ดับที่ตรงไหน ก็เหมือนไฟเรานั่นแหละ มันลุกตรงไหน มันร้อนตรงไหน มันก็ดับที่ตรงนั้น มันร้อนที่ไหนก็ให้มันเย็นตรงนั้น
ก็เหมือนกับนิพพาน ก็อยู่กับวัฏฏะสงสาร
วัฏฏะสงสาร ก็อยู่ กับนิพพาน
เหมือนกันกับความร้อนกับความเย็น มันก็อยู่ที่เดียวกันนั่นเอง ความร้อนก็อยู่ที่มันเย็น ความเย็นก็อยู่ที่มันร้อน เมื่อมันร้อนขึ้น มันก็หมดเย็น เมื่อมันหมดเย็น มันก็ร้อน
วัฏฏะสงสารกับนิพพาน นี้ก็เหมือนกัน ท่านให้ดับ วัฏฏะสงสาร คือความวุ่น การดับความวุ่นวาย ก็คือ การดับความร้อน ไฟทางนอกก็คือไฟธรรมดา มันร้อน เมื่อมันดับแล้ว มันก็เย็น
แต่ความร้อนภายในคือ ราคะ โทสะโมหะ ก็เป็นไฟเหมือนกัน ลองคิดดูเมื่อ ราคะ ความกำหนัดเกิดขึ้น มันร้อนไหม? โทสะเกิดขึ้นมันก็ร้อน โมหะเกิดขึ้นมันก็ร้อน มันร้อน ความร้อนนี่แหละที่ท่านเรียกว่าไฟ เมื่อไฟมันเกิดขึ้น มันก็ร้อน เมื่อมันดับ มันก็เย็น
ความดับ นี่แหละคือ นิพพาน
นิพพานคือสภาวะที่เข้าไปดับซึ่งความร้อน ท่านเรียกว่า สงบ คือดับซึ่งวัฏฏะสงสาร
วัฏฏะสงสารคือความเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนั้น เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็คือการเข้าไปดับซึ่งความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง อันนั้น เรียกว่าการดับราคะ ดับโทสะ ดับโมหะ ก็"ดับที่ใจ"ของเรานั่นแหละ คือ"ใจ"ถึงความสงบ ในความสงบนั้น สุขก็ไม่มี ทุกข์ก็ไม่มี
ผู้เข้าไปเห็นแล้ว เป็นของรู้เฉพาะตนเอง
ธรรมนั้นประกาศไม่ได้ ธรรมนั้นแสดงไม่ได้ เอาให้ไม่ได้ ธรรมนั้นเป็นปัจจัตตัง
ใครเข้าถึงก็เห็นเองรู้เอง.."
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
"..เมื่อความสงบตั้งอยู่แล้ว เราก็ดูความสงบนั้นแหละ เพราะ มันไม่มีอะไรแล้ว เมื่อความสงบเกิดขึ้นความวุ่นวายก็ดับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่า นิพพาน คือ ความดับ
ไม่ฉลาดรักษาใจ จึงกวัดแกว่งไปตามอารมณ์
โดย
หลวงพ่อชา สุภัทโท
เปรียบน้ำฝน มันเป็นน้ำที่สะอาด มันจะมีความใสที่สะอาดปกติดี
ถ้าหากเราเอาสีเขียว สีเหลืองใส่เข้าไป
น้ำมันก็เป็นสีเหลือง สีเขียว
จิตใจเรานี้เช่นกัน ฉันนั้น
เมื่อมันถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจมันก็สบาย
ถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ใจมันก็ไม่สบาย
เหมือนกับใบไม้ ที่มันถูกลม มันก็กวัดแกว่ง เอาแน่นอนไม่ได้
ดอกไม้ ผลไม้ มันก็ถูกลมเหมือนกัน ถูกลมมาพัด มันก็ตกไปเลย ไม่มีสุก
จิตใจมนุษย์เรานี้ก็เหมือนกัน
ถูกอารมณ์มาพัดไป ถูกอารมณ์มาฉุดไป มาดึงไป ตกไปก็เหมือนกันกับผลไม้
พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตโต
" ถ้าจิต...
