เมื่อทำบุญเบื้องต้น คือ ทาน ศีล แล้ว. พึงตั้งจิตกอปรเกี่ยวปีติแลสุขแห่งบุญนั้นให้มั่นไว้
จากนั้น รวมพลังจิตให้เป็นกระแสบุญ, เป็นแสงแห่งบุญ อันโอภาสสุกใส-สุขใส ตลอดเวลา เถิด นะลูกหลานเอ๊ย ฯ:
นี้แล เรียกว่า "#การภาวนาเบื้องต้น"
{ใครยังทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ทำไม่คล่อง ให้น้อมรำลึกหลวงปู่ใหญ่ประทานทิพยพรชัย ช่วยกระทำให้ ประดุจเป็นพี่เลี้ยง เถิด}
ส่วน "#การภาวนาเบื้องปลาย" คือ เมื่อจิตอิ่ม ปริ่มเปรม ในกระแสบุญดังกล่าวเป็นที่ยิ่งแล้ว พึงยกจิตแลสภาวะทั้งปวงเข้าสู่บรมธรรม คือ สามัญลักษณะ เรียกว่า "#สูงสุดคืนสู่สามัญ" คือ อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา เถิด จึงจักล่วงลุถึงความพ้นทุกข์แท้จริง เข้าถึงบรมสุขแท้จริง แล..
-----------------
#เมตตากรุณาเหนือทิพย์เหนือพรหม คือ อย่างไร ?
---------------------
#เมตตา คือ ตั้งความปรารถนาดีไว้ในจิตใจ
#กรุณา คือ ลงมือช่วยเหลือตามที่ปรารถนาดีนั้น ดำเนินความช่วยเหลือนั้นไปให้ถึงเป้าหมายคือสัมฤทธิผล
การฝึกจิตแผ่เมตตาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญ แม้ว่าลูกหลานยังมิได้ลงมือช่วยเหลือใครในตอนนี้ แต่จะทำให้ใจตนเป็นสุข และเป็นการบ่มเพาะให้เกิดความกรุณาได้ในกาลต่อไป..
สำหรับ เมตตา กรุณา อันเป็นสภาวะเหนือทิพย์นั้น ก็คือการมีพื้นฐานจากเมตตา, กรุณาอย่างสามัญดังหลวงปู่ใหญ่กล่าวขานให้ลูกหลานเข้าใจไปแล้วข้างต้นนั่นแล.. แต่สภาวะเหนือทิพย์นั้นคือเหนือพรหม
ที่ว่าเป็น "พรหมวิหาร" นั้น ก็ยังเป็นชั้นพรหม ยังมีอาสวะชั้นกลางชั้นละเอียดแปดเปื้อนอยู่
สำหรับพระอรหันต์ผู้บำเพ็ญสืบเนื่องมาเพื่อความสิ้นกิเลสนั้น ท่านต้องมีความเมตตาเป็นรากฐานสำคัญ มิฉะนั้นจะหมดกิเลสมิได้
แต่พระอรหันต์แต่ละองค์มีความกรุณาไม่เท่ากัน เพราะท่านตั้งมโนปณิธานและบำเพ็ญบารมีไว้ไม่เท่ากัน
ผู้ใดได้รับเมตตาจากพระอรหันต์เจ้านั้นนับว่าเป็นบุญวาสนา
แต่สำหรับผู้ใดที่ได้รับทั้งความเมตตา+กรุณาจากพระอรหันตเจ้านั้น ถือเป็นบุญวาสนาอย่างอภิ คือ ยิ่งใหญ่
เพราะเมตตา+กรุณาจากพระอรหันต์ โดยเฉพาะท่านผู้บำเพ็ญกรณียกิจสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปีนั้น เป็นเมตตากรุณาเหนือทิพย์ คือ เหนือเทพเหนือพรหมทั้งหมด
ก็โดยเหตุที่ท่านพ้นแล้วจากอวิชชาแลอาสวะทั้งหมด ท่านย่อมบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากเราทั้งสิ้น. นอกจากหวังให้ลูกหลานทั้งหลายจำเริญขึ้นรุ่งเรืองขึ้น ทั้งทางโลกและทางธรรม เพื่อเป็นกำลังร่วมกัน "สืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี" นั่นแล...
.. นะลูกหลานเอ๊ยฯ: ..
------------------
#สภาวะทิพย์ก่อนพระตถาคตเสด็จดับขันธปรินิพพาน
#เรื่องเล่าขานจากหลวงปู่ใหญ่เนื่องด้วยวันวิสาขบูชา
ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย ฯ:
หลวงปู่ใหญ่จักเล่าขานถึงปัจฉิมกาลก่อนพระตถาคตเจ้าจักเสด็จดับขันธปรินิพพาน ดังต่อไปนี้.....
ภายใต้อนันตจักรวาลอันไพศาลหาขอบเขตมิได้นี้ ประกอบไปด้วย "โลกธาตุ" จำนวนมหาศาลสุดจะนับประมาณได้
สำหรับโลกธาตุอันเป็นที่เกิดที่อาศัยของมนุษย์อันเป็นสัตว์มีสติปัญญาบริบูรณ์ มีจำนวน 10 โลกธาตุด้วยกัน
เทพยดาแห่ง 10 โลกธาตุนั้น เป็นผู้มีบุญญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์
ครั้นเมื่อเทวดาแห่ง10โลกธาตุนั้น ได้ทราบว่า "ชมพูทวีป" อันเป็นโลกธาตุเดียวเท่านั้นในอนันตจักรวาลที่จักมีพระพุทธเจ้ามา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน..
