หลวงพ่อลี ธัมมธโร
ถ้า "จิต" เราไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไหวตัวไปมาอยู่ ก็ย่อมเกิด"สัญญา" ขึ้น
และเมื่อ สัญญา เกิดขึ้น มันก็ฉายแลบออกมา .. แล้วเราก็ "ไหล" ไปตามมัน จะไปเหนี่ยวดึงเข้ามา
การที่เราไปตามเข้ามานั่นแหละ มันเสีย .. ใช้ไม่ได้
จึงให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า "ตัวรู้" นั้น ไม่เป็นไรดอก แต่ "เงา" คือ "สัญญา" นั่นแหละสำคัญ
เราจะไปมุ่งไปทำให้ "เงา" มันดีขึ้นก็ไม่ได้ เช่น "เงา" มันดำเรา จะเอาสบู่ไปขัดฟอกจนตาย มันก็ไม่หายดำ
เพราะ "เงา" มันไม่มีตัว
ฉะนั้น "สัญญา ความนึกคิดต่าง ๆ " เราจะทำให้ดีเลว ย่อมไม่ได้ เพราะมันเป็นเพียง "หุ่น" หลอกเรา เท่านั้น
พระพุทธเจ้า จึงทรงแสดงว่า ใครไม่รู้จัก"ตัว" ไม่รู้จัก "กาย" ไม่รู้จัก "ใจ" ไม่รู้จัก "เงา" ของตัวเอง นั่นคือ " อวิชชา"
คนที่สำคัญว่า "จิต" เป็นตน ตนเป็นจิต จิตเป็นสัญญา ปนเปกันไปหมด เช่นนี้ .. เขาเรียกว่า " คนหลง"
เงาจิต...มันไม่มีตัว
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงทำความไม่ประมาท คือ
มีสติเครื่องรักษาใจโดยสมควรแก่ตนในฐานะ ๔ ประการ
ฐานะ ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ พึงทำความไม่ประมาท
คือ มีสติเครื่องรักษาใจโดยสมควรแก่ตนว่า
๑. จิตของเราอย่ากำหนัดในธรรมที่เป็นเหตุแห่งความกำหนัด
๒. จิตของเราอย่าขัดเคืองในธรรมที่เป็นเหตุแห่งความขัดเคือง
๓. จิตของเราอย่าหลงในธรรมที่เป็นเหตุแห่งความหลง
๔. จิตของเราอย่ามัวเมาในธรรมที่เป็นเหตุแห่งความมัวเมา
ในกาลใด จิตของภิกษุไม่กำหนัดในธรรมที่เป็นเหตุ
แห่งความกำหนัดเพราะปราศจากความกำหนัด
จิตไม่ขัดเคืองในธรรมที่เป็นเหตุแห่งความขัดเคือง
เพราะปราศจากความขัดเคือง จิตไม่หลงในธรรมที่เป็นเหตุ
แห่งความหลงเพราะปราศจากความหลง
จิตไม่มัวเมาในธรรมที่เป็นเหตุแห่งความมัวเมา
เพราะปราศจากความมัวเมา ในกาลนั้น ภิกษุนั้น
ย่อมไม่หวาดผวา ไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้าน
ไม่ถึงความสะดุ้ง และไม่หลงเชื่อแม้เพราะถ้อยคำ
ของสมณะเป็นเหตุ
เกาะสิ่งใดก็ต้องแบกสิ่งนั้น พร้อมทั้งความอยาก
อยากรักษาเอาไว้ อยากผลักไสออกไปให้พ้น
ยิ่ง"อยาก"ก็...ยิ่งหนัก ยิ่งหนัก...ก็ยิ่งแบก
เพราะไม่รู้....ไม่รู้ตามจริง ...ไม่รู้สึกตัว
...............................
ทั้งสุข ทั้งทุกข์
ล้วนผ่านมา ให้ใจได้รับรู้
เมื่อมีสุขแล้ว มีความยินดีก็ให้รู้
เมื่อมีทุกข์แล้ว มีความยินร้ายก็ให้รู้
เมื่อได้รับผลอันเป็นสุข ก็ยอมรับแต่ไม่เพลิน
เมื่อได้รับผลอันเป็นทุกข์ ก็ยอมรับไม่ผลักไส
ใจ"รู้อยู่"ไม่เกาะเกี่ยวสิ่งใดๆ นี้ จึงโปร่งเบา
ใจที่ไม่แบกสิ่งใดไว้นั่นแหละ
จึงมีความสุขในทุกกาล
เพราะไม่ข้องอยู่ในสุขใดๆ...