เรา ฉลาดเราก็ไม่ยึด
แต่...วาง
เป็นผู้รู้...เฉย ๆ
รู้เท่า...แล้วปล่อยไปตามสภาวะ
อันเป็นลักษณะ ของจิต กับ เวทนาทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น
แม้ว่า...เรา เจ็บขึ้นมา เราก็ยังรู้สึกว่า
เวทนา มันก็เป็นเวทนา
จิต มันก็เป็นจิต
เป็นคนละส่วน กันอยู่
รู้จักเจ็บไหม ? รู้จัก
รู้จักสบายไหม ? รู้จัก
แต่เรา ไม่ไปอยู่ในความสบาย และ ความไม่สบายนั้น
อยู่...แต่ในความสงบ คือ หมายความว่า...
ท่านไม่มีสุข ไม่มีทุกข์
(สงบ จากสุข สงบ จากทุกข์)
ท่านรู้ว่า...มันสุข มันทุกข์อยู่...เหมือนกัน
แต่ท่าน ไม่แบกมันไว้
เวทนานั้น...มันก็ ไม่เกิด."
____________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
จิตใจของเรา จึงจะพบกับความสุขที่แท้จริง
ปล่อยวางความหลง
ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ในร่างกายของเรา ในอารมณ์ภายในจิตใจของเรา ในวัตถุธาตุทั้งหลายที่คิดว่าเป็นของเรา
ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไปจาก
พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่า
“สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”
หมายถึง จิตใจสงบระวังจากกิเลส
การปฏิบัติของเรา ก็คือ
ให้มีสติควบคุมเสมอ ในการยืน เดิน นั่ง นอน
ให้รู้จักผิด รู้จักถูก
อย่าไปมองดูข้างนอก
ถ้าไปยึดข้างนอก มันจะลืมตัว มันจะไม่เห็นตัว
เราจะรักอันนั้น เราจะรังเกียจอันโน้น
เพราะจิตเราเป็นเหตุ เป็นต้นตอ
ฉะนั้นเราจะต้องดูจิตอันเดียวเท่านั้น
ถ้าเรารู้จัก มันก็เป็นอย่างนั้น
หลวงพ่อชา สุภัทโท
สติกับปัญญา
เป็นธรรมอันสำคัญอย่างยิ่ง
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ขึ้นต้นน่ะ พิจารณาเอาให้ได้ชัยชนะสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ตลอดเวลา คอยตบคอยตีเราอยู่ตลอดเวลา คืออะไร ? มันมีที่ไหน ?
มันมีแต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้เท่านั้น ตัวสำคัญจริงมันอยู่ที่ตรงนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเป็นทางเดินเข้ามาแห่งอารมณ์ต่างๆแล้วเข้ามาหาสัญญาอารมณ์ซึ่งเป็นกองขันธ์นี่เอง
สุดท้ายก็กองขันธ์นี่แหละรบกับเรา หรือมันไม่ได้รบก็ไม่ทราบ เราหมอบราบอยู่แล้วก็ไม่ทราบว่าจะมารบกับอะไร นอนทับถ่ายรดไปเลยไม่มีปัญหาอะไร เพราะยอมมันอย่างราบคาบแล้วนี่!