เทพเหล่านั้นย่อมหมายจักมาร่วมสักการะบูชาพระพุทธเจ้า ในเหตุการณ์สำคัญ คือ กาลที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน นั่นเอง
การมาของเหล่าเทพทั้ง 10 โลกธาตุ เพื่อรวมตัวกัน ณ ชมพูทวีปนั้น นับเป็นสภาวะทิพย์วิเศษอันยิ่งใหญ่สุดพรรณนา
ณ ควงไม้สาละทั้งคู่ คือ ต้นสาละอันเกิดเป็นลำต้นคู่พิเศษสำหรับเป็นจุดที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ฤดูนั้น แม้มิใช่กาลที่สาละจักผลิดอกได้ แต่ต้นสาละทั้งคู่กลับผลิดอกสะพรั่ง ร่วงหล่นโปรยปรายลงต้องพระสรีระพระตถาคตเจ้า
แม้ดอกมณฑารพแห่งสรวงสวรรค์อันเป็นทิพย์...
แม้จุรณแห่งจันทน์อันเป็นทิพย์...
ก็ร่วงหล่นจากนภากาศ มาต้องพระสรีระ เพื่อบูชาพระพระพุทธเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย
ดนตรีทิพยสังคีตแห่งเทพพรหมทุกชั้นฟ้า ก็บรรเลงสืบต่อกันมาในทุกท้องนภาลัย เพื่อบูชาไว้อาลัยต่อพระพุทธองค์
เพลานั้น พระอรหันต์มหาเถระรูปหนึ่ง นามว่า "พระอุปวาณะ" ทำหน้าที่ถวายงานพัดพระพุทธเจ้าอยู่
พระพุทธเจ้าดำรัสแก่พระอุปวาณะว่า "ภิกษุ เธอจงหลีกออกไปเถิด อย่าได้ยืนขวางเตียงตั่งตรงหน้าตถาคตเลย"
พระอานนท์เถระ แม้อยู่ในอาการโศกเศร้าสุดประมาณ แต่ก็ได้เอ่ยถามพระพุทธเจ้าไปเพื่อหมายบันทึกเหตุการณ์สำคัญนั้นไว้ให้บริบูรณ์ ว่า "พระพุทธเจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงทรงตรัสดังนั้น ด้วยพระอุปวาณะนี้ก็เป็นพระอุปัฏฐากใกล้ชิดพระผู้มีพระภาครูปหนึ่งมานานแสนนาน ไฉนจึงให้หลีกพระองค์ออกไปเสีย ?"
พระพุทธเจ้าตรัสตอบพระอานนท์ว่า
"อานนท์ เทพโดยมากใน 10 โลกธาตุมาประชุมกันเพื่อจะเยี่ยมตถาคต ณ สวนสาละวันของพวกเจ้ามัลละ อันเป็นทางเข้ากรุงกุสินาราแห่งนี้ ซึ่งมีเนื้อที่ 12 โยชน์โดยรอบ
พวกเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่มีจำนวนมหาศาล เบียดเสียดกันอยู่เท่าปลายขนเนื้อทรายจรดลง พวกเทพทั้งหลายจักโทษว่า.. พวกเรามาไกลก็เพื่อจักได้สักการะพระตถาคตในปัจฉิมกาลนี้ มีเพียงครั้งคราวที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้ ตถาคตจักปรินิพพาน
ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ยืนบังอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ทำให้เหล่าเทพทั้งหลายเกรงใจไม่สามารถเข้าเฝ้าพระตถาคตในปัจฉิมมกาลนี้ได้"
ท่านพระอานนท์ทูลถามต่อว่า "พวกเทวดาทั้งหลายเป็นอย่างไร ? คิดกันอย่างไร ? พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"อานนท์เอย มีเทวดาบางพวก กระทำปาฏิหาริย์กำหนดแผ่นดินขึ้นมาบนชั้นอากาศ แล้วสยายผม ประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนคนเท้าขาด เพ้อรำพันว่าพระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสียแล้ว จักษุของโลกจักด่วนอันตรธานไปแล้ว
มีเทวดาบางพวก กระทำปาฏิหาริย์กำหนดแผ่นดินขึ้นบนแผ่นดิน แล้วสยายผม ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนคนเท้าขาด เพ้อรำพันว่า พระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสียแล้ว จักษุของโลก จักด่วนอันตรธานไปแล้ว
ส่วนพวกเทวดาที่ไม่มีราคะ มีสติสัมปชัญญะ อดกลั้นได้ ก็คิดว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เหล่าสัตว์จักพึงหาได้อะไรจากที่ไหนในสังขารนี้"
พระตถาคตทรงมีพระดำรัสต่อไปอีก ว่า...
" อานนท์เอย ตถาคตนี้จักชื่อว่ามีแต่มนุษย์พุทธบริษัท ๔ สักการะบูชา ก็หาไม่ ทิพยโลกทั้งหลายก็นอบน้อมบูชา ด้วยการเกิดแห่งตถาคตนี้เป็นความพิเศษ ยากยิ่งจักมีได้ ในห้วงกาลเทศะอันยาวนานหลายกัปกัลป์
แต่อันการบูชาสักการะต่อตถาคตนั้น สิ่งใดจักเสมอด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หามีไม่
ฉะนั้น อานนท์แลมนุษย์พุทธบริษัททั้งหลาย พึงสำเหนียกอย่างนี้เถิดว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบตามธรรมอยู่ โดยมีศีลเป็นต้น มีโลกุตรธรรมเป็นที่หมาย นั้นแล คือการสักการะบูชาตถาคตที่ดีที่สุด"
--------------------
#บทอธิษฐานขอขมา_อโหสิกรรม_ฉบับหลวงปู่เทพโลกอุดร.
