ในวาระะดิถี. ส่งท้ายปีเก่า ๒๕๖๑. ต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๒.
ขอให้ทุกท่านมี “จิตที่สงบนิ่ง” เป็น “หนึ่ง” เป็น "เอกัคตาจิต" มันก็ถึงที่สุดแล้ว. ส่วน “อุบายปัญญา” เป็น “เฉพาะบุคคล”.
“แก่นสาร” คือ “จิตที่เป็นหนึ่ง” แล้ว. “รักษา” เอาไว้ให้มั่น. ไม่ต้องเอาอื่นใดอีก. เอา “อันเดียว” เท่านั้นเป็นพอแล้ว.
ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นทุกประการ. ตลอดปี ๒๕๖๒.เทอญ. สาธุ สาธุ สาธุครับ.
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ปัญญาอบรมสมาธิ"
"ต้องมีอัปปนาสมาธิ". เป็นฐานในการถอดถอนกิเลส. ในเส้นทางนี้. เมื่อจิตถอนออกจากอัปปนาสมาธิ. มาอยู่ที่ อุปจารสมาธิ. เดินปัญญาด้วย สุตมยปัญญา กับ จิตมยปัญญา. อาศัยสัญญาไปเสียก่อน. พิจารณา. เดินมรรคทั้ง ๘. จนจิตมันยอมรับ. จิตมันจะปล่อยวางด้วยตัวของมันเอง. แล้วรวมมรรคทั้ง ๘ ให้เป็น "หนึ่งเดียว". ผู้รู้เกิด. ผู้รู้กับจิตเดิมแท้. เป็นตัวเดียวกัน.
เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้ว. ให้รักษามันไว้. เอาผู้รู้มาอบรมวิชชา. จิตจะรวมครั้งที่ ๒. เข้าสู่ "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง" ก็คือ "จิตหนึ่ง" เป็นตัวเดียวกัน.
*** จิตหนึ่ง คือ แก่นแท้ของศาสนา ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** เอกจิต หรือ จิตหนึ่ง คือ แก่นแท้ของศาสนา ***
"กายกับจิต" เป็นธรรมะ. เป็นธรรมชาติ.
"กายกับจิต". เป็นของไม่เที่ยง. อยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์. เป็นธรรมชาติ. ถ้ารู้ด้วยสุตมยปัญญา. คือรู้ด้วยการฟัง. การได้ยิน. กับ. รู้ด้วยจิตมยปัญญา. รู้ด้วยการคิดการปรุงแต่ง. รู้ด้วยการพิจารณา. รู้อย่างนี้ "ดับทุกข์ไม่ได้" กำลังของสติยังแยกกายกับจิตไม่ได้. กำลังของสติยังไม่เห็นตนเอง. ยังไม่เห็นจิตเดิมแท้ของตนเอง. ยังไม่พ้นทุกข์. ยังขึ้นจากทะเลหลงไม่ได้.
ต้องเข้าสู่เส้นทาง "ภาวนามยปัญญา" จึงจะเห็นความเป็น "ธรรมะของกายกับจิต" จึงจะเห็น "ธรรมชาติของจิตกับกาย".
ภาวนามยปัญญา มี ๒ เส้นทางคือ ปัญญาอบรมสมาธิ กับ สมาธิอบรมปัญญา. ทั้ง ๒ เส้นทาง. ปลายทางที่หมายเดียวกันคือ "รวมมรรคทั้ง ๘" เข้าด้วยกันเป็น "หนึ่งเดียว" หรือ "จิตหนึ่ง".
*** "จิตหนึ่ง" เป็นแก่นแท้ของศาสนา. ถ้าอริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. ไม่มีทางที่จะเข้าใจในแก่นแท้ของศาสนา. "อย่าข้ามมรรค" ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"การเข้าใจแก่นของศาสนา" ยังเข้าสู่พระนิพพานไม่ได้.
อย่าว่าแต่พระนิพพานเลย. จะข้ามโลกีย์เข้าสู่โลกุตรยังไม่ได้เลย. เพราะมันเป็น "สัญญาความจำ". ไม่ใช่ปัญญาของอริยมรรค.
"สัญญาความจำ".มันจะยึดมั่นถือมั่น. เกิดจาก "สุตมยปัญญา กับ. จิตมยปัญญา. ไม่พ้นทุกข์. เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้.
"ปัญญาที่ออกมาจากผู้รู้. ของอริยมรรค." เป็นความรู้. รู้แจ้งตามความเป็นจริง. รู้แล้วมันจะปล่อยวาง. เกิดจาก. ภาวนามยปัญญา. พ้นทุกข์. เข้าสู่พระนิพพานได้.
*** "การเข้าใจแก่นของศาสนา" ยังข้ามโลกีย์ไม่ได้. ยังเป็นปุถุชนอยู่.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** จิตที่พลิกตัวออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้ว.. ท่านไม่ได้ระวังกิเลส.***
ไม่ได้ระวังจิตสังขาร. กายสังขาร. วจีสังขาร. เป็นสักแต่ว่า. ไม่ได้หลงเอามานึกมาคิด เพราะจิตเลยกระแสพระนิพพานไปแล้ว. ไม่มีกลางวันกลางคืน. "อารมณ์" ก็รู้ตามความเป็นจริง. รูป. เสียง. กลิ่น. รส.สัมผัส. (กาม) ก็รู้แจ้งตามความเป็นจริง. !!.
จิตถอนอุปาทาน. ไตรลักษณ์เข้าไม่ถึง.
ปัจจุบันก็เป็นแต่ "ขันธ์วิบากล้วน ๆ."
"เวทนา". ความเสวยอารมณ์ "สุขทุกข์". ก็มีแต่ในส่วนกาย. อุเบกขาทางกายไม่มี.
"วางเฉยอยู่" .อุเบกขาทางใจ.
*** ท่านจึงไม่ได้ระวังกิเลส ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** อานาปานสติ. ***
เป็นทั้งมัคคสมังคี. เป็นทั้งมัคคปหาน. เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน.
แว๊บที่ไม่มีจิตหนึ่งเป็นสักขีพยาน.
เป็นสัญญาแว๊บ. คิดเอาเอง.
ส่วนแว๊บโลกุตตระ. ต้องมีจิตหนึ่งเป็นสักขีพยาน.
"ความคิดมันแว๊ปขึ้นมา"
เป็นสัญญาแว๊ป.กับ แว๊ปของมัคคปหานที่มันแว๊ปออกมาจากผู้รู้" เป็บแว๊ปของปัญญา.
เป็นคนละแว๊ปกัน.