ทีนี้เราจะไม่ให้เป็นอย่างนั้น เราแก้ตัวเรา เราให้เป็นเท่าที่เป็นมาแล้วเท่านั้น เวลานี้เราได้ศาตราวุธ คืออรรถธรรม สติปัญญาแล้ว เราจะต่อสู้ พิจารณาเอาให้ได้ชัยชนะภายในตัวเรา ไม่เอาชัยชนะกับผู้ใดเลย
เอากับผู้ใดจะเป็นเรื่องก่อเวรกับผู้นั้น เอากับสัตว์ตัวใดก็เป็นเรื่องก่อเวรกับสัตว์ตัวนั้น ขึ้นชื่อว่า “อื่น นอกไปจากตัวเอง”แล้วมีแต่เรื่องก่อกรรมก่อเวร ไม่เป็นของดีเลย สิ่งที่เลิศประเสริฐสุดก็คือ “เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโม” การชนะเรื่องของเรานี่เท่านั้นเป็นเรื่องประเสริฐสุดในโลก
พระพุทธเจ้าก็ชนะแบบนี้
สาวกอรหัตอรหันต์ท่านชนะแบบนี้ ท่านเป็นผู้ไม่ก่อเวรก่อกรรม นอกจากนั้นสัตว์โลกยังได้อาศัยท่านมาเป็นลำดับจนกระทั่งบัดนี้ ท่านเอาชนะตรงนี้
พระธรรมเทศนา
พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่
พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล
ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙
"ปลุกใจสู้กิเลส"
#พระมหาเจดีย์ศรีแสงธรรมวิสุทธิมงคล
ดวงตา...เห็นธรรม
"ใจที่รู้" นั่นแหละคือ "ใจที่สงบ"
"ใจที่ไม่รู้" นั่นแหละคือ "ใจที่หลง"
อย่าไปกลัวจะไม่สงบ
อย่า..ไปบังคับใจไม่ให้คิด เรื่องใจมันเป็น"อนัตตา"
สิ่งที่หลายทั้งปวงบังคับบัญชาไม่ได้
มันจะสงบ อ๋อ! เราบังคับไม่ได้ มันสงบเอง
คนที่ภาวนาแล้วไปบังคับให้สงบ ไม่ให้มันคิด
นั่นแหละ! จะไม่มีวันรู้จัก "อนัตตา" เลย
ถ้าเห็นอนัตตาบ่อยๆ นี่ มันเข้าถึงธรรมได้นะ
จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเข้าถึงความจริงที่
"กาย".."จิต" แสดงออกมา ยอมรับ และแก้ไข
ปรับปรุงไปตามหน้าที่ แม้ใจไม่อยากให้เป็น
ก็ อ๋อ! มันเป็น"เรื่องของใจ" ไม่ใช่"เรื่องของเรา"
ต้องเด็ดขาดลงไปอย่างนี้ ถึงจะได้ ดวงตา-
เห็นธรรม ไม่เช่นนั้นจะได้ ดวงตาหลงทาง"
อ.กำพล ทองบุญนุ่ม ชมรมเพื่อนคุณธรรม
เหนือสุข เหนือทุกข์ สงบจากปัญญา
.
“ความสงบ”นี้ มี ๒ ประการ คือ...
ความสงบอย่างหยาบ อย่างหนึ่ง
และ ความสงบอย่างละเอียด อีกอย่างหนึ่ง
.
อย่างหยาบ นั่นคือ เกิดจากสมาธิที่เมื่อสงบแล้วก็มีความสุข แล้วถือเอาความสุขเป็นความสงบ
.
อีกอย่างหนึ่ง คือ ความสงบที่เกิดจากปัญญา นี้ไม่ได้ถือเอาความสุขเป็นความสงบ แต่ถือเอาจิตที่รู้จักพิจารณาสุขทุกข์ เป็น ความสงบ
.
เพราะว่า ความสุข ทุกข์ นี้ เป็นภพ เป็นชาติ เป็นอุปาทาน
จะไม่พ้นจากวัฏสงสาร
เพราะติดสุข ติดทุกข์
ความสุข จึงไม่ใช่ ความสงบ
ความสงบ จึงไม่ใช่ ความสุข
.
ฉะนั้น ความสงบที่เกิดจากปัญญานั้น จึงไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริงของความสุข ความทุกข์ แล้วไม่มีอุปาทานมั่นหมาย ในสุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา ทำจิตให้เหนือสุขเหนือทุกข์ นั้น ท่านจึงเรียกว่า..เป็นเป้าหมายของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง”
.
หลวงพ่อชา สุภัทโท
------------------------------------
.
สงบ..สันติ..เหนือสุข เหนือทุกข์
.