บทนำ ; ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย กาลบัดนี้หลวงปู่ใหญ่จักมอบคำอธิษฐานขอขมา-อโหสิกรรมแก่ลูกหลานทุกคน ด้วยล่วงรู้ว่าลูกหลานหลวงปู่ใหญ่หลายคนทุกข์กายทุกข์ใจอันเนื่องมาจากกรรมเก่า และเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวง ทั้งที่ปรากฎตัวตนแลไม่ปรากฏ ก็ตาม. แลถึงแม้มิได้ปรากฏตัวตน แต่สภาพทุกข์บาปกรรมที่ลูกหลานต้องเผชิญอยู่นั่นเอง คือสภาพแห่งเจ้ากรรมนายเวร.. ขอลูกหลานทั้งหลายจงรับเอาคำอธิษฐานนี้ไปพิจารณาศึกษาใช้หลังจากสวดมนต์เจริญสมาธิภาวนา หรือ หลังจากทำบุญให้ทานแล้ว จะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมบ่วงเวร.. จำเริญ จำเริญ ยิ่งขึ้นไป นะลูกหลานเอ๊ย ๚
(บทอธิษฐานนี้ อยู่ใน #หนังสือสวดมนต์เจริญพระคาถาสายหลวงปู่ใหญ่ ที่กำลังรวบรวมปัจจัยเพื่อจัดพิมพ์ ขอให้ลูกหลานมาร่วมบริจาคทำบุญกับหลวงปู่ใหญ่เพื่อพิมพ์หนังสือนี้ให้แพร่หลายเป็นมหามงคลสืบพระพุทธศาสนาของเราต่อไปนะลูกนะ ลูกหลานจะได้รับอานิสงส์ยิ่งใหญ่มหาศาลประมาณมิได้ .. โปรดระมัดระวังผู้แอบอ้าง ขอให้ลูกหลานส่งข้อความแสดงความประสงค์บริจาคทำบุญ มาที่เพจหลวงปู่เทพโลกอุดร. นี้ เท่านั้น นะลูกนะ)
----------------------------
บทอธิษฐานขอขมา-อโหสิกรรม
ฉบับ หลวงปู่เทพโลกอุดร.
ว่านะโม 3 จบ
โย โลกุตตโร อรหัง อภิญญาธโร
อัปปะมาโณ พุทโธ,ธัมโม,สังโฆ
ปะมาณะสัตตานิ สัพเพ ภัทรานิ
ปัสสันตุ มา กิญจิ ปาปะมาคะมาฯ
กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง อะสัญจิจจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม.
กรรมอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำล่วงเกินต่อสัตว์ใดไว้ นับแต่ภพชาติใดก็ตาม ตราบถึงปัจจุบันชาตินี้ โดยตั้งใจก็ตาม มิได้ตั้งใจก็ตาม ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว ขอสัตว์ทั้งหลายจงยกโทษให้เป็นอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า เพื่อเปิดทางให้ข้าพเจ้าได้ดำรงชีวิตอยู่ ประกอบการอันเป็นบุญกุศล อุทิศบุญแก่สัตว์ทั้งหลาย และเพื่อเป็นไปตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ คือ เวรทั้งหลายย่อมระงับดับสูญได้ ด้วยการไม่จองเวรจองกรรมต่อกันและกันอีกต่อไป
แม้กรรมอันใดที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำล่วงเกินต่อข้าพเจ้าทุกภพชาติ ตราบถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขอยกโทษให้ อโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายเป็นอภัยทาน เป็นบุญยิ่งใหญ่ ก่อเกิดอานิสงส์พิเศษ ดลบันดาลใจให้สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า มีเมตตาจิต คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า
ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้า มารดาบิดาวงศาคณาญาติและผู้มีพระคุณของข้าพเจ้า จงพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ ขออาราธนาหลวงปู่ใหญ่ พระครูเทพโลกอุดร โปรดเป็นตัวกลาง ให้การอธิษฐานขออโหสิกรรมนี้จงสัมฤทธิผล และขออานุภาพบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของหลวงปู่ใหญ่ โปรดคุ้มครองรักษาข้าพเจ้าตลอดไป. ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนจักสำรวมระวังในความประพฤติทางใจ-วาจา-กาย ดำรงอยู่ในคุณธรรมความดีตลอดไป ขอความจำเริญสวัสดีมีชัย จงมีแด่ข้าพเจ้าตลอดกาลนาน ตราบถึงพระนิพพานะปัจจะโย โหตุ เทอญ ๚
----------------
พระพุทธองค์ให้พระ สีวลีเดินนำหน้าเมื่อจะเสด็จทางไกลไปยังถิ่นกันดารเพราะอะไร
พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือ
ปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่าน
อาศัยอยู่ในครรภ์ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ
พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพร
จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:-
“ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข
ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”
ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไปพระนาง
ประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนาน
พระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร”
เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็น
เวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน
ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗
พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก =
กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่
สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา
และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย
พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่
แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาต
แล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอาราม
พระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ
ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้
พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่ง
เหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อ
โกนผม ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็น
พระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ
ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจ
บุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย
แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไป
ด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย
เช่น....
พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี
สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะ
ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒
แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า.....
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่
อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์
ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วย
ภิกขาจาร”
พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-
“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร
บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหาร
บิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของ
พระสีวลี นั้นด้วย”
ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก
ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผล
ให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิ
ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านใน
ตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก
นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่ง
เบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็
ดับขันธปรินิพพาน
#ผู้ทำบุญมาก่อนเมื่อยามบุญส่งผลฉันได..ผู้ทำบาปกรรมทางไม่ดีก็ส่งผลฉันนั้น
#ยานพาหนะโดยสารศักดิ์สิทธิ์เหนือทิพย์นั้นคือฉันใด
-----------------
ปีติสุข แห่ง ทาน ศีล ภาวนา นั้น ธำรงรักษาสืบทอดไปเป็นกำลังให้มนุษย์พ้นจากวิกฤตทุกประการ ไปสู่ความจำเริญทางโลกแลโลกุตตระได้ ด้วย #ภาวนาทิพย์เหนือทิพย์.. นะลูกหลานเอ๊ย ฯ
อัน "#การภาวนาทิพย์เหนือทิพย์" นั้น คือการภาวนาน้อมรำลึกถึง พร้อมกับอาราธนาภาวะบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงมาประคับประคองกล่อมเกลี้ยงการบำเพ็ญทาน-ศีล-ภาวนา ที่เราประพฤติอยู่เป็นปกตินั้น ให้มีพลานุภาพสูงส่งยิ่งขึ้นกว่าธรรมดาทั่วไป สามารถเชื่อมโยงกระแสบุญบารมีเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ได้
อันว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์" นั้นคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หมดกิเลสแล้ว แต่ยังมีมหากรุณาธิคุณทรงอานุภาพสถิตเสถียรอยู่อย่างมหาศาลสุดประมาณได้ มีกระแสบุญบารมีเป็นพิเศษประดุจยานพาหนะขนส่งสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงพระสัทธรรมเพื่อสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี เป็นอานุภาพเชื่อมต่อระหว่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ขาดสายนับแต่องค์ปฐมเป็นต้นมาจนถึงพระพุทธเจ้าแห่งอนาคตกาลหาที่สุดมิได้
ทั้งนี้.. สัตว์ใดที่ขึ้นโดยสารยานพาหนะศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว เมื่อถึงสถานีที่หมายคือพระนิพพานแห่งพระศาสนานี้แล้ว จะลงจากยานก็ย่อมได้
แต่ยานนี้ยังคงจะดำเนินต่อไปเพื่อรับผู้โดยสารคือสัตว์โลกแห่งอนาคตกาล ให้เดินทางไปถึงที่หมายคือพระนิพพานแห่งพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ ไป
หลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรคือยานพาหนะทิพย์เหนือทิพย์บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์นั้น.. นะลูกหลานเอ๊ย ฯ:
๏ พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะชาลีติ โลกุตตโร จะ มหาเถโร เมตตาลาโภนะโสมิยะ อะระหังพุทโธ ยะธาพุทโมนะ พระนิพพานนะปัจจะโย โหตุ ๚ะ๛
--------------------
#ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนคืออย่างไร ?
ลูกหลานเอ๊ย.. บัดเดี๋ยวนี้ เขามักจะสอนกันว่า "มีตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นแสงสว่างให้แก่ตนเองได้ ไม่มีที่พึ่งอื่นใดนอกจากตนเอง"
ผู้ใดที่รับคำสอนนี้มา พึงพิจารณาให้ดี ให้ถี่ถ้วน นะลูกนะ
มิฉะนั้นจะกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เกิดความทะนงตน ซึ่งจะทำให้พึ่งตนไม่ได้อย่างแท้จริง ในระยะแรกๆคล้ายว่าจะพึ่งตนได้ แต่ต่อไปไม่นานกลายเป็นการทำลายตนทำลายผู้อื่น ก็ย่อมได้
การที่ตนจะเป็นแสงสว่างแก่ตน หรือ เป็นที่พึ่งแก่ตนได้นั้น.. ตนนั้นจะต้องได้รับการฝึกฝน-ขัดเกลา เอาพลังงานฝ่ายลบออก เอาพลังงานฝ่ายดีมาสู่ตน ประกอบพลังฝ่ายดีนั้นเข้ากับตนอย่างสอดคล้องต้องกัน จึงจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้แท้จริง
ถ้าไม่ผ่านการฝึกฝนอบรมตน ตนนั้นจะเป็นจุดศูนย์รวมของกิเลส-ตัณหาไปโดยอัตโนมัติ.. นี่ว่าตามธรรมชาติของตัวสัจธรรมเลยนะลูกหลาน
ตนนั้นเป็นที่พึ่งแห่งตนแน่นอน พระพุทธองค์ทรงสอนเราทั้งหลายเช่นนี้ แต่ก่อนที่พระองค์จะสอนเช่นนี้ ทรงสอนว่า "#ตนอันจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้นั้นต้องฝึกตน" .. แต่ไม่ค่อยมีใครหยิบยกสิ่งสำคัญทรงคุณค่านี้มาบอกกล่าวกันมากนัก
ลูกหลานหลวงปู่ใหญ่ที่ใฝ่ธรรม มุ่งหมายจักจำเริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป จักต้องใช้ พละทั้ง 5 ให้เป็น และชำนิชำนาญ นะลูกนะ #พละทั้งห้านี่เองคือเครื่องมือสำคัญในการฝึกตน นั่นคือ....
