การจะทำให้จิตนิ่งถึงที่สุด
หลักของการเจริญกรรมฐาน..ก็คือทำจิตให้ตั้งมั่น การทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นอย่างไร คือไม่สนใจสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นเสียงรอบข้าง หรืออารมณ์เหล่าใดที่มันผ่านมาแล้วหรือที่ยังไม่เกิดขึ้น ขอให้วางอารมณ์เหล่านั้น เมื่อเราไม่สนใจมันแล้วนั่นแล..ก็เรียกจิตเรานั้นเข้าอยู่ในอุเบกขาฌาน
เมื่อจิตเราตั้งมั่น แล้วไม่สนใจอะไร..จิตมันก็จะวางเฉยของมันเอง ในขณะจิตที่เรากำลังทรงสมาธิอยู่ทรงฌานอยู่ก็ดี ในขณะที่เราภาวนาจิตอยู่ก็ดี แม้จะมีตัวความคิดอุปาทานแห่งขันธ์เข้ามาเกี่ยวข้องในสัญญาเก่าก็ดี เมื่อรู้แล้วก็ให้กำหนดวาง คือไปวางลมวางจิตไว้ที่กลางท้องน้อยเหนือสะดือ วิตกวิจารอยู่อย่างนั้นกับลม กับองค์ภาวนา ฝึกรู้อยู่ในกาย เดินจิตอยู่ในกายในวัฏสงสารนี้ ไม่ต้องไปสนใจอะไรหรืออารมณ์เหล่าใด ให้รู้อยู่เฉพาะกาย..นี่เค้าเรียกว่ามีสติเฉพาะหน้า นี่คือการงานที่ตั้งของจิต
ไม่ได้อยากรู้ว่าเราจะนั่งไปเพื่ออะไร นั่งแล้วได้อะไร ก็อย่าได้ไปทำความสนใจกับมัน แม้กายสังขารก็ดี ก็เป็นเพียงแค่อาศัยให้เรานั้นได้ประกอบกรรมดี ก็ให้ประคับประคองกายก็คือตัวสติระลึกรู้ลมเข้าลมออกนี้..จึงเรียกว่าวิตกวิจาร ในขณะเรากำลังวิตกวิจารอยู่ก็เท่ากับว่าเรานั้นได้เจริญปฐมฌานให้เกิดขึ้น
อันว่าปฐมฌาน..คือฌานชั้นต้นของสมาธิเพื่อจะไปสู่วิปัสสนาญาณ หรือวิตก วิจาร ปิติ และสุข และมีเอกัคคตาเป็นอารมณ์ ดังนั้นเมื่อจิตเรานั้นยังไม่เข้าถึงความสงบ จิตมันยังไม่ตั้งมั่นรวมตัวเป็นหนึ่ง เราก็วิตกอารมณ์ เอาลมหายใจนี้มาเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของสติ เป็นเครื่องกำหนดรู้อยู่ในกาย อยู่ในองค์ภาวนาก็ดี
ไม่ว่าจะมีอารมณ์ใดเข้ามากระทบจิต หรือมีสัญญาเหล่าใด ก็ให้เรากำหนดรู้แล้ววางอารมณ์เหล่านั้นเสีย อย่าได้ไปทำความสนใจผูกพันมัน ให้ดึงจิตดึงสติเข้ามาอยู่กับองค์ภาวนา อยู่ที่ศูนย์กลางกายที่เหนือสะดือ ทำความสัมผัสกับลมเข้าลมออก..สุดอยู่ที่เหนือสะดือ อยู่ที่กลางแห่งกายนี้ ทำจิตให้วางเฉย เมื่อเรามีอารมณ์เข้ามาก็วิตกและวิจาร เมื่อเราวางแล้วอารมณ์เหล่านั้นมันก็จะดับของมันไปเอง
ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆแล้ว..สติมันจะเท่าทันอารมณ์ที่มันเข้ามา จิตจะเป็นผู้รู้และผู้เห็นนั่นแล เค้าเรียกว่าเท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเราเท่าทันมันแล้ว กำหนดรู้ในอารมณ์นั้น อารมณ์เหล่าใดก็ตามเมื่อมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ไม่นานมันก็ดับไป แต่ถ้าจิตเราสติเรานั้นยังไม่คล่องแคล่วว่องไว ยังมีความเคลิบเคลิ้มในอารมณ์แห่งนิวรณ์เข้ามา..ต้องทำอย่างไร
ให้เรากำหนดจิตเข้าไปใหม่ ล้างลมเสียออกจากปอดเสีย เมื่อเรากำหนดลมเข้ายาว..ลึก เราก็ต้องเอาลมออกให้ยาว..ลึก หรือที่ว่าเอาเข้าแล้วออก ทำอย่างนี้หายใจให้หนักๆ ในขณะที่เรากำหนดลม..เรากักลมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในขณะนั้นแลจิตมันจะเข้าถึงความสงบเข้าถึงตัวว่าง เมื่อจิตรู้สึกระลึกแล้ว ผู้ใดกำหนดลมเข้าลมออกมันก็จะรู้สึกว่าเหนื่อย เราก็มาพักลมพักจิตอยู่ที่ศูนย์กลางกายอยู่ที่เหนือสะดือ ก็ทำความรู้สึกลมเข้าลมออก ให้เห็นอาการของท้องพองท้องยุบ
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ให้วางเฉย แล้วกำหนดว่าพุทโธ อยู่ที่ศูนย์กลางกาย..แล้วภาวนาไป อย่าได้สนใจอย่างอื่นอีก จนกว่าจิตนั้นมันจะตื่น จิตตื่น..เป็นอย่างไร จิตตื่นนี้..สติที่เรานี้มีองค์ภาวนามันจะไม่ขาดหายไปจากลมหายใจ ถ้ายังมีความเคลิบเคลิ้มอีกก็ให้กำหนดรู้ใหม่ คือกำหนดลมเข้าไปใหม่ คือวิตกอารมณ์ วิตกที่ลมหายใจนี้แล เรียกว่าเป็นการเจริญอานาปานสติให้อยู่อย่างนี้ ให้มันคล่องให้มันชิน
เค้าเรียกว่าอินทรีย์ของเรานี้มันอ่อน ฌานเรามันเสื่อม นั้นเราต้องปลุกมันขึ้นมา ก็ด้วยอาศัยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม..ก็คือกำหนดลมหายใจเข้าและออก เมื่อรู้สึกว่าลมมันนิ่งแล้วให้มาวางลมที่อยู่เหนือสะดือ ที่ศูนย์กลางกาย ถ้าเราเห็นว่าลมนี้เมื่อเข้าแล้ว..ท้องมันพอง เมื่อลมมันออก..ท้องมันก็ยุบ ก็เอาลมที่วิตกวิจารของอารมณ์นี้ไปสำรวมจิตไว้ที่แห่งนั้น ตั้งจิตให้มันนิ่ง ทรงอารมณ์ไว้ด้วยการมีองค์ภาวนากำกับลงไป เพื่อให้จิตนั้นมีหลัก
ยังไม่ต้องไปพิจารณาอะไรทั้งนั้น ทรงอารมณ์อย่างนี้อยู่อย่างนี้ เพราะขณะที่จิตเราก็ดีกายสังขารเราก็ดีมันอ่อนล้า การจะไปพิจารณาธรรมมันย่อมทำได้ยาก อันว่าความเมื่อเราจะเจริญความเพียร..แต่ถ้าเราขาดซึ่งสติแล้ว ความเพียรที่เราทำนั้นมันจะเป็นของอ่อนล้า ทำให้เรานั้นมีความหดหู่เศร้าหมอง มีนิวรณ์เข้ามา
เมื่อเราทรงฌานวางอุเบกขาให้มันเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกาย เมื่อจิตเราเพ่งไปอยู่มากๆเข้าแล้ว มันจะเกิดความร้อนภายในคือสันดาป มันก็เรียกว่าเตโชมันก็บังเกิด จนทำให้จิตเรานั้นตื่น ตื่นเพราะว่าธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมนั้นมันเสมอเหมือน เมื่อเราเพ่งไปมากๆเหมือนการจุดระเบิด เมื่อจิตเราตื่นนั้นแลเราถึงจะไปเดินปัญญาไปเดินวิปัสสนา..คือการพิจารณาธรรมในกายสังขาร มีสติปัฏฐานทั้ง ๔ ในกาย เวทนา จิต ธรรม
แต่ในขณะนี้จิตเรายังมีการอ่อนกำลัง ยังทรงตัวไม่ได้ ก็อาศัยกายนี้แลเป็นที่พึ่งที่อยู่ของธรรม ประคับประคองจิตไป คือกำหนดรู้วิตกวิจาร เจริญพรหมวิหาร ๔ ให้บังเกิดขึ้น เจริญปฐมฌานให้เกิดขึ้น ประคับประคองจิตทรงกายอยู่อย่างนี้ ร่างกายสังขารมันอ่อนล้าเราก็ผ่อนกายสังขารลงมา เหมือนเรานั่งพักผ่อนทำจิตให้สบาย
การทำจิตให้สบายเป็นยังไง..ทำจิตนั้นให้ปล่อยวาง ปล่อยวางจากอะไร..ปล่อยวางจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ในอดีตหรือในขณะนี้ หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ให้วิตกรู้อยู่กับอารมณ์อยู่ในกายในศูนย์กลางกาย เมื่อมันพลาดพลั้งเผลอไปก็กำหนดลมเข้ามาใหม่อย่างนี้แล..
