พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 4 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 331 **พระอรหันต์กับความฟุ้งซ่าน**
+ +
ในเช้าของวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงการละสังโยชน์ ข้อที่ 9* ขององค์พระอรหันต์
องค์พระอรหันต์ท่านนั้น สามารถละสังโยชน์ข้อที่ 9* คืออะไร ละได้แบบไหน เพราะอะไรหรือเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ไหนลองขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ
แล้วลองนั่งให้สบาย ทำใจให้มีความสุขที่สุด
แล้วก็ปล่อยจิตปล่อยใจที่มีความสุขที่สุดนั้น - ให้มันว่างอีกที..
.. ทรงอารมณ์นั้นเอาไว้..
ทำอย่างนั้นแล้ว จึงค่อยฟังธรรม จะได้เข้าใจว่า.. องค์พระอรหันต์ท่านนั้น..
เป็นแบบไหน ?
รู้สึกยังไง ?
ละสังโยชน์ข้อที่ 9 ได้เพราะอะไร ?
เพราะตนนั้นเข้าใจอะไร เข้าถึงอะไร - จึงได้ละสังโยชน์ข้อที่ 9* นี้ได้ ?
ลองทำดู.. ถ้าทำได้แล้ว คำตอบก็จะอยู่ในตัวของลูก
ลูกก็จะเข้าถึง และสัมผัสถึงอารมณ์ขององค์พระอรหันต์ ที่สามารถละสังโยชน์ข้อที่ 9* ได้ลูก
ไหน พระยาธรรม.. ลองกล่าวธรรมที่ลูกลองฝึกดูซิ.. ว่ามันเป็นยังไง ?
+ +
พระยาธรรม.. สาธุเจ้าค่ะ
ลูกลองทำดูแล้ว ก็สบายดีเจ้าค่ะ
ลูกขยับเข้ามานั่งใกล้พระองค์ แล้วลูกก็ได้รับคลื่นพลังงานที่สงบ
ทำให้จิตใจของลูกสว่างขึ้นในทันใด.. แล้วลูกก็เลยมองเห็นความสุขในแสงสว่างนั้น
เสร็จแล้ว ทีนี้ก็ปรับจิตให้วาง เป็นการวางเฉย แบบว่าเฉยๆกับความสุขนั้น
โดยไม่สุข ไม่ทุกข์
จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ของความรู้สึก “วางเฉย” น่ะเจ้าค่ะ
.. ลูกรู้สึกเช่นนี้ พระพุทธเจ้าค่ะ
- - -
พระพุทธองค์ :: องค์พระอรหันต์นั้น.. ท่านก็รู้สึกคล้ายกันกับ ความรู้สึกที่ลูกนั้นมี
จึงสามารถละ สังโยชน์ข้อที่ 9* คือ การลังเลสงสัยว่า..
/ ตนนั้น จะสามารถไปนิพพานได้หรือเปล่า ?
/ ตนนั้นจะไปนิพพานดี หรือไม่ไป ?
หรือว่าตนจะไปนิพพาน ไม่ได้แน่..
ความรู้สึกที่มันฟุ้งซ่านเหล่านี้ มันไม่มีอยู่ในองค์พระอรหันต์ *
เพราะว่าองค์พระอรหันต์..
* เป็นผู้เข้าถึงแล้ว ซึ่งพระนิพพาน
* เป็นผู้ที่เข้าสู่กระแส ของร่มบารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
** กระแสแห่งนิพพาน คือ กระแสแห่งความหลุดพ้นแล้วอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องมีความสงสัยใดๆ**
องค์พระอรหันต์นั้น.. สามารถวางเฉยกับสิ่งที่มันผ่านไปมา สุขทุกข์ทั้งหลาย
รู้แจ้งในสิ่งทั้งหลาย..
จนองค์พระอรหันต์นั้น.. ไม่มีจิตฟุ้งซ่านเรื่องจะไปนิพพานดี หรือไม่ไป
เพราะองค์พระอรหันต์.. เป็นผู้รู้แจ้ง และทรงอารมณ์อยู่ในนิพพานอยู่แล้ว **
การกลัวว่าจะไปไม่ถึง หรือสงสัยว่าจะไปไม่ถึง
การสงสัยว่าจะไป ไม่ไป
.. สิ่งเหล่านี้ - จึงไม่ใช่สิ่งที่องค์พระอรหันต์มี..
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. เมื่อพากันประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึงการเป็นองค์พระอรหันต์แล้ว..
- สังโยชน์ข้อนี้ ต้องละได้ / ต้องหมดไปจากใจ ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. เมื่อเข้าถึงคลื่นพลังงานที่ดี คือ ดินแดนแห่งความพ้นทุกข์
- ใจนั้นย่อมรับรู้ได้ เข้าถึงอย่างแท้จริง..
ดวงจิตดวงนั้นย่อมสงบ มั่นใจว่า.. ตนอยู่ที่นั่นเป็นแน่แท้
และตนสามารถมองข้ามสุขทุกข์ต่างๆทั้งหลาย จนวางเฉย จนจิตตั้งมั่น
- อยู่เคียงข้างองค์พระพุทธเจ้า
- อยู่กับองค์พระอรหันต์
- อยู่ในดินแดนพระนิพพาน
อรหันต์ เกิดขึ้นในใจตน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีในตนแล้ว..
-- จึงทรงอารมณ์จิตวางเฉย อย่างสง่างาม.. ไม่มีการฟุ้งซ่านตามสิ่งใดๆอีก --
เช่นที่ลูกลองฝึกทำ นั่นละ.. พระยาธรรม
*การขยับเข้าถึงองค์พระพุทธเจ้า.. จิตก็จะสงบ และสว่าง *
เมื่อจิตมองข้ามความสุขที่มันผ่านหู ผ่านตา ผ่านความรู้สึกนั้น.. จนวางเฉยได้
และทรงอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปรกติ.. ก็จะไม่มีทุกข์ใด จรเข้ามาอีกต่อไป ...
พระยาธรรมเอ๋ย.. พระอรหันต์ทั้งหลาย จึงสิ้นแล้วซึ่งความสงสัย ฟุ้งซ่าน
/ ในเรื่องที่มันไม่เป็นเรื่อง
/ ในเรื่องที่มันเป็นสิ่งที่คอยเกาะกวนจิตใจของตน ให้วุ่นวายไป
องค์พระอรหันต์.. มีดวงปัญญาสว่างแจ่มแจ้ง มั่นใจในพระนิพพาน - ที่ตนยืนอยู่ ถึงอยู่ รู้อยู่ ..
จึงไม่ต้องสงสัย จะไปไม่ไป - ก็อยู่อยู่แล้ว *
ไม่ต้องสงสัย จะไปได้ หรือไม่ได้ - ก็อยู่อยู่แล้ว *
-- ความลังเลสงสัย เอาแน่เอานอนไม่ได้เหล่านี้.. เลยไม่มี !
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจเรื่องของสังโยชน์ ข้อที่ 9* บ้างแล้วหรือยัง ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด ลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ ตามความรู้สึก ที่พระองค์ได้ทรงให้ลูกลองทำดู
องค์พระอรหันต์นั้น.. ท่าน
/ สามารถเข้าถึงร่มโพธิ์ ร่มพระบารมี แห่งพระพุทธเจ้า
/ เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนสั่งแล้วอย่างแท้จริง
/ ทรงเข้าถึงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี อย่างแท้จริง
/ อยู่ในร่มพระบารมี แห่งพระรัตนตรัย
/ ทรงพลังจิตอยู่ในดินแดนพระนิพพาน
ถึงแม้จะครองกายหยาบอยู่ก็ตาม แต่จิตนั้นถึงแล้วซึ่งพระนิพพาน
.. จึงหมดความลังเลสงสัย ฟุ้งซ่านว่า..
ตนจะไปนิพพานดี หรือไม่ไป
หรือจะไปได้ หรือไม่ได้
ความลังเลสงสัยเหล่านี้.. จึงไม่มีอยู่ในจิตของผู้ที่เป็นองค์พระอรหันต์ อีกต่อไป..
เพราะท่านเป็นผู้ถึงแล้ว เหตุใดจึงจะสงสัยอยู่ทำไม
เพราะท่านเป็นผู้ที่อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว.. จะคิดไปทำไมว่าจะไปได้ ไม่ได้
ท่าน..
ย่อมรู้ ย่อมเบิกบาน
ย่อมมีจิตที่ตั้งมั่น อยู่ในนิพพาน
-- ไม่มีทางหวนกลับคืนสู่ปุถุชนธรรมดา หรือการเวียนว่ายตายเกิดอีก ++
เปรียบเสมือน บุคคลผู้ที่รู้แล้ว ว่า..นั่นคือโคลน
- ไม่มีทางที่ลงกลับไปลุยโคลนอีก..
- ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกต่อไปแล้ว..
เปรียบเสมือน บุคคลที่ได้กายที่สบายแล้ว อยู่ในที่ที่พ้นทุกข์แล้ว..
ไม่จำเป็นต้องกลับไปเป็นผู้ที่ - ยังเป็นทุกข์อยู่ / ยังต้องดิ้นรนขวนขวาย
เมื่อรู้แล้ว ว่า..สิ่งเหล่านั้น
เป็นที่ ที่ไม่ดี
เป็นที่ ที่เป็นทุกข์
เป็นที่ ที่ไม่น่าปรารถนา
- จิตดวงนั้นย่อมไม่กลับคืนมาอีกต่อไป -
ย่อมเป็นผู้รู้ตื่น ทรงอารมณ์ตั้งมั่น
-- ความสงสัยว่าไปถึง ไปไม่ถึง / จะไปหรือไม่ไป.. จึงหมดสิ้นจากพระอรหันต์ทุกพระองค์แล้ว ++
.. พอจะเข้าใจอย่างนี้แล้ว เจ้าค่ะ
พระพุทธองค์เจ้าขา.. ถ้าอย่างนั้น ถ้าเราจะไปปฏิบัติตนเองให้เป็นองค์พระอรหันต์
เราก็ต้องพิจารณาถอดถอนความสงสัยเหล่านี้ ทิ้งไปให้หมดให้ได้.. อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?
เราถึงจะเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ด้วยเจ้าค่ะ…
- - -
พระยาธรรมเอย.. การที่ลูกนั้นประพฤติปฏิบัติ ทำความดีไปเรื่อยๆ..
จนจิตของลูกเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์แล้ว..
ลูกนั้น ก็จะรู้เองว่า.. พระนิพพานมีอารมณ์เช่นไร มีสภาวธรรม เป็นแบบไหน ?
ลูกก็จะรู้เองว่า วัฏสงสารนี้ทุกข์เพียงใด
.. มันเป็นที่ ที่ไม่น่าอยู่ ไม่น่าอาศัยมากขนาดไหน ?
-- แล้วลูกก็จะเกิดความมั่นใจอย่างที่สุดเอง ว่า จะไม่กลับมาที่นี่อีก ++
ลูกนั้นประพฤติปฏิบัติตน จนทรงอารมณ์ของพระอรหันต์ได้เมื่อไร.. ลูกก็จะรู้เอง ว่า
การที่ถึงพระนิพพานแล้ว เป็นเช่นไร ?
ลูกก็จะไม่มีความสงสัยอีกว่า.. จะมาได้หรือไม่ได้ จะทำได้หรือไม่
ฉะนั้น.. การที่ลูกจะสามารถละสังโยชน์ตัวนี้ได้..
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาเพื่อถอดถอนอะไรมากมายเลย..
ขอเพียงแค่ประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนดับกิเลสของตน ให้หมดสิ้น
แล้วอารมณ์เหล่านี้จะปรากฏขึ้นกับลูก อย่างชัดเจน
และมันก็จะค่อยๆปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ - ตั้งแต่การเข้าสู่การเป็นพระอริยเจ้า ในระดับต่างๆแล้วละ.. พระยาธรรม
อารมณ์แห่งพระนิพพาน.. ย่อมมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ละเอียดมาก เท่านั้นเอง !
ฉะนั้น.. จงมุ่งมั่นตั้งใจทำความดีไปเรื่อยๆ
ธรรมชาติของการชำระกิเลส.. จะทำให้เรามองเห็นความจริงแห่งกิเลส *
จนเรามั่นใจ
จนเราไม่มีความสงสัยอะไรอีกต่อไป ในวัฏสงสาร
-- เมื่อเราอาบน้ำจนสะอาด.. เราย่อมรู้ดีว่า สะอาดแล้ว
และไม่กลับไปปนเปื้อนอีก เป็นแน่แท้ ++
อย่างนี้ละ.. พระยาธรรม
ส่วนการพิจารณานั้น ควรเป็นการพิจารณาดูว่า.. อารมณ์เหล่านี้ของเรา
- ยังเหลืออยู่หรือเปล่า ?
- ยังซ่อนอยู่ตรงไหนหรือเปล่า ?
พิจารณาดูตน ถ้าเกิดมันยังเหลือ.. ยังซ่อนอยู่..
ฉะนั้น.. แปลว่าเรายังไม่ถึงการเป็นองค์พระอรหันต์ อย่างแท้จริง
ยังคงต้องฝึกฝนจิตไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะหมดความฟุ้งซ่าน ลังเลสงสัย ว่า.. เรานั้น
จะไปนิพพานดี หรือไม่ไป
จะไปได้ หรือไม่ได้
.. ความลังเลสงสัยเหล่านี้ มันจะหมดไปจากเรา..
* จึงถือได้ว่า เราถึงพระนิพพานแล้ว..อย่างแท้จริง *
เช่นนี้ละ.. พระยาธรรม
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เพื่อฝึกฝนตนจนเป็นองค์พระอรหันต์ได้แล้ว
--สิ่งเหล่านี้ จะปรากฏชัดเจนแก่เรา.. มันจะหลุดจากเราไปเอง --
จงพิจารณาดูตนว่า.. เหลือมาก เหลือน้อย
แล้วก็หมั่นทำความดี เพื่อขัดเกลาให้มันหมดไปจากเรา.. อย่างนั้นละลูก
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังเจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจแล้วว่า.. มันไม่ใช่เรื่องของการพิจารณาถอดถอน เพราะว่ามันเป็นกิเลสที่มันแฝงตัวอยู่ในเรา
ถ้าเราปฏิบัติตนจนละเอียด สิ่งเหล่านี้ มันก็จะหายไปจากเรา
ก็จะทำให้รู้แจ้งในสิ่งต่างๆของวัฏสงสาร
และมั่นใจว่าจะไปนิพพาน
และเมื่อเราปฏิบัติจนเข้าถึงแล้ว.. เราก็จะมั่นใจว่า เราไปถึงแน่
แล้วเราก็จะไม่มีความสงสัยในสิ่งเหล่านี้..
-- ถือว่า ละสังโยชน์ ข้อที่ 9* ได้โดยสมบูรณ์ ++
.. เข้าใจอย่างนี้แล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง นะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ พระพุทธเจ้าค่ะ..
สาธุ