- ศรัทธา แล้วสืบเนื่องด้วย.....
- วิริยะ แล้วสืบเนื่องด้วย....
- สติ แล้วสืบเนื่องด้วย....
- สมาธิ แล้วสืบเนื่องด้วย....
- ปัญญา
ครั้นองค์ธรรมพละ 5 นี้ เกิดครบถ้วนแล้ว ให้ใช้ "สติ" เป็นประธานแห่งองค์ธรรมทั้งปวง กำหนดให้ "สติ" คอยควบคุมดูแลองค์ธรรมอีก 4 ประการให้ทำงานประสานสัมพันธ์กัน มิให้องค์ธรรมใดเกิดความยิ่งหย่อนไปกว่ากันจนกลายเป็นความบั่นทอนขัดแย้งกัน
การฝึกตนด้วยองค์ธรรมที่ชื่อว่า พละ 5 นี้ ลูกหลานหลวงปู่ใหญ่สมควรอย่างยิ่งที่ต้องเรียนรู้ให้มาก เพราะยังมีหลักการ หลักปฏิบัติ อันเป็นรายละเอียดอีกมากพอสมควร อีกทั้งยังเนื่องด้วย จริตและกรรมเก่าที่แต่ละคนสั่งสมมาไม่เหมือนกัน ทำให้การปฏิบัติในการฝึกตนจักต้องมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แม้หลวงปู่ใหญ่มีปฏิสัมพิทาญาณ แต่ภาษาอักขระของโลกก็อรรถาธิบายไม่ได้ครบถ้วน. ลูกหลานสมควรต้องฝึกจิตตนจนรองรับกระแสบุญกระแสจิตบริสุทธิ์จากพลังธรรมหลวงปู่ใหญ่ จึงจะได้รับการสื่อสารวิธีการแท้จริงที่จะฝึกจิตตนให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ จนบังเกิดอิทธิพลานุภาพสามารถพึ่งตนได้
ด้วย ธรรม พร และ เมตตา นะลูกหลานเอ๊ย ๚
----------------
ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย ฯ:
นี่คือรูปลักษณ์ "หลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์" แห่งลพบุรี ลูกศิษย์คนสำคัญผู้หนึ่งของหลวงปู่ใหญ่.
หลวงปู่แสงท่านนี้ยังได้เป็นอาจารย์ของ สมเด็จโต พรหมรังสี อีกด้วย
เล่าขานกันว่า ท่านสร้างพระเจดีย์ด้วยตัวท่านเองผู้เดียวเพื่อถวายหลวงปู่ใหญ่ สร้างเสร็จแล้วท่านกระโดดจากยอดพระเจดีย์ หายวับไปต่อหน้าต่อตาของผู้คนในแถบท้องที่นั้น
ต่อมา ท่านได้ธุดงค์ไปสุดหล้าฟ้าเขียว ได้ไปพบพระคัมภีร์โบราณ "ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก" ซึ่งหลวงปู่ใหญ่รจนาจารึกไว้ให้ลูกหลานได้ท่อง, สวดเพื่อเป็นมหาอุดมมงคล และสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี
ท่านแสงจึงได้ธุดงค์พร้อมทั้งเผยแผ่พระคัมภีร์ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกนี้อย่างเอาจริงเอาจังเพื่อสืบทอดปณิธานหลวงปู่เทพโลกอุดร
เมื่อสังขารกายใกล้อายุขัย หลวงปู่แสงเจริญฌานอยู่เป็นระยะเวลานานแสนนาน เพื่อรอผู้สืบทอดปณิธาน
ต่อมา "หลวงพ่อพรหม ถาวโร" ท่านได้ธุดงค์มาจากแดนไกล ได้มีโอกาสพบท่านแสงในถ้ำ ณ วัดช่องแค อ.ตาคลี นครสวรรค์ ปัจจุบันนี้. ได้มีโอกาสไต่ถามสนทนาธรรมกัน. หลวงพ่อพรหมได้เรียนรู้วิชชาต่างจากท่านแสงไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น. เมื่อท่านแสงมรณภาพแล้ว หลวงพ่อพรหมได้จัดพิธีฌาปนกิจให้อย่างสมเกียรติ.