เมื่อเราทำเจริญสมาธิอานาปานสติอยู่บ่อยๆ ทำให้มากๆแล้ว ธรรมเหล่าใดก็ตามที่มันจะเกิดขึ้น หรือที่มันยังไม่เกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นของมันเองโดยธรรมชาติ ดังนั้นฝึกตัวนี้ให้มันมากๆ..คือตัวสติ มีสติมากเท่าไหร่ยิ่งดี..ไม่มีเสีย เมื่อสติเราตั้งมั่นแล้ว ศีลเรามันก็จะบังเกิดขึ้น การอบรมบ่มจิตมันก็บังเกิด เมื่อเรามีองค์ภาวนากำกับเข้าไปอีก..ไม่นานปัญญามันก็บังเกิด
นั้นการที่เราจะไปแก้อารมณ์แห่งนิวรณ์แห่งความง่วงนี้ต้องทำยังไง มันง่วง..ก็ให้รู้ แล้วก็กำหนดลมเข้าไปอีก มันรู้ว่าเราขณะนี้มันง่วงก็ให้รู้ ให้ประคองแล้วเพ่งรู้แต่อารมณ์นั้น นั้นถ้าอารมณ์เหล่านี้มันยังค้างอยู่ ให้กำหนดลมเข้าไป..ให้สุดที่ลิ้นปี่หรือท้ายทอยก็ดี กลางกระหม่อมก็ดี แล้วกักลมไว้ชั่วครู่หนึ่ง หรือที่สุดที่เรานั้นหายใจไม่ออกแล้ว..ค่อยผ่อนลมหายใจ
ในขณะที่เราจะผ่อนลมหายใจออกเราต้องมีสติ ทำความรู้สึกให้ทั่วตัวกายสังขาร มันจะเกิดความเสียวซ่านในร่างกายสังขาร ทวารกระหม่อม รูขุมขน นี่เค้าเรียกว่าเปิดทวาร เพราะอะไรเมื่อเราทำอย่างนี้จะทำให้จิตเราตื่นได้ ก็เพราะว่ากิเลสทั้งหลายทั้งปวงเมื่อขาดจากลมหายใจอากาศแล้ว..ก็หาที่อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เรียกว่าสภาวะการที่จะหมดลมหายใจ ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรอยู่ก็ตามที..สติมันจะกลับมาจดจ่อรู้หน้าที่รู้อาการ ที่จะฝ่าฝืนต่อต้านให้ลมหายใจนั้นคุมอยู่ ก็เรียกว่ามีตัวสตินั้นตื่นรู้ ก็ตัวนี้แลที่จะทำให้เรานั้นเข้าถึงในธรรมได้
ดังนั้นถ้าเราไม่คิดจะฟื้นฟูจิต ยกจิตขึ้นมาเพื่อให้ข้ามพ้นในอำนาจของจิตในตัณหานิวรณ์แห่งกามคุณ ก็ไม่มีใครสามารถที่จะดึงจิตเรามาได้ ดังนั้นจงปลุกจิตวิญญาณให้มันตื่นขึ้นมา นี่แลที่เราจะข้ามสมมุติบัญญัติไปได้ เมื่อไหร่ที่เราข้ามสมมุติบัญญัติไปได้ เมื่อเราไม่ยึดติดในสมมุติบัญญัติแล้ว กรรมเหล่าใดก็ตามที่เรานั้นไม่ได้ติดใจ..กรรมเหล่านั้นมันก็จะเบาบาง หลุดพ้นจากกรรมกันได้ นั้นขอให้ฝึกอานาปานสติให้มาก..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
< วิปัสสนากรรมฐาน >
#ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวิปัสสนากรรมฐาน
– วิปัสสนาเป็นชื่อของปัญญา และต้องเป็นปัญญาที่เห็นกองสังขารคือ ขันธ์ 5 ได้แก่รูปนาม โดยอาการต่าง ๆ นั่นก็คือ เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
– วิปัสสนาปัญญา ต้องอาศัยสติปัฏฐานเป็นเหตุ และมีวิสุทธิคือ ความหมดจดเป็นผล
– วิปัสสนา มีคุณลักษณะ 4 ประการ คือ
o รู้แจ้งแทงตลอดในสภาวธรรมความจริงเป็นลักษณะ
o กำจัดความมืด คืออวิชชาที่ปิดบังสภาวธรรมลงได้เป็นกิจ
o เข้าใจตรงต่อความจริงเป็นผล
o มีสมาธิเกิดร่วมในอารมณ์เดียวเป็นเหตุใกล้
– ประโยชน์ของวิปัสสนา คือ สามารถทำลายวิปลาสธรรม ได้แก่ ความเห็นผิดว่า รูป-นาม เป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวตน
– การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อละกิเลส สิ้นทุกข์ จนถึงพระนิพพาน
– การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มี 2 วิธี คือ
o ทำสมาธิจนบรรลุฌานก่อนแล้วจึงจะนำองค์ฌานขึ้นมากำหนดวิปัสสนา
o เป็นการปฏิบัติวิปัสสนาโดยตรง ไม่จำเป็นต้องทำสมาธิจนได้ฌาน
#หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
– ภูมิวิปัสสนากรรมฐาน หมายถึง อารมณ์ของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เกิดปัญญา มีขันธ์ 5 มีอายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรย์ 22 อริยสัจจ์ 4 และปฏิจสมุปบาท 12
– อารมณ์ของวิปัสสนาจะต้องเป็นปรมัตถอารมณ์ คือ รูป นาม เท่านั้น
– ปัจจัยที่ส่งเสริมการปฏิบัติหรือสัปปายะ 4
o สัปปายะ 4 หมายถึง สิ่งที่ช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัตินั้นเกิดขึ้นได้อย่างสะดวกสบายและได้ผลดี ประกอบด้วย
เสนาสนสัปปายะ (สถานที่ปฏิบัติสะดวกสบาย)
อาหารสัปปายะ (อาหารที่หล่อเลี้ยงมีความเป็นอยู่พอไปได้)
บุคคลสัปปายะ (บุคคลเป็นที่สะดวกสบาย หมายถึง กัลยาณมิตร)
ธรรมสัปปายะ (ธรรมะที่สะดวกและสบาย หมายถึง กรรมฐานที่เหมาะกับจริต)
– ผู้ที่สามารถปฏิบัติวิปัสสนาเพื่อความถึงความหมดจดได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่มีปัญญาบารมีครบ 3 ขั้น คือ
o สหชาตปัญญา หมายถึง บุคคลที่มีปัญญามาแต่กำเนิด คือ เกิดมาเป็นคน 3 เหตุ เรียกว่า ติเหตุกบุคคล
o ปาริหาริกปัญญา หมายถึง บุคคลที่สามารถโยนิโสมนสิการเป็นอย่างดีแล้ว
o วิปัสสนาปัญญา หมายถึง เมื่อวิปัสสนาเกิดขึ้นแล้ว สามารถพิจารณาความจริงได้เอง
– หลักการปฏิบัติวิปัสสนา
o ผู้ที่จะเข้าปฏิบัติต้องเข้าใจภูมิของวิปัสสนาก่อน
o เมื่อทำความเข้าใจนามรูปดีแล้ว จึงลงมือกำหนดนามรูปในขณะปัจจุบันเสมอ
o ขณะกำหนด หรือดู หรือสังเกตนามรูป ต้องมีความรู้สึกตัวเสมอว่า กำหนดนาม-รูป
o ขณะกำหนดดูนามรูปหรือสังเกตดูนามรูปอยู่ ต้องระวังอย่าให้มีความรู้สึกว่าต้องการอะไร
o ห้ามไม่ให้ผู้ปฏิบัติกำหนดรูปและนามไปพร้อม ๆ กัน
o ต้องระวังอิริยาบถ ในการเปลี่ยนแปลง ผู้ปฏิบัติควรกำหนดอิริยาบถใหญ่ เช่น นั่ง นอน เดิน ไม่ควรกำหนดอิริยาบถย่อย
o ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนหรือจะต้องใช้อิริยาบถย่อย ควรรู้ความจำเป็น เพราะต้องเปลี่ยนความทุกข์ในอิริยาบถเก่า
o อย่าทำอิริยาบถให้ผิดปกติ หมายถึง อาการที่ทำขึ้น ไม่เป็นไปโดยธรรมชาติ
o ไม่ให้ระวังอิริยาบถ หรือไม่ให้ประคองอิริยาบถจนผิดปกติ
o ขณะเข้ากรรมฐาน ห้ามทำสิ่งที่ไม่จำเป็น
o ก่อนทำสิ่งใดต้องรู้เหตุจำเป็นก่อน
o ห้ามไม่ให้รู้สึกว่าที่ทำเพราะจะทำกรรมฐาน
o จะกำหนดอิริยาบถหรือกำหนดนามรูปใดก็ตาม อย่าทำความรู้สึกในเวลากำหนดว่า ต้องการให้จิตสงบ
o เวลาทำกรรมฐานต้องทำใจให้เหมือนดูละคร อย่าหัดทำละครหรือเล่นละคร
o ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาอย่าตั้งใจจนเกินไป
– ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น ผู้ปฏิบัติต้องมีปัญญาที่เรียกว่า สุตามยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากการศึกษาปริยัติให้เข้าใจก่อน แล้วจึงลงมือปฏิบัติเพื่อก้าวเข้าสู่จินตามยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากการพิจารณา และในระหว่างการปฏิบัติมีกฎอยู่ว่า...