"วันพระมีทุกวัน"
ไม่มีกาล. ไม่มีเวลา. ไม่มีกลางวันกลางคืน. ไม่มีข้างขึ้น. ไม่มีข้างแรม. ทุกลมหายใจเข้าออก. ไม่มีอดีต. อนาคต. ไม่มีปัจจุบัน.
*** อย่าส่งนอกออกไปสัมปยุตกับมัน ***
ตาเห็นรูป. หูได้ยินเสียง. อารมณ์เกิด.
ดูซิ !!. ดู. "มีหนึ่งไหม ?". ถ้ามี "หนึ่ง" ตั้งอยู่เป็นสักขีพยาน. ไม่ต้องวิตกวิจาณ์อะไรเลย. ปัญญาเกิดเอง. รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์. อยู่นอกจิตหนึ่ง. ทั้งนั้น. ชัดเจน !!.
เหมือนน้ำกลิ้งอยู่บนใบบัว.
อยู่กับ "จิตหนึ่ง" อย่าส่งนอก. ดูความเกิดดับของ. วิญญาณของขันธ์ ๕. ดูความเกิดดับของอารมณ์. ดูความเกิดดับของความรู้สึก. อย่าส่งนอกออกไปสัมปยุตกับมัน. ไม่ต้องส่งจิตออกไปวิตกวิจารณ์กับมัน. ถ้าส่งจิตออกไปสัมปยุตกับมัน. นั่นคือ "ส่งนอก". เสร็จมัน.!!
สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
สุดอำนาจของจิต เมื่อกำหนด"รู้" ลงไปเป็นของ"ว่าง"หมด ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ไม่ใช่ผู้หญิงผู้ชาย "ธาตุสูญโญ" เป็น"ธาตุสูญ" แล้วกำหนด"จิต" รู้ "จิต" ตั้งอยู่ใน "ฐีติธรรม" "รู้" อยู่นั้นเป็น "ตัวนิพพาน"
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน..
"รู้" หรือ "สิ่งนั้น"..แล้วจึงใช้อานาปานสติเป็นวิหารธรรม..
"ขันธ์"
ปถุชนกับพระอริยะ. มีขันธ์เหมือนกัน. แต่ต่างกัน.
ขันธ์ ๑. มีจิตดวงเดียว. เป็นอกิริยาจิต. ไม่มีอาการ. ไม่มีกายที่เป็นนามรูป.. ไม่มีรูปกายหยาบ. เป็น นามอรูป. ขันธ์ ๑. มันซ้อนอยู่ในขันธ์ ๔. สัมผัสไม่ได้อายตนะ. รู้ได้ด้วยปัญญาของอริยมรรคเท่านั้น. พวกตาบอดมองไม่เห็น.
ขันธ์ ๔. เป็นขันธ์ที่สัมผัสอาการได้ด้วยจิต. มีรูปนิมิต. (ไม่มีรูปกายหยาบ.) มีสัญญา. มีเวทนา. มีสังขาร. มีวิญญาณ.
ขันธ์ ๕. มีรูปกายหยาบ. มีเวทนา. มีสัญญา. มีสังขาร. มีวิญญาณ.
"ทีนี้. ขันธ์ของปุถุชน กับ ขันธ์ของพระอริยะ. ต่างกันอย่างไร ?."
ขันธ์ ๑. ของพระอริยะ. เรียกว่า "จิตหนึ่ง". ของปุถุชน. เรียกว่า "วิญญาณ".
ขันธ์ ๔. ของพระอริยะ. เรียกว่า "ผู้รู้". ของปุถุชน. เรียกว่า "ผู้หลง"
ขันธ์ ๕. ของพระอริยะ. เรียกว่า "รูป เวทนา สัญญา สังขาร. "ผู้รู้". ไม่เรียกว่าวิญญาณ. ส่วนของปุถุขน. เรียกว่า. รูป เวทนา สัญญา สังขาร. "วิญญาณ". พระอริยะเรียก "วิญญาณ" ว่า "ผู้รู้".
เจริญธรรม สาธุครับ....
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** ทุกข์ *** มีทุกข์ในกาย. กับทุกข์ในจิต.
"ทุกข์ในจิต". ดับได้ด้วยอริยมรรค. เมื่อใดก็ตามที่ มรรคทั้ง ๘. รวมตัวกันเป็นหนึ่ง. แค่ครั้งเดียวเท่านั้น. จิตจะพลิกตัวออกจากทุกข์. เสวยสุขทันที. พระพุทธเจ้าชี้ทางให้ออกจากทุกข์. มีทางเดียวคือ "เอโกมัคโค" เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก ๆ.
"ทุกข์ในกาย". ไม่มีอะไรดับได้เพราะมันเป็นเรื่องของกรรม. มันเป็น "ทุกขสัจ" ปฏิสังขาโย ๔. ดับได้ชั่วคราว. เอกัคตารมณ์ ก็ดับได้ชั่วคราว. มันทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้น. ทุกข์ตั้งแต่เกิดจนถึงวันตาย. ไม่เคยได้รับสุขเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว. เพราะในสามแดนโลกธาตุนี้. เป็นกรงขังของทะเลเพลิงแห่งความทุกข์.
*** เมื่อทุกข์ในกายดับไม่ได้. ก็แยกจิตออกจากกายไปซะ !!***
แค่นี้ก็พ้นทุกข์. เป็นอนันต์กาล. จิตไม่กบถกลับคืนมาอีกด้วย.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
ปุถุชน. จิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง.
ผู้รู้ยังไม่เกิด.
พระอริยะ. ผู้รู้ในอริยมรรคเกิด.
มีจิตหนึ่ง. เป็นสักขีพยาน.
"อาการที่มันเต้นตุ๊บ ๆ" อยู่ที่ "จุดรู้" นั้น. ตัวนั้นแหละคือ "จิตเดิมแท้".
ไอ้ที่มันเต้นตุ๊บ ๆ. อยู่ที่ จุดรู้นั้น. มันเป็นอาการของกาย. มันอยู่นอกอำนาจจิต. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. ลมที่เข้าออกที่จุดรู้ก็เช่นเดียวกัน. ลมเข้าออกก็อยู่นอกอำนาจจิตเหมือนกัน.
สุดท้ายอาการที่เต้นตุ๊บ. และ ลมจะหายไป. เหลือแต่จุดรู้เด่นดวง. เป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว.
ให้เอา "หนึ่ง" เท่านั้นก็พอ. ให้รักษาจุดรู้. ให้รักษาความเป็น "หนึ่ง" ไว้. อาการที่เต้นตุ๊บ ๆ. กับลมเข้าออก. เป็นของไม่เที่ยง. ไม่เอา. วางอย่างเดียว. เข้าใจไหม ?