แล้วหลวงพ่อพรหม จึงตัดสินใจสร้างวัดช่องแคขึ้น ณ บริเวณนั้น โดยมีปณิธานเดียวกันกับท่านแสง คือ เพื่อสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี
สำหรับทุนประเดิมก้อนแรกในการสร้างวัดช่องแคนั้น หลวงพ่อพรหมถึงขนาดตัดสินใจเดินทางกลับอยุธยาบ้านเกิด เพื่อขายที่ดินมรดกดั้งเดิมทั้งหมด นำปัจจัยมาสร้างวัดช่องแค
นี่เท่ากับหลวงพ่อพรหมได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสืบสานปณิธานตามรอยหลวงปู่ใหญ่ สืบเนื่องจากท่านแสง.. นั่นแล
พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ หลวงปู่ใหญ่ขอประทานพรให้ลูกหลานทุกคนที่มุ่งมั่นบำเพ็ญ ทาน-ศีล-ภาวนา เพื่อความพ้นทุกข์สิ้นเชิงแลเพื่อสืบพระพุทธศาสนาห้าพันปี จงจำเริญทางโลก จงรุ่งเรืองทางธรรม สัมฤทธิ สัมฤทธิ สัมฤทธิ จงทุกประการ ตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน.. นะลูกหลานเอ๊ย ฯ:
------------------
ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย
ช่วงเวลานับต่อแต่นี้ไปอีก 7 ปี ผู้ธำรงธรรม ปฏิบัติอยู่ในศีลธรรม มุ่งสู่โลกุตรธรรม จักได้รับพลังจากฟากฝั่งตรงข้ามมากเป็นพิเศษ มากกว่าปกติที่ผ่านมา ด้วยเหตุที่สภาวะของโลกธาตุกำลังเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่
อันว่าฝ่ายตรงข้ามกับธรรมนั้น อนุมานว่าเป็นมารก็ใช่ เป็นเจ้ากรรมนายเวรก็ใช่ เป็นเจ้าบุญนายคุณก็ใช่ แต่จักมีภาวะการแฝงเร้น ไม่แสดงตนในด้านใดเด่นชัด อาจมาในสภาวะน่าเห็นใจ ให้เราสงสารเวทนา ให้เราตระหนักบุญคุณ แต่ครั้นมิได้รับสิ่งพึงพอใจเขาจักหุนหันฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดขึ้นมาได้ทันที ซึ่งถ้าเมื่อใครได้สงสารเห็นใจเข้าไปแล้วยากนักจักสลัดออกไปไปได้ เขาย่อมเกาะติดเรา ให้เราต้องรับภาระหรือตกหนักถึงขั้นเป็นทาสเขาอยู่ร่ำไป..
นี้เป็นเพียงอากัปกิริยาอันหนึ่งที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น.. ยังมีอีกหลายแบบหลายอย่างเหลือเกิน.. นะลูกหลานเอ๊ย ๚
อย่างไรก็ตาม.. นะลูกหลาน.. ลูกหลานพึงใช้สติปัญญาและภูมิธรรมในการพิจารณาว่าจักกำหนดพฤติกรรมของเราอย่างไรต่อไป
หากลูกหลานจำเป็นต้องรับภาระนั้น สลัดออกไปมิได้ พึงอธิษฐานจิตอย่างโพธิสัตว์เพื่อรับภาระนั้นด้วยเมตตา,กรุณา,ขันติ,วิริยะ ทำภาระนั้นให้เป็นบุญ ทำบุญให้เป็นบุญนิธิ ทำบุญนิธิให้เป็นบุญญาธิการ. มิควรรับภาระด้วยความขุ่นมัวหมองหมางในอารมณ์ หรือ ไม่ควรเกิดอารมณ์ทางลบใด ๆ เลยแม้แต่น้อย. มีธรรมอันใดที่เราสมควรโปรดเขาให้แจ้งสว่างกระจ่างใจขึ้นมาบ้างก็ควรโปรดเขาด้วย อย่ารับภาระอย่างเดียว ประเดี๋ยวเขาจักเคยตัวในการเป็นฝ่ายรับอุปการะอย่างเดียว. จงโปรดเขาด้วยพรหมวิหาร อย่าโปรดด้วยหุนหันขึ้งเคียดเป็นอันขาด
แต่ถ้าหากรับภาระนั้นไม่ไหว จำเป็นต้องปลีกตัวออกจากภาระนั้น ก็พึงกำหนดรู้ด้วยจิตเป็นกลาง ให้รู้แจ้งจริง ไม่เข้าข้างตนเอง ว่า.. การที่เราปลีกตัวออกมาจากภาระนั้น เพราะเหตุใดกันแน่. เรามีกรรมอันควรต้องรับใช้อยู่ในกระบวนการกรรมนั้นหรือหาไม่. ถ้ามี แล้วเราต้องออกมาจากภาระนั้น เราจักคลี่คลายด้วยวิธีการอื่นใดอย่างไรต่อไป ด้วยความถูกต้องเหมาะสม และมีสัจจะมั่นคงที่จะรับใช้บาปกรรมไม่บ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ ลูกหลานต้องอรรถาธิบายต่อเจ้ากรรมนายเวร,เจ้าบุญนายคุณ ให้เข้าใจและยอมรับได้
ในฝ่ายโลกแห่งจิตวิญญาณ ด้วยความที่พวกเขาขาดธรรมกล่อมเกลามาตั้งแต่เขาเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ดิรัจฉาน เขาจึงกลายเป็นวิญญาณแห่งความทุกข์ทรมานยิ่งนักเมื่อตายไป เขาจึงมาร่ำร้องหาความพ้นทรมาน ให้ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเขาสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ ช่วยเขา. แต่เขามิอาจสื่อสารบอกกล่าวได้ เขาจึงสำแดงพลังแห่งความเครียด ความอึดอัด ความบีบคั้น ด้วยประการต่าง ๆ นานา มาสู่มวลมนุษย์