o ผู้ปฏิบัติต้องผูกจิตกับสติปัฏฐาน 4 คือ กำหนดที่กาย เวทนา จิต และธรรม อยู่ตลอดเวลา
o ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นสำรวจอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่ให้กิเลสไหลเข้าสู่จิตใจได้
o ผู้ปฏิบัติต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย แต่ปฏิบัติให้มาก
o ผู้ปฏิบัติต้องอยู่ลำพัง ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
o ผู้ปฏิบัติต้องไม่อ่านหนังสือ ไม่เขียนหนังสือ และไม่ทำงานอื่นใดที่ไม่จำเป็น
#ผลที่ได้จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
– ญาณ หมายถึง ความรู้ด้วยปัญญา เป็นปัญญาที่หยั่งรู้ความจริงในสภาวธรรม บางครั้งเรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏให้เห็นเป็นไปตามลำดับถึง 16 ขั้น เรียกว่า โสฬสญาณ จัดเป็นภาวยามยปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนาที่มีกำลังมากขึ้น ๆ
– ญาณ 16 มีชื่อและคุณลักษณะดังนี้
o นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่รู้นามรูป เป็นคนละส่วน
o ปัจจยปริคหญาณ ปัญญาที่รู้ปัจจัยของรูปนามที่อาศัยกัน
o สัมมสนญาณ ปัญญาที่รู้ว่านามรูปไม่เที่ยง
o อุทยัพพยญาณ ปัญญาที่เห็นความเกิด-ดับของนามรูป โดยภาวนาญาณ (โดยความเป็นจริง)
o ภังคญาณ ปัญญาที่เห็นความดับไปของนามรูป
o ภยญาณ ปัญญาที่เห็นนามรูปเป็นสิ่งที่น่ากลัว
o อาทีนวญาณ ปัญญาที่เห็นนามและรูปมีแต่โทษ
o นิพพิทาญาณ ปัญญาที่เห็นนามรูปแล้วเบื่อหน่าย
o มุญจิตุกัมมยตาญาณ ปัญญาที่มีความปรารถนาจะพ้นไปจากนามรูป
o ปฏิสังขารญาณ ปัญญาทีพิจารณาอุบายที่จะพ้นไปจากนามรูป
o สังขารุเปกขาญาณ ปัญญาที่พิจารณาโดยวางเฉยต่อสังขารคือนามรูป
o อนุโลมญาณ ปัญญาที่อนุโลมให้เห็นอริยสัจจธรรมทั้ง 4
o โคตรภูญาณ ปัญญาที่ข้ามโคตรปุถุชน
o มรรคญาณ ปัญญาที่เกิดในมรรคจิต เพื่อประหารกิเลส
o ผลญาณ ปัญญาที่เกิดขึ้นในผลจิต หรือเป็นญาณในอริยผล
o ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่เกิดในลำดับสุดท้าย เป็นปัญญาที่พิจารณามรรค ผล นิพพาน กิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่เหลืออยู่
– วิสุทธิ หมายถึง ความบริสุทธิ์หรือสะอาดจากกิเลส หรืออีกนัยหนึ่งอธิบายว่า วิสุทธิ หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ที่บริสุทธิ์ หมดจดจากกิเลสทั้งสาม คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด ผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานได้นั้นต้องไปด้วยวิสุทธิ ต้องไปด้วยความหมดจดกิเลส ซึ่งความหมดจดกิเลสเกิดขึ้นโดยอาศัย มรรคมีองค์ 8 สติปัฏฐาน 4 และวิปัสสนาญาณ
– วิสุทธิ มี 7 อย่าง ได้แก่
1.ศีลวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งศีล)
2.จิตวิสุทธิ (สมาธิวิสุทธิ)
3.ทิฏฐิวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์ของทิฏฐิ)
4.กังขาวิตรณวิสุทธิ (ความหมดจดจากความสงสัยในเรื่องชาติภพ)
5.มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ (ตรงกับโสฬสญาณ 3 และ 4)
6.ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์ในการรู้เห็นหนทางปฏิบัติโดยชอบ) และ
7.ญาณทัสสนวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งญาณทัศนะ หรือการเห็นพระนิพพาน)
การเจริญวิปัสสนาแท้ จะเกิดเมื่อจิตเรารวมเป็นหนึ่งตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ จิตจะรวมเป็นหนึ่งตั้งมั่นขึ้นมาได้ จึงต้องมีแรงของสมถะมาช่วย เพื่อให้จิตนั้นสงบตั้งมั่น เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งตั้งมั่นขึ้นมา จะไม่มีการเข้าไปดึงเอาสัญญาและสังขารมาเป็นอารมณ์ จิตจะว่าง "มีแต่รู้ที่ไม่เข้าไปยึดถือ" ตรงนี้จะปลอดจากสัญญาและสังขาร คือ ไม่เข้าไปยึดถือความจํา ความคิดปรุงแต่ง
จิตปล่อยออกจากขันธ์เป็นอิสระ เพื่อจะเห็น รูป นาม ตามความจริง ไม่มีความคิดปรุงแต่งมาหลอกชักนํา เมื่อเห็น รูป นาม ตามความจริงจะเห็นธรรมชาติของมันก็คือ เห็นไตรลักษณ์ จุดที่สําคัญคือการเข้าไปเห็นจิตเห็นใจของตนเอง ที่เวียนไปในภพต่างๆ ที่หลงเข้าไปยึดเกาะ แล้วสุดท้ายก็ดับไป แม้หลงยึดอย่างไร สุดท้ายก็ดับอยู่ดี นี้คือการเข้าไปเจริญวิปัสสนาแท้ ที่ไม่มีความคิดใดเลย ในขณะปัจุบัน
แต่มีข้อยกเว้น ในผู้ที่จิตรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว แต่ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้ เห็นรูปนามแยกออก แต่ไม่เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า ให้ใช้ความคิด เข้าไปคิดถึงไตรลักษณ์ เช่นให้เห็น รูปกายที่เน่าเปื่อย เห็นความเสื่อมของกาย เห็นความน่าสังเวชของกายที่เสื่อม ให้คิดเริ่มต้น เพื่อให้ จิตเข้าไปคุ้นในสัญญาหล่าวนี้ในเบื้องต้นก่อน เมื่อคุ้นแล้ว(อันนี้ยังเป็นการเห็นในระดับความคิด ยังไม่เข้าถึงวิปัสสนา ยังละอะไรไม่ได้) ให้มาเจริญวิปัสสนาตามปกติ จิตก็จะสามารถเจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา เห็นไตรลักษณ์ ต่อได้เอง อย่างนี้แม้เป็นเพียงการเอาความคิดมาช่วย แต่วิปัสสนาก็ไม่ได้เกิดตอนที่คิดอยู่ดี
" การฝึกหัดจิตให้มีสติทุกเมื่อ " หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วันนี้จะเทศนาเรื่อง การฝึกหัดจิต จิตของคนเราต้องฝึกหัด เช่นเดียวกับสัตว์ที่อยู่ในป่าที่เขาจับมาใช้ จะใช้งานได้ต้องฝึกต้องหัดเสียก่อน จิตของเรายังไม่ได้ฝึกหัดก็เหมือนกับสัตว์ที่อยู่ในป่านั่นแหละ เราจับจิตมาฝึกหัด คือ เราตั้งใจฝึกหัดจริง ๆ จึงจะเรียกว่าเราฝึกหัดจิต
การฝึกหัดสัตว์ป่า เช่น ช้าง เป็นต้น พอจับได้มาเขาก็ผูกมันไว้กับต้นเสา ตอนแรกมันก็แข็งแรงอยู่ จะต่อสู้ดิ้นรนมาก เขาจึงไม่ให้กินหญ้ากินนํ้า หรือให้แต่เพียงเล็กน้อยพอไม่ให้ตาย จนซูบซีดผอมลงไป ทีนี้ก็เริ่มหัดมัน หัดจนกระทั่งมันยอมคนขึ้นขี่คอได้ หัดให้อยู่ในอำนาจของเราทุกอย่างได้ เมื่อมันอยู่ในอำนาจของเราเรียบร้อยดีแล้ว เราจึงให้อาหารมันกินอย่างอุดมสมบูรณ์
การฝึกหัดจิตก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ แต่ไม่ต้องถึงอย่างนั้น เพราะสัตว์เป็นของภายนอกมีตัวตน ต้องฝึกหัดด้วยการทรมาน การฝึกหัดจิตต้องหัดด้วยอุบายวิธี จิตเป็นของไม่มีตัว จะขับขี่ก็ไม่ได้ จะตีก็ไม่ได้ แต่ทำให้มันอยู่ในอำนาจของตนนั้นได้ แต่ก็ยากแสนยากที่มันจะอยู่ในบังคับของเรา ต้องฝึกฝนอบรม
ที่ว่าคล้ายกันคือ ให้อดอาหารหรือฉันอาหารเพียงเล็กน้อย เพื่อให้มันมักน้อยที่สุด เป็นการฝึกหัดอบรมกาย แต่มันเนื่องถึงจิต เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า พระองค์ไม่เสวยพระกระยาหาร แต่ไม่สำเร็จมรรคผลนิพพาน พระองค์จึงค่อยผ่อนเสวยพระกระยาหารทีละน้อย ๆ จนกระทั่งพอดีพองาม ฉันพอสมควรไม่ฉันฟุ่มเฟือย พอให้กายอยู่ได้ไปวัน ๆหนึ่ง อาหารนั้นถ้าฉันมากจิตใจมันทื่อ มันกำเริบเฟิบฟาย มันไม่อยู่ในอำนาจของตน ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรม รับประทานอย่างอิ่มหนำสำราญก็ให้มันรับประทานเรื่อยไป แต่สำหรับคนที่ฝึกหัดอบรมใจนั้นจะฉันน้อยพอประมาณ พอบำรุงร่างกาย เพื่อยังชีวิตให้เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น แล้วก็ไม่สะสม การสะสมเป็นเรื่องของกิเลส ลองคิดดู ถ้าสะสมแล้วมันเป็นการพะวักพะวน ท่านจึงไม่ให้สะสม นี่พูดเฉพาะเรื่องของพระภิกษุ คือ ฉันแล้วก็ทิ้งไป ให้มันหมดเรื่องหมดราว วันหลังหาใหม่ ได้เท่าไรก็ฉันเท่านั้น ฉันเท่าที่มีอยู่ ถึงฆราวาสก็ดี ผู้ฝึกหัดจิตต้องฝึกฝนอบรมอย่างนั้น คือรับประทานมื้อเดียว ไม่ให้เกี่ยวข้องพัวพันในเรื่องอื่น ๆ อาปัจจุบัน แม้ว่าจะต้องเกี่ยวข้องพัวพันบ้างก็ตาม หากลงปัจจุบันในขณะนั้นก็ไม่มีอะไร เอาปัจจุบันเท่านั้น ไม่คิดอดีต อนาคต มันถึงจะเป็นไปได้ การฝึกฝนอบรมใจมันต้องไปจากกายนี้เหมือนกัน