"ความดีใจ ความเสียใจ มันก็เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน คือ "ตัณหา" นั่นเอง ฉะนั้น บางทีเมื่อมีสุขแล้วใจก็ยังไม่สบาย ไม่สงบ ทั้งที่ได้สิ่งที่พอใจแล้ว เช่น ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้มาแล้วดีใจก็จริง แต่มันก็ยังไม่สงบจริงๆ เพราะยังมีความเคลือบแคลงใจว่ามันจะสูญเสียไป กลัวมันจะหายไป ความกลัวนี่แหละเป็นต้นเหตุให้มันไม่สงบ บางทีมันเกิดสูญเสียไปจริงๆ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก นี่หมายความว่า ถึงจะสุขก็จริง แต่ก็มีทุกข์ดองอยู่ในนั้นด้วย แต่เราไม่รู้จัก เหมือนกันกับว่าเราจับงู ถึงแม้ว่าเราจับหางมันก็จริง ถ้าจับไม่วางมันก็หันกลับมากัดได้ ฉะนั้น หัวงูก็ดี หางงูก็ดี บาปก็ดี บุญก็ดี อันนี้อยู่ในวงวัฏฏะ หมุนเวียน เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว ก็ไม่ใช่หนทาง
.
ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น ถ้าหากพูดกันตามลักษณะ ตามความเป็นจริงแล้ว ก็ยังไม่ใช่แก่นศาสนา หรือตัวศาสนา แต่เป็นหนทางนำไปสู่ตัวศาสนา ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้ง 3 อย่างนี้ว่า "มรรค" อันแปลว่า "หนทาง"
.
ตัวศาสนาคือ "ความสงบระงับ" อันเกิดจากความรู้เท่าทันในความจริง ในธรรมชาติของความเป็นจริง ที่เกิดอยู่ เป็นอยู่ ซึ่งถ้าได้นำมาพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ก็จะเห็นว่า "ความสงบ"นั้น ไม่ใช่ทั้งความสุข และ ความทุกข์ ฉะนั้น สุข และ ทุกข์ จึงไม่ใช่เป็นของจริง"
.
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "ทางสายกลาง" บรรยายธรรมด้วยภาษาพื้นเมือง แก่ภิกษุ สามเณร และ ฆราวาส เมื่อ พ.ศ 2513
-----------------------------------------------
.
หมายเหตุ ( ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ )
ดังนั้น พุทธศาสนสุภาษิต จึงมีว่า...
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี
สนฺติ (สันติ) หมายถึง ความสงบ, ความระงับดับหายหมดไปแห่งความพลุ่งพล่านเร่าร้อนกระวนกระวาย, ภาวะเรียบรื่นไร้ความสับสนวุ่นวาย, ความระงับดับไปแห่งกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดความเร่าร้อนว้าวุ่นขุ่นมัว,
ในสุภาษิตนี้ " สนฺติ " เป็นคำไวพจน์หนึ่ง(คือคำที่ใช้เรียกแทนกันได้)ของ" นิพพาน"
บทเรียนของพระพุทธเจ้า ๓ บท สีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา
สีลสิกขาเป็นการเตรียมความพร้อมจัดระเบียบกายวาจา จิตตสิกขาเป็นการเตรียมความพร้อมของจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญปัญญา เป็นการจัดระเบียบจิตใจ ก็คือเป็นการฝึกให้จิตตั้งมั่นเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นเอง
เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาเรียนเรื่องจิตก่อนถึงจะไปเดินปัญญาได้ ถ้าไม่เรียนเรื่องจิตก่อนจะไปเดินปัญญา ก็จะเอาจิตที่ไม่มีคุณภาพไปเจริญปัญญา มันไปไม่รอดหรอก มันก็กลายไปเป็นการเพ่งรูปเพ่งนาม เพราะไม่สามารถรู้รูปรู้นามตามความเป็นจริงได้
เพราะฉะนั้นเราจะมาฝึกจิตของเรา หัดพุทโธไป หัดหายใจไป หัดดูท้องพองยุบไป อะไรก็ได้สักอย่างหนึ่งนะ หาเครื่องอยู่ให้จิตสักอย่างหนึ่งนะ ถ้าไม่มีเครื่องอยู่เลย จู่ๆจะไปดูมันเลย ดูยาก จิตมันว่องไว มันหนีเร็ว แล้วพอหนีทีหนึ่ง ถ้าไม่มีบ้านให้จิตอยู่ จะหนีนาน หลงนาน เราก็มาพุทโธ มาหายใจ มาดูท้องพองยุบ จะขยับมือทำจังหวะตามอย่างหลวงพ่อเทียนก็ได้ อะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง หรือจะอยู่กับพุทโธๆไปเรื่อยๆก็ได้ บริกรรมเอา
ให้มีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ เพื่อที่จะรู้ทันจิต ตัวนี้ตัวสำคัญ ไม่ใช่มีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ เพื่อให้จิตสงบ แต่มีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่เพื่อที่จะรู้ทันจิต ถึงจะเรียกว่าจิตตสิกขา มีเครื่องอยู่ให้จิตสงบจะไม่ได้เรียนเรื่องจิต ไม่ใช่จิตตสิกขาจริง
เพราะฉะนั้นเราอยู่กับพุทโธๆแล้วเราก็คอยรู้ทันจิต จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตหนีไปคิดรู้ทัน หรือจิตไปเพ่งจิตนิ่งๆ ก็รู้ทัน เวลาเรารู้ลมหายใจ ถ้าคนไหนถนัด รู้ลมหายใจ แต่รู้ลมหายใจเพื่อจะรู้ทันจิต ไม่ใช่เพื่อให้จิตนิ่งอยู่กับลมหายใจ รู้พุทโธก็เพื่อรู้ทันจิต ไม่ใช่ให้จิตนิ่งอยู่กับพุทโธ ดูท้องพองยุบก็เพื่อให้รู้ทันจิต ไม่ใช่ให้จิตไปนิ่งอยู่กับท้อง เดินจงกรมยกเท้าย่างเท้านะ ก็เพื่อจะรู้ทันจิต ไม่ใช่ให้จิตไปอยู่ที่เท้า ไม่ใช่ให้จิตหลงไปเพ่ง เพราะฉะนั้นการที่เราหัดกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง มีบ้านให้จิตอยู่แล้วรู้ทันจิตอยู่เรื่อยๆ มันจะเป็นการซ้อมรู้เวลาจิตหลงไป
จิตหลงไปคิดกับจิตหลงไปเพ่ง จิตหลงมี ๒ อัน หลงไปคิดกับหลงไปเพ่ง ก็เผลอกับเพ่งเท่านั้นเอง จิตเพ่งก็ถือว่าหลงเหมือนกัน แต่หลงแบบผู้ดีหน่อย จิตหลงไปก็หลงแบบผู้ร้าย
หลวงพ่อมีหลานคนหนึ่งนะ เล็กๆ แล้วมันบอกว่า มันเห็นแล้วล่ะว่า จิตเผลอกับจิตเพ่งเนี่ย จิตเพ่งเนี่ยเป็นจิตหลงแบบมีปัญญา เด็กใช้คำอย่างนี้นะ หลงแบบฉลาด หลงแบบคนฉลาด แต่ก็ยังหลง มันเห็นอยู่แล้วแบบนี้ยังหลงอยู่
เพราะฉะนั้นเรามาคอยรู้ทันจิตที่หลงบ่อยๆ พุทโธไปจิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตไปเพ่งจิตรู้ทัน หายใจไปจิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตไปเพ่งลมหายใจรู้ทัน ดูท้องพองยุบนะจิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตไปเพ่งท้องรู้ทัน เดินจงกรมยกเท้าย่างเท้าอยู่ จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตไปเพ่งเท้ารู้ทัน หรือเดินจงกรมแล้วรู้ร่างกายทั้งร่างกายอยู่ จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตเพ่งร่างกายทั้งร่างกาย ก็รู้ทันอีก จิตเผลอก็รู้ จิตเพ่งก็รู้ ฝึกซ้อมตัวนี้ให้มากเลย เป็นพื้นฐานที่สำคัญ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สายหลวงพ่อเทียนที่ตามหลวงพ่อเทียนได้
หลวงพ่อรู้จักองค์หนึ่ง คือ หลวงพ่อคำเขียน
เคยเจอท่านหลายครั้ง ท่านบอกเลยว่า
เรื่อง ๑๔ จังหวะอะไรเนี่ย มาทีหลัง คิดกันขึ้นมาทีหลัง
สิ่งที่หลวงพ่อเทียนสอน แก่นจริงๆ
คือ เรื่องสตินั่นแหละ
หลวงพ่อไปเจอท่านครั้งแรก ท่านเป็นมะเร็ง
อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
เข้าไปกราบท่านนะ ท่านลุกไมได้นะ
ท่านก็นอนคุย
พอเห็นหน้าหลวงพ่อนะ ท่านก็อุทาน บอกว่า
“ไปได้แล้ว ไปได้แล้ว”
ไปได้แล้วไม่ใช่ตัวท่านไปนะ
ไปได้แล้วหมายถึงว่ามีผู้สืบทอดคำสอนเกี่ยวกับการเจริญสติแล้ว
ศาสนาพุทธไปได้แล้ว ยังดำรงต่อไปได้
เจตนาท่านจะบอกอย่างนี้
งั้นจริงๆ แล้ว ใจความสำคัญคือการเจริญสตินะ
การขยับไม้ขยับมือ หรือไปดูท้องพองยุบ
หรือไปท่องพุทโธ หรือไปทำอานาปานสติ
ถ้าทำไม่ถูก มันก็เป็นสมถะไปหมดแหละ
แต่ถ้าทะลุเข้ามาจนถึงการเจริญสติ
มันถึงจะได้สาระแก่นสารของการปฏิบัติ
เข้าใกล้มรรคผลนิพพานมากขึ้นๆ
งั้นการเจริญสติเป็นเรื่องใหญ่
รูปแบบเป็นเรื่องรอง ทำไปตามความถนัด
กรรมฐานอะไรก็เหมือนกันหมดแหละ
ถ้าทำถูกก็ใช้ได้ ถ้าทำผิดก็ใช้ไม่ได้
ไม่ใช่ว่าอันใดอันหนึ่งดี อันอื่นไม่ดี - ไม่ใช่
อย่างบางคนฝึกมาสายอภิธรรม
“รูปเคลื่อนไหว นามเป็นคนรู้”
สายอภิธรรมจะพูดอะไรที่คนอื่นไม่รู้เรื่อง
“รูปเคลื่อนไหว นามเป็นคนรู้” ก็หลักเดียวกัน
คือ มีสติ
แต่พอลงมือปฏิบัติจริง ส่วนใหญ่มันกลายก็เป็นสมถะ
พอรูปเคลื่อนไหว นาม (ใจ) เป็นคนรู้นี่มันถลำลงไปรู้
จิตมันไม่ตั้งมั่น
งั้นถ้าจิตไม่ตั้งมั่น เวลารู้อะไรก็ถลำลงไปรู้หมดแหละ
ใจมันไปรวมเข้ากับอารมณ์
พอใจไปรวมเข้ากับอารมณ์ มันก็เหมือนคนตกน้ำ
ตกลงไปในน้ำ ไม่สามารถมองอะไรได้ชัดเจนแล้ว
ไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเราอยู่บนบกนะ เราจะเห็นเลยว่า
เรือลำนี้ผ่านมา เรือลำนี้ผ่านไป
แพซุงล่องมาล่องไป
อะไรผ่านมาก็เห็น ผ่านไปก็เห็น
กระทั่งหมาเน่าตายลอยตามน้ำมา
หรือศพคนลอยน้ำมา ก็ลอยมาลอยไป
ใจมันอยู่ข้างบน
ถ้าเราตกลงไปในน้ำด้วยนะ ไหลไปคู่กัน
อย่างเราตกลงไปข้างเรือ แล้วก็ลอยไปด้วยกัน
เราก็จะเห็นแต่เรือนี่เที่ยง คงที่
ลืมตาขึ้นทีไร ก็ยังเห็นเรือลอยข้างๆ เรา
เพราะมันลอยไปด้วยกัน
ถ้าเราอยู่บนบก เราจะเห็นทุกอย่างผ่านมาผ่านไปเรื่อยๆ
กรรมฐานนี้ก็เหมือนกัน
ถ้าใจเราถลำลงไปแช่อยู่ที่ตัวอารมณ์นะ
เราจะไม่เห็นไตรลักษณ์หรอก
เราจะเห็นว่าอารมณ์นี้มันเที่ยง
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาของ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา
วันอาทิตย์ที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
_/|\_ _/|\_ _/|\_
Cr. Kanlayanatam