึ้นมาเรื่อยๆ อยากจักหนี
แต่ก็หนีไม่ได้ เช่น ลองไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ
หนีทุกข์ไปทุกข์เพิ่มกว่าเดิม หุหุหุ
อนุโลมญาณ
ปัญญาญาณหยั่งเห็นนามรูป ทบทวนไป-มา
จิตญาณ จึงเห็นอริยสัจ๔
● ทุกข์ เพราะว่า...
¤ ทุกข์จร ทิฏฐิ ตัณหา อวิชชา (สังโยชน์)
¤ ทุกข์ประจำขันธ์๕ คือ ความแก่ เจ็บ ตาย
ไม่น่ากลัวอะไรจริง ยังไงๆ ก็ต้องตายแน่ๆ
ทุกข์จริงๆ จึงรู้สึกเบื่อหน่าย อยากหลุดพ้น
● สมุทัย สาเหตุแห่งทุกข์
¤ ทุกข์จร ทิฏฐิ ตัณหา อวิชชา (สังโยชน์)
¤ ทุกข์ประจำขันธ์๕ คือ ความแก่ เจ็บ ตาย
ไม่น่ากลัวอะไรจริง ยังไงๆ ก็ต้องตายแน่ๆ
มั่นใจในแนวทางปฏิบัติ ขณะละสมุทัย
เพราะเบื่อหน่าย จึงละความกำหนัดลงมาก
ลดละความทะยานอยากลงไป ขยันปฏิบัติ
แต่ว่า ทุกข์เพราะศีล เพราะสมาธิ รู้ทุกข์
● นิโรธ ความดับทุกข์
¤ ดับทิฏฐิ, ตัณหา, อวิชชา ขณะดับขันธ์๕
นิโรธ, หรือวิชชามีอยู่จริงๆ สามารถพิสูจน์
ผู้ที่เคยแล้ว จึงเข้าใจในสภาวธรรมล้ำลึกๆ
อยู่ที่ว่า ใครเคยประสบแค่ไหน ญาณไหน
● มรรค วิธีการดับทุกข์
¤ วิธีการลดละทิฏฐิ, ตัณหา, อวิชชา ยังไง
¤ วิธีทำให้กล้าเผชิญหน้ายอมรับสัจธรรม
ขณะปล่อยวาง หรือเฉยจากนามรูปได้แล้ว
ณ ขณะจิตนั้นๆ จิตปราศจากความติดข้อง
จึงหยั่งเห็นความเป็นจริงปรากฎเอง
หรือลองหลอกตนเองแล้ว ก็ผจญความจริง
เคยโง่อยู่แล้ว กลายเป็นโง่กว่าเดิมเลย อืม!
ฮาๆๆๆ
สยบตัณหาขณะสงบจิตพร้อมสดับตรับฟัง
ณ ขณะจิตวางเฉย จึงเด็ดเดี่ยว นิ่ง แน่วแน่
จิตพร้อมไม่ว่า จะเป็น-จะตาย ไม่สนใจแล้ว
ห้าวหาญ พร้อมเผชิญหน้าทุกขณะจิตแล้ว
รู้ชัด วิธีการก่อนบรรลุ และหลังบรรลุนิโรธ
เจริญพร
.....