นอกจากอบรมทางกายแล้ว ยังต้องอบรมวาจาด้วย พูดให้น้อย พูดด้วยความสำรวมระวัง การที่ว่าสำรวมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไม่ให้พูด พูดได้ แต่หากว่าให้มีสติควบคุมอยู่ พูดก็รู้เรื่องว่าพูดอยู่ พูดดีชั่ว หยาบละเอียด จะพูดสักเท่าไรก็ตามแต่รู้เท่ารู้ทันอยู่ทุกขณะ เรียกว่าสำรวมวาจา จะพูดอะไรก็พูดเถอะ การทำอะไรก็ทำเถอะ แต่รู้เรื่องอยู่ทุกขณะ สติควบคุมอยู่อย่างนี้ เรียกว่า มีสติระวังกายวาจา
ส่วนการสำรวมระวังใจ ถ้าอยู่เฉย ๆ ใจไม่มีเครื่องอยู่ ให้เอาคำบริกรรมอันใดอันหนึ่งมาเป็นเครื่องอยู่มาเป็นหลักผูกใจ เช่น พุทโธ อานาปานสติ ตามลมหายใจเข้าออก ยุบหนอพองหนอ หรือสัมมาอรหังก็ได้ เอาอันนั้นมาเป็นเครื่องอยู่เสียก่อน นึกคิดอยู่เสมอ ๆ จนเป็นอารมณ์ มีสติควบคุมจิตอยู่ตรงนั้นแหละ จิตอยู่ที่ใดให้เอาสติไปตั้งตรงไว้ในที่นั่น จึงจะเรียกว่าควบคุมจิต รักษาจิต ที่จะห้ามไม่ให้คิดไม่ให้นึกนั้น ห้ามไม่ได้เด็ดขาด ธรรมดาของจิตมันต้องมีคิดมีนึก แต่หากมีสติควบคุมจิตอยู่เสมอ คิดนึกอะไรก็รู้ตัวอยู่ทุกขณะ เรียกว่า บริกรรมภาวนา
การบริกรรมภาวนานี้มิใช่ของเลว คนบางคนเข้าใจว่าเป็นของเลว เป็นเบื้องต้น ที่จริงไม่ใช่เบื้องต้น ธรรมไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดหรอก ธรรมะอันเดียวกันนั่นแหละ ถ้าหากสติอ่อนเมื่อไรก็เป็นเบื้องต้นเมื่อนั้น สติแก่กล้าเมื่อไรก็เป็นท่ามกลางและที่สุดเมื่อนั้น คือหมายความว่า สติคุมจิตอยู่ทุกขณะ จนกระทั่งเป็นมหาสติปัฏฐาน จะยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถใด ๆ ทั้งหมด มีสติรอบตัวอยู่เสมอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีสติ แต่มันเป็นของมันเอง สติควบคุมจิตไปในตัว เมื่อมีสติเช่นนั้นมันก็ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกันกับสิ่งต่าง ๆ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นลิ้มรสต่าง ๆ กายได้สัมผัส มันก็เป็นสักแต่ว่า สัมผัสแล้วก็หายไป ๆ ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ ไม่เอามาคำนึงถึงใจ อันนั้นเป็น มหาสติ แท้ทีเดียว
ถ้าจิตอ่อนเมื่อไร จิตจะส่งไปตามอายตนะทั้ง ๖ เมื่อนั้น เช่น ตาได้เห็นรูปอะไร หูได้ยินเสียงอะไร มันก็จะพุ่งไปตามรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยินนั้นแหละ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องเอาบริกรรมมาใช้อีก ให้จิตมันอยู่กับบริกรรมนั้นอีก บริกรรม คือ สัมมาอรหัง พุทโธ อานาปานสติ อะไรต่าง ๆ ก็ตาม ที่ท่านสอนแต่ละสำนักนั้น มันเป็นไปตามความชำนาญของแต่ละท่าน มันเป็นนโยบายของท่านต่างหาก แท้ที่จริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ ใครจะเลือกภาวนาบริกรรม อันใดก็ได้ ความต้องการคือ มุ่งหมายเอาสติอย่างเดียว เพื่อตั้งสติให้มั่นคง จึงว่าคำบริกรรมเป็นคู่กับการฝึกหัดจิต คำบริกรรมเปรียบเหมือนกับเครื่องล่อจิต เหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ที่มันร้องไห้ เราเอาขนมมาล่อให้มันกิน มันก็หยุดร้อง จิตของเราก็ยังเป็นเด็กอยู่เหมือนกัน คือว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ ยังรักษาตัวเองไม่ได้ ยังต้องอาศัยคำบริกรรมอยู่ จึงเรียกว่าเป็นเด็ก คนเฒ่าคนแก่กระทั่งผมหงอกผมขาวก็ตาม ถ้ายังควบคุมจิตของตนไม่ได้ก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นแหละ ถ้าหากควบคุมจิตได้แล้ว แม้จะเป็นเด็กก็ตามนับเป็นผู้ใหญ่ได้ ในพุทธศาสนา ผู้บวชตั้งร้อยพรรษา โดยธรรมแล้ว ถ้าควบคุมจิตไม่ได้ก็เรียกว่ายังเป็นเด็กอยู่ องค์ใดบวชในพรรษานั้นแต่ว่าควบคุมจิตได้ ก็เรียกว่าเป็นเถระ การรักษาจิตควบคุมจิตจึงต้องมีเครื่องอยู่ ได้แก่ การบริกรรม
จิตเป็นของสูง ๆ ตํ่า ๆ คือ ฝึกหัดไม่สมํ่าเสมอ สูงหมายถึงว่าเจริญขึ้นไป คือ มีสติควบคุมอยู่ ขณะที่มีสติควบคุมอยู่ก็กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ต่อสู้กับอารมณ์ได้ อะไรมาก็ไม่กลัว พอสัมผัสมากระทบเข้าจริง ๆ จัง ๆ อ่อนปวกลงไปเลย นั่นมันตํ่าลงไปแล้ว มันไม่เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงต้องหัดสติตัวนี้ให้แก่กล้า ให้แข็งแรงที่สุด
ในพุทธศาสนานี้มีการฝึกหัดสติอันเดียว การฝึกหัดเรื่องอะไรก็ตาม ฝึกหัดสติอันเดียวเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนสาวกทั้งหลายแต่ก่อนนี้ ก็ทรงสอนให้ฝึกสติอันเดียวเท่านั้น ทรงสอนฆราวาสก็เหมือนกัน ทรงสอนเรื่องสติ ให้มนุษย์คนเราพากันมีสติ พวกเราก็พากันถือคำสอนของพระองค์นั่นแหละมาพูด เช่น พอพลั้ง ๆ เผลอ ๆ ก็ว่า ไม่มีสติ นี่ก็พูดกันไปอย่างนั้นแหละ ตัวผู้พูดเองก็ไม่รู้เรื่องว่าตัวสติมันเป็นอย่างไร พูดไปเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ มิหนำซํ้าบางคนไม่มีสติอยู่แล้ว ยิ่งไปดื่มสุรายาเมาเข้า ยิ่งไปใหญ่จนเสียสติเป็นบ้าไปก็มี เหตุนี้จึงว่า คำสอนของพุทธศาสนาทั้งหมดมาลงที่สติอันเดียว ตั้งแต่เบื้องต้นก็สอนสติ ท่ามกลาง ที่สุดก็สอนสติ เป็นศาสนาที่สอนถึงที่สุด แต่คนทำนั่น ทำสติไม่ถึงที่สุดสักที ทำมากี่ปีกี่ชาติก็ไม่สมบูรณ์สักที พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ทรงสอนสติตัวเดียวนี้
เราเกิดมากี่ภพกี่ชาติก็มาหัดสติตัวเดียวนี้ แต่ก็หัดสติไม่สมบูรณ์สักที เหตุนั้นจึงควรที่พวกเราจะพากันรีบเร่งหัดสติทุกคนแต่บัดนี้ อายุอานามมาถึงป่านนี้แล้ว เรียกว่าจวนเต็มที จวนจะหมดสิ้น จวนจะตายอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะตายวันไหน ควรที่จะหัดสติให้อยู่ในเงื้อมมือของตนให้ได้ อย่าให้จิตไปอยู่ในเงื้อมมือของความหลงมัวเมา ผู้ใดจิตไม่อยู่ในอำนาจของตนก็ชื่อว่าเราเกิดมาแล้วเสียเปล่า ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียเปล่า เปล่าจากประโยชน์
อย่าให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของกิเลส ให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของสติ สติเป็นตัวระมัดระวัง อันนั้นแหละเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้ ถ้าจิตอยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้วหมดท่า ตัวของเราจึงเป็นทาสของกิเลส เหตุนั้นจึงควรที่จะพากันรู้สึกตัว ตื่นตัวเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แล้วฝึกอบรมกัมมัฏฐาน
การอบรมกัมมัฏฐานนั้น ทุกคนต้องอบรมเหมือนกันหมด มิใช่อบรมเฉพาะพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสกอุบาสิกาเท่านั้น การฝึกหัดธรรมะก็ต้องหัดสติตัวนี้แหละ ถือพุทธศาสนาก็ต้องหัดสติตัวนี้แหละ มีสติสมบูรณ์บริบูรณ์ก็เรียกว่าถึงศาสนา ถ้ายังไม่มีสติเสียเลยก็เรียกว่ายังไม่ถึงศาสนา เอาละวันนี้เทศน์ให้ฟังเพียงเท่านี้
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔
304..วิปัสสนา..ในอภิญญา.