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** เห็นเป็นปัจจัตตังชัดเจน. เหมือนดั่งตาเห็นรูป. ว่า...***
"ตัวไม่เที่ยง. มันออกมาจาก "ตัวเที่ยง". เนื่องด้วยมันมีตัวไม่เที่ยงอยูในตัวเที่ยง. นี้เอง. ในทางปฏิบัตินั้นถือว่า. สภาวะของจิตดวงนี้ เป็นจิตที่ "สะอาด" แต่ยัง "ไม่บริสุทธิ์"
"จิตดวงนี้" เรียกว่า "จิตเดิมแท้" หรือ "ผู้รู้".
"ตัวไม่เที่ยง" มันเป็น "อาการ" มีอะไร ?บ้าง. มีรูปนิมิต. เวทนา. สัญญา. สังขาร. วิญญาณ.
"ทั้งสองตัวนี้" มันอยู่ในที่เดียวกัน. ต่างคนต่างอยู่. เราจะสัมผัสตัว "จิตเดิมแท้" ดวงนี้ได้ด้วย "จิตผู้รู้" ได้อย่างชัดเจน. ในทุกอิริยาบถ. ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา. ไม่มีกลางวันกลางคืน. สภาวะนี้เรียกว่า "จิตเห็นจิต". ชัดเจน !!!
*** เหมือนดั่งตาเห็นรูป. ***
เจรอญธรรม สาธุครับ....
(สู่แดนพระนิพพาน)
ผู้รู้. ดู จิตผู้รู้.
ผู้รู้. ตัวแรกคือ นิพพาน. อยู่นอกจิตหนึ่ง.
ผู้รู้อีกตัวคือ.จิตผู้รู้.
เกิดจากมรรค ๘. รวมกัน.เป็น "หนึ่ง".
เพ่งอยู่กับผู้รู้. ในปัจจุบัน.
แล้วฟังผู้รู้เขาบอก. ทุกสภาวะในปัจจุบัน. ที่ผู้รู้บอก
นั่นคือความรู้แจ้งเห็นจริง.
ถ้าจิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง.
"จิตเดิมแท้" ยังไม่เกิด.
ท่านคือ "ผู้หลง" ยังไม่แจ้ง. (ตาบอด).
ต้องทำให้ "ผู้รู้" เกิดก่อน.จึงจะพ้นทุกข์.
ทางขึ้นเขามีหลายทางก็จริง.
เมื่อถึงยอดเขา. จะเป็นเส้นทางไหนก็ตาม.
จิตต้องรวมเป็นหนึ่ง.เท่านั้น.
"ต้องมีญาณ" จึงจะไปถึงฝั่งพระนิพพานได้.
"ญาณ". เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทร. ใช้ในการเดินทาง. ท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร. มานานนับภพนับชาติมาเป็นอจินไตยแล้ว. "กายกับจิต" มันปิดบัง "ญาณลำนี้ไว้" ต้องหามันให้พบ.
"ญาณลำนี้" มันมีชื่อว่า. "จิตเดิมแท้"
"จิตเดิมแท้. หรือ ญาณลำนี้". มันมีลมเป็นคูหาให้มันอาศัยอยู่. ตัวลมตัวนี้ตัวเดียว. ที่บังญาณลำนี้ไว้. เอามหาสติเพ่งเข้าไปที่ลมที่เดียวที่เรากำหนดไว้. ที่จุดเดียว. จะเป็นที่ปลายจมูก หรือที่ กลางหน้าอก. ก็ได้. จุดใดจุดหนึ่ง. ให้ต่อเนื่อง.
"ญาณแท้ลำนี้". จะโผล่พรวดขึ้นมาให้เรารู้เราเห็นทันที. ล็อกคอมันไว้เลย. ให้รักษามันไว้. เมื่อมันยอมแล้ว. คราวนี้สอนมัน. มันเหมือนมีตัวมีตนจริง ๆนะ. แปลกนะ !! ญาณลำนี้ไม่มีอะไรทำลายมันได้เลย. ไม่มีเสื่อมสลาย. ไม่เกิด. ไม่แก่. ไม่เจ็บ. ไม่ตาย.ไม่สูญ !!. เป็นอนันต์กาล.
เมื่อถึงฝั่งพระนิพพานได้ดังใจหมายแล้ว. นายทวารแห่งแดนพระนิพพาน. กระซิบเบา ๆ. ให้ "วางญาณ" ไว้ก่อน. จึงจะเข้าไป "เสวยอมตสุข" ได้. เอวัง...
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"เห็นแสงสว่างครอบโลกธาตุ". เป็นนิมิตแสง. เป็นรูปนิมิต. เป็นอาการของจิต. พวกนี่พวกหมาตาเหลือง.
"แสงสว่าง". เป็นอาการของจิต. อย่าไปหลงยึดเอา "อาการของจิต". ว่าเป็นตัวจิต. ว่าเป็นตัวพระนิพพาน. เทียนไข. เปลวไฟจากเทียนไข. แสงสว่างจากเปลวไฟ. เป็นคนละตัวกัน.
*** สิ่งนั้น. ไม่ใช่เทียนไข. สิ่งนั้นไม่ใช่ไฟ. สิ่งนั้นไม่ใช่แสงสว่าง. ***
พวกเหาะเหิรเดินอากาศ. เดินบนฟ้า. ตีลังกา. เดินจงกลม. เห็นเทวบุตรเห็นเทวดา. เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก. ทั้งจักรวาล" ก็เหมือนกัน. มันเป็นอาการของจิต. !! เป็นนิมิตทั้งนั้น.
สิ่งเหล่านี้มันเป็น "อุปจาระฌาน". เป็น "อุปจาระภาวนา". เป็น "ภวังคจลนะ". อันเดียวกัน. เรียกชื่อต่างกัน. !!
"แสงสว่าง". ไม่ใช่จิตเดิมแท้. ไม่ใช่เอกัคตาจิต. ไม่ใช่จิตหนึ่ง. ไม่ใช่สัมมาสมาธิ.
*** พวกนี้ตายไปหมดบุญ ก็ต้องตกนรก. ยังเวียนว่ายในวัฏฏะสงสาร. ยังไม่พ้นทะเลหลง. ***
"ความว่างที่แท้จริง". ไม่ใช่แสงสว่าง และไม่ใช่ความมืด.