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
รู้จักมีสติพอที่จะเรียนรู้
เรียนรู้ที่จะไม่จมกับทุกข์
เรียนรู้ที่จะไม่เพลินสุข
ชีวิตจึงจะมีแต่ความโปร่งเบา...
เพราะไม่เอาใจไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด
แม้จะทุกข์ แม้จะสุข
เราก็ต้องรู้จักอดใจ
มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดกับชีวิตเราแน่ๆ
#ว่าด้วยการไม่ฝึก ไม่คุ้มครอง อายตนะ
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่สำรวม
ผัสสายตนะ ๖ ประการนั่นแล
ในอายตนะ ๖ ประการใด ย่อมประสบทุกข์
ส่วนบุคคลเหล่าใดได้การสำรวมอายตนะ ๖ ประการนั้น
บุคคลเหล่านั้นมีศรัทธาเป็นเพื่อน เป็นผู้ไม่ชุ่มด้วยราคะอยู่
บุคคลเห็นรูปที่น่าชอบใจหรือเห็นรูปที่ไม่น่าชอบใจแล้ว
พึงบรรเทาทางของราคะในรูปที่น่าชอบใจ
และไม่พึงเสียใจว่า ‘รูปของเราไม่น่ารัก’
ได้ยินเสียงที่น่ารักและไม่น่ารักแล้ว
ไม่พึงกระหายในเสียงที่น่ารัก
และพึงบรรเทาความไม่ชอบใจในเสียงที่ไม่น่ารัก
และไม่พึงเสียใจว่า ‘เสียงของเราไม่น่ารัก’
ได้ดมกลิ่นหอมที่น่าชอบใจ
และได้ดมกลิ่นเหม็นที่ไม่น่าชอบใจแล้ว
พึงบรรเทาความหงุดหงิดในกลิ่นที่ไม่น่าชอบใจ
และไม่พึงพอใจในกลิ่นที่น่าชอบใจ
ได้ลิ้มรสที่ไม่อร่อยและอร่อย
และลิ้มรสที่ไม่อร่อยในบางคราวแล้ว
ไม่พึงติดใจลิ้มรสที่อร่อย
และไม่ควรยินร้ายในรสที่ไม่อร่อย
ถูกผัสสะที่เป็นสุขกระทบแล้วไม่พึงมัวเมา
แม้ถูกผัสสะที่เป็นทุกข์กระทบแล้วก็ไม่พึงหวั่นไหว
ควรวางเฉยผัสสะทั้งสองทั้งที่เป็นสุขและเป็นทุกข์
ไม่ควรยินดี ไม่ควรยินร้ายกับผัสสะอะไรๆ
นรชนทั้งหลายผู้ต่ำทรามมีปปัญจสัญญา
(ความหมายรู้ในกิเลสเครื่องเนิ่นช้า)ปรุงแต่งอยู่
เป็นสัตว์ที่มีสัญญา วนเวียนอยู่
ก็บุคคลบรรเทาใจที่อาศัยเรือน ๕
(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ) ทั้งปวงแล้ว
ย่อมเปลี่ยนจิตให้ประกอบด้วยเนกขัมมะ
ในกาลใดที่บุคคลอบรมใจดีแล้ว
ในอารมณ์ ๖ ประการอย่างนี้
ในกาลนั้นจิตของเขาถูกสุขสัมผัส
หรือทุกขสัมผัสกระทบแล้ว
ย่อมไม่หวั่นไหวในที่ไหนๆ
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายครอบงำราคะและโทสะได้แล้ว ย่อมเป็นผู้ถึงจุดจบแห่งความเกิดและความตาย
< ปัจจัยให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรม >
เหตุปัจจัยให้ได้บรรลุมรรค ผล พระนิพพานได้ ดังที่กล่าวไว้ใน วิมุตตายตนสูตร
ซึ่งปรารภเหตุที่บุคคลจะได้บรรลุสามัญญผลนั้น ๕ ประการ คือ
๑. บรรลุในขณะที่ฟังธรรม
๒. บรรลุในขณะที่แสดงธรรม
๓. บรรลุในขณะที่สาธยายธรรม
๔. บรรลุในขณะที่พิจารณาธรรม
๕. บรรลุด้วยอำนาจของสมาธิ
เหตุทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นปัจจัยให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้บรรลุอริยมรรคอริยผล นับตั้งแต่ขั้นพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงขั้นพระอรหันต์ได้
๑. บรรลุในขณะที่ฟังธรรม
การแสดงธรรม(อริยสัจ ๔) แก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอรู้แจ้งอรรถ (รู้ความหมาย) รู้แจ้งธรรมในธรรม(รู้พระพุทธพจน์) นั้น ตามที่ศาสดาหรือเพื่อนพรหมจารีผู้ตั้งอยู่ในฐานะครูบางรูปแสดง แก่เธอ