การวิปัสสนา.คือ.เพื่อรู้ความจริง..ของสัจธรรม..เพื่อจะไม่หลงในภาพมายา..ที่เราหลงมาก..คือ..หลงกาย หลงใจ..ของเราเอง.
เมื่อหลงว่า..ขันธ์5 เป็นของเรา..มีอุปทานยึดมั่นในกาย..จึงเกิดตัญหา..ความอยาก..ก่อภพก่อชาติต่อไป.
การพิจารณากาย ใจ.มีหลายแบบ..ที่เรารู้จักคือ..ตามดูกาย ดูใจ.สติปัฏฐาน4 รู้กาย เวทนา จิต ธรรม..ตามดู..จนรู้ความจริง
ของกาย และ ใจ.ว่าไม่ใช่เรา..แตกสลาย.
จะได้ไม่หลงผิดในกายอีก
* ยังมีการวิปัสสนา.แบบใช้กำลังสมาธิ ฌาน..อันนี้จะเห็นนิมิตของกาย..ที่เน่าเปื่อย.เป็นอสุภะอสุภัง..สลายตัวไป..ใจเราจะเบื่อหน่ายในกาย..
* ทีนี้..ยังมี.การวิปัสสนา.ในฌานอภิญญา...คือ..สำหรับผู้มีอภิญญา..จิต หรือ กายใน..มันจะถอดออกมาดู..กายเนื้อที่นั่งอยู่..มันจึงรู้ชัด..ว่า..กาย.ไม่ใช่.ใจ..แล้วมันยังมีอีกตัว.ที่เห็นกายในด้วย
** เท่ากับว่า..มันจะมี 3 ตัว.คือ..หนึ่ง.กายหยาบ..สอง..กายใน..สาม..คือ..สติตัวใน.
..เมื่อ..ตัวใน..มันพิจารณา.กายเนื้อ.ผุพัง.จะเห็น.น้ำเลือด น้ำหนอง..กระดูกผุพัง.
ไอ้ตัวกายใน..มันจะรู้สึก.เหม็นมาก..เบื่อมาก..เพราะตอนนั้น..จิตมันละเอียด.ด้วยกำลังสมาธิ ฌาน..จึงเห็นชัด..เหม็นชัด..เบื่อชัด.
// แล้วตัวใน..มันจะไม่เอา.กายเนื้อ..มันจะไปที่อื่น..แล้ว.ไอ้ตัวสติ..มันก็เห็นไอ้กายในมัน..ไปที่ใดด้วย...
++ ดังนั้น..การวิปัสสนา..ไม่ใช่ว่า..จะมีแค่..ตามรู้กาย รู้ใจอย่างเดียว..มีหลายแบบ..เพราะผลสุดท้าย..เพื่อ..เกิดการเบื่อหน่ายในกาย.ที่มันผุพัง..ไร้สาระ..ไม่มีอะไรน่ายึดมั่น..เรียก..นิพพิทาญาน..เพื่อ.จะไม่ได้ปรุงแต่งสิ่งที่มากระทบกาย..จิตจึงวางเฉย..และ.ค่อยๆคลาย.กิเลสราคะ..ออกไป..เรียก..วิราคะ..เมื่อคลายหมด..เรียก..วิมุตติ.
** ..ดังนั้น..การถอดจิต..มันก็มีประโยชน์.เห็นชัดว่า..กาย.ไม่ใช่จิต..กายไม่ใช่เรา..ยีงรู้ว่าคำสอนพระพุทธองค์.นรก สวรรค์ บาปบุญ.มีจริง.
ยังสามารถรับความรู้จากโลกทิพย์ด้วย.ทำให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนามากขึ้น
** เรายังใช้อภิญญา..มาเดินวิปัสสนา.ได้..คนที่ได้อภิญญา..เหมือนคนมีกล้ามเนื้อแรง..เมื่อยกมีดฟันอะไรย่อมขาดง่าย..กล้ามเนื้อคือกำลังสมถะ..มีดคือ..วิปัสสนา..ประกอบกัน..ย่อมกำจัดกิเลสได้ไว
//..ที่ข้าพเจ้าแชร์ประสะการ์ณ..นั้นคือ..แบบเด็กๆ..คนของฤทธิ์..เป็นเรื่องเก่า..ทีตอนนั้น..จิตมันติดแบตตอรี่..จึงผาดโผนไปทั่ว..แต่ข้าพเจ้าไม่เคยบอกว่า..อภิญญา.คือ..ทางไปนิพพาน. แต่กำลังอภิญญา..เป็นผู้ช่วยของวิปัสสนา.ได้ดียิ่ง..
มโนธาตุ โพธิญาณ
เอกายนมรรค
.
การกำหนดลมหายใจนี้ จะต้องพยายามตัดสัญญาอารมณ์ภายนอกออกให้หมด เพราะถ้ามีนิวรณ์มากแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะสังเกตความละเอียดของจิตและลมได้
.
ลมที่อยู่ภายในร่างกายนั้น แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในหัวใจและปอด ส่วนหนึ่งอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกส่วนหนึ่งอยู่ทุกต่อมโลหิตทั่วสรีระร่างกาย ทั้งหมดนี้เป็นลมที่มีลักษณะไหวตัวอยู่เสมอ แต่มีอีกส่วนหนึ่งเป็นลมเฉย ๆ มีลักษณะว่างและเบา ลมนี้กั้นอยู่ชิดกะบังลม ระหว่างหัวใจและปอดกับกระเพาะอาหารและลำไส้ เป็นลมที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหวตัวเหมือนกับลมที่อยู่ในปอดและหัวใจ ซึ่งเป็นลมกลั่น ลมนี้มีลักษณะเบาเหมือนก้อนสำลีที่กลิ้งไปบนกระดาษ ไม่ทำความกระทบกระเทือนอันใดให้เกิดขึ้นแก่ส่วนอวัยวะของร่างกายเลย ส่วนลมที่มีอาการไหวตัวนั้น เมื่อปะทะกับเส้นโลหิตก็มีลักษณะร้อน อุ่น และบางทีก็เป็นกากออกมาทางจมูก ธาตุลมนี้ถ้ามีเป็นส่วนมาก ธาตุไฟก็จะมีเป็นส่วนน้อยและทำให้โลหิตเย็น ถ้าธาตุลมมีส่วนน้อย ธาตุไฟก็มีส่วนมาก และทำให้โลหิตร้อน ส่วนเวทนาที่เกิดขึ้นจากการผสมธาตุถูกส่วนนี้ก็คือ ความสบาย เฉย ๆ สบายเย็น ๆ สบายว่าง ๆ เหมือนกับเรามองขึ้นไปในอากาศว่าง ไม่มีอะไรขัดตา บางครั้งก็มีความรู้สึกว่าง สบาย เย็น แต่ไหวตัวนี้เรียกว่า ปีติ
.
ทางที่ดีที่สุด ให้เอาจิตไปไว้กับลมว่าง ๆ ส่วนการใช้ลมให้เป็นประโยชน์ หมายความว่า ให้ขยายเวทนาอันใดอันหนึ่ง ซึ่งมีน้ำหนักมากที่สุด เช่นเห็นมาก หรือว่างมาก หรือสบายมาก หรือมีอาการไหว แต่อาการไหวนี้ไม่ควรใช้ ให้ใช้แต่ความว่าง ความเย็น และความเบา การใช้คือ ขยายวงให้กว้าง ให้มันว่างไปทุกส่วนในร่างกาย นี่เรียกว่ารู้จักใช้เวทนาที่มีอยู่ แต่การใช้เวทนานี้ต้องมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ มิฉะนั้น ถ้าเกิดความรู้สึกว่างหรือเบาขึ้นแล้ว เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่า ไม่มีตัวจริง ๆ อย่างนี้ก็ไม่ใช้
.
ส่วนการขยายเวทนานั้น จะขยายทีละอย่าง หรือจะขยายพร้อมกันก็ได้ แต่ต้องได้รับความเสมอภาคกันทั้งหมด และกำหนดกายทั้งก้อนให้เป็นอารมณ์อันเดียว ซึ่งเรียกว่า“เอกายนมรรค” ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ก็เปรียบเหมือนกับผ้าขาวทั้งผืน ที่เรากำเข้ามาไว้ในกำมือได้ หรือจะคลี่ออกให้ถึงวาก็ได้ หรือร่างกายของเราซึ่งหนัก ๕๐ กิโลกรัม แต่อาจรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักเพียง ๑ กิโลกรัมเท่านั้น อย่างนี้เรียกว่า “มหาสติปัฏฐาน”
.
เมื่อสติเซิบไปทั่วร่างกายดังนี้ ธาตุทุกส่วนก็จะมีงานทำทั่วกันหมด เหมือนคนเราที่ช่วยกันทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่างคนก็ต่างแบก ต่างคนก็ต่างหาม มิช้า งานนั้นก็จะสำเร็จ เบาสบาย เหมือนไส้ตะเกียงเจ้าพายุที่ถูกไฟเผาทั่วทุกเส้นด้าย ย่อมเกิดความเบา สว่าง และขาวรอบตัวของมัน ฉันใด ถ้าเราสุมจิตของเราด้วยสติสัมปชัญญะ ให้เกิดความรู้สึกทั่วตัวแล้วจิตและกายของเราก็จะเบา เหมือนกับไส้ตะเกียงเจ้าพายุฉะนั้น
.