ที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน. พระอรหันต์เจ้า. ที่ท่านให้โอวาทธรรมว่า. มันจ้า ครั้งที่สองนั้น มันมากกว่าเดิมนั้น. ท่านพูดถึง "อาการของจิต".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"การปล่อยวาง"
พระพุทธเจ้าท่านให้ทำทาน. พระองค์ให้รักษาศีล. แล้วให้ปล่อยวางทาน. วางศีล. ด้วยสมาธิภาวนา.
ทาน. เป็นการสะสมเสบียง. สำหรับการเดินทางในระหว่าการเดินทาง.
การรักษาศีล. เป็นการทำความดี. ละเว้นความชั่ว. ถ้าศีลไม่บริสุทธิ. เราจะสร้างความดีไม่ได้. ความเป็นมนุษย์สิ้นสุด..
ภาวนาเป็นการปล่อยวาง. ทั้งความดีและความชั่ว. ภาวนา. เป็นการปล่อยวางทั้งกรรมดีกรรมชั่วในทางจิต. ผลของทาน. การรักษาศีล. ยังให้ผลตามเหตุตามปัจจัย. ไม่ได้สูญหายไปไหน.
ถ้าเราไม่เข้าใจในทาน. ศีล. ภาวนาแล้ว. จิตจะไม่ยอมปล่อยวาง. ถ้าจิตไม่ยอมปล่อยวางทาน. ไม่ยอมปล่อยวางศีลแล้ว. จิตจะหนีโลกไม่ได้เลย. เพราะ. ทานกับศีล. เป็นสมบัติของความเกิดเป็นมนุษย์. ติดต่อกัน. ภพต่อภพ. ชาติต่อชาติ. เท่านั้น. ยังไม่เป็นอนันต์กาล.
ภาวนา. เป็นการปล่อยวางทางจิต. ไม่ใช่ไม่ให้ทาน. ไม่ให้รักษาศีล. ทานศีล. ดับทุกข์ได้ชั่วคราวเท่านั้น.
ภาวนาเป็นรอยต่อของความดับทุกข์ได้ชั่วคราว. เข้าสู่ความดับทุกข์ได้เป็นอนันต์กาล. เป็นเส้นทางเข้าสู่อริยมรรค. คือ. ความเป็นหนึ่งของจิต. ความเป็นหนึ่งของจิต. เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน.
*** ให้เชื่อพระพุทธเจ้า.***
อานาปานสติ. มีสติอยู่กับลม. ศีลบริสุทธิ์. เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว. ให้วางศีล. แล้วรักษาความเป็นหนึ่งของจิต. ให้รักษาจิตหนึ่ง. แทนการรักษาศีล.
เจริญธรรม. สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ความจริงที่เราต้องรู้แจ้ง"
ถ้าเราไม่รู้แจ้งในสัจจะความจริงทั้ง ๔. นี้แล้ว. เราจะขึ้นจากทะเลหลงไม่ได้เลย. ได้แก่.
จริงสัจจะ : สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง. เป็นทุกข์. ไม่มีตัวตน. ตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์.
จริงอริยสัจ : เป็นเส้นทางแห่งความพ้นทุกข์. เป็นเส้นทางแห่งความหลุดพ้น. ทาน. ศีล.ภาวนา. ดับทุกข์ได้ชั่วคราว. สติ.สมาธิ.ปัญญา. ดับทุกข์ได้เป็นอนันต์กาล. ตัวที่แจ้งในจริงอริยสัจ.คือ จิตต้องเป็น "หนึ่ง" ก็คือ. "ตัวปัจจัตตัง". ถ้ายังไม่เห็น "จิตหนึ่ง" เราจะไม่แจ้งในอริยสัจ.
จริงสมมุติ : จริงตัวนี้ถ้าเรายังไม่แจ้ง. ยังไม่เห็นใน "จิตเดิมแท้" ด้วย "จิต" แล้วเราจะไม่เห็นสมมติ. เราจะรู้สมมติได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง. ก็ต่อเมื่อออกไปอยู่นอกสมมติ. คือ. ออกไปอยู่นอก "จิตหนึ่ง".
จริงบัญญัติ : ทั้งสมมติ. และ วิมุติ. ไม่มึตัวตนเราเขา. สมมติเพื่อสื่อสาร. เพื่อความเข้าใจ. เมื่อแจ้งแล้วก็ปล่อยวาง.
สัจจะทั้ง ๔. เราจะตัดโซ่ข้อใดก็ได้. ถึงที่หมายเดียวกัน
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
ศีล 5. 8, 10. 227. ดับทุกข์ได้ชั่วคราว.
ได้เกิดเป็นมนุษย์ชาติต่อชาติ. เท่านั้น. ไม่เป็นอนันต์กาล.. ยังข้ามสามแดนโลกธาตุไม่ได้. ต้องรวมศีล. สมาธิ. ปัญญา. ให้เป็น "หนึ่ง". เส้นทางอื่นไม่มี. สิ้นสุดของการเดินทางของโลกมายา.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ผู้รู้" หรือ "จิตหนึ่ง" ธรรมชาตินี้ "รู้เองเห็นเอง" มันเป็น "ปัจจัตตัง" ธรรมชาติ หรือ "จิตหนึ่ง" นี้อยู่ได้ตัวของมันเอง "ธรรมชาติ" หรือ "จิตหนึ่ง" นั้น "ไม่ใช่สมมุติ" มันอยู่แต่เพียง "ผู้เดียว"
ไม่มีอะไรเข้ามา “ทำลาย” เข้ามา “เกี่ยวข้อง” เข้ามา “ลบล้าง” ได้ เพราะ “พ้นวิสัยของสมมุติ” มี "ใจ" เท่านั้นที่ "สัมผัสสัมพันธ์" (จิตเห็นจิต) ได้ อายตนะ ตาหู จมูก ลิ้น กาย "ไม่ใช่วิสัย" แห่งการรับทราบ “ธรรมนั้น” (ชัดเจน)
ทุกๆอิริยาบทของนักปฎิบัติที่จิตเป็น "เอกจิต" นั่นคืออาวุธสำคัญเพราะภพปัจจุบันเป็น "สักแต่ว่า"..
*** มันเป็นจริงอยู่ในตัว.***
อานาปานสติ. รวมไว้ที่จุดรู้ที่เดียว. ให้ต่อเนื่อง. ทุกลมหายใจเข้าออก. ทั้งหลับตาและลืมตา. ในทุกอิริยาบถ. ไม่มีสถานที่. ไม่มีกาลเวลา.