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการ ที่ ๑ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศ กายและใจอยู่ ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจาก โยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๒. บรรลุในขณะที่แสดงธรรม
การแสดงธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียน มาแก่ผู้อื่นโดยพิสดาร เธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรมในธรรมนั้นตาม ที่ภิกษุแสดงธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมาแก่ผู้อื่นโดย พิสดาร
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการ ที่ ๒ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท ฯลฯ หรือเธอย่อม บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๓. บรรลุในขณะที่สาธยายธรรม
การสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมาโดยพิสดาร เธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ในธรรมนั้น ตามที่ภิกษุสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตน ได้เรียนมาโดยพิสดาร
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่ง วิมุตติประการที่ ๓ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความ เพียร ฯลฯ หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอัน ยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๔. บรรลุในขณะที่พิจารณาธรรม
การตรึกตามตรองตามเพ่ง ตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมา เธอรู้ แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรมในธรรมนั้นตามที่ภิกษุตรึกตามตรองตามเพ่ง ตามด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ตนได้สดับมาตามที่ตนได้เรียนมา
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการที่ ๔ ซึ่งเป็น เหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท ฯลฯ หรือเธอย่อมบรรลุธรรม อันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
๕. บรรลุด้วยอำนาจของสมาธิ
เธอ เรียนสมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาดี มนสิการดี ทรงจำไว้ดี แทงตลอดดีด้วยปัญญา เธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรมในธรรมนั้นตามที่ เธอได้เรียนสมาธินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาดี มนสิการดี ทรงจำไว้ดี แทงตลอดดีด้วยปัญญา
▪เมื่อเธอรู้แจ้งอรรถรู้แจ้งธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์
▪เมื่อมีปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
▪เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ
▪เธอมีกายสงบ ย่อมได้รับสุข
▪เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น
นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติประการที่ ๕ ซึ่งเป็น เหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท ฯลฯ หรือเธอย่อมบรรลุธรรม อันเป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
ภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการนี้แล ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจาก
โยคะอันยอดเยี่ยมที่ยังไม่ได้บรรลุ
วิมุตตายตนสูตรที่ ๖ จบ
#อทันตอคุตตสูตร
*** ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ***
(ตอนที่๑๗/๒๖)
"บันทึกของท่านผู้ทรงคุณอันวิเศษในชาตินี้"