เมื่อเรานึกขึ้นด้วยอำนาจของสติ ก็จะเกิดความสว่างรอบคอบขึ้นในตัวทันที อันความเจริญในร่างกายและในทางจิตใจ ซึ่งสามารถที่จะนั่ง นอน ยืน เดิน ได้อย่างผิดธรรมดา เช่นนั่งหรือยืนได้นาน ๆ โดยไม่เมื่อย เดินได้ไกล ๆ โดยไม่เหนื่อย กินน้อยผิดธรรมดาก็ไม่หิว หรืออดกินอดนอนได้หลาย ๆ วัน โดยไม่เสียกำลัง อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นผลซึ่งเกิดขึ้นทางกาย ซึ่งเราบริหารในส่วนสุขวิทยา
.
ส่วนทางดวงจิตก็ได้รับความเจริญ กล่าวคือความบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลทินเครื่องปกปิด จิตก็สว่างเบากระจ่างแจ้ง คล่องแคล่ว สว่างไสว ว่องไว และกล้าหาญ เป็น “จิตฺตปุญฺตา” ความเชื่อคือ สทฺธาพลํ ก็แล่นไปเหมือนกับรถที่แล่นไปตามถนนโดยไม่หยุดยั้ง วิรยพลํ ความเพียรก็เร่งรัดก้าวหน้า ไม่ท้อถอย สติพลํ สติก็แก่กล้า สามารถที่จะกำหนดรู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งอดีตและอนาคตได้ เช่น บุพเพนิวาสานุสสติญาณ และ จุตูปปาตญาณ เป็นต้นญาณนี้ก็คือตัวสติ ถ้าสติแก่กล้าแล้ว ก็ย่อมสามารถที่จะรู้เรื่องกรรมดี กรรมชั่ว และกำเนิดชาติภพของมนุษย์ในโลกได้ สมาธิพลํ จิตก็ตั้งอยู่ในสมาธิอย่างแน่วแน่และมั่นคง ซึ่งอิริยาบถทั้งหลายไม่สามารถที่จะไปฆ่าสมาธิของจิตได้คำที่ว่า “อิริยาบถไม่สามารถฆ่าสมาธิได้” นั้น หมายความว่า ถึงแม้เราจะนั่ง จะยืน จะเดินจะพูด หรือทำอะไร ๆ อยู่ก็ตาม เมื่อจิตนึกจะทำสมาธิเมื่อใด ก็เป็นสมาธิได้เมื่อนั้น คือพอต้องการนึกก็ได้ทันที เมื่อจิตมีกำลังแห่งสมาธิมั่นคงเช่นนี้ ก็สามารถที่จะเจริญวิปัสสนาได้อย่างง่ายดาย ปัญญาพล ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเหมือนกับหอกหรือมีดที่คมทั้ง ๒ ด้าน คือความรู้ที่แล่นเข้าไปก็มีคม ความรู้ที่แล่นออกมาก็มีคม
.
เมื่อกำลังทั้ง ๕ ประการนี้เกิดขึ้นในดวงจิตของบุคคลผู้ใด จิตของผู้นั้นก็จะมีความเป็นใหญ่โดยสมบูรณ์ เช่น สทฺธินฺทฺริยํ วิริยินฺทฺริยํ สตินฺทฺริยํ สมาธินฺทฺริยํ และ ปญฺญินทริยํ ต่างฝ่ายต่างก็มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเอง ธรรมดาของผู้ใหญ่นั้นย่อมมีนิสัยไม่เกะกะและจะทำอะไรก็สำเร็จ ส่วนเด็กนั้นมักไถลถลาก และทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นเมื่อผู้ใหญ่ทั้ง ๕ คน เกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อใด ก็สามารถที่จะสั่งงานหรือบริหารกิจการให้สำเร็จได้ทุกอย่าง จิตก็จะมีอำนาจเป็น “มโนมยิทธิ” สามารถที่จะระเบิดสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ให้พินาศหมดสิ้นไปจากใจได้ ที่เรียกว่า อนุสัยกิเลส คือทำความพินาศฉิบหายให้แก่กิเลสได้ทุกอย่าง เหมือนกับระเบิดปรมาณู ซึ่งทำความพินาศฉิบหายให้แก่โลกได้ทุก ๆ แห่ง
.
ฉะนั้นเมื่อมีอำนาจเกิดขึ้นทางใจเช่นนี้ วิปัสสนาญาณก็จะเกิดขึ้น เหมือนกับหอกที่มีคมซึ่งใช้ได้ทั้ง ๔ ด้าน หรือเหมือนกับเลื่อยวงเดือน ซึ่งมีกงจักรหมุนไปรอบ ๆ ตัวของมัน ร่างกายก็เหมือนกับแผ่นไม้ที่วางตัวเลื่อย จิตก็เหมือนกับตัวเลื่อย เมื่อหมุนไปทางไหนก็ย่อมตัดสิ่งต่าง ๆที่ป้อนเข้าไปนั้นได้ขาดหมด นี้แหละเรียกว่าวิปัสสนาญาณ นี่กล่าวถึงอำนาจอานิสงส์ของการที่เราทำลมละเอียด แล้วสามารถขยายลมละเอียดนั้นให้เกิดเป็นคุณประโยชน์ขึ้นได้อย่างไรในทางจิตและทางกาย เหตุนั้นจึงควรที่เราจะต้องน้อมนำเข้าไปให้ เพื่อให้บังเกิดคุณประโยชน์แก่ตนเองบ้างตามสติกำลังที่จะทำได้
.
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร)
วัดอโศการาม ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
นิตยสารธรรมจักษุ ปีที่ ๘๕ ฉบับที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๔
อันว่าเมื่อเกิดสมาธิแล้ว..คือความสงบ ความสงบนั้นแลก็เหมือนอยู่ในฌานหินทับหญ้า ถ้าเราไม่เอาไปพิจารณาธรรม ไม่ให้เกิดปัญญาให้เข้าถึงธรรมในกายนี้ ถึงสติปัฏฐาน ๔ นั่นก็หมายถึงว่ายังไม่เข้าถึงตัวปัญญา หรือยังไม่เข้าวิปัสสนาก็ดี มันเป็นแค่อารมณ์เพียงชั่วขณะที่ว่าจิตเราสงบ เป็นแค่สมถะ
สมถะนี้ ความสงบนี้ สมาธินี้..มันแค่ระงับความวุ่นวายความฟุ้งซ่าน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหมือนเราทานยาแก้ปวดหัวเวียนหัว..มันระงับ แต่ถามว่าเมื่อมันหมดฤทธิ์ยาแล้ว อาการเวียนหัวยังคงอยู่หรือไม่ (ลูกศิษย์ : อยู่ค่ะ) นี่เรียกว่าสมาธิแห่งความสงบ..เมื่อกินยาเข้าไป แต่ว่าอาการปวดหัวเวียนหัวนั้นยังอยู่
แต่ถ้าเป็นวิปัสสนา พอได้กินวิปัสสนากินยาตัวนี้เข้าไปแล้ว แม้ฤทธิ์มันคลายแล้วของยาวิปัสสนา อาการเวียนหัวปวดหัวนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหตุเพราะว่าวิปัสสนานั้นไปดับที่เหตุ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ยาที่โยมไปกินคือสมาธิมันแค่ระงับปลายเหตุ มันไม่ได้ระงับที่ต้นเหตุ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
หมายถึงว่าสมาธิก็ดีเมื่อเราเจริญแล้วภาวนาแล้ว จะนั่ง ๒ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมงก็ตาม..ก็นั่งได้ทั้งนั้น เค้าเรียกว่าติดอยู่ในฌานติดอยู่ในสุข ไอ้สุขนี้คนชอบอยู่ บางคนก็อยู่เป็นวัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่อยากจะถอนออกมาเพราะสุขเหลือเกิน นี่เค้าเรียกว่าสุขอยู่ในสมาธิ สุขอยู่ในฌาน..เค้าเรียกว่าติด..ติดในสุข
ดังนั้นเรียกว่ามันไม่เกิดประโยชน์อันใด เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ก็มีอานิสงส์ เพราะจิตในขณะที่มีความสงบนั้น จิตไม่มีเวรอาฆาตพยาบาทกับใคร มันเป็นการเจริญเมตตาไปในตัว ดังนั้นคำว่าวิปัสสนาจะรู้ได้อย่างไรว่าเราถึงวิปัสสนาแล้ว ก็หมายถึงว่าถ้ามีความสงบเกิดขึ้นกับจิตก็ดี ในสมาธิที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เอาความสงบนั้นลองดูซิว่ามันสงบจริงหรือไม่..
คำว่าสงบจริงหรือไม่นั่นก็คือ ลองกำหนดรู้ในกายดูซิว่าอารมณ์แห่งโทสะ ลองระลึกถึงที่คนทำไม่ดีกับเรา..ความอาฆาตก็ดี ความน้อยเนื้อต่ำใจก็ดี ดูซิว่าเรายังมีอยู่หรือไม่ ถ้ามันยังมีอยู่แห่งอารมณ์โทสะ โมหะ โลภะนี้ แสดงว่ามันไม่สงบจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราระลึกถึงคนที่ชอบหน้าหรือไม่ชอบหน้าแล้วเป็นอย่างไร..อย่างนี้
ลองระลึกดูซิว่าคนที่เค้าดูถูกดูแคลนต่อว่าต่อขานเรานั้น เมื่อเราระลึกแล้วเป็นอย่างไร แสดงว่าถ้าเรายังมีอารมณ์อยู่ แสดงว่าสมาธิมันยังไม่ได้สงบจริง คำว่าสมาธิ..มันยังไม่ได้ดับเหตุเหล่านี้ได้ แต่มันเป็นแค่เบื้องบาท จิตที่สงบชื่อว่าสมาธิ จิตที่ว่าสงบที่ชื่อว่าสมาธิมันจึงเรียกว่าฌานที่ไปเพ่งอยู่ เรียกว่าข่มอารมณ์อยู่นั่นเอง มันเป็นแค่การข่ม ถ้าเปรียบเหมือนฤทธิ์ยาก็คือยาชา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
หมายถึงว่าโยมนั่งสมาธิ ๑๐ ชั่วโมง ฤทธิ์ยาชาก็มี ๑๐ ขั่วโมง เข้าใจมั้ยจ๊ะ หมดจากอำนาจของยาชานั้นแล้ว ทีนี้ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายทั้งปวง ความฟุ้งซ่านก็กลับมาเหมือนเดิม เข้าใจมั้ยจ๊ะ โลภ โกรธ หลง..ก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม มีผัวเดินมาด่าก็ดี โทสะก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม..