มันจะแยกจิตออกจากกาย. มันจะแยกผู้รู้ออกจากผู้หลง. ลมดับ. เหลือแต่ผู้รู้ล้วน ๆ. ผู้รู้กับจิตเดิมแท้เป็นตัวเดียวกัน. เมื่อผู้รู้รู้แจ้งด้วยปัญญาจากอริยมรรค. ผู้รู้วางผู้รู้เข้าสู่ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง.
สิ่งหนึ่งที่อยู่ในความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. มันจะระเบิดตัวของมันเอง. (มันเป็นของมันเอง). ออกไปอยู่นอกความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. วางสิ่งนั้น. เอาอานาปานสติเป็นวิหารธรรม. รอสิ้นลมปราณ.
*** อานาปานสติ. มันเป็นจริงอยู่ในตัว ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"มัคคปหาน"
สภาวะของความเป็น "หนึ่งของจิต" ที่ปรากฎให้รู้ทุกขณะจิต. ทุกลมหายใจเข้าออก. ไม่มีกลางวันกลางคืน. ทุกอิริยาบถ. เป็นตัวปัจจัตตัง. รู้ด้วยตนเอง. เป็นสภาวะของ "มัคคปหาน".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** ธรรมแท้เป็นของเปิดเผย. ***
"ทุกข์ทางกาย". มันเป็นขันธ์วิบาก. มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. มันทุกข์ของมันอยู่อย่างนั้น. ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น. มันอยู่นอกจิต. มันอยู่นอกอำนาจของจิต. มันเกิดดับของมันอยู่อย่างนั้น.
เมื่อเรารู้แจ้งเห็นจริงด้วยปัญญาของอริยมรรค. ที่ไม่ใช่ปัญญาของสัญญาแล้ว. ให้ปล่อยวาง. อยู่กับความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง.
ถ้าเราปฏิบัติเพื่อให้ทุกข์ทางกายหายไป. เป็น "ความเห็นผิด" ยิ่งจะเพิ่มความทุกข์หนักเข้าไปอีก. เพราะมันเป็น "ทุกขสัจจ์".
"ทุกข์ทางจิต ไม่มี" เมื่อจิตหลุดพ้นออกจาก "ความเป็นหนึ่งของจิต" ไปแล้ว. เรียกว่า "กิเลสนิพพาน" จบไปแล้ว.
ให้วางกิเลสนิพพาน. ออกมาอยู่กับ "กายกับจิต" เยี่ยงสามัญชน. ในจิตปรกติ. โดยไม่ต้องทำอะไรเลย. ไม่ต้องไปดับทุกข์ที่กาย. ไม่ต้องไปทำลายผู้รู้. เพราะ มันมีของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว.
สิ้นลมปราณเมื่อใด. กายดับ. ผู้รู้ดับ. ส่วนตัวที่ออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้วนั้น. ไม่ต้องไปทำอะไร. เมื่อสิ้นลมปราณ. มันจะเป็นของเขาเอง. อยู่กับอานาปานสติ. หรือจะอยู่กับ ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง. อย่างใดอย่างหนึ่ง. ก็ได้.
*** ธรรมเป็นของเปิดเผย. ธรรมแท้ไม่ต้องปิดบัง. แลกเปลี่ยนครับ.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
พระพุทธเจ้ามิได้ "ทรงปฏิเสธ" ในการรักษา "ผู้รู้. หรือ จิตหนึ่ง.
"พระองค์ก็ยัง ทรงรักษา" และ "ทรงใช้". ศีล สมาธิ ปัญญา. อยู่ทุกประการ. จนถึงวัน. "เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน".
พระองค์ทรง "รักษา" และ "ใช้" ในขณะที่พระองค์เสด็จสู่ปรินิพพาน. ในระหว่าง "รูปฌาน และอรูปฌาน".
"เพราะฉะนั้น" นักปฏิบัติทั้งหลาย. ก็ไม่น่าที่จะ "ปฏิเสธ" หรือ "ไม่รักษา" กันเสียเลย.
*** ถ้าอริยมรรคยังไม่เกิด. ก็ให้รักษาศีล. เมื่อผู้รู้เกิดแล้ว. ให้รักษาจิต. ***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
สภาวะจิตที่อยู่ระหว่าง "รูปฌาน กับ อรูปฌาน" เป็นอย่างไร ?.
"สภาวะการวางอรูปฌาณ" คือ การออกไปอยู่นอกจิตหนึ่ง. สภาวะนี้. เราจะปรารถนาเอาไม่ได้. ทำเอาเองก็ไม่ได้. การออกไปอยู่นอกจิตหนึ่ง. การออกไปอยู่นอกห้อง. การออกจากถ้ำ. มันจะเป็นของมันเอง. กำหนดให้มันเป็นตามความปารถนาไม่ได้. สภาวะนี้เรียกว่า "นิพพานเป็น" เป็นสภาวะของ "จิตหลุดพ้น". ธาตุขันธ์ยังไม่ตาย.
"นิพพานแท้" หรือ "นิพพานตาย" เป็นอย่างไร ?. ให้ปล่อยวางนิพพานเป็น. คือ. ปล่อยวางสิ่งนั้น. คือ. ตัวที่มันออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งตัวนั้นแหละ. แล้วกลับลงมาอยู่ กับธาตุกับขันธ์เยี่ยงสามัญชน. ในสภาวะ "สักแต่ว่า" อย่าส่งนอก. สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น. เรียกว่า "โลกวิทู" ไม่ต้องออกไปสัมปยุต์ กันธาตุขันธ์ แต่อย่างใด. มันเป็นอย่างใดก็ให้มันอยู่ของมันอย่างนั้น. อย่าไปเติม. อย่าไปตัด. อย่าไปเปลี่ยนแปลงมัน. มันจะสิ้นลมปราณ หรือไม่สิ้นลมปราณ. ก็ไม่ต้องรอมัน. ไม่ต้องไปกำหนดมัน. มันจะเป็นของมันเอง. ทำแค่นี้พอ.
พระองค์ได้เสด็จปรินิพพานแท้. ในระหว่าง "รูปฌาน และอรูปฌาน". สำหรับพวกเรา. เอาว่า. เวลาจะสิ้นลมหายใจ. ให้มี "สติ" คือตายให้มีสติก็แล้วกัน. มันจะอยู่ระหว่าง "รูปฌาน" หรือ "อรูปฌาน" หรือไม่. ขอให้ตายอย่างมี "สติ" ก็แล้วกัน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"พุทธบริษัท" ทั้งหลาย ไม่ควรที่จะ "ปฏิเสธ" หรือ "ไม่รักษา" ใน "ศีล สมาธิ ปัญญา". (จิตหนึ่ง). กันเสียเลย.
