" เมื่อแยก...พันธะแห่ง...ความเกี่ยวเนื่อง
"จิต" กับ "สรรพสิ่ง ทั้งปวง" ได้แล้ว
จิต จะหมดพันธะ กับเรื่องโลก
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะดี หรือเลว
มัน ขึ้นอยู่กับ..."จิต"ที่ออกไปปรุงแต่ง ทั้งนั้น
แล้ว...จิต ที่ขาดปัญญาย่อม เข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิดก็...หลง
ก็หลง อยู่ภายใต้อำนาจ ของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกาย และ ทางใจ
อัน...โทษทัณฑ์ ทางกาย อาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อย ได้บ้าง
ส่วน...โทษทางใจ มีกิเลสตัณหา เป็นเครื่องรึงรัด ไว้นั้น
ต้องรู้จักปลดปล่อยตน...ด้วย...ตนเอง
พระอริยเจ้า ทั้งหลาย ท่านพ้นจากโทษ ทั้งสองทาง
ความทุกข์...จึงครอบงำ ไม่ได้."
______________________________________
(หลวงปู่ดุลย์ อตุโล)
< อริยบุคคล และสังโยชน์ ๑๐ >
อริยบุคคล คือ บุคคลผู้ประเสริฐ เป็นผู้ละสังโยชน์ หรือกิเลสที่ผูกมัดสัตว์ไว้ในภพหรือผูกพันสัตว์ทั้งหลายไว้กับทุกข์ได้ ใครละได้น้อยก็เป็นอริยบุคคลชั้นต้น เมื่อละได้มากเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงขึ้น ใครละได้หมดก็เป็นพระอรหันต์
สังโยชน์ ๑๐
• ๑. สังกายทิฏฐิ ความเห็นว่าร่างกายเป็นของตน
• ๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในผลกรรม การเวียนว่ายตายเกิด
• ๓. สีลัพพตปรามาส การเชื่อพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
• ๔. กามราคะ ความติดใจในกามารมณ์
• ๕. ปฏิฆะ ความขัดเคืองใจ
• ๖. รูปราคะ ความติดใจในรูป เช่น สิ่งล้ำค่าสวยงาม
• ๗. อรูปราคะ ความติดใจในสิ่งไม่มีรูป เช่น คำสรรเสริญ
• ๘. มานะ ความยึดถือว่าตัวเป็นนั่นเป็นนี่ ติดในยศศักดิ์
• ๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ไม่สงบใจ
• ๑๐. อวิชชา ความไม่รู้อริยสัจ ๔
ลำดับพระอริยบุคคล
• ๑. พระโสดาบัน ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๓ ได้ ยังต้องกลับมาเกิดอีก แต่ไม่เกิน ๗ ชาติแล้วจะบรรลุนิพพาน คือ ได้เป็นพระอรหันต์
• ๒. พระสกิทาคามี ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๓ ได้ และจิตคลายจากราคะ โทสะ โมหะ ได้มากขึ้น จะเกิดอีกเพียงครั้งเดียวแล้วจะบรรลุนิพพาน
• ๓. พระอนาคามี ละสังโยชน์ในข้อ ๑ - ๕ ได้ บรรลุชั้นนี้แล้วจะเลิกการครองเรือน หันมา ประพฤติพรหมจรรย์ละสังขารแล้วจะไปเกิดในพรหมโลก
• ๔. พระอรหันต์ ละสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ ข้อ เมื่อละสังขารแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก คือ นิพพาน
ผลที่เกิดจากการปฏิบัติ หรือปฏิเวธธรรม ทำให้ได้บรรลุ มรรคผล นิพพาน ตั้งแต่ ชั้นต้นไปตามลำดับ ดังนี้
• ๑. โสดาปัตติมรรค คือ มรรคอันให้ถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน เป็นเหตุให้ละกิเลส สังโยชน์ ในข้อที่ ๑ - ๓ ได้
• ๒. โสดาปัตติผล คือ ผลแห่งการเข้าถึงกระแสที่นำไปสู่พระนิพพาน
• ๓. สกทาคามิมรรค คือ มรรคที่มีคุณธรรมสูงกว่าพระโสดาปัตติมรรค ทำให้ละกิเลส ข้อ ๑ - ๓ ได้ และราคะ โทสะ โมหะ ในจิตเบาบางมากแล้ว
• ๔. สกทาคามิผล คือ ผลที่พระสกทาคามิผลพึงเสวย เพราะทำให้ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง
• ๕. อนาคามิมรรค คือ มรรคที่ละกิเลสอย่างหยาบ ข้อ ๑ - ๕ ได้
• ๖. อนาคามิผล คือ ความสุขที่พระอนาคามีได้รับเพราะละกิเลสอย่างหยาบได้ ผู้บรรลุพระอนาคามีแล้วจะบวช ไม่มีใครอยู่ในเพศฆราวาสเลย
• ๗. อรหัตมรรค คือ ญาณเป็นเครื่องละกิเลสอย่างละเอียด หรือสังโยชน์ ข้อ ๖ - ๑๐ รวมทั้งข้อ ๑ - ๕ ได้โดยสิ้นเชิง
• ๘. อรหัตผล คือ ผลที่พระอรหันต์พึงได้รับเพราะละการยึดมั่นถือมั่นในกิเลส
มรรค คือ ญาณที่ทำให้ละสังโยชน์ได้ขาด เป็นทางให้เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล
ผล คือ ผลที่เกิดสืบเนื่องจากการละกิเลสได้ด้วยมรรค หรือ ธรรมารมณ์อันพระอริยะพึงเสวย ที่เป็นผลเกิดเอง ในเมื่อกิเลสสิ้นไปด้วยอำนาจมรรคนั้น ๆ
นิพพาน คือ สภาพที่ดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ที่บรรลุคุณธรรม ๘ ข้อนี้
ตั้งแต่พระโสดาปัตติมรรคขึ้นไป เรียกว่า พระอริยบุคคล
หากบรรพชาเรียกว่า พระอริยสงฆ์
"บุญ - บารมี" ต่างกันอย่างไร?