แต่คำว่า"วิปัสสนา"อาศัยเบื้องบาทแห่งความสงบแห่งสมาธินั้นแล..ไปพิจารณาธรรม คือพิจารณาอารมณ์ เพ่งโทษในอารมณ์ที่เรานั้นมีความพอใจ คือยังไปติดในอารมณ์ใด..อารมณ์นั้นก็เป็นกรรม ถ้าติดในอกุศล..อารมณ์นั้นก็เป็นกรรมอกุศล ถ้าติดอยู่ในกุศลก็เรียกว่าจิตเรายังไปติดในกรรมที่เป็นกุศลเช่นเดียวกัน
ดังนั้นก็ให้เราไปพิจารณา คือเพ่งโทษในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเราเพ่งโทษแล้วก็ให้ดูซิว่า..เค้าถึงบอกว่าคนปฏิบัตินั้น ภูมิจิตภูมิธรรมที่ปฏิบัติมาเป็นอย่างไร นั่นหมายถึงว่าคนที่ปฏิบัติเข้าถึงวิปัสสนาไม่ต้องเข้าวิปัสสนา คนที่เข้าถึงสมาธิไม่ต้องเข้าสมาธิ คนที่เข้าถึงฌานไม่ต้องเข้าฌาน เพราะเมื่อฝึกถึงเข้าฌานแล้ว เมื่อเคยเจริญสมาธิแล้ว เมื่อเคยเดินปัญญาวิปัสสนาแล้ว เมื่อเกิดผัสสะมากระทบ ๓ อย่างนี้จะทำงานทันที..
ทำงานเป็นอย่างไร สมาธิ..ใจที่สงบจึงเรียกว่าทาน เมื่อเข้าถึงแล้ว..ความเป็นปรกติ..จิตที่บอกว่าสงบจึงเรียกว่าศีล แต่ตัวปัญญาที่รู้เท่าทันดับอารมณ์ได้เค้าเรียกวิปัสสนา นั่นหมายถึงว่าเมื่อมีคนมาว่าเรา จะว่าเราก็ดี จะว่าพ่อแม่เราก็ดี ในขณะนั้นอาการของจิตเป็นอย่างไร ถ้าอาการของจิตมีโทสะแต่สติกำหนดรู้ วางได้ เท่าทันได้ อโหสิกรรมเค้าได้ อย่างนี้แลเค้าเรียกว่าฌานมันบังเกิด สมาธิบังเกิด เค้าเรียกว่าตัวสติบังเกิด วิปัสสนาคือรู้เท่าทันอารมณ์ เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์มันเกิดนิโรธดับในขณะนั้น
เค้าถึงบอกว่ากรรมฐานจะให้ผลตอนไหน ฉันเคยบอกโยมมาหลายครั้งว่า
๑.กรรมฐานจะให้ผลตอนที่โยมจะตาย
๒.กรรมฐานจะให้ผลตอนที่โยมมีทุกข์
๓.กรรมฐานจะให้ผลตอนที่โยมไม่มีทางออก
นั้นถ้าโยมอยากรู้ว่าสมาธิที่โยมฝึกกรรมฐานมา เจริญทาน ศีล ภาวนามา เจริญวิปัสสนาญาณมาเป็นอย่างไร ให้รู้อยู่ในเฉพาะหน้าปัจจุบันของเราทุกขณะจิตนั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ใช่ว่าต้องมานั่งหลับตา ไม่ใช่ว่าต้องมาเดินปัญญา ไม่ใช่ว่าต้องมาเจริญนิโรธอยู่เพ่งอยู่ ฝึกขันติอดอาหารอยู่อย่างนี้ ปิดวาจาอยู่ก็ดี แต่ให้รู้ทุกขณะจิตที่ผัสสะมากระทบนั่นแล ทาน ศีล ภาวนาเราจะได้รู้ว่าอะไรเรามันพร่อง อะไรที่มันยังขาด อะไรที่เราต้องเติม อะไรที่เราต้องเพิ่ม เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ...
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
เค้าบอกว่าเคล็ดลับแห่งการเจริญกรรมฐาน เจริญวิปัสนนาญาณ ถ้าจะได้ญาณรู้แจ้งเห็นจริง พัฒนาได้ไว ก้าวกระโดดของจิต เค้าบอกให้เจริญสมถวิปัสสนาหรือสมถกรรมฐาน ให้พิจารณาละสังขารเพ่งโทษให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นเค้าเรียกการเผากิเลส เผามันอยู่ในกายนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เผาจนจิตโยมตื่น สว่าง โยมจะเห็นโลกธาตุทั้งปวง
ธรรมทั้งหลายมันอยู่ในกายนี้ที่มันซ่อนอยู่ เมื่อโยมกำจัดอวิชชาให้มันแห้งเหือดได้เมื่อไหร่ มันก็จะแปรเปลี่ยนเป็นปัญญาขึ้นมา และแปรเปลี่ยนเป็นวิชชาขึ้นมา ถ้าโยมนั่งแล้วได้แต่เจริญภาวนา แต่ไม่ได้เพ่งโทษในกาย ไม่ได้พิจารณาในกายเลย มันได้แค่สมถะหรือความสงบ หมดจากความสงบแล้วเป็นอย่างไร..โยมก็จะสลบ
แต่ถ้าโยมพิจารณาในกายเพ่งโทษ..มันได้ในความสงบ มันได้ในการเป็นปัญญา มันได้ด้วยวิชชา เมื่อโยมมีวิชชาโยมจะไปที่ไหนมันก็ติดตัวมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมจะนั่งหรือจะนอนอย่างใดมันก็ติด มันเป็นวิชชามันติด..นี่มันเป็นทรัพย์ เรียกว่าทรัพย์ภายใน โยมระลึกถึง..ปัญญามันก็บังเกิด ระลึกถึงสมาธิ..สมาธิมันก็บังเกิด วิชชามันก็บังเกิด
เค้าถึงบอกว่าภูมิธรรมเมื่อได้แล้ว..จะไม่มีวันเสื่อม ดังนั้นถ้าโยมต้องการให้มันเจริญก้าวหน้า โยมต้องเพ่งโทษในกายให้มากๆ แล้วเพ่งตอนไหน ตอนไหนที่เราอยู่กับกายมากที่สุด เคยได้พิจารณารึเปล่าจ๊ะ ตอนไหนที่เราอยู่กับกายมากที่สุด..ตอนที่โยมอยู่คนเดียว เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่ล่ะจ้ะธรรมอกุศล ธรรมกุศล ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมทั้งหลายมันจะเข้ามาในขณะนั้น ตอนที่โยมอยู่คนเดียว เค้าบอกว่าน่ากลัวที่สุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นตอนไหนที่มันน่ากลัว..ก็ตอนที่เราอยู่คนเดียว ใช่มั้ยจ๊ะ ให้ไปพิจารณาให้มาก นั่นแหล่ะจ้ะ โยมว่ามันจริงมั้ยจ๊ะ ถ้าอยู่ ๒ คนมันไม่ค่อยพิจารณาตัวเองหรอก มันพิจารณาคนอื่นเค้า ใช่มั้ยจ๊ะ พออยู่หลายๆคนจิตฟุ้งแล้ว อยู่กับตัวเอง..ไม่ว่าโยมจะเดิน นั่ง หรือนอน ถ้าโยมมีภูมิธรรมเก่า ฉันขอฝากเอาไว้ถ้าอยู่กับตัวเอง..น่ากลัวมากที่สุด เพราะผีมันชอบสิง จำเอาไว้
อยู่กับคนมากๆผีมันไม่ค่อยสิง ผีมันกลัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะว่าเราอยู่กับคนอื่นกำลังใจเราจะดี ถ้าอยู่คนเดียวเริ่มรู้สึกหันไปซ้าย หันไปขวา หันไปหน้าจะไปหลัง เริ่มวังเวง ถ้าโยมขาดหลักขาดที่พึ่งที่เป็นสรณะเมื่อไหร่..ผีมันชอบสิง ที่แท้ผีไม่ได้สิง ผีมันจะออก เข้าใจมั้ยจ๊ะ
พอมันออก โยมว่าผีตัวใหม่หรือตัวเก่ามันเข้า ถ้าโยมไม่รู้ว่าตัวเดิมหรือตัวเก่าโยมก็จับมันไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะโยมไม่เห็นตัวมันไม่ใช่เหรอจ๊ะ เค้าถึงบอกว่าถ้าเราอยู่คนเดียวมันเป็นช่วงอันตราย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าบอกว่าถ้าเราอยู่คนเดียวให้ทำอย่างไรบ้าง มีขั้นตอน..