แม้พระองค์เอง ก็มิได้ "ทรงปฏิเสธ"
การที่พระองค์ได้ "บำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา" มาตั้งแต่ "ยังมิได้ตรัสรู้" จนได้ "รู้แจ้งเห็นจริง" แล้ว. พระองค์ก็ยัง "ทรงรักษา" และ "ทรงใช้" ศีล สมาธิ และปัญญา, (จิตหนึ่ง) อยู่ทุกประการ. จนถึงวัน "เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน".
แม้ขณะที่ "จิตของพระองค์" จะเข้าสู่นิพพาน ก็ยังทรงใช้ "ศีล.สมาธิ,ปัญญา" บำเพ็ญสมาธิสมาบัติ ที่พระองค์ทรง "รักษามา" คือ พระองค์ได้เสด็จปรินิพพาน ในระหว่าง "รูปฌาน และอรูฌาน".
"เพราะฉะนั้น" พุทธบริษัททั้งหลาย ก็ไม่น่าที่จะ "ปฏิเสธ" หรือ "ไม่รักษา" ศีล สมาธิ ปัญญา.(จิตหนึ่ง) กันเสียเลย.
ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
พระผู้เสมือนพระเจ้าอโศกฯ กลับชาติมาเกิด
เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี เวลา ๒๑.๐๐ นาฬิกา เดือนยี่ แรม ๒ ค่ำ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ บ้านเกิดคือ บ้านหนองสองห้อง ต.ยางโยภาพ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี
วันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลากลางคืน
"กิเลสนิพพาน. อยู่เหนือเวร. อยู่เหนือกรรม". เวรกรรมตามไม่ถึง. "ขันธ์นิพพาน". ไปไม่รอด. ทั้งเวร.ทั้งกรรม. หนีไม่พ้น. !! ต้องชดใช้, จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน.
"ขันธ์นิพพาน" เป็นเรื่องของการ "เสวยกรรมทางกาย" ล้วน ๆ. รูปกายหยาบ. เข้าสู่พระนิพพานไม่ได้. หนีกรรมไม่ได้. ต้องชดใช้.
"กิเลสนิพพาน" เมื่อผู้รู้รู้แจ้งความความเป็นจริง. ของกายกับจิตแล้ว. ผู้รู้จะปล่อยวาง. พลิกตัวออกจากกิเลส. เปลี่ยนรูปจากผู้รู้เป็น "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง".
การที่กล่าวว่า "จิตนั้นมิใช่จิต" หมายความว่า. ในความว่างที่ไม่ใช่ความว่างนั้น. หมายถึง. มี "สิ่งบางสิ่ง" ซึ่งมีอยู่จริง. ที่มันซ้อนอยู่ใน "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง". นั้นอีกตัวหนึ่ง. "สิ่งนั้น" มันอยู่เหนือคำพูด.
สิ่งนั้นเมื่อบารมีเต็มแล้ว. มันจะระเบิดตัวมันเอง. ออกไปอยู่นอกตัวที่เป็น "ความว่าที่ไม่ใช่ความว่าง".
*** สภาวธรรม. นี้ไปมันจะเป็นของมันเอง.***
เมื่อ"สิ่งน้่น" ออกไปอยู่นอก "จิตหนึ่ง" ได้แล้ว. สุดท้ายของการปล่อยวาง. คือ. *** วางกิเลสนิพพาน. *** ด้วยการเข้าสู "โลกวิทู" เพื่อปล่อยวาง "ขันธ์นิพพาน" บนเส้นทาง "โลกวิทู" ต่อไป.
"โลกวิทู" ต้องเชื่อเรื่อง "กรรม" เท่านั้น. มันจะเป็นมาอย่างไร. จะเป็นกรรมใหม่. กรรมเก่า. "อโหสิกรรม" อย่างเดียว. กรรมทั้งหลาย. ล้วนแต่เราสร้างไว้ทั้งนั้น. อย่าสงสัย. ถ้าสงสัยก็ติดบ่วงของมารทันที.
*** อย่าออกไปสัมปยุติกับกรรมที่กำลังเกิดกับตัวเรา. ***
ต้องยอมรับ" ไม่มีใครหนีกรรมได้. ตามได้ก็เจอแต่บ้านร้าง. ไม่มีใครหนีพ้น. แม้แต่พระพุทธองค์. ก็ต้องยอมรับและชดใช่กรรม. จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
“สัมมาทิฐิ. ไม่ใช่ตัวจริงของพระพุทธศาสนา”
"สัมมาทิฐิ". คือ ความเห็นชอบ. เป็นองค์มรรคข้อที่ ๑. ในมรรคทั้ง ๘. "สัมมาทิฐิ" ยังไม่ใช่ตัวจริงของพุทธศาสนา.!!.
"สัมมาทิฐิ" เป็นเส้นทางเข้าสู่ "อริยมรรค". เป็นเส้นทางเข้าสู่ "พุทธศาสนา".อย่าว่าแต่ "สัมมาทิฐิ" ข้อเดียวเลย. "มรรคทั้ง ๘". ถ้ายังไม่รวมกันเป็น "หนึ่งเดียว" แล้ว. มรรคทั้ง ๘. นั้น. ก็ยังเป็น "โลกีย์มรรค" อยู่เลย. ยังห่างไกลแก่นแท้ของศาสนา. ยังไม่ถึงตัวศาสนาที่แท้จริง.
"พุทธศาสนา". เป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพาน. "จิตหนึ่ง" คือแก่นแท้ของพุทธศาสนา. "จิตหนึ่ง" เป็นตัวศาสนาที่แท้จริง.
"สติ. สมาธิ. ปัญญา". รวมกันเป็นหนึ่ง. เป็น "จิตหนึ่ง" สติ. สมาธิ. ปัญญา. ไม่ใช่พระนิพพาน. แต่เป็นทางเดินเข้าสู่พระนิพพาน.
การออกมากล่าวว่า. "อะไรเป็นตัวจริงของพระพุทธศาสนา ?" แล้วตอบว่า. “สัมมาทิฏฐิ" คือ "ตัวจริงของพระพุทธศาสนา”
ถ้าอริยมรรคยังไม่เกิดขึ้น. มีขึ้นภายในจิต. ในทางปฏิบัติแล้ว. ถือว่า. ภูมิจิตภูมิธรรม. ท่านยังเป็นคนนอกศาสนาอยู่. !!!