มรรค๘ เมื่อฟั่นเป็นหนึ่งเป็นประโยชน์แก่ ☟
🔴🔴🔴🔴🔴🔴🔴
ญาณทัสสนวิสุทธิ
ปัญญาปหานกิเลส (หลุดพ้นด้วยปัญญา)
จิตญาณ พร้อมจักดับขันธ์๕ จึงบรรลุนิโรธ
เมื่อจิตตื่น จึงสำนึกได้ว่า นิโรธ เห็นอริยสัจ๔
ใครบรรลุธรรมสูงสุดจะปรากฎนิโรธสมาบัติ
หรือผลสมาบัติ จะรับรองวิธีการประพฤติตน
จึงญาณ๑๓-๑๖ ข้ามโคตรปุถุชนแล้ว
⏹บรรลุธรรมเบื้องต้น
การบรรลุผลสมาบัติ หรือบรรลุพละสมาบัติ
🙏เห็นทุกข์ สังโยชน์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่๗
🙏เห็นสมุทัย สังโยชน์ที่ควรละให้ขาดอีก๗
🙏เห็นนิโรธ เห็นความดับกิเลสไม่เหลือแล้ว
นิโรธของอริยบุคคลขั้นต้น = พละสมาบัติ
🙏เห็นมรรค สำนึกเห็นวิธีการละสังโยชน์๓
วิธีที่ตนเคยใช้ละสังโยชน์๓ ตน จึงรู้วิธีแล้ว
⏹บรรลุธรรมเบื้องสูง เป็นนิโรธสมาบัติ
มีทั้งในระดับ พระอนาคามี, และพระอรหันต์
🙏เห็นทุกข์ สังโยชน์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่๕
พระอนาคามี เพราะว่า ละเด็ดขาดไปแล้ว๕
พระอรหันต์ ละสังโยชน์๑๐ จบกิจแล้ว
🙏เห็นสมุทัย สังโยชน์ที่ควรละให้ขาดอีก๕
พระอนาคามี เพราะว่า ละเด็ดขาดไปแล้ว๕
พระอรหันต์ ละสังโยชน์๑๐ เด็ดขาด
🙏เห็นนิโรธ เห็นความดับกิเลสไม่เหลือแล้ว
นิโรธของอริยบุคคลขั้นต้น = นิโรธสมาบัติ
🙏เห็นมรรค สำนึกเห็นวิธีการละสังโยชน์๕
พระอนาคามี เพราะว่า ละเด็ดขาดไปแล้ว๕
พระอรหันต์ ละสังโยชน์๑๐ เด็ดขาด
สุญญตาธรรม~นิพพาน 🙈🙉🙊
สุญญตา หรือนิพพาน ไม่ใช่ใครหลงว่างหมด
เห็นทั้งหมด-ทั้งมวลอยู่ภายใน สุญญตาธรรม
ธรรมที่เกิดจากความไม่มี-ดับไปจากความที่มี
ธรรมชาติที่เตือนสติอยู่ทุกขณะจิต
เป็นอย่างนี้แล ที่ว่า "บรรลุ ๓รอบ อาการ๑๒"
เจริญพร
.....
วน ๓ อาการ ๑๒ เป็นไฉน
ญาณ ๑๖
ปัจจเวกขณญาณ
ปัญญาญาณ ที่เห็นผลจิต ก็ยอมรับความจริง
พิจารณากิเลสที่ตนละลดลงได้ เด็ดขาดแล้ว
ย่อมเห็นสังโยชน์ ที่ตนเองยังเหลืออยู่
สุญญตาธรรม~นิพพาน 🙈🙉🙊
สุญญตา หรือนิพพาน ไม่ใช่ใครหลงว่างหมด
เห็นทั้งหมด-ทั้งมวลอยู่ภายใน สุญญตาธรรม
ธรรมที่เกิดจากความไม่มี-ดับไปจากความที่มี
ธรรมชาติที่เตือนสติอยู่ทุกขณะจิต
ขณะละขาด สังโยชน์ ๓
ผลบรรลุธรรมรอบแรก นิโรธ คือ ผลสมาบัติ
รับรองอริยบุคคลนั้นสำเร็จ พระโสดาบันผล
หรือสำเร็จ พระสกิทาคามีผล
รอบแรก นิโรธ คือ ผลสมาบัติ
■ ทุกข์ คือ สังโยชน์ ๑๐
■ สมุทัย ตัวการหลักๆ คือ สักกายทิฏฐิ
ความเห็นแก่ตัว ที่กักขังตัวเองในเมืองมาร
หรือติดกับดักของสังสารวัฏเห็นแก่ตนเอง
จึงกล้าทำบาป ไม่เกรงกลัวบาป
■ นิโรธ รอบแรกบุคคลนั้นบรรลุ ผลสมาบัติ
▪ละสังโยชน์๓ เด็ดขาดแล้ว คงเหลืออีก๗