"บุญ" นั้นมีพลานุภาพมาก... สามารถอยู่กับเราได้ข้ามภพข้ามชาติแต่หากส่งผลของกรรมดีจนบุญหมดแล้ว เมื่อหมดก็คือ "หมด" จริงๆ
เราควรสะสม "กรรมดี" อันเป็น "บุญ" ไปเรื่อยๆ พยายามอย่าสร้าง "กรรมไม่ดี" ให้มันบันทึกไว้ใน "จิต" เพราะเวลา "บาป" มันส่งผล มันก็จะมีอานุภาพหนักหนาพอๆกัน
พิจารณาดูสิ! พระพุทธองค์เมื่อบรรลุธรรมก็ยังต้องรับ "วิบากกรรม" ที่ได้กระทำไว้ในอดีตแต่ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านจะรับกรรมแบบ "ไม่มีทุกข์" ในขันธ์ ๕ ในสังขารของท่าน
"บุญ" นั้นมาจาก "กรรมดี" ซึ่งมีที่มาได้ ๒ ทาง คือ
๑. บุญจาก "การกระทำเอง"
๒. บุญจาก "การรับรู้ที่ผู้อื่นได้ทำดี" อันเรียกว่า "อนุโมทนาบุญ"
ส่วน "บารมี" มาได้ทางเดียวเท่านั้น คือ "ท่านจะต้องทำเอง" และเป็นการทำบุญอย่างยิ่งยวดเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ เมื่อสร้างแล้วมันจะถูกบันทึกไว้ใน "จิต" ไม่มีลดมีแต่ทรงกับเพิ่ม ซึ่งต่างจาก "บุญ"
และวิธีการสร้าง "บารมี" มี ๑๐ วิธี! ดังนี้
๑. ทานบารมี = การที่จิตของเราพร้อมที่จะให้ทาน ให้เพื่อสงเคราะห์ไม่ใช่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้แบบไม่เลือกเพศ ไม่เลือกฐานะ ไม่เลือกบุคคล และเต็มใจในการให้ทานนั้นๆ
๒. ศีลบารมี = การที่จิตของเราพร้อมในการรักษาศีล พยายามไม่ให้ศีลบกพร่อง และไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีล
๓. เนกขัมมบารมี = การที่จิตพร้อมในการถือบวช ในการมุ่งไปสู่การปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญภาวนา
๔. ปัญญาบารมี = การที่จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารกิเลสและมีความรู้เท่าทันสภาวะของกฎสามัญลักษณะ ได้แก่ การเห็นอนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา ทุกอย่างไม่แน่!
๕. วิริยบารมี = การที่มีความเพียรทุกขณะในการที่จะทำความดี ทำอย่างไม่ย่อท้อ
๖. ขันติบารมี = การที่มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ในการทำความดี
๗. สัจจะบารมี = การที่ตั้งมั้นในคำพูดที่ได้รับปากไว้แล้วหรือการตั้งมั่นกับตนเอง พูดจริง! ทำจริง!
๘. อธิษฐานบารมี = การตั้งเป้าหมายให้จิตแบบเจาะจง การที่ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น...สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงนั่งประทับที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์พระองค์อธิษฐานว่าถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ พระองค์ทรงอธิษฐานแบบเอาชีวิตเข้าแลกแล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น
๙. เมตตาบารมี = การที่มีความเมตตาไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อาฆาตใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
๑๐. อุเบกขาบารมี = การที่มีความวางเฉยมีความเป็นกลางต่ออารมณ์ที่ถูกใจและอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ
ขอให้ชาวพุทธทุกท่าน ได้เสริมสร้าง "บุญ - บารมี" กันด้วยความเข้าใจกันด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
< มานะ 9 >
มานะ คือ ความเย่อหยิ่ง ถือตัว ด้วยเรื่อง ชาติ สกุล โคตร รูปร่าง ทรัพย์ ฐานะ อาชีพ การศึกษา ปัญญา และเรื่องอื่น , มานะเป็นความรู้สึกสำคัญตัวคือปรุงตัวตนเองขึ้นมาว่าดีกว่าเขา เสมอเขา หรือเลวกว่าเขา เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง จำแนกเป็น 9 จำพวก ดังนี้
▪เลิศกว่าเขา สำคัญว่าเลิศกว่าเขา
▪เลิศกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา
▪เลิศกว่าเขา สำคัญว่าเลวกว่าเขา
▪เสมอเขา สำคัญว่าเลิศกว่าเขา
▪เสมอเขา สำคัญว่าเสมอเขา
▪เสมอเขา สำคัญว่าเลวกว่าเขา
▪เลวกว่าเขา สำคัญว่าเลิศกว่าเขา
▪เลวกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา
▪เลวกว่าเขา สำคัญว่าเลวกว่าเขา
เมื่อรู้สึกสำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา
ก็จะทนงตน ฮึกเหิมลำพอง
เมื่อรู้สึกสำคัญตนว่าเสมอเขา
ก็จะหาทางแข่งขัน อยากดีเด่น ดังกว่าเขา
เมื่อรู้สึกสำคัญตนว่าเลวกว่าเขา
ก็จะรู้สึกน้อยใจ หรือดูถูกตนเอง
》วางใจให้เป็นกลาง ทำอัตตาอัสมิมานะให้ดับไปให้ได้ อาสวะทุกตัวย่อมสิ้นเอง สังโยชน์ถ้าเห็นถูกละรอล่วงหน้าได้เลยนะ แต่ยังไม่สมุทรเฉทประหาร
ผู้ที่ปฎิบัติธรรมโดยไม่ท้อแท้ ท้อถอย...เป็นผู้มีบารมีมาก
ผู้รักษาจิตให้อิสรเหนือขึ้นกว่าสิ่งที่ยึดผูกพัน...เป็นผู้มีวาสนามาก
ผู้หยั่งถึงการการให้น้ำใจที่บริสุทธิ์...เป็นผู้มีทานบารมีมาก
ผู้เพียรละอกุศลจนทำให้ไม่มี ที่มีให้จางหาย...เป็นผู้มีศีลมาก
ผู้บวชกาย บวชจิตให้ถึง ใจผ่องใส...เป็นผู้บำเพ็ญภาวนามาก
ผู้รู้ตื่นศรัทธาเดินถูกทางแล้วแต่อาจช้าบ้างในภพ ในชาติ...เป็นผู้มีปัญญามาก
ผู้รักษาจิตให้อิสระเหนืออารมณ์ ควบคุมใจจนมั่นคง...เป็นผู้มีความเพียรมาก
ผู้อดทน อดกลั้นต่อสิ่งพอใจ ไม่พอใจ กลางๆทั้งปวง...เป็นผู้มีขันติมาก
ผู้ตั้งสัจจะอันทรงตัวของใจอันแน่วแน่ในความจริงตลอดเวลา...เป็นผู้มีสัจจะบารมีสูงมาก
ผู้ตั้งเอาไว้ให้ตรงโดยแน่วแน่ ตอกย้ำใจไม่แปรเปลี่ยน...เป็นผู้มีอธิษฐานบารมีเอาไว้สูงสุดเป็นอันมาก
ผู้รู้ตัวเองยังบกพร่องอยู่ ติดอยู่ เพียรอยู่กับโลกและธรรม...เป็นผู้มีเมตตาบารมีมาก
ผู้รักษาใจให้สมดุลย์โดยสม่ำเสมอ ปรับแต่งใจให้เป็นกลาง วางใจเฉย ปล่อยวาง โดยไม่สิโรราบสิ่งใดๆ...เป็นผู้มีอุเบกขาบารมีเป็นวาสนาสูงมาก...
ชัชวาล เพ่งวรรธนะ
< สังโยชน์ ๑๐ >
สังโยชน์ ๑๐ อุปมาเหมือนโซ่ตรวนหรือเชือก
คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ...
โอรัมภาคิยสังโยชน์ เป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ (ที่ร้อยรัดปุถุชนและพระอริยบุคคลเบื้องต่ำ ๓ คือ พระโสดาบัน, พระสกทาคามี, พระอนาคามี) ได้แก่...
๑. สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
๒. วิจิกิจฉา มีความสงสัยในธรรม ๘ ประการ อันได้แก่ สงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นทุกข์ได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
* พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกนี้
๔. กามราคะ มีความติดใจในกามคุณ ๕ ได้แก่ ความพอใจ ติดใจในรูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส
๕. ปฏิฆะ มีความกระทบกระทั่งในใจ จนกระทั่งถึงโกรธ พยาบาทกันเลย
* พระอนาคามี ละสังโยชน์ได้เพิ่มอีก ๒ ข้อ
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ (ละได้ด้วยอรหัตตมรรค)ได้แก่...
๑. รูปราคะ มีความติดใจในรูปฌานหรือวัตถุธรรมทั้งหลาย
๒. อรูปราคะ มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
๓. มานะ มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตนว่าดีกว่า, เสมอ, ต่ำกว่าผู้อื่น
๔.อุทธัจจะ มีความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
๕. อวิชชา มีความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ๘ ประการ ได้แก่ ความไม่รู้ใน"ทุกข์", "สมุทัย", "นิโรธ", "มรรค" เป็นต้น
♡♡ #สังโยชน์ 10 ♡♡
☆☆ต้นเหตุ 10 ประการ ที่ทำให้ ติดกับดัก พลังงานสสารธาตุ(วัฏฏะสงสาร)☆☆
☆☆เกิดจาก จิต มีความคิด ออกนอกกาย คิด พิจารณา ยึดติด กับสิ่งต่างๆ นอกร่างกาย☆☆
1.สักกายะทิฏฐิ .. เห็นแก่ตัว ทำเพื่อตัวเอง พูดเข้าข้างตัวเอง โอ้อวดตัวเอง
2.วิจิกิจฉา ... สงสัยไม่หยุด เจ้าปัญหา เจ้าคำถาม .. ค้นหาแต่เรื่อง สนองกาย
หาความสุขให้ กาย ทั้งๆที่ การจะหลุดพ้น เป็นเรื่องของ จิต รักษา จิต ให้อยู่กับตัว
3.สีลัพพะตะปรามาส ... ล้ำเส้นศีล >> ทำร้าย กล่าวหา คิดร้าย คนอื่น
ทั้งทางตรง-ทางอ้อม ทางกาย-วาจา-ใจ
4.กามคุณ ... ยินดีใน สสารธาตุ-วัตถุธาตุ - อากาศธาตุ >> คน สัตว์ สิ่งของ ยศ ตำแหน่ง
5.ปฏิฆะ ... หงุดหงิด ขี้รำคาญ ขี้โมโห
6.รูปฌาน ... หลงในวัตถุธาตุ >> งาน เงิน บ้าน รถ วัตถุสิ่งของ
7.อรูปฌาน ..หลงในอากาศธาตุ >> ยศตำแหน่ง คาถาอาคม ชื่อเสียง คำสรรเสริญเยินยอ
8.ฟุ้งซ่าน...จิตออกนอกตัว คิดแต่เรื่องไร้สาระ ไม่มีสติ
9.มานะ ... คิดว่าด้อยกว่าเขา>>>>>น้อยใจ
คิดว่าเสมอเขา.>>>>>>>ทรนงตน
คิดว่าเหนือกว่าเขา>>>>คุยข่มคนอื่น
10.อวิชชา... รู้ไม่หมด แต่เข้าใจไปเองว่า รู้หมดแล้ว (ที่ในตำราไม่มี-ยังมีอีกเยอะมาก)
เกิดพฤติกรรม : หลงตนเอง โอ้อวดตัวเอง ขยันหาอ่าน แต่ไม่ขยันหาอาจารย์สอน
เอาที่อ่าน ไปสอนคนอื่น ยกตนข่มคนอื่น ไม่ชอบฟังใคร
ปรี๊ด...ขึ้นง่าย เวลาใครไม่เชื่อ หรือ โต้เถียง
(ในมิติทิพย์ คนติด อวิชชา จิต จะเป็น สี่เหลี่ยม ในขณะที่คนปกติ จิต จะเป็น ทรงกลม)
.จุฬามเหศักดิ์ นักรบจักรวาล
♡♡มงคล 38♡♡แปลจากบทสวด บาลี
การไม่คบ คนพาล เดินชีวิต
คบแต่บัณฑิต เป็นเพื่อน คอยปรึกษา
บูชาคน ที่เหมาะสม ควรบูชา
ได้ชื่อว่า สิริมงคล การเดินกาย
การได้เกิด ในประเทศ อุดมสมบูรณ์
เกิดจากบุญ อดีตชาติ มาเป็นสาย
ประพฤติตน เหมาะสม การเดินกาย
ชื่อว่าได้ สิริมงคล พึงสังวรณ์
การร่ำเรียน วิชา ด้วยอุตสาหะ
วิริยะ มีวินัย ตามคำสอน
อ่อนน้อมถ่อมตน สัมมาคาระวะ ทุกทางสัญจร
นี่ก็พร สิริมงคล ให้แก่ตน
การเลี้ยงดู บิดามารดา ให้มีความสุข
สงเคราะห์บุตร มีความสุข ไม่ขัดสน
สิ่งใดชั่ว ไม่นำพา มาใส่ตน
ชื่อว่าคน มีสิริมงคล ให้ครอบครัว
การให้ทาน สม่ำเสมอ ด้วยเมตตา
ญาติทาสา มีความสุข ถ้วนทุกหัว
ไม่ร่ำเรียน วิชาชั่ว เห็นแก่ตัว
ชื่อว่าตัว มีสิริมงคล ควรแก่ตน
สักการะ บรรพบุรุษ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ครองสติ เดินกาย ใฝ่กุศล
ไม่ประมาท ในชีวิต กับทุกคน
ชื่อว่าตน มีสิริมงคล ควรแก่กาล
จงอ่อนน้อม ถ่อมตน ยอมคน มีสัมมาคาระวะ
หมั่นเสียสละ กตัญญู ดูแลศาสนะสถาน
จิตสันโดด ฟังธรรม ตามสถานะการณ์
ชื่อว่าท่าน มีสิริมงคล ละนิวรณ์
ฝึกอดทน จงเป็นคน ว่านอนสอนง่าย
โอกาศได้ เห็นสมณะ เข้ามาสอน
สนทนาธรรม ตามกาล ไม่อาทร
คืออาภรณ์ สิริมงคล นุ่งห่มกาย
รักษาสติ เดินสมาธิ เข้ากรรมฐาน
ตั้งปนิทาน ให้แก่ตน ก่อนจะสาย
ขอพระนิพพาน คือจุดหมาย เมื่อถึงวันตาย
ชื่อว่าได้ สิริมงคลที่ยิ่งใหญ่ ไว้แก่ตน
อารมญ์ ความรู้สึก ที่สัมผัส
จิตจงจับ อุเบกขา ไม่สับสน
ไม่โศกเศร้า ไม่ดีใจ ไม่ร้อนรน
นี่ก็คือ สิริมงคล ด้วยเหมือนกัน
เทวดา มนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ผู้ที่ได้ เดินกายจิต คิดสร้างสรรค์
เกิดแสงสว่าง ในดวงจิต โดยฉับพลัน
ทั้งหมดนั้น สิริมงคล ทั้งนั้นเอย
.
♡♡♡#ทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้คือ____เกม ♡♡♡
เอากำไร .... สิ่งที่ มีเพิ่มขึ้นมา หลังจาก เกิด
(เกิดมา ไม่มีอะไรติดมาด้วย จากท้องแม่) >> ลงทุน
ข้าว วันละ 2-3 จาน นอนตรงไหน ก็หลับได้ คือ ค่าใช้จ่าย แต่ละวัน
แต่ความสามารถของทุกคน สร้างผลงาน ได้มากกว่า ข้าว วันละ 2-3 จาน
แล้ว ส่วนเกินกว่า ข้าว วันละ 2-3 จาน เอาไปทำอะไร เจตนา-แบบไหน
เจตนา.....(เพื่อแสวงหาความสุข)
เจตนา ☆เมตตา☆ เพื่อให้เกิด ☆ความสุข☆ ต่อคนอื่น
จากการ ที่ช่วยให้คนอื่น มีความสุข แล้วเราสุขด้วย
(เหตุคือ เมตตา...ผลคือ ความสุข คือสัมมาทิฏฐิ คือความเชื่อที่ถูก)
หรือ
เจตนา ☆เพื่อตัวเอง☆
สำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา แล้วเดินหน้า ทำต่อไป ไม่สิ้นสุด (ตัณหา)
(เหตุคือ ตัณหา...ผลคือ หลงตัวเอง คือมิจฉาทิฏฐิ คือความเชื่อที่ผิด)
ทุกเกม ย่อม มี-แพ้ / มี-ชนะ ขนาดธนาคาร .. 7/11 ยังมีเจ้ง
ไม่ว่าเกม จะ-ชนะ / จะ-แพ้
จะ-สำเร็จ / จะ-ล้มเหลว ...... มันคือเกม
คนรวย ตายไป ย่อมเอาอะไรไปด้วยไม่ได้ หลังความตาย
คนจน-มีหนี้สิน ตายไป ไม่มีเจ้าหนี้ คนไหนตามไปทวง หลังความตาย
แต่ถ้า คนเล่นเกม มีอารมญ์กับเกม ที่ตนเองกำลังเล่น >> คนนั้น แพ้
สำเร็จ >>>ภาคภูมิใจ .... แพ้
ล้มเหลว>>>เสียใจ .......แพ้
ชนะ>>>>ดีใจ ......แพ้
แพ้>>>>หงุดหงิด ... .แพ้
เพราะ อารมญ์คือ แม่เหล็กจิต ไปดูด-ยึดติด ในสสารธาตุของ
งาน-เงิน-บ้าน-รถ-คนรัก-ยศ-ตำแหน่ง ฯลฯ (ธาตุทุกชนิด มีแม่เหล็กในตัว)
กลายเป็น บันทึกกรรม ติดตามจิต เข้าสู่โลกแห่งความตายไปด้วย
จิต อยู่ในวงล้อม สสารธาตุ ที่ตนเองสร้าง และยึดเอาไว้ (วัฏฏะสงสาร)
☆♡☆ โลกคือ สถานที่ทดสอบ ♡อารมญ์♡
☆♡☆ มนุษย์คือ ผู้เล่นเกม ตามโปรแกรมกรรม-อดีตชาติ ของตนเอง
"ความพากเพียรที่ถูกต้องที่สุด"
ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง
คือ..หนึ่งพากเพียรในการให้ทาน
จัดเป็นปรมัตถทาน
รักษาศีล เป็นปรมัตถศีล
เนกขัมมบารมี เจริญให้ตั้งมั่น
พากเพียรในการเจริญวิปัสสนาญาณ
ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีอะไรคงสภาพ
เพียรระงับ ความอดกลั้น ความไม่ถูกใจจากอารมณ์
เพียรรักษาสัจ ความจริงใจในความเป็นอริยะ
เพียรรักษาการอธิษฐานจิต ที่เราตั้งใจจะเป็นอริยเจ้า
การเป็นอริยเจ้าเขามีด้วยประการใดจะปฏิบัติตามนั้น
ครบถ้วนทุกประการ
เพียรทรงความเมตตาปรานี เพื่ออารมณ์จิต
ผ่องใสเป็นปกติ เพียรรักษาอุเบกขา ความวางเฉย
ไม่แสดงอาการขึ้นลงให้ปรากฏ
ถ้าเพียรทำได้อย่างนี้่ ชื่อว่า.. "บารมี 10"
.
♡♡บทสรรเสริญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ♡♡ แปลจาก บาลี
ขอก้มกราบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมมหาศาสดา
รอบรู้วิชชา โลกมนุษย์ โลกทิพย์ อวิชชา ตัณหา
เป็นอาจารย์สามภพภูมิ สอนมนุษย์ และเทวดา
สั่งสอนวิชชาธรรมชาติสัตว์โลก เทวดา มาร พรหม
มนุษย์ สัตว์โลก มนุษย์ต่างดาว ชาวโลกทิพย์ อนันตะจักรวาล
จิตระราน จิตเมตตา ผู้ปรารถนา อริยะผล
ผู้ทรงศีล กษัตรย์ อริยะ อุตสาหะ หมั่นเพียรตน
สู่ความหลุดพ้น กลเกมแห่งกรรม มุ่งล้างสัญญา
คำสอน น่าสนใจ ชวนให้ติดตาม
ทุกคำถาม ตอบสิ้นสงสัย ในปริศนา
ขึ้นต้นน่าสนใจ ขยายความชัดเจน จนเป็นสุดยอดวิชชา
ทรงประกาศ กาย-วาจา เป็นผู้เสียสละ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ข้าพเจ้า ขอก้มกราบพระพุทธเจ้า ด้วยศรัทธา
ข้าพเจ้า ขอก้มกราบพระพุทธเจ้า ด้วยเศียรเกล้า
♡♡บทสรรเสริญ พระธรรมเจ้า ♡♡แปลออกมาจาก จิต ที่เห็นความเป็นไปของโลกทิพย์(พลังงาน)
ขอนอบน้อม พระธรรม ธรรมชาติสรรพสิ่งทั้งหลาย
ผู้ให้กาย ให้ความสุข ในวังวนสสาร
ผู้สร้าง ผู้ทำลาย ทุกสรรพสิ่ง ตามสถานะการณ์
หยุดจิตพาล ช่วยเหลือจิตเมตตา เกิดผาสุกในสังคม
สสารธาตุเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงกาย แล้วกลายเป็นจิต
แม้ไม่คิด แต่รับรู้จิตสรรพสัตว์ ผู้หวังผล
คอยช่วยเหลือ ป้องกันภัยจิตเมตตา ทุกกายตน
สะสมบุญเพื่อเกิดใหม่ ได้เป็นมนุษย์ ผู้มีกาย
พระศาสดาสอนให้รู้ จิตกับกาย นั้นมาสมาน
วิชาการล้ำยุค ทันเหตุการณ์ และทันสมัย
ปฏิบัติด้วยตนเอง สำรวม กาย-วาจา-ใจ
จนจิตใส เกิดอภิญญา เอกลักษณ์เฉพาะตน
ข้าพเจ้า ขอก้มกราบพระธรรมเจ้า ด้วยศรัทธา
ข้าพเจ้า ขอก้มกราบพระธรรมเจ้า ด้วยเศียรเกล้า
♡♡บทสรรเสริญ พระสงฆ์เจ้า ♡♡แปลจาก บาลี ตามเจตนาที่สอน
ขอนอบน้อม พระโสดาบัน ผู้มีวิริยะ
พระสกิทาคามี ผู้เมตตา ดวงจิตผ่องใส
พระอนาคามี ผู้ใจดี มีญานรู้ได้ด้วยใจ
พระอรหันต์ ไร้กิเลส มากด้วยอภิญญา
ร่างทิพย์อริยะ ซ้อนทับร่างวิญญาน เดินกายเนื้อ
คอยช่วยเหลือ ล้างสัญญากรรม หมั่นรักษา
กิริยาจิต วาจา-กาย ด้วยศีลและภาวนา
ด้วยเจตนารวมสามร่าง สมานกาย ให้เป็นหนึ่งเดียว
ขอกราบไหว้ ถวายกายใจ และเครื่องสักการะ
น้อมธุระ ถวายการงาน หมั่นแลเหลียว
เนื้อนาบุญ สืบทอดศาสนา ดั่งคมเคียว
หยุดเลาะเลี้ยว ฆ่าตัณหามุ่งหน้าสู่ พระนิพพาน
ข้าพเจ้า ขอก้มกราบพระสงฆเจ้า ด้วยศรัทธา
ข้าพเจ้า ขอก้มกราบพระสงฆเจ้า ด้วยเศียรเกล้า
จุฬามเหศักดิ์ นักรบจักรวาล
♡♡มรรคแปด♡♡ เข้าใจง่ายๆ ปฏิบัติได้จริง
1.สัมมาทิฏฐิ ...เชื่อว่า เมตตาธรรม นำพา ค้ำจุนโลก
นำมาซึ่ง ความสุข สันติสุข สัตว์ทุกชนิด-ทุกสายพันธุ์ของ สัตว์สังคม
มิจฉาทิฏฐิ เชื่อว่า ความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาคือ ความสุข ซึ่งมันคือ ตัณหา
และเมื่อสำเร็จต่อเนื่อง จะกลายเป็น ความโลภ
และสำเร็จอย่างยิ่งยวด นำหน้าคนอื่น มันจะกลายเป็น หลงตัวเอง
มันคือ สุขจอมปลอม สุดท้ายคือ ความทุกข์
2.สัมมาสังกัปปะ ... ดำริชอบ หรือ ตั้งสัจจะให้กับตัวเอง
จะไม่คิดร้าย มุ่งร้าย ทำร้ายใคร ทั้งทางตรง ทางอ้อม โดย กาย-วาจา-ใจ
3.สัมมาวาจา ... ไม่พูดร้าย ใส่ร้ายใคร พูดแต่เรื่องดี เรื่องสร้างสรรค์
4.สัมมากัมมันตะ ... ไม่ทำร้ายใคร ทั้งทางตรง-ทางอ้อม ทำแต่ความดี เสียสละ
5.สัมมาอาชีโว ... เลี้ยงชีวิต ด้วยอาชีพสุจริต ไม่เบียดเบียนใคร
6.สัมมาวายาโม ... ขยัน อุตสาหะ กระตือรือร้น
7.สัมมาสติ ... ดับความคิด รักษา จิต อยู่คู่ กาย จนกลายเป็น มหาสติ
8.สัมมาสมาธิ... จิตจับสิ่งใด นิ่งๆ นานๆ จนเป็น สมาธิ ความคิดดับ ยาวนาน
ทั้งภายในกาย>>>>ลมหายใจ หน้าผาก หน้าอก จุดจักกระทั้งเจ็ด
ทั้งภายนอกกาย.>>งาน ที่กำลังทำ
จากสมาธิ จนกลายเป็น ฌาน เกิดกระแสไฟฟ้าสถิตย์ สร้างปาฏิหารย์ได้
♡วิธีปฏิบัติมรรคแปด ง่ายๆ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องทบทวน♡
ยิ้ม อมยิ้ม ขยันทำงาน กระตือรือร้น ให้มากๆ ในแต่ละวัน เพราะ
เวลา ยิ้ม จะมีแต่ เมตตา ให้กับทุกคน >> สัมมาทิฏฐิ
เวลา ยิ้ม จะโกรธใครไม่ได้ >> สัมมาสังกัปปะ
เวลา ยิ้ม จะด่าใครไม่ได้ .>> สัมมาวาจา
เวลา ยิ้ม จะทำร้ายใครไม่ได้ >> สัมมากัมมันตะ
เวลา ยิ้ม จะใจดี ไม่เบียดเบียนใคร >> สัมมาอาชีโว
เวลา ยิ้ม จะมีความสุข ขยันทำงาน >> สัมมาวายาโม
เวลา ยิ้ม ความคิดจะดับทันที >> สัมมาสติ
เวลา ยิ้ม อารมญ์ดี ยิ่งนาน ยิ่งห่างไกลความทุกข์ >> สัมมาสมาธิ
.
บารมี 10
บารมี แปลว่า กำลังใจเต็ม บารมี 10 ทัศ มีดังนี้
ทานบารมีี จิตของเราพร้อมที่จะให้ทานเป็นปกติ
ศีลบารมี จิตของเราพร้อมในการทรงศีล
เนกขัมมบารมี จิตพร้อมในการทรงเนกขัมมะเป็นปกติ เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช แต่ไม่ใช่ว่าต้องโกนหัวไม่จำเป็น
ปัญญาบารมี จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารให้พินาศไป
วิริยบารมี วิิริยะ มีความเพียรทุกขณะ ควบคุมใจไว้เสมอ
ขันติบารมี ขันติ มีทั้งอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์
สัจจะบารมี สัจจะ ทรงตัวไว้ตลอดเวลา ว่าเราจะจริงทุกอย่าง ในด้านของการทำความดี
อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ
เมตตาบารมี สร้างอารมณ์ความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
อุเบกขาบารมี วางเฉยเข้าไว้ เมื่อร่างกายมันไม่ทรงตัว ใช้คำว่า "ช่างมัน" ไว้ในใจ
บารมี ที่องค์สมเด็จทรงให้เราสร้างให้เต็ม ก็คือ สร้างกำลังใจปลูกฝังกำลังใจให้มันเต็มครบถ้วนบริบูรณ์สมบูรณ์
บารมีในขั้นต้นกระทำด้วยจิตอย่างอ่อนเป็นขั้นพระบารมี เมื่อจิตดำรงบารมีขั้นกลางได้ เรียกว่า พระอุปบารมี และเมื่อจิตดำรงบารมีขึ้นไปถึงที่สุดเลย เรียกว่า พระปรมัตถบารมี หรือบารมี 30 ทัศ หรือมีศัพท์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระสมติงสบารมี หมายถึง พระบารมีสามสิบถ้วน ซึ่งเป็นธรรมพิเศษหมวดหนึ่ง มีชื่อว่า พุทธกรณธรรม เป็นธรรมพิเศษที่กระทำให้ได้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้่า พระโพธิสัตว์ที่ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญธรรมหมวดนี้ หรือมีชื่อหนึ่งเรียกว่า โพธิปริปาจนธรรม คือธรรมสำหรับพระพุทธภูมิ หรือชาวพุทธเราทั่วไปเรียกว่า พระบารมี หมายถึง ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งโน้น คือ พระนิพพาน
ทาน การให้ เป็นการตัดความโลภ
ศีล เรามีก็ตัดความโกรธ
เนกขัมมะ เป็นการตัดอารมณ์ของกามคุณ
ปัญญา ตัดความโง่
วิริยะ ตัดความขี้เกียจ
ขันติ ตัดความไม่รู้จักอดทน
สัจจะ ตัดความไม่จริงใจ มีอารมณ์ใจกลับกลอก
อธิษฐาน ทรงกำลังไว้ให้สมบูรณ์
เมตตา สร้างความเยือกเย็นของใจ
อุเบกขา วางเฉยเข้าไว้ในเรื่องของกายเรา
การเทียบบารมี
บารมีจัดเป็น 3 ชั้น คือ
บารมีต้น
อุปบารมี
ปรมัตถบารมี
บารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะทาน กับ ศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล 8 และจะยังไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน กำลังใจไม่พอ อาจจะไม่ว่างพอหรือเวลาไม่มี
อุปบารมี เป็นบารมีขั้นกลาง พร้อมที่ทรงฌานโลกีย์ ท่านพวกนี้จะพอใจการเจริญพระกรรมฐาน และทรงฌาน แต่ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ยังไม่พร้อมที่จะไปและไม่พร้อมที่จะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ
ปรมัตถบารมี ในอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อย อาศัยบารมีเก่า ก็มีความต้องการพระนิพพาน จะไปได้หรือไม่ได้ในชาตินี้นั้นไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานจริง ๆ ต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ
มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
มีใจประเสริฐสุด
สำเร็จได้ด้วยใจ