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
*** โลกีย์มรรค. กับ อริยมรรค.*** ต่างกันอย่างไร ?.
คำว่าจิต. มี ๒ สภาวะ. คือ. จิตผู้รู้. กับ จิตผู้หลง. ในที่นี่คำว่า. จุดรู้. กับ จิตผู้รู้. เป็นตัวเดียวกัน. ทีนี้.ตามความเป็นจริงในทางปฏิบัตินั้น. ต้องปฏิบัติให้เห็น "จิตผู้รู้" ก่อน. จึงจะเห็น "จิตผู้หลง." ต้องรวมมรรคทั้ง ๘. ให้เป็น "หนึ่งเดียว" เสียก่อน..
"มรรคมีองค์ ๘". ถ้ายังไม่รวมเป็น "หนึ่ง" เป็น "ปุถุชนมรรค" เรียกว่า "โลกีย์มรรค". ตัดสังโยชน์ ๑๐ ไม่ขาด. แต่ถ้ามันรวมกันเป็น "หนึ่งเดียว" แล้ว. เราเรียก "มรรคที่รวมกันเป็นหนึ่ง" นั้นว่า "อริยมรรค" เป็นมรรคของพระอริยะ.
"โลกีย์มรรค" เป็น "สัญญามรรค". จำเอาท่องเอา. มรรคข้อนั้นเป็นอย่างนี้. มรรคข้อนี้เป็นอย่างนี้. "ดับกิเลสได้ชั่วคราว" ไม่เป็นอนันต์กาล. เพราะมันเป็น "สัญญา".
"อริยมรรค" เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นที่จิต. ไม่ต้องท่องจำ. ไม่ได้เป็นตำรา. ไม่ได้เป็นตัวหนังสือ. ไม่ใด้เป็นใบลาน. มันเป็น "ความรู้สึก" รู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ไม่ข้องเกี่ยวกับอารมณ์ใด ๆ. ที่จรเข้ามา. ไม่เกี่ยวกับลมกับกาย. ความเป็นหนึ่งของมรรคที่รวมกัน. เกิดขึ้นภายในจิต. เรียกว่า "ผู้รู้"
*** ตัวผู้รู้. ตัวนี้แหละคือตัว "จิตเดิมแท้" ***
กำลังของ "สติ. สมาธิ. ปัญญา". หรือเราจะเรียกว่า "พลังจิต" ก็ได้. มันออกมาจาก "จิตผู้รู้". ตัดสังโยชน์ ๑๐. ขาดไปตามลำดับ. ดับทุกข็เป็นอนันต์กาล. ไม่กบถกลับคืนมาอีก.
สติ ก็ออกมาจากผู้รู้.
สมาธิ ก็ออกมาจากผู้รู้.
ปัญญา ที่ใช้ตัดสังโยชน์ ๑๐. มันก็ออกมาจากผู้รู้.
รักษาความเป็น "หนึ่ง". หรือรักษา "จิตผู้รู้" ไว้. ฝึกจิตให้รักษาความเป็นหนึ่งไว้. ให้มีความชำนาญใน "วสี ๕" ให้ยิ่ง. จนมันเป็น "หนึ่ง" ของมันเองโดย "ไม่ต้องรักษา". มีสติก็เป็นหนึ่ง. ไม่มีสติก็เป็นหนึ่ง.
*** ความเป็นหนึ่งของจิต. หรือ "จิตหนึ่ง" ตัวนี้แหละ. เป็นสักขีพยาน. เป็น "ญาณ" ที่จะพาเราเข้าสู่พระนิพพาน. ***
"รักษาจิต" คือให้รักษา "จิตผู้รู้ตัวนี้" พวกตาบอดทั้งหลาย. ผู้รู้ยังไม่เกิดเลย. ออกมาค้านธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว. พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้. ออกมาสอนธรรมมาแจกธรรม. ทำให้...
*** ทำให้พระสัทธรรม" ทำให้ธรรมของพระพุทธเจ้าเพี้ยนหมด. นำไปปฎิบัติแล้วไม่ได้ผล. พวกนี้ "กรรมหนัก". พวกนี้ออกมาทำลายศรัทธาต่อศาสนา. เพราะปฏิบัติแล้วไม่เกิดผล.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"จิตเดิมแท้". เป็นเหมือนความว่าง.
ตัวที่เป็นเหมือนความว่าง. สัมผัสไม่ได้ด้วยอายตนะใด ๆ ทั้งสิ้น. ที่จิตสัมผัสได้นั้นมันเป็น "ความรู้สึก". ความรู้สึกมันหุ้มตัวที่เป็นเหมือนความว่างอยู่.
"ความรู้สึกที่เป็นหนึ่ง". ตัวนั้นคือตัว "ผู้รู้". ตัวที่เป็นเหมือนความว่างนั้น. เมื่อผู้รู้. รู้แจ้งด้วย "ปัญญาของอริยมรรค". ผู้รู้จะเปลี่ยนรูปเป็นตัวที่เหมือนความว่าง.
"ผู้รู้". ถ้ามันเคลื่อนไหว. มันก็เป็น "อาการ" เป็น "กิริยาจิต". ถ้ามันหยุดนิ่ง. มันก็เป็น "อกิริยาจิต" เมื่อจิตเห็นจิต. ผู้รู้เห็นผู้รู้. ผู้รู้เปลี่ยนรูปเป็น "ตัวเหมือนความว่าง". หรือ "ตัวเที่ยง". เป็นตัวเดียวกัน.
ที่นั้มันมี "สิ่งหนึ่ง". ที่ซ้อนอยู่ในตัวเที่ยง. เมื่อมันเต็มรอบแล้ว. มันจะระเบิดตัวมันเอง. ออกจากตัวเที่ยง ไปอยู่นอกตัวเหมือนความว่าง. จุดนี้มันจะเป็นของมันเอง.
เมื่อสิ่งนั้น. เมื่อมันเป็นเสรีแล้ว. ผู้รู้ก็ยังมีอยู่. อาการของผู้รู้. ได้แก่ เวทนา. สัญญา. สังขาร. มันก็ยังมีอยู่. มันไม่ได้หลงตามไปด้วย. รูปกายธาตุ ๔. ขันธ์ ๕. อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. เวทนานอก. ก็ยังมีอยู่. เหมือนเดิมทุกอย่าง.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"มีสติลม. รวมลงที่ จุดรู้." ศีลบริสุทธิ์.
คำว่า. ศีลบริสุทธิ์. คือมันว่าง. จุดนี้มันเป็น "ความว่าง" ความว่างตัวนี้. มันอยู่เหนือศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑. คือมันบริสุทธิ. มันว่างไม่มีอะไรเลย.