■ มรรค วิธีการละสังโยชน์ ๓
▪ความเห็นว่า กู เป็นตัวกู ของกู, เห็นแก่ตัว
▪ไม่ถือศีลแบบผิดๆ ย่อมไม่ละเลยทำบาป
▪ความสิ้นสงสัยต่อ พระรัตนตรัยต่อ
ขณะละขาด สังโยชน์ ๕
ผลรอบสอง จะบรรลุนิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
รับรองบุคคลสำเร็จ พระอนาคามีผล
รอบสอง นิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
■ ทุกข์ สังโยชน์ ๗ (สังโยชน์ที่ตนเคยเหลือ)
■ สมุทัย ตัวการหลักๆ คือ ตัณหา
▪ความติดข้องราคะ หรือพอใจ
▪ความติดข้องปฏิฆะ หรือไม่พอใจ
■ นิโรธ รอบ ๒ บรรลุ นิโรธสมาบัติ
▪ละสังโยชน์ ๕ เหลืออีก ๕
■ มรรค วิธีการละสังโยชน์ ๕
▪วิธีใดช่วยลดละความติดข้องราคะได้แล้ว
▪วิธีใดช่วยลดละความติดข้องปฏิฆะนั้นได้
ขณะละขาด สังโยชน์ ๑๐
ผลรอบสามที่นิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
รับรองบุคคลสำเร็จ พระอรหันต์ผล
รอบสาม นิโรธ คือ นิโรธสมาบัติ
■ ทุกข์ สังโยชน์ ๕ (สังโยชน์ที่ตนเหลืออยู่)
■ สมุทัย ตัวการหลัก คือ อวิชชา (ความไม่รู้)
เพราะความจไม่รู้จริง ในสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้
■ นิโรธ รอบ ๓ บรรลุ นิโรธสมาบัติ
▪ละสังโยชน์ ๑๐ ไม่เหลืออีก ก็เป็นอรหันต์
■ มรรค วิธีการละสังโยชน์ ๑๐
▪ละความติดข้องรูปฌาน
▪ละความติดข้องอรูปฌาน
▪ละความสำคัญตนเองเด็ดขาดแล้ว
▪ละความฟุ้งซ่าน-รำคาญใจเด็ดขาดจริงๆ
▪ละอวิชชาเด็ดขาดแล้ว
เจริญพร
……………………………………………………………
มองมนุษย์แบบยิ้มๆ 🙈🙉🙊
ปุถุชน จักชอบทำบุญแต๊ๆ แต่ยังกลัวการตาย
อริยบุคคล ลดละบาป, กลับกลัวการเกิดจริงๆ
ทางอยู่ ทางไป เลยกระทำตัวแตกต่างกัน ☻☹
สุญญตาธรรม~นิพพาน 🙈🙉🙊
สุญญตา หรือนิพพาน ไม่ใช่ใครหลงว่างหมด
เห็นทั้งหมด-ทั้งมวลอยู่ภายใน สุญญตาธรรม
ธรรมที่เกิดจากความไม่มี-ดับไปจากความที่มี
ธรรมชาติที่เตือนสติอยู่ทุกขณะจิต ฉะนี้
สาธุ อนุโมทนา (^-^ ) 🤗🤗🤗
ระลึกถึงความดี ขณะจิต ที่ละเว้นบาปไปแล้ว
ขณะสำนึกถึงความดีนั้นๆ ที่เคยกระทำดีแล้ว
นึกถึงความดีของใครๆ ก็ได้ จิตเป็นกุศล
ปล่อยวาง มิใช่ละเลย (^-^ ) 🙈🙉🙊
สบายใจแล้ว จิตจะวางอารมณ์ กลางๆ ทันใด
สุขสงบๆ ท่ามกลางนึกคิดถึงใครๆ ก็แผ่ไปถึง
ส่งบุญถึงผู้ที่มีชีวิตอยู่ หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ส่งจากใจถึงใจได้ตลอดเวลา (^-^ )
🙈🙉🙊
รู้จักคิดก่อนวาง จักปล่อยวาง อย่างหมดห่วง
จิตตั้งมั่น, จิตพร้อมวิปัสสนาฯ พร้อมการงาน
จะทำอะไรๆ ก็มีสมาธิ จิตพร้อมรู้ สติดี๊ดี
วางจิตดีๆ สะเดาะเคราะห์ เรียบร้อยร้อยแล้ว
วางจิตๆ แผ่เมตตาเรียบร้อยแล้ว 🤗🤗🤗
เจริญพร