------------------------------------------
ไตรลักษณ์ก็รู้แล้ว "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" แต่ให้มันสูง ปลงให้เห็นว่า
อนิจจัง...นี่มันเป็นของไม่เที่ยงจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดในโลกนี้ ถ้าไม่เที่ยงเราไปยึดมันเข้าแล้วมันเป็นทุกข์ ต้องปล่อยตามมันๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แล้วในที่สุดมันก็เป็นอนัตตาพังสลายตัวหมด
"อย่าไปยึด...ไปถือมัน" อย่าไปยึดว่าจะมีอะไร"เป็นเรา...เป็นของเรา"ต่อไป แม้แต่ร่างกายเรายังพัง ในเมื่อ"ร่างกายเรายังพัง" แล้วจะมีอะไร"ทรงอยู่"
อะไรมันทรงอยู่แล้วก็ตาม ถ้าหากว่าร่างกายเราพังแล้ว เราก็ไม่มีสิทธิ์จะมายึดว่า"มันเป็นเรา...เป็นของเรา"
ท่านบอกว่าต้องทำอย่างนี้จริงๆ จังๆ ปล่อยไม่ได้
แล้วก็ต่อมาจงปล่อยความยึดมั่นจากรูปที่เห็นทางตา
จงอย่ายึดว่า"รูป" นั้น...เป็นเรา...เป็นของเรา
ปล่อยเสียงที่ได้ยินทางหู
ปล่อยกลิ่นที่รับทราบทางจมูก
ปล่อยรสที่รับทราบทางลิ้น
ปล่อยสัมผัสที่รับทราบทางกาย
ปล่อยอารมณ์ใจที่เป็นกุศล อย่าเอาเข้ามายุ่ง
ฟังแล้วก็จำนะ นี่เราเรียนกันมาแล้ว นี่ท่านย่อมา ผมเห็นว่าไม่ยาก ผมก็ย่อไป ท่านก็บอกว่าปล่อยใจว่าเป็นเชื้อของเดิมมาเพราะอารมณ์ทั้งหมดเนื่องจากรูป
ท่านบอกว่าที่ต้องมาเกิดอย่างนี้ต้องมาเป็นทุกข์อย่างนี้ เชื้อเดิมมาเพราะอาศัยรูปเป็นสำคัญ คืออาศัยรูปทางตา อาศัยเสียงทางหู อาศัยกลิ่นทางจมูก อาศัยรสทางลิ้น อาศัยสัมผัสทางกาย อาศัยอารมณ์ใจที่เกลือกกลั้วในกามารมณ์
นี่ ที่ต้องมาเกิดเป็นอย่างนี้อาศัยตัณหาเป็น"เจ้าเรือน" "ตัณหา"ก็คือความอยาก อยากได้รูปสวยๆ อยากได้เสียงหวานๆ อยากได้กลิ่นหอมๆ อยากได้รสอร่อยๆ อยากได้รับการสัมผัสที่เราพอใจ อยากได้อารมณ์ที่พึงปรารถนา
ท่านบอกว่า นี่พวกนี้เป็นเจ้าเรือน ต้องทำลายไปเสียให้หมด ต้องทำให้ได้ แล้วจะรู้ผลภายในสิบวัน จำไว้นะ ใครอยากจะได้บรรลุมรรคผลเร็วๆ ละก็ปล่อยตามที่ท่านบอก จะรู้ผลในสิบวัน ดูซิว่าท่านผู้เฒ่าจะทำได้ไหม ท่านบอกว่าธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมได้ผลแก่บุคคลผู้ขยัน แล้วก็ไม่มีใครอาจจะกำหนดพยากรณ์เวลาที่จะสำเร็จมรรคผลได้ ท่านให้มั่นใจขนาดนี้ ขยันนี่ต้องขยันถูกด้วย ไม่ใช่ขยันผิด ขยันตามท่านว่านี้
ถ้าขยันจริงๆ เวลาจะทำ ทรงสมาธิให้เต็มที่ ให้จิตมันทรงตัว แล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณา เห็นรูปทางตาไม่เป็นเรื่อง เสียงทางหูไม่ได้ความ กลิ่นทางจมูกไม่เป็นรส ว่ากันจิปาถะไปก็แล้วกัน ว่าให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรา..ไม่ใช่ของเรา ...ไม่ยึดถือ ปล่อยมันเสียให้หมด
เสียงดีหรือเสียงเลวก็ช่าง รูปดีรูปเลวก็ช่าง กลิ่นดีกลิ่นเลวก็ช่าง รสดีรสเลวก็ช่าง สัมผัสดีสัมผัสเลวก็ช่าง........(5/6)
โดย พระเดชพระคุณ
พระราชพรหมยาน มหาเถระ
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
' ทางสายพระอริยบุคคล '
๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓
*** ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ***
(ตอนที่๑๗/๒๖)
"บันทึกของท่านผู้ทรงคุณอันวิเศษในชาตินี้"
------------------------------------------
อารมณ์ใจทรงไว้เฉพาะในด้านอารมณ์ที่เป็นกุศลเพียงอย่างเดียว
คือ ตั้งไว้ในด้าน"สักกายทิฏฐิ" ทำลาย "อสมิมานะ" ที่ถือตัว ถือตนว่า เป็นเรา เป็นของเรา อย่างนี้สิบวันได้แน่ เหลือเวลาอีกสามนาที
ท่านก็พูดต่อไปว่าวันที่ ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๐๖ เวลา ๙.๐๐ น. เริ่มทำสมณธรรม เห็นไหมว่า เวลาท่านจะไม่ยอมปล่อยให้มันว่างไป ๙ น. นี่แปลว่าฉันข้าวเสร็จทำวัตรเสร็จ เริ่มทำสมณธรรมในระยะต้นท่านได้เห็นท่านมหากัจจายนะ อย่าลืมว่าท่านได้อภิญญา ท่านควบคุมอภิญญาได้ โปรดให้สัญญาบอกระยะญาณ นี่เรื่องของอภิญญา ผมไม่อธิบาย
ต่อมาได้น้อมจิตเข้าสู่จตุตถฌานขั้นละเอียด อย่าลืมฌาน๔ สองอย่างมันมีหยาบกับละเอียด เราเรียนกันมาแล้ว ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ จำให้ดีนะ จิตก็เข้าถึงพระนิพพาน ได้รับโอวาทจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พอยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ก็อาศัยทรงอภิญญา จิตมันก็พุ่งปรี๊ดเข้าไปจับที่พระนิพพาน
ได้รับโอวาทจากองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า ขอจงปล่อยอุปาทานขันธ์ห้าเสีย แล้วทรงกล่าวว่า ความสำเร็จไม่มีใครพยากรณ์ได้ สุดแล้วแต่ความขยัน พระองค์ทรงกรุณาลูบหลังลูบศีรษะแล้วก็เสด็จไปเพื่อให้โอวาทแก่คนอื่น แสดงว่านิพพานมีคนหลายคนเขาไปได้ ท่านให้โอวาทเพียงเท่านี้ว่า จงปล่อยอุปาทานในขันธ์๕ เสีย จงอย่ายึดเอาไว้ ขึ้นชื่อว่าความสำเร็จในมรรคผลใดๆ ไม่มีใครสามารถจะพยากรณ์ได้ แล้วท่านก็เสด็จไปให้โอวาทกับคนอื่น ตอนนี้ท่านบอกว่าจิตของท่านตั้งมั่นอยู่ที่พระนิพพานพอสมควร เขาเรียกอทิสมานกาย
นั่งอยู่ที่พระนิพพานพอสมควร แล้วยังเข้าสู่วิปัสสนาญาณแยกขันธ์ห้าออกจากจิต เห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ...รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี สัมผัสก็ดี อะไรก็ตาม มันไม่มีอะไรทรงตัว มันดับสิ้นในที่สุด
"ว่างจากจิต" มันก็"ว่างจากอารมณ์" ที่ "พอใจ"ในรูป แล้วท่านก็ทวนถึงชาติก่อนๆ ในอดีตด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ว่ามันตายแล้วก็เกิดๆ แล้วก็ตาย ไม่เห็นมีการทรงตัว พอสมควรแล้วก็ขยับจิตเข้ามาจับวิปัสสนาญาณอีก พออารมณ์สบายมาก
เวลานี้ บรรดาท่านทั้งหลาย เวลาที่จะพูดกันมันหมดเสียแล้ว ขอบรรดาท่านทั้งหลายฟังปฏิปทาของท่านผู้เฒ่าแล้วเอาไปใช้บ้างนะ เราไม่ได้อภิญญาสมาบัติ
เราก็ทำจิตของเราให้เข้าถึงจุดอารมณ์สูงสุดในสมาธิที่จะพึงมีได้ แล้วใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณคือ อริยสัจตัดสักกายทิฏฐิ
ถ้าจิตมันจะซ่านก็ทิ้ง เข้ามาจับสมถะใหม่ให้อารมณ์ทรงตัว จิตทรงตัวดีแล้วก็ใช้วิปัสสนาญาณช่วย อย่างนี้ไม่ช้าก็บรรลุมรรคผลตามหลวงพ่อเฒ่าตามที่กล่าวมาแล้ว นี่สำหรับเวลานี้ก็หมดเสียแล้ว ก็ขอบรรดาท่านทั้งหลายโปรดทรงกำลังใจของท่านให้ทรงไว้ซึ่งความดีตามสมควรแก่เวลาที่ท่านพึงจะเห็น.......(6/6)
โดย พระเดชพระคุณ
พระราชพรหมยาน มหาเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
อาตมาบอกไว้เท่านั้นว่า ให้มีสติคุมดวงจิต สัตว์นรกก็แม่นจิต สัตว์อเวจีก็แม่นจิต พระอินทร์พระพรหมก็แม่นจิต ที่เข้าพระนิพพานก็แม่นจิต ไม่ใช่ใคร
จิต ไม่มีตน มีตัว จิตเหมือนวอกนี่แหละ แล้วแต่มันจะไป "บังคับบัญชา"มันไม่ได้...แล้วแต่มัน"จะปรุงจะแต่ง"....
"บอกไม่ได้ ไหว้ไม่ฟัง"
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าให้"วาง"มันเสีย อย่าไปยึดถือมัน
ก็จิตนั่นแหละมันถือว่า"ตัวกู" อยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี เราถือว่า"เรา"เป็นผู้ชาย..."เรา"เป็นผู้หญิง
ก็แม่นจิตนั่นแหละเป็นผู้ว่า มันไม่มีตนมีตัวดอก
แล้วพระพุทธเจ้าว่าให้วางเสีย ให้"ดับวิญญาณ"เสีย ครั้นดับวิญญาณแล้ว ไม่ไปก่อภพก่อชาติอีก ก็นั่นแหละพระนิพพานแหละ แน่ะ
พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้น มันไม่อยู่ที่อื่น นรกมันก็อยู่นี่ พระนิพพานก็อยู่นี่ อย่าไปค้นที่อื่น อย่าไปพิจารณาที่อื่น ให้ค้นที่สกนธ์กายของตน ให้มันเห็นเป็นอสุภะอสุภัง ให้เห็นเป็นของปฏิกูล ให้เกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายมันนั่นแหละ แต่กี้มันเห็นว่าเป็นของสวยของงามของดี
ดวงจิตนั่นเมื่อมีสติควบคุม มีสัมปชัญญะ ค้นหาเหตุผล ใคร่ครวญอยู่ มันเลยรู้เห็นว่า อัตตภาพร่างกายนี้เป็นของปฏิกูล ของเน่าเปื่อยผุพัง แล้วมันจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย จิตนั่นแหละเบื่อหน่าย
จิตเบื่อหน่าย จิตไม่ยึดมั่นแล้ว เรียกว่าจิตหลุดพ้น ถึงวิมุตติ วิมุตติ คือความหลุดพ้นจากความยึดถือ หลุดพ้นจากอุปาทาน ความยึดมั่น ถือมั่น พ้นจากภพจากชาติ ตั้งใจทำเอา
หลวงปู่ขาว อนาลโย
จิตปรุงกิเลส คิอ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ กระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้เลว ให้เกิดวิบาก แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
กิเลสปรุงจิต คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามา ทำให้จิตเป็นไปตามอำนาจของมัน แล้วยึดว่า..มีตัว มีตนอยู่ สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่รํ่าไป
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
การที่จะละความยึดถือ
ในอารมณ์ต่างๆได้นั้น
จิตมันต้องมองเห็น
รับรู้ได้ว่าอารมณ์เหล่านั้น
ไม่มีรสชาติ ไม่เอา น่าเป็น จืดๆ ชืดๆ
เพราะเห็นความจริง
ว่าสุขก็เท่านั้น ทุกข์ก็เท่านั้น
ไม่รักษาไว้ ไม่ผลักไสออก
ไม่มีเชื้อไปเสริมไม่มีเราไปแตะต้อง
คลุกเคล้าอยู่ด้วย มันก็ดับไป ดับไป
เกิดความเบื่อหน่ายคลายออกเอง
จนถึงจุดที่เห็นว่าเป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น
ไม่หมายว่าเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นอะไร
เราถูกหลอก...
ถูกหลอกด้วยความคิดปรุงแต่ง
ว่านี่เป็น เรา นี่เป็นเขา จริงๆ
ทั้งๆที่ความปรุงแต่งว่าเป็นเรานั้น
เกิด ดับ เปลี่ยนแปลงเสมอ
แต่กลับไม่เคยได้รู้ ได้เห็นความจริงนี้
แต่กลับยึดถือว่าความปรุงแต่งนั้นจริง...
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
... ตะเกียงกับแสงที่สะท้อน ...
เหมือนกับตะเกียงเป็น"ตัวผู้รู้"
แสงสว่างของตะเกียง
มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
มันเกิดจากผู้รู้อันนี้
ถ้าจิตนี้ไม่มี ผู้รู้ก็ไม่มีเช่นกัน มันคืออาการของพวกนี้
ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้รวมแล้วเป็นนามหมด
ท่านว่า"จิต"นี้ ก็ชื่อว่าจิต
มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ตัว มิใช่ตน
มิใช่เรา มิใช่เขา
ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม มิใช่ตัวตนเราเขา ไม่เป็นอะไร
ท่านให้เอาที่ไหน
เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า ท่านให้วาง
สิ่งทั้งหลายที่จิตคิดไปทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้
ล้วนเป็นสังขารทั้งหมด
เมื่อรู้แล้วท่านให้วาง
เมื่อรู้แล้วท่านให้ละ
ให้"รู้"สิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง
ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ทุกข์ ก็ไม่วางสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อรู้ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นของหลอกลวง
สมกับที่พระศาสดาตรัสว่า
จิตนี้ไม่มีอะไร
ไม่เกิดตามใคร ไม่ตายกับใคร
จิตเป็นเสรี รุ่งโรจน์โชติการ
ไม่มีเรื่องราวต่างๆ เข้าไปอยู่ในที่นั้น
ที่จะมีเรื่องราวก็เพราะมันหลงสังขารนี่เอง
หลงอัตตานี่เอง
พระศาสนดาจึงให้มอง"ดูจิต"ของเรา
เบื้องแรกมันมีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ
สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดด้วย มิได้ตายด้วย
ถูกอารมณ์ดีมากระทบก็มิได้ดีด้วย
ถูกอารมณ์ร้ายมากระทบก็มิได้ร้ายไปด้วย
เพราะรู้ตัวของตัวอย่างชัดเจน
รู้ว่าสภาวะเหล่านั้น "ไม่เป็นแก่นสาร"
ท่านเห็นเป็น"อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"
ตัวผู้รู้นี้ รู้ตามความเป็นจริง
ผู้รู้มิได้ดีใจไปด้วย มิได้เสียใจไปด้วย
อาการที่ดีใจไปด้วยนั่นแหละเกิด
อาการที่เสียใจไปด้วยนั่นแหละตาย
ถ้ามันตายก็เกิด ถ้ามันเกิดก็ตาย
ตัวที่เกิดที่ตายนี่แหละ เป็นวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ไม่หยุด
เมื่อจิตผู้ปฏิบัติเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องสงสัย
ภพมีไหม ชาติมีไหม ไม่ต้องถามใคร
พิจารณาอาการสังขารเหล่านี้แล้วจึงได้ปล่อยวางสังขาร
วางขันธ์ เหล่านี้ เป็นเพียงผู้รับทราบไว้เฉยๆ
มันจะดีขึ้นมา ท่านก็ไม่ดีกับมัน เป็นคนดูอยู่เฉยๆ
ถ้ามันร้ายขึ้นมา ท่านก็ไม่ร้ายกับมัน เพราะมันขาดจากปัจจัยแล้ว
เมื่อรู้ตามความเป็นจริง ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เกิดไม่มี
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
สิ่งใดที่ ถูกรู้ ถูกดู จิต...จะรู้สึกได้เอง ว่าไม่ใช่ตัวเรา
หลวงพ่อปราโมทย์ : อย่างที่หลวงพ่อสอนแยกธาตุ แยกขันธ์ ก็แยกออกไป
รูป ส่วน รูป พอแยกรูปออกไปปุ๊บ รูปไม่ใช่เราแล้ว
เวทนา แยกออกไป เวทนาไม่ใช่เรา
สัญญา แยกออกไป สัญญาไม่ใช่เรา
สังขาร วิญญาณ แยกออกไป ไม่มีเราแล้ว
เพราะฉะนั้น ความที่ขันธ์ ๕ มารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน หรืออายตนะ ๖ มารวมกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อนเนี่่ย อยู่ด้วยกันนะ สัญญาจะเข้าไปหมายว่า"มีตัวเรา"ขึ้นมา
ถ้ามันแตกออกแล้ว จะไปหมายว่า"เป็นเราไม่ได้"
ยกตัวอย่างพัดอันนี้ ใครรู้สึกว่าพัดเป็นตัวเราบ้าง มีมั้ย ไม่มีหรอก เพราะอะไร เพราะพัดเป็นสิ่งที่เราไปรู้เข้า เรายกมือของเราขึ้นมาดู ลองดูมือตัวเราเองซิ รู้สึกมั้ยว่ามือเป็นเรา ถ้าไม่คิดไม่เป็นหรอก ถ้าไม่คิดไม่เป็นหรอก
ถ้าเราค่อยๆสังเกต ร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนดู ตัวเราจะหายไปแล้ว ถ้าร่างกายอยู่ส่วนหนึ่ง จิตเป็นคนดูเนี่ย ร่างกาย"จะไม่เป็นเรา"อีกต่อไปแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าอะไรก็ตามที่ถูกรู้ ถูกดู เนี่ย จะไม่ถูกรู้สึกว่าเป็นตัวเราอีกต่อไปแล้ว ยกตัวอย่างเห็นพัดเนี่ย พัดเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู พัดไม่ใช่เราแล้ว ร่างกายเป็นสิ่งที่ ถูกรู้ ถูกดู
แต่ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูนะ ดูไปปุ๊บ มันจะกลายเป็นร่างกายของเราแล้ว มันไปรวมเป็นก้อนเดียวกันแล้ว ก็มีตัวเราขึ้นมา
แต่ถ้าไอ้ก้อนนี้แตกออก ขันธ์นี้แตกออกเป็นส่วนๆ ร่างกายก็คือส่วนของร่างกายเป็นส่วนของ"รูป"
ความรู้สึก สุข ทุกข์ ก็ส่วนของความรู้สึกสุขทุกข์ "จิต"เป็นคนไปรู้สุข-รู้ทุกข์เข้า สุข-ทุกข์ก็ไม่ใช่เรา
ความจำได้หมายรู้ "จิต"ก็เป็นคนไปรู้มันเข้า มันก็ไม่ใช่เรา สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว จิตไปรู้มันเข้า มันก็ไม่ใช่เรา
"จิต"ที่เกิด-ดับ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีจิตอีกตัวหนึ่ง(ที่เกิดขึ้นตามหลังไปติดๆ – ผู้ถอด)ไปรู้
จะรู้เลยว่า"จิต"ที่เวียนเกิดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านเรียกว่า “วิญญาณ” วิญญาณเป็นการหยั่งรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านเรียกว่าวิญญาณนะ
ทำไมเป็นวิญญาณขันธ์ วิญญาณน่ะไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่ถูกรู้อีก มันก็เกิด แล้วก็ดับไป เกิดแล้วก็ดับไป ทาง ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ
ยกตัวอย่างเวลาเราสังเกตกายใจนะ เดี๋ยวก็วิ่งไปดู เดี๋ยวก็วิ่งไปฟัง เดี๋ยวก็วิ่งไปคิด ดูก็ดูแว้บเดียว แล้วก็มาคิด
คิดก็คิดหน่อยหนึ่ง บางทีก็คิดยาว คิดมากกว่าดูนะ คิดมากกว่าดู คิดมากกว่าฟัง
เพราะฉะนั้น ที่ว่าพอฟังแล้วเราเข้าใจน่ะ อันนี้คิดเอาเองเกือบทั้งหมดเลย ระหว่างฟังกับคิดเนี่ย คิดมากกว่าฟัง ระหว่างดูกับคิดนะ คิดมากกว่าดูเสียอีก ดูนิดเดียวเอามาคิดตั้งยาว เพราะฉะนั้นมันมี Bias (ความลำเอียงหรืออคติ-ผู้ถอด) อยู่แล้วล่ะ ความรู้ที่เกิดจากการคิดเอา มันมีกิเลสซ่อนอยู่
เนี่ยเราค่อยๆดูนะ เราจะเห็นเลย
จิต ก็เกิดไปทาง ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ
ร่างกาย ก็ ถูกรู้ ถูกดู จิตก็ ถูกรู้ ถูกดู อะไรๆก็ถูกรู้ ถูกดู ตัวเราไม่มี
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวัสดีญาติธรรมทุกท่าน
เมื่อเธอยังยึดถือกองธาตุทั้งปวง
ว่าเป็นสัตว ตัวตน บุคคล เราเขา
ยังเผลอให้ความนึกคิดครอบงำ
แล้วเชื่อถือ ให้ค่า ในสมมุติ...ซึ่งปรุงแต่งจากความคิด
*เธอก็ไม่สามารถแจ้งสภาวะ
ของการไม่เกิดไม่ตายได้เลย*
ทุกๆขณะของการสัมผัส"รับรู้"...เธอจงปล่อยผ่านทั้งหมด
ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง..สิ่งใดๆไว้..ไร้ความหมาย ไร้สมมุติ
ไร้ความคิด..ไร้"ผู้สัมผัส"..รับรู้..
*สภาวะไม่เกิดไม่ตาย
ก็ประจักษ์แจ้งต่อสุญญจักษุเอง*
อาจารย์ปู่ เอกธาตุ