ลูกหลานหลายรายได้รับพลังทางลบจากโลกจิตวิญญาณอยู่ พึงรู้เถิด พวกเขาอยู่ในภาวะทรมานหนักหนา เพราะมีมนุษย์ทรงธรรมน้อยลงที่จะส่งกระแสบุญไปถึงพวกเขาได้. ในมวลหมู่มนุษย์เองก็มีพลังทางลบบีบคั้นกันและกันมากขึ้นผิดปกติ ก็เพราะมีมนุษย์ที่มีศีลธรรมซึ่งเชื่อมกระแสบุญไปถึงโลกุตรธรรมน้อยลง นั่นเอง
ภาวะวุ่นวาย ขุ่นข้อง หมองหมาง ด้วยประการต่าง ๆ นานา จึงเกิดในสังคมมนุษย์ขณะนี้มากขึ้น
จงมีขันติ จงมีมีสติ เพื่อเรียกหาตัวปัญญาจนถึงปัญญาวิมุตติมาอยู่กับเนื้อกับตัวให้ทันเวลา ซึ่งจะมีดังกล่าวได้ก็ด้วยการสวดมนต์เจริญภาวนากราบไหว้รำลึกพระรัตนตรัย หลวงปู่ใหญ่ ให้มาก ให้บ่อย ด้วยศรัทธาบริสุทธิ์ ซาบซึ้ง ไม่จืดจาง. เมื่อดวงจิตลูกหลานชุ่มชื่นเบิกบานด้วยความน้อมนำรำลึกถึงภาวะทิพย์แล้ว หลวงปู่ใหญ่อันเป็นองค์หลอมรวมพลังบุญฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงจักสามารถช่วยลูกหลานให้พ้นทุกข์พิบัติภัยทุกประการได้. โดยที่วิบากกรรมนั้นแม้หนักหนาสาหัส มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ลูกหลานที่ได้รับความช่วยเหลือจากหลวงปู่ใหญ่จักรับกรรมด้วยความปีติล้นพ้น ไม่ลำเค็ญหม่นหมองครองทุกข์อีกต่อไป และจะพ้นกรรมนั้นไปได้สิ้นเชิงในที่สุด.
๏ พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ นะชาลีติ โลกุตตะโร จะ มหาเถโร เมตตาลาโภนะโสมิยะ อะระหังพุทโธ ยะธาพุทโมนะ ขอประสิทธิพรบวรมงคลให้ลูกหลานทุกคนปลอดพ้นภัยพาล รอดพ้นบ่วงมาร สำราญวิญญาณ์ กันทุกรูปทุกนาม ทุกภพทุกภูมิ มีพลังจำเริญจิตพ้นภาวะบีบคั้น สู่พระนิพพานะปัจจะโย โหตุ เทอญ ๚ะ๛
------------
-----------------------
พระอนุรุทธ พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นพระญาติในตระกูลศากยวงศ์ ที่มีบุญบารมีสูงมาก
เพราะตั้งแต่ประสูติเป็นเจ้าชายองค์น้อย ท่านไม่รู้จักความว่า "ไม่มี"
แม้จะขาดสิ่งของต้องประสงค์ มนุษย์อื่นใดไม่สามารถจัดหามาให้ท่านได้ แต่เทพยดาจะเนรมิตมาถวายท่านทุกครั้ง
ที่มามีอยู่ว่า.......
ครั้งเมื่อพระอนุรุทธเสวยชาติเป็น นายอันนภาระ คนรับใช้ในบ้านเศรษฐี
นายอันนภาระแม้ยากจนเข็ญใจยิ่งนัก แต่เป็นคนซื่อสัตย์ ใฝ่บุญให้ทานมิได้ขาด
ก็สมัยนั้นโลกว่างจากพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา แต่มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาประสูติ,ตรัสรู้ เพื่อนำพระสัทธรรมมาโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์สิ้นเชิง
นายอันนภาระได้มีโอกาสถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง นาม "พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า" หลังจากพระองค์ท่านออกจากนิโรธสมาบัติ
นายอันนภาระตั้งจิตอธิษฐานขณะถวายทาน ว่า....
{เนื้อความพระคาถาบาลี ; แปลไทย}
‘‘อิมินา ปน ทาเนน, มา เม ทาลิทฺทิยํ อหุ;
นตฺถีติ วจนํ นาม, มา อโหสิ ภวาภเวฯ –
ภนฺเต เอวรูปา ทุชฺชีวิตา มุจฺเจยฺยํ, นตฺถีติ ปทเมว น สุเณยฺยนฺติ ปตฺถนํ ฐเปสิฯ ปจฺเจกพุทฺโธ ‘‘เอวํ โหตุ มหาปุญฺญา’’ ติ วตฺวา อนุโมทนํ กตฺวา ปกฺกามิฯ
ก็ด้วยทานอันนี้ ความเป็นผู้ขัดสนอย่าได้มี
แล้วแก่ข้าพเจ้า, ชื่อว่าคำว่า ไม่มี อย่ามีแล้วในภพน้อยภพใหญ่. ท่านเจ้าข้า ขอข้าพเจ้าพึงพ้นจากการเลี้ยงชีพอันฝืดเคืองเห็นปานนี้, ไม่พึงได้ฟังบทว่า "ไม่มี" เลย."
พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวอนุโมทนาว่า " ขอความปรารถนาของท่านจงเป็นอย่างนั้นเถิด ท่านผู้มีบุญมาก" ดังนี้แล้ว ก็เดินทางจากไป"
หลังจากนั้นนายอันนภาระได้หมดสิ้นความยากจน กลายเป็นมหาเศรษฐี และทุกภพชาตินับจากนั้นเขาไม่ประสบพบความว่าไม่มี หรือ ความยากจน อีกเลย.
ลูกหลานเอ๊ย ๚
หลวงปู่ใหญ่จักอรรถาธิบายแก่ลูกหลานให้เข้าใจดังนี้ว่า......