ทีนี้. ถ้าสติอ่อน. หรือขาดการต่อเนื่อง. คือไม่ทรงอยู่ในจุดรู้. ความบริสุทธิ์ของศีล. จะลงมาค้างอยู่ที่ศีล ๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗, ๓๑๑. อุปมาขับรถขึ้นยอดเขา. มีสติรู้เท่าทันในสติอ่อน. ขาดการต่อเนื่อง. ไม่อยู่ในจุดรู้. ส่งนอก. ดึงมันกลับมา. มีสติอยู่กับลม. รวมลงที่จุดรู้. เหยียบคันเร่ง. ให้สม่ำเสมอ. รักษาสติให้อยู่กับลม. รวมไว้ที่จุดรู้.
รักษาจุดรู้ไว้. ถ้าจุดรู้หาย. ฝึกดึงลม. ดึงลมทีเดียวเข้าหาจุดรู้ได้เลย. รักษาจุดรู้ไว้. ความเพียรอยู่ตรงจุดนี้. หนักความเพียรหนักตรงจุดนี้.
มีสติลมรวมลงที่จุดรู้. ไม่ใช่ศีลบริสุทธิอย่างเดียว. ความบริสุทธิก็คือความว่าง. ความหมายเดียวกัน. ศีลว่าง. สติว่าง. สมาธิว่าง. ปัญญาว่าง. ๔ ว่างรวมกันเป็น "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง".
เป็นสภาวธรรม. ที่มรรคทั้ง ๘. รวมกันเป็น "หนึ่ง". มันจะรวมแบบไหน. ทำไม ? มันจึงเป็นหนึ่ง. มันเป็นอย่างไร ?. อย่าไปสนใจมัน. ได้ "จิตเป็นหนึ่ง" พอใจแล้ว. ถึง "จิตเดิมแท้" ได้แล้วพอใจแล้ว. ข้ามโลกีย์เข้าสู่โลกุตตระ" ได้แล้วพอใจแล้ว. ปิดอบายได้แล้วพอใจแล้ว. จิตตกกระแสพระนิพพานแล้ว พอใจแล้ว. ถึงแน่นอนพระนิพพาน พอใจแล้ว.
*** อย่าสงสัย.***
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"โลกุตตระจิต"
อาการของ "อริยะมรรคทั้ง ๘" รวมกัน. เรียกว่า "มัคคสมังคี" เป็นสภาวะ. เหมือนฟ้าแลบในตอนกลางคืน. มีเสียงเหมือนไฟช็อต เกิดขึ้นที่จิต. จากนั้นจิตจะระเบิด. มันเป็นของมันเอง. เสียงดังมาก. "จิตจะรวมเป็นหนึ่ง" ผู้รู้เกิด. จิตเดิมแท้เกิด. มีความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" เกิดขึ้นภายในจิต.
บางท่านจะไม่มีอาการดังกล่าว. แต่จะมีความรู้สึกว่า "ภายในจิต" นั้น. มีความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" เป็นปัจจัตตัง.
ถ้าไม่มีสภาวะดังกล่าว. ตามที่กล่าวมาแล้วน้้น. เป็น "โลกีย์จิต".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"ตัวโลกุตตรธรรม" เหมือนไฟฟ้าแลบ แปล๊บเดียว มันก็เห็นหมดแล้ว. แลบหนเดียวไม่แลบมาก.... กับ "จิตหนึ่ง" เป็นคนละสภาวะกัน.
โลกุตตระ. มีหลายระดับ. โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์.
คำว่าแลบ. หรือ แวบ. เป็นสภาวะของอาการของ "มัคคปหาน" ที่มันเกิดขึ้นภายใน "จิตผู้รู้" เกิดขึ้นมาแว๊บเดียว. แล้วก็ดับไป. กับ "จิตหนึ่ง" เป็นคนละสภาวะกัน.
แต่ "จิตหนึ่ง" ตัวปัจจัตตังตัวนี้ "ยังตั้งอยู่" เป็นปัจจัตตัง. ในวสี ๕. มีความชำนาญ เข้าไป. ตั้งอยู่. และถอยออก. คือตัวนี้.
"แว๊บ". ตัวนี้ มันเป็น "มัคคปหาน". ยกตัวอย่าง จิตผู้รู้มันจะดับปฏิฆะภายในจิต. อาการ แว๊บ !! จะเกิดขึ้นที่จิตผู้รู้. ความอยากในกามทั้งหลาย. กามทั้งหลายดับทั้งหมดเลย. อาการที่เกิดขึ้น มันจะ แว๊บ. เกิดขึ้นที่จิตผู้รู้. รู้เองเห็นเอง. อาการแว๊บ. มันจะเป็นของมันเอง. กำหนดให้มันเป็นไม่ได้...
"อาการแว๊บ" ที่ "สิ่งนั้น" มันออกไปอยู่นอก "จิตหนึ่ง". เป็น "อาการของมัคคปหาน". อาการของมัคคปหาน. มันจะเกิดขึ้นภายในจิต. เราจะรู้เองเห็นเอง.
อาการแว๊บ มันหายไป แต่จิตหนึ่งมันยังมีอยู่. มันเป็นคนละสภาวะกัน.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
ที่สุดของศีล ที่สุดของสมาธิ ที่สุดของปัญญา.
"มรรค ๘". ย่นย่อลงเหลือ ๓. คือ "ศีล. สมาธิ. ปัญญา" ๓ รวมลงเป็น ๑. คือ "เอกจิต" หรือ "จิตหนึ่ง".
"ที่สุดของศีล ที่สุดของสมาธิ ที่สุดของปัญญา." คือ "จิตหนึ่ง". ศีล.สมาธิ.ปัญญา.ถ้าจิตยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. ยังข้ามโลกีย์ไม่ได้. ยังขึ้นจากทะเลหลงไม่ได้. ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะสงสารไม่มีที่สิ้นสุด. ถ้าศีล. สมาธิ. ปัญญา.รวมเป็นหนึ่งได้เมื่อใด. ขัามโลกีย์เข้าสู่โลกุตร. จิตตกกระแสพระนิพพาน. เป็นอนันต์กาล. ปิดอบาย. พระนิพพานคือที่หมายเท่านั้น.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"กิริยาของกาย". ออกมาจากจิต. วาจาก็เช่นเดียวกัน. กายเป็นธาตุไม่รู้. กายสังขาร. วจีสังขาร.
เป็นอาการของจิต.
"นามรูป" ใน "ปฏิจจะสมุปบาท".
อวิชชา. สังขาร. วิญญาณ.* