พุทธโอวาทกึ่งพุทธกาล วันที่ 6 กันยายน 2559
ตอนที่ 59 **การฝึกยกจิต**
+ +
ข้าพเจ้า (พระยาธรรมิกราช) หลับตาลง ภาวนา น้อมพลังพุทธบารมีจากพระพุทธองค์ท่าน ลงมาสู่ศูนย์กลางกาย
พลังพุทธบารมี สีฟ้าใส.. สว่าง - ส่งพลังลงมาที่ศูนย์กลางกาย - ข้าพเจ้าจึงได้รับพลังสีฟ้าใสเย็นเหล่านั้นไปเรื่อยๆ หายใจเข้า หายใจออก อยู่กับแสงพลังสว่างที่ได้รับมานั้น…
ในเช้าของวันนี้ ให้ทุกๆท่าน ผู้ที่ได้รับฟังเสียงธรรมนี้ - น้อมจิตน้อมใจทำตามทุกๆคนนะจ๊ะ-- จะได้พาทุกๆคน ไปนั่งอยู่ต่อหน้าองค์พระพุทธเจ้า ฟังธรรมพร้อมกันทุกๆคน
หลับตาลงแล้ว ตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไป ภาวนาไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ..
รับพลังเย็นๆลงมาไว้ที่ศูนย์กลางกายของทุกคน จนเกิดแสงสว่าง.. สว่างไสว เกิดขึ้นในตัวของเราทุกคน
เมื่อกายของเราสว่างแล้ว ก็เห็นกายภายในของเรา -ที่ซ้อนอยู่ในเราอีกทีหนึ่ง..
หนูเห็นตัวเองเป็นเด็กตัวเล็กๆ นั่งซ้อนอยู่ในกาย
-- ทุกคนก็ลองมองดูกายของทุกๆคน นะจ๊ะ..
จนไม่มีความรู้สึก เหมือนลอยอยู่ในกลางอากาศ ลอยอยู่ในที่ที่มีพลังอุ้มชูเราเอาไว้ เราก็มีแสงสว่างระยิบระยับเล็กๆ ลอยรอบๆตัวของเรา คล้ายกับว่า เราไปอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง ที่สวยงาม / ที่เบาสบาย
และแล้ว.. ก็เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านองค์ขนาดใหญ่มาก.. ใหญ่พอที่จะให้ตัวของเรา /โลกสมมุติที่เราอยู่ เป็นโลกเล็กๆ - เป็นตัวเล็กๆ.. ที่อยู่ในกายของพระองค์ท่าน
พระองค์ท่านองค์ใหญ่ สว่าง.. มือของพระองค์ท่านก็ใหญ่มาก --เราอยู่ในศูนย์กลางกายของพระองค์ท่าน เราก็รับพลังไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนเรานั้นเงียบสงบกันทุกคนแล้ว..
พระพุทธองค์ท่านจึงได้เมตตาสอนสั่งธรรม กับเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า...
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย.. วันนี้ ลูกทั้งหลายได้น้อมจิต น้อมกาย น้อมใจ ขึ้นมาในสถานที่ที่โยกจิตออกจากโลกสมมุติ
พระยาธรรมเอ๋ย.. การที่เรานั้นฝึกฝนการโยกจิต- ออกจากกาย / ออกจากโลกสมมุติเหล่านั้นมา.. จะเกิดประโยชน์อะไรกับเราบ้าง ?
ลูกจงฟัง และจำเอาไว้เช่นนี้เถิด..
ลูกเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกนรก หรือว่าจะเป็นในที่ไหนๆ ก็ตาม..
ทุกที่ในจักรวาล วัฏสงสารนั้น แท้ที่จริงแล้ว -- สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่มีอยู่จริง
เพียงแต่เมื่อเรายึดติด เมื่อเราไม่ยอมออกจากที่นั่นมา - เราก็เลยไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า
++ แท้ที่จริงแล้ว..เราก็ยังมีที่อื่นๆ ที่เรายังต้องไปอีก
> เราก็เลยคิดว่า นั่นคือ ตัวตนของเรา คือ ชีวิตของเรา -- ก็เลยเกิดการยึดติด ++
ลูกเอ๋ย.. หากว่าเราฝึกรับพลังพุทธบารมี เช่นนี้อยู่บ่อยๆ..
เมื่อรับพลังจนเต็มแล้ว เราก็โยกจิตออกจากกาย เพื่อไปสู่ดินแดน ความสงบสุข
-- ก็จะทำให้เรารู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว...
// เราที่ซ้อนอยู่ในเรานั้น มีอยู่จริง
// โลกที่ซ้อนอยู่ในโลกนั้น มีอยู่จริง
// การเวียนว่ายตายเกิดนั้น มีอยู่จริง
// วัฏสงสาร จักรวาลต่างๆ มีอยู่จริง
เมื่อเรารู้แล้ว ว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง เราก็จะเข้าใจการเวียนวน การเดินทางของดวงจิต.. ที่มันไม่รู้จักสิ้นสุดเสียที..
เมื่อเราเห็น และเข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน -- เราก็จะ..
- เข้าใจความทุกข์
- เข้าใจความยึดติด
- เข้าใจความลุ่มหลงต่างๆทั้งหลาย
เรานี้ก็จะค่อยๆผ่อนกาย ผ่อนจิตของเรา
- กายก็จะผ่อนออกจากจิต โดยไม่ยึดติดอะไรมันแล้ว
- จิตก็จะผ่อนออกจากกาย โดยที่ไม่ยึดติดมันแล้ว
- จิตก็จะค่อยๆถอยออกมาๆ
... อย่างวันนี้ไงลูก ที่ลูกทั้งหลายเดินทางด้วยพลังพุทธบารมี มาจนถึงในที่แห่งนี้ > ก็เพื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง ++
ลูกเอ๋ย.. จงหมั่นโยกจิตของตน ให้ไปอยู่ในดินแดนความสงบสุข ด้วยพลังพุทธบารมี เช่นนี้อยู่บ่อยๆ เถิดลูก
เพราะมันคือการฝึกฝน ให้ตนนี้รู้ตามความเป็นจริงว่า มีอะไรที่ซ่อนอยู่ชีวิต ชีวิตของตนซ่อนอะไรอยู่ และยังช่วยถอดถอนความลุ่มหลงยึดติดในตน ได้อีกด้วย…
พระยาธรรมเอย.. วันนี้ก็พากันมา จนถึงที่นี่แล้ว - ก็จงทำความเข้าใจ ดังที่กล่าวมานั้นเถิด ..
พิจารณาตามเถิด ลูกเอ๋ย.. แล้วลูกทั้งหลายก็จะเห็น เข้าใจ - ตามความเป็นจริง
สิ่งที่กล่าวมานี้ คือ ความจริง.. ลูกเอ๋ย
จงหายใจลึกๆ รับพลังพุทธบารมี ต่อไปเรื่อยๆ
ค่อยๆใช้พลังเหล่านั้น พิจารณาให้รู้ ให้เห็น ตามความเป็นจริงเถิด
++
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่เมตตาเจ้าค่ะ
แล้วที่นี้ พวกเราทุกคน ก็ให้ตั้งใจรับพลังพุทธบารมี แสงสว่างไสว เข้ามาไว้ในศูนย์กลางกายของเราต่อไปเรื่อยๆ นะจ๊ะ
**สัมมา สัมพุทธะ ปัจฉิมา สัมพุทธะ**
... รับพลังไปเรื่อยๆ จนเห็นแสงสีขาว เกิดขึ้น ลอยเบาสบาย
พระพุทธเจ้าเจ้าขา.. แล้วถ้าเกิดคนที่เขาทำไม่ได้ล่ะเจ้าคะ เพราะอะไร ?
ขอพระองค์ได้โปรดเมตตาอธิบายด้วยเถิดเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอย.. คนที่ยังทำไม่ได้ ก็แปลว่า..
// ยังมีเชื้อกิเลส และตัณหา - ปกคลุมจิตไว้หนาอยู่
// ยังมีวิบากกรรมเก่า - คอยกีดขวางอยู่
// มีความลังเลสงสัย ห่วงหน้าพะวงหลัง - คอยกีดขวางอยู่
ฉะนั้น.. ให้ฝึกตนให้มาก ปล่อยวางกับทุกสิ่งทุกอย่าง
วางทุกอย่างที่จะทำให้ตนนั้น ไปไม่ถึงความสงบสุข..
อย่ามัวแต่คิดเลย ลูกเอ๋ย..
คิดเรื่องในอดีต เรื่องในอนาคต ไม่เกิดประโยชน์อะไร !
เรื่องของปัจจุบัน ก็ควรจะวางเสีย
อย่าลังเลสงสัยอะไรเลย...
... ทำจิตใจให้ว่างๆ - แล้วก็จะได้รับพลังเช่นเดียวกัน
หากยังทำไม่ได้อีก -- ก็ให้จงหมั่นรักษาศีล
รักษาศีล 5 - ให้บริสุทธิ์ // ศีล 8 -ให้บริสุทธิ์
... คือ ศีลในระดับต่างๆที่ตนตั้งจิตอธิษฐานจะรักษานั้น - จงทำให้บริสุทธิ์
หมั่นทำความดี ชำระล้างกิเลสตัณหา
ตั้งใจเอาไว้ ว่าจะต้องน้อมรับพลังพุทธบารมีให้ได้ ++
... เดี๋ยวก็ทำได้ ลูก..
++
พระยาธรรม :: แล้วคนที่ไม่ตั้งใจทำ หรือไม่มีความศรัทธาที่จะทำ..
แต่ตนกลับไปว่าคนที่เขาทำได้ ว่าเขานั้น.. คิดไปเอง โอ้อวดบ้าง ล่ะเจ้าคะ
-- คนเหล่านี้ เขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง.. แล้วควรกระทำเช่นนั้นหรือไม่เจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอ๋ย.. แท้ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็ซ่อนอยู่ด้วยกัน "ดี กับไม่ดี" ก็ปะปนกันทั้งนั้น
เป็นธรรมดาลูก ที่บางคนอาจจะไม่เข้าใจสภาวธรรม ด้วยเหตุผลของเขาที่มีอยู่ คือ...
กิเลสยังหนา // ตัณหายังหนัก // ทิฐิยังมาก
> ก็เลยปิดกั้นเขา ทำให้มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้
> ก็เลยกลายเป็นพวกของอีกฝ่ายหนึ่ง ที่คิดว่าไม่จริง
... ปรามาสต่อการฝึกฝน / ปรามาสต่อการทำความดีของบุคคลผู้อื่น
ไม่เป็นไรหรอกลูก เราก็ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ อย่าไปคล้อยตามเขาเหล่านั้น ก็แล้วกัน ++
เราทำดีของเราแหละ ก็ดีแล้ว
> ส่วนบุคคลเหล่านั้น เขาจะทำกรรมอันใดไว้ -- กรรมอันนั้นก็จะส่งผลกลับคืนไปที่ตัวของเขา…
พระยาธรรมเอย.. วันนี้ ก็พากันมานั่งภาวนาในที่นี้ -- เพื่อน้อมรับพลังพุทธบารมี
เบาตัวกันแล้วหรือยังลูก
ได้รับความสุข ความสบายกันแล้วหรือยัง ?
+ +
พระยาธรรม :: เจ้าค่ะ วันนี้ลูกก็ได้รับพลังความเบาสบายแล้ว เจ้าค่ะ
... สภาวธรรม ความเบาสบายในที่นี้ คล้ายคลึงกันกับพระนิพพานหรือเปล่าเจ้าคะ ?
- ไร้อดีต
- ไร้อนาคต
- ไม่มีปัจจุบัน
- ไม่มีความยึดติด ลุ่มหลง
- ไม่มีความทุกข์ใดๆ...
... แบบนี้คล้ายกับสภาวธรรมในพระนิพพาน หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ความสุขเช่นนี้แหละลูก ที่เรียกว่า "ความสุขที่แท้จริง" -- ความสุขที่ปราศจากเชื้อกิเลสตัณหา ความห่วงหน้าพะวงหลัง ปราศจากทิฐิอัตตาตัวตน ปราศจากอดีต และอนาคต -- ไม่มีอะไรอีกต่อไป..
นี่แหละลูก คือ "สภาวธรรมความสุข ใน*ดินแดนนิพพาน*"
บุคคล เมื่อถึงนิพพานแล้ว ดวงจิตดวงนั้น ก็จะถึงซึ่งความสุขเช่นนี้ อยู่ตลอดไป..
+ +
พระยาธรรม :: แล้วถ้าเกิดว่าเรามาในที่นี้ เราเจอความสุขแบบนี้ เรากลับไป ก็เจอความทุกข์อีก -- เราจะมาอยู่ที่นี่ตลอดได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. ดวงจิตที่จะสามารถมีสภาวธรรมเช่นนี้ ตลอดไปได้ -- ต้องเป็นดวงจิตที่ดับกิเลสตัณหาลงจากตนเองได้เสียแล้ว ++
ลูกเอ๋ย.. ไม่ใช่การหลบมาอยู่ที่นี่ลูก !
แต่เป็นการฝึกฝนจนตนนั้นมีสภาวธรรมเช่นนี้.. อยู่ในทุกที่ ทุกแห่งหน
นิพพาน จะอยู่กับตน อยู่ในใจตน อยู่ในดวงจิตของตน
> สิ่งนั้นต่างหากลูก คือสิ่งที่ควรฝึกฝน - และจะได้รับความสุขที่แท้จริง ++
การมาที่นี่ ก็เพื่อฝึกฝนตนเท่านั้น.. ลูก
จงฝึกต่อไปเรื่อยๆ จนเป็นเช่นนี้ อยู่ในทุกที่ ทุกสถานการณ์เถิด..
-- แล้วลูกจึงจะพบนิพพานตลอดไป // จึงจะเป็นสุขอย่างนี้ ..ตลอดไป --
+ +
พระยาธรรม :: จะมีหลายคนมั้ยเจ้าคะ ที่จะสามารถทำได้ ?
พระยาธรรมเอย.. บุคคลมากมายในโลก ที่ได้สร้างสั่งสมบารมี ไว้ "รอรอบ"
ฉะนั้น.. ก็จะมีคนหลายคนเลยทีเดียว..ที่จะทำได้ ++
-- เพียงแต่เขาเหล่านั้น จะค่อยๆรู้เรื่องนี้ไปเรื่อยๆ -- และจะมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง --
++
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ที่เมตตา เจ้าค่ะ
แล้วลูกจะขอพลังจากพระพุทธองค์ ให้ส่งพลังพุทธบารมี ไปในทุกที่ ทุกแห่งหน
ที่มีใครได้ยินได้ฟังเสียงธรรมนี้แล้ว และปรารถนาได้รับ*พลังพุทธบารมี*
... ลูกขอให้เขาเหล่านั้น ได้รับพลังนี้ด้วย นะเจ้าคะ
จงเป็นเช่นนั้นเถิด พระยาธรรมเอ๋ย..
ขอเพียงให้ตั้งใจ
- ตั้งใจ - แบบไม่ได้ใช้ความอยาก
- ตั้งใจ - แบบไม่ได้ยึดติด
… ปล่อยวาง ทั้งความตั้งใจนั้นด้วย ++
-- วางทุกสิ่งและวางทุกอย่าง ก็จะได้รับพลังเหล่านี้ --
สาธุ เจ้าค่ะ
ธรรมะจากพุทธประวัติ วันที่ 31 มกราคม 2558
ตอนที่ 81 ** การสร้างพลังจิต **
ในเช้าของวันนี้ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าเฝ้านอบน้อมต่อองค์พระบิดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น พระองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรมกลับมา ดังนี้ว่า
- - - -
ต่อไป ข้อธรรมที่ 195 ::
กาย เป็นสิ่งที่ทำให้จิตต้องเป็นทุกข์ เพราะเราหลงคิดว่ามันเป็นกายของเรา.. เป็นเรา
แท้ที่จริงแล้ว จิต ก็คือ จิต // กาย ก็คือ กาย แต่เราไม่ยอมแยกมันออกจากกัน จึงทำให้ต้องเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น
หากใครที่รู้ และแยกจิตออกจากกายแล้ว ย่อมเป็นสุข
เพราะสิ่งที่เป็นของเรา คือ จิต คือ ความบริสุทธิ์เท่านั้น
ไม่ใช่ร่างกาย หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย
.... แต่ที่ต้องเป็นทุกข์ เพราะมีสิ่งทั้งหลายนั้นมา ทำให้ต้องเป็นทุกข์
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ดวงจิตที่อยู่ในกาย ที่ครองครองกายอยู่นั้นก็จะเป็นทุกข์ เพราะกายนั้นนำพาให้ทุกข์...
ทุกข์เพราะต้องเจ็บปวด
ทุกข์เพราะหิว
ทุกข์เพราะต้องมีสิ่งต่างๆ สิ่งนั้น สิ่งนี้ มาเป็นส่วนประกอบต่างๆเยอะแยะมากมาย
.... นอกจาก ข้าวของ สิ่งของ ต่างๆแล้ว > ยังมีบุคคลที่รักที่พอใจต่างๆทั้งหลาย
แต่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หนัก / สิ่งที่มาพร้อมด้วยภาระ พันธะ.. ที่เราจะต้องรับ-แบก เอาไว้ การที่จิตอยู่ในกาย ทำให้เราเหนื่อย เพราะกายนั้นเยอะแยะมากมาย
ลูกทั้งหลาย.. ลองตั้งจิตสมาธิ ให้ตั้งมั่น จิตให้สงบนิ่ง ไม่ขยับไปทางใด
จิตดวงน้อยๆของลูกนั้น ให้ตั้งอยู่ศูนย์กลางกาย
ให้เป็นดวงแก้วใสๆ สว่างเจิดจ้า.. อยู่ในท้องก็ดี /อยู่กลางอกก็ดี /อยู่ในกายของลูกทั้งหลาย
จิตรับพลังพุทธบารมีมาหนุนนำให้สว่างเจิดจ้า
มองเห็นความเป็นจริง การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร ภพชาติต่างๆที่ผ่านมาแล้ว และกำลังจะผ่านไป
เห็นจิตที่อยู่ทางโลกทิพย์ ที่เรามองไม่เห็น
เห็นสิ่งลึกลับซ่อนเร้นต่างๆทั้งหลายเหล่านั้น
เห็นความทุกข์ ความทรมาน ความเหนื่อย ความยาก ของวัฏสงสารนี้อย่างแจ่มแจ้ง เพื่อความพ้นทุกข์แห่งดวงจิต...
ลูกทั้งหลาย.. จงตั้งจิตให้มั่นในแสงธรรม แสงสว่างกลางท้อง กลางกายของลูกนั้นเถิด แสงสว่างนั้นจะส่องสว่างไปทั่วทุกแห่งหน ทำให้ลูกนั้นรู้ว่า *กายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา*
-- เขาจะมีอยู่ เป็นธรรมดาของเขา/
-- เขาจะดับไป เป็นธรรมดาของเขา/
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ค่อยๆขยับดวงจิต ที่มีแสงสว่างเจิดจ้านั้น ออกจากกาย และให้พิจารณาตามนี้เถอะว่า...
หัว- คอ- โครงสร้างของไหล่- ลำตัว- ขา 2 ข้าง แขน 2 ข้าง ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หากว่าเขาถึงเวลาที่จะต้องดับแล้ว เขาก็จะนอนหลับลง ไม่มีวันฟื้นกลับคืนมาอีก...
.... มีแต่จะเน่า จะเหม็น มีแต่จะกลับคืนไปสู่ธรรมชาติเท่านั้น
เรา คือ *ดวงจิต*
เราอยู่อีกที่หนึ่ง เราไม่ได้เน่าไปกับเขา- หายไปกับเขา- เสียไปกับเขา
ทีนี้ดวงจิตแห่งตน สว่างเจิดจ้า หรือมืดบอดอยู่ ?
>> ถ้าดวงจิตของเราสว่างเจิดจ้า เราก็เหมือนมีแสงธรรมนำทาง พาเราไปอยู่ในภพต่อไป..
ไปเกิดใหม่อยู่ในกายของเทพเทวดา หรือไปเกิดอยู่ในกายของมนุษย์.. ตามบุญและกรรมที่เราได้ทำไว้
ลูกทั้งหลาย.. จิต ของเรา จะมืดบอดไปไม่ได้ หากว่าเรามีธรรมะ มีเสียงธรรม การประพฤติปฏิบัติตามธรรมคำสอนนั้น ค้ำหนุนจิตเอาไว้
ทีนี้เราแยกจิต ออกจากกายแล้ว
*จิต ก็คือ จิต*
*กาย ก็คือ กาย*
แล้วน้อมรับพลังพุทธบารมี มาไว้ที่จิต สมมุติว่า เป็นดวงกลมๆ ใสๆ อยู่ในท้องของเรา
>> ทีนี้เรารับไปเรื่อยๆ พลังเย็นๆ ตรงเข้าอยู่มาอยู่ในกลางท้อง.. ในดวงแก้วใสๆ ดวงนั้น
รับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสว่างเจิดจ้า แล้วอธิษฐานจิต ทวนไปดูภพชาติต่างๆ ให้เห็น-ให้รู้ ตามความเป็นจริง
-- แต่ก่อนเราเคยครอบครองกายนั้นอยู่ที่นั่น มีชีวิตเป็นแบบนั้น เรื่องราวเป็นแบบนี้ ลำบาก หรือสบาย
-- ภพชาตินั้น เป็นยังไงบ้าง ได้เคยฆ่าผู้อื่น สร้างกรรมไว้.. หรือได้เคยสร้างบุญบารมีเอาไว้
>> ทวนไปดู
แล้วทีนี้ก็ไปดูตอนตายของเรา.. ว่าเราตายแบบไหน มีใครร้องไห้บ้าง พลัดพรากจากใครบ้าง
เมื่อเราไปทวนเห็น ภพชาติต่างๆแห่งตนแล้ว ก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า...
- แท้ที่จริง เราเคยมีร่างกายแบบนี้มาแล้ว ไม่รู้กี่ร่างกาย
- แท้ที่จริง เราเคยทุกข์อย่างนี้ มาไม่รู้แล้วกี่ครั้ง
- แท้ที่จริง ร่างกายนี้ เขาก็จะเสื่อมของเขาไป
เราเป็นผู้เดินทาง ไม่จบไม่สิ้น ครอบครองกายนั้นก็เป็นทุกข์ ครอบครองกายนี้ก็เป็นทุกข์
ภพชาติต่างๆ ไม่จบไม่สิ้น
บางคน เมื่อทวนหาภพชาติไปแล้ว อาจจะไปเจอะภพที่เคยเกิดเป็นเทพ เป็นเทวดา อยู่บนสวรรค์ ชีวิตสุขสบาย ไม่มีอะไรที่จะทำให้เป็นทุกข์ได้
หากว่าเรานั้นทวนไปเจอในภพชาตินั้น ก็จะทำให้เรารู้สึกว่า...
**ถึงแม้ว่าเรานั้นจะเกิดอยู่ในโลกสวรรค์ จะมีความเก่ง ความสวยงาม มีความดีมากมายขนาดไหน
ในที่สุดเราก็ยังต้องมาเกิด เป็นเราในทุกวันนี้ **
กายนั้นที่สวยงาม ก็ดับหายไป...
เมื่อเราเกิดการแบ่งแยก ระหว่างจิตกับกายแยกไปแยกมา...ก็ทำให้เรารู้แจ้ง เห็นชัดขึ้นมาว่า..
แท้ที่จริง จิตก็คือจิต //กายก็คือกาย > ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย
>> จิตนั้นเป็นสิ่งที่จะอยู่ตลอดไป แต่กาย คือ สิ่งที่จะมีไว้ชั่วครั้ง ชั่วคราว เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ทีนี้เราจะปล่อยให้กายนั้นหลอก ทำให้เราเป็นทุกข์อยู่หรือเปล่า ?
ลูกทั้งหลาย.. เหมือนคนๆหนึ่ง ที่รักเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่ง รักมาก ยึดติด ลุ่มหลง
ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เสื้อผ้าชุดนั้นมา
แต่ท้ายที่สุดเมื่อใส่ไป กาลเวลาผ่านไป
มันก็เก่า มันก็ตกรุ่น ตกยุค ตกสมัย
ก็มีรุ่นใหม่มา ก็ต้องซื้อรุ่นใหม่มาใส่
ของเก่า ก็ไม่สวยไป
…. ** จิตเราก็เป็นเช่นนั้น เมื่อกายนี้เก่าแล้ว เขาก็โยนทิ้งไป ไปหากายใหม่อยู่ **
> บุคคล ที่สร้างบุญกุศลเยอะ ก็มีกายที่สวยงาม เหมือนคนที่มีเงินเยอะๆ
….เมื่อครั้งเสื้อผ้าชุดนี้เสียไป เขาก็ไปซื้อชุดใหม่
> บุคคลใด ที่ไม่ได้สร้าง/สั่งสมบุญ
….พอเสื้อผ้าชุดนี้เสียไป ก็ไม่มีเงินไปซื้อชุดใหม่ ต้องใส่ชุดเก่าๆ ไปหาชุดที่ไม่แพง ไม่สวย มาใส่.. ใส่ไปอย่างนั้น จนกว่าจะมีเงินขึ้นมา.. คือ มีบุญขึ้นมา
ลูกทั้งหลาย.. จิต กับ กาย แตกต่างกันเช่นนี้แหละลูก
>> ฉะนั้นจงฝึกตนให้มีความสว่าง แจ้งในจิต นำพาจิตนั้น มองให้เห็นตามความเป็นจริง
รวมสติ รวมสมาธิ.. รวมไปอยู่ที่จิตนั้น แล้วอย่าลุ่มหลงอยู่ในกายเลย
จะได้ไม่เป็นทุกข์ ไม่ลุ่มหลง ไม่จมอยู่กับสิ่งทั้งหลาย ที่เป็นสิ่งเกี่ยวข้องกับดวงจิตของเรา ..ทั้งสิ่งของ ข้าวของ บุคคลที่รักที่พอใจทั้งหลาย…
ลูกทั้งหลาย.. บุคคลที่หัดแยกจิตออกจากกายบ่อยๆ เขาย่อมรู้ และสว่าง เข้าใจตามความเป็นจริง เช่นนี้แหละลูก ชีวิตย่อมไม่เกิดความลุ่มหลง.. จมอยู่.. วนอยู่.. เวียนอยู่.. เป็นทุกข์อยู่
จงฝึกจิตของตนให้แจ้ง เพื่อเห็นตามความเป็นจริง เห็นการเวียนตาย เวียนเกิดในวัฏสงสารเถอะ.. ลูกเอ๋ย
แล้วลูกนั้นจะไม่ปรารถนาที่จะวนอีกต่อไป ....
สาธุ