ถ้าอยู่คนเดียวให้ทำอย่างนี้..ให้เรามีที่พึ่งที่เป็นสรณะเสีย ให้เรามี"องค์ภาวนา"จำไว้นะจ๊ะ ถ้าเราอยู่คนเดียว พอเราภาวนาไปจะเริ่มมีเพื่อนเข้ามาอยู่แล้ว แต่ว่าเพื่อนที่เข้ามาอยู่มันจะเป็นมิตรหรือไม่เป็นมิตรก็ตาม อย่างน้อยตัวสติเรามีแล้ว เราจะเห็นเราจะเลือกได้ เลือกคบได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นตอนที่เราอยู่คนเดียวให้เรามีองค์ภาวนาไว้ ระลึกอยู่ที่ลมหายใจอยู่ในกาย เรียกว่าเจริญอานาปานสติอยู่บ่อยๆ โยมจะเป็น"ที่หลบภัย" เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ถ้าโยมอยู่กับใครอยู่อย่างนี้อยู่หมู่มาก โยมก็ยังไม่กลัว เค้าเรียกว่าโยมกำลังใจดี โยมจะนอนหลับจะเล่นก็ได้ ไม่เป็นไร เพราะมีคนมองให้ ยังรู้สึกว่ายังมีคนอยู่ แต่ถ้าโยมอยู่คนเดียวโยมจะรู้สึกว่าโยมเริ่มมีสิ่งที่น่ากลัว ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะว่าเมื่ออยู่คนเดียวแล้วมันจะมีวิญญาณ..
อันดับต่อไปเมื่อเราภาวนาจิตอยู่คนเดียวแล้ว พอจิตเราสงบเค้าบอกให้"แผ่เมตตา" ถ้าโยมทำได้โยมจะไปอยู่ไหนโยมก็อยู่ได้ เพราะในขณะที่เราอยู่คนเดียว จำไว้นะจ๊ะ นั่นหมายถึงว่าในขณะที่เรานั่งที่ใด เดินที่ใด นอนที่ใด เราจะนั่งในอิริยาบถใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีวิญญาณทั้งนั้น ถ้าว่าธาตุเราอ่อนสิ่งพวกนี้มันก็มากระทบเราได้ จำไว้นะจ๊ะ เค้าถึงบอกคนที่มีจิตหดหู่เศร้าหมองในดวงจิตอยู่ทำไมเค้าถึงฆ่าตัวตายได้เพราะเหตุใด เพราะเหตุแบบนี้..
ดวงจิตวิญญาณที่มีความเศร้าหมอง แล้วเคยมีวิบากกรรมกันมา มันก็ต้องเจอวิญญาณพวกนี้มาตาม เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วยิ่งยุคนี้ตอนนี้ก็ขอให้โยมมีสติให้มาก ภัยพิบัติมีหลายทางที่จะมา มีทางน้ำ ทางบก ทางอากาศ ทางวิญญาณ ทางเชื้อโรค สรุปแล้วมาหลายทางมั้ยจ๊ะ อะไรแม้จะมีมาหลายทาง มาทั้ง ๑๐๘ ทิศอะไรก็ตาม ขอให้โยมมีสติมีองค์ภาวนาเป็นที่หลบภัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แล้วเมื่อโยมแผ่เมตตาออกไปนี่แหล่ะจ้ะ คำว่าออกไป..มันเป็นยังไง แผ่เมตตาออกไปมันเป็นยังไง คือเอาจิตที่โยมเจริญจิตที่เป็นกุศล โยมแผ่บุญออกไป โยมแผ่ด้วยกำลังจิตที่มีอานุภาพ มีกำลังมากเท่าไหร่ มันไปได้ไกลมากเท่าไหร่ โยมก็ปลอดภัยมากเท่านั้น คือวันๆนั้นโยมจะรักษาใจให้ปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่หดหู่ ไม่เศร้าหมอง
ถ้าขณะจิตในวันใดที่จิตโยมหดหู่เศร้าหมอง หรือมีเรื่องอะไรมากระทบจิตให้ดวงจิตนั้นรู้สึกขุ่นเมื่อไหร่ ขอให้โยมระลึกถึงองค์ภาวนา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แรกๆมันอาจจะไม่ทัน แต่เมื่อโยมฟังที่ฉันบอก ฝึกไว้แล้วโยมจะทัน จำไว้นะจ๊ะ..นี่คือเคล็ดลับที่โยมจะรอดพ้น
แล้วโรคภัยไวรัสที่มาตอนนี้..มันไม่ใช่ไวรัสธรรมดา มันเป็นพิเศษ มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบใดในรูปของมารก็ดี เหมือนอย่างที่บอกเมื่อโยมอยู่ผู้เดียว ถ้าโยมอยู่มากๆมันไม่เท่าไหร่ คนที่อยู่ผู้เดียวแล้วที่ฉันบอกว่าน่าอันตรายคืออะไร แม้โยมจะอยู่ในคนหมู่มากก็ตาม แต่ถ้าจิตโยมหดหู่เศร้าหมอง หมดอาลัยตายอยากนี่เค้าเรียกว่า..โยมอยู่ผู้เดียว คือขาดที่พึ่งเป็นสรณะ คือไม่มีหลัก
เค้าถึงบอกว่าแม้คนจะอยู่ในที่ที่ประชุมเดียวกัน แต่เมื่อมีโทษมีเภทมีภัยมันถึงไม่โดนทั้งหมดเพราะอะไร มันโดนเป็นรายบุคคลก็ดี เพราะวิบากรรมคนนี้ทำมาอย่างนี้ เพราะบุคคลนั้นเค้าเจริญภาวนามีสติอยู่ เค้าก็รอด เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นให้โยมฝึกไว้ให้มันชินให้เป็นนิสัย เป็นวาสนาบารมีไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
การเจริญวิปัสสนาที่แท้จริงแล้ว
ไม่มีการหลบเลี่ยงอะไรทั้งหมด
ไม่มีคำบริกรรมอะไรทั้งหมด
เพียงรับรู้ รับทราบ สภาวะที่เกิดขึ้น
ด้วยความปล่อยวาง
ด้วยความปกติ วางเฉย
เช่น ตึงก็รับรู้ว่าตึง
รับรู้กายรับรู้ใจ แต่ไม่ฝืนไม่บังคับ
ไม่หลบไม่หนี ไม่ยินดียินร้าย
ก็จะเป็นวิปัสสนาไปในตัว
เรียกว่ามีสติกำหนดดูสภาพธรรม
ความตึง ความแข็ง
ความทุกขเวทนาเล่านั้น
แต่ก็วางเฉยได้
สิ่งเหล่านั้นก็คลี่คลาย
พร้อมด้วยปัญญาที่เกิดขึ้น
คือเห็นความจริงของสิ่งเหล่านั้น
ว่ามีความเปลี่ยนแปลง
มีความเกิด มีความดับ
มีสภาพบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน
บางท่านปฏิบัติไป
ไม่ได้เคร่งเครียดเคร่งตึง
จิตใจมีความสงบดี ดื่มด่ำเป็นสุข
แต่ทำไปแล้วว่างๆ ไม่มีอะไร
ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า
จิตใจสงบเป็นสุข
แต่ก็อยู่อย่างนั้น ไม่ไปไหน
เรียกว่า เกิดสมาธิ เกิดความสงบ
สภาวธรรมต่างๆ มีความละเอียด
ลมหายใจละเอียด
ความรู้สึกทางกายละเอียด
ละเอียดมากๆ ก็จับอะไรไม่ได้
สติระลึกรู้สภาวะไม่ออก
ก็กลายเป็นความว่าง
จิตไปรับรู้อยู่ที่ความว่างเปล่า
ไม่มีอะไรอยู่อย่างนั้น
เป็นสุขอยู่อย่างนั้น
วิปัสสนาก็ไม่ก้าวหน้า
ไปติดอยู่แค่ความสงบความสุข
ไม่เกิดปัญญา ไม่เห็นความเกิดดับ
ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เพราะว่าสติไม่ได้รู้อยู่ที่สภาวะ
แต่ไปรู้ที่ความว่างเปล่า
ซึ่งไม่ใช่ปรมัตถธรรม
มันจึงไม่มีการเกิดดับ ให้ดู
จึงไม่เกิดปัญญาหรือวิปัสสนาญาณ
ในขณะที่สงบ มีแต่ความว่างอยู่นั้น
สติก็ต้องกลับระลึกรู้เข้ามาที่จิต
ระลึกเข้ามาที่อาการในจิต
ตัวสติก็เกิดกับจิต
เรียกว่าจิตต้องรู้จิต
จิตก็คือสภาพรู้อารมณ์
ก็คือ รู้ต้องดูตัวรู้
รู้ต้องย้อนมาที่สภาพรู้
คือต้องย้อนมาที่ผู้รู้
ถ้ามันย้อนมาไม่เป็น
มันปรับตัวเองไม่ถูก
มันรู้สึกตัวเองไม่ได้
มันก็ขยายไปรู้แต่ความว่าง
มันก็เลยไม่มีอะไร
ทั้งๆที่ยังมีตตัวดู ตัวรู้ ตัวรู้สึกอยู่
แต่ไม่เห็น
เหมือนตัวเองหาอะไรต่ออะไรอยู่
แต่ไม่เคยหาตัวเอง
ถ้าย้อนรู้เป็นจะพบว่า
มีสภาวะอยู่ตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น
มีจิตรับรู้อยู่ตลอด
ตัวสติเป็นตัวระลึก
ตัวสัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณา
หรือจะรวมเรียกว่าตัวดู
ตัวดูบอกว่าไม่มีอะไร
แต่ที่จริงก็มีตัวเองอยู่ คือตัวผู้ดู
ก็ต้องดูที่ตัวเอง
ก็เห็นตัวเองมีลักษณะที่ดูแล้วก็หมด
รู้แล้วก็หมด นี่เป็นส่วนสำคัญ
สำหรับนักปฏิบัติวิปัสสนา
ที่จะต้องก้าวเข้ามาจุดนี้ให้เป็น
ก็จะทำให้การปฏิบัตินั้น
ไม่ไปตันอยู่ที่ความว่าง
ความไม่มีอะไร
เพราะวิปัสสนาก็ต้องมีรูปมีนาม
หรือสภาวปรมัตถ์ที่ปรากฏเกิดขึ้น
ให้รับรู้อยู่ตลอดเวลา
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)