การถวายทานแด่ผู้รับที่มีความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ มีผลยิ่งใหญ่มหาศาล โดยเฉพาะท่านผู้เป็นต้นบุญ ต้นทางแห่งพระสัทธรรมประเสริฐ นำพาสรรพสัตว์สู่ความพ้นทุกข์สิ้นเชิง
การถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้ายิ่งมีผลมาก โดยเฉพาะหลังจากท่านออกจากนิโรธสมาบัติซึ่งเป็นการปฏิบัติอุกฤษฏ์ ไม่ได้ฉันภัตตาหารเป็นเวลานาน
ด้วยแนวทางศรัทธาอันประเสริฐเช่นนี้ จึงทำให้เกิดประเพณีตักบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าขึ้น มุ่งหมายให้ทานที่บำเพ็ญจากการตักบาตรนั้นเกิดอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ตามวิถีจิตวิธีปฏิบัติของนายอันนภาระ หรือ พระอนุรุทธะอรหันตเถระเจ้า นั้นแล
ครั้นถึงกาลพุทธศักราช 2472 เมื่อหลวงปู่ปาน โสนันโท (อาจารย์ของหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ)ได้ธุดงค์ไปที่ปักษ์ใต้ ถึงนครศรีธรรมราช ได้พบครูผึ้ง หรือ บุญพึ่ง อายุมากถึง 99 ปีแล้ว แต่ยังแข็งแรง แต่ก่อนยากจน แต่ต่อมาร่ำรวย เพราะเจริญพระคาถาพระปัจเจกโพธิ์เป็นเนืองนิตย์
หลวงปู่ปานได้ขอเรียน "พระคาถาปัจเจกโพธิ์" จากครูผึ้ง ซึ่งครูผึ้งได้ร่ำเรียนมาจากพระธุดงค์ในดง ก็คือ หลวงปู่เทพโลกอุดร นั้นแล
พระคาถาปัจเจกโพธิ์นี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้ศิษย์หลวงปู่ปานได้ร่ำเรียนท่อง,ปฏิบัติเป็นฌานแล้ว จากฐานะยากจนก็ร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล นั่นคือ ตระกูล "ตั้งตรงจิตร"
โดยแก่นสารของพระคาถาปัจเจกโพธิ์ ก็คือ ให้จิตใจของผู้สวดมีพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐบริสุทธิ์
ต่อมาหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ ได้ตั้งสัจจาธิษฐาน นำพระคาถาปัจเจกโพธิ์มาเป็นแกนกลาง มีมโนมยิทธิอัญเชิญพระพุทธเจ้านับแต่องค์ปฐมเป็นต้นมา รวมทุกมหาบารมีอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เข้าด้วยกัน ผนวกกันเป็นหนึ่งเดียว ให้ดวงจิตของผู้สวดพระคาถามีที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐครบครันตั้งแต่ต้นจนปริโยสาน.. ต่อมาเรียกว่า "พระคาถาเงินล้าน"
ลูกหลานที่สวดพระคาถาปัจเจกโพธิ์ หรือ พระคาถาเงินล้าน ก็ตาม, หากได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปแลแก่นสารแท้จริงของพระคาถาดังหลวงปู่ใหญ่เล่ามา ลูกหลานจักจำเริญจิตวิญญาณให้เป็นฌานได้ลึกซึ้ง จิตละเอียด ละเมียดละไม ปฏิบัติทางทางกาย-วาจา ได้อย่างนิ่มนวลอ่อนโยน
เช่น การถวายบิณฑบาตตามปกติแม้กับพระภิกษุสงฆ์ปุถุชนทั่วไป แต่ขณะนั้นดวงจิตลูกหลานน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ การถวายทานแต่ละครั้งย่อมมีผลมาก ยิ่งสั่งสมหลายครั้งผลก็ยิ่งมากจนกระทั่งกลายเป็นมหาศาล อานิสงส์สุดจะประมาณได้
พระคาถาที่ลูกหลานสวดท่อง ก็จักบังเกิดอานิสงส์เลิศล้ำ
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ บุญดั้งเดิมที่ลูกหลานสั่งสมมา และตามบาปเก่าที่ลูกหลานจักต้องรับใช้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วย .. นะลูกหลานเอ๊ย ๚
แต่ถึงแม้บุญเดิมมีน้อย บาปเก่ามีมาก แต่หากไม่ท้อถอย ท่องบ่นพระคาถามากเข้า สร้างบุญใหม่มากเข้า ไม่ทำบาปเพิ่ม อานิสงส์ความสำเร็จย่อมจักเกิดขึ้นได้แน่นอน
หลวงปู่ใหญ่จักกฤษฏิยาภิเษก เสริมอานุภาพทิพย์เหนือทิพย์ ประจุพลังถ้อยคำ แห่ง "พระคาถาเงินล้าน" ของ หลวงปู่ปาน และ หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ ซึ่งแต่เดิมก็ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งอยู่แล้ว ให้บังเกิดทิพยศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น ประสิทธิมอบแก่ลูกหลานทุกคนนำไปสวดท่อง ดังนี้......
(ตั้ง นะโม 3 จบ )
สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน )
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันต ุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตภาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ (คาถารวมทุกมหาบารมีบริสุทธิ์)
(สวดบูชาวันละอย่างน้อย 9 จบจนถึง108จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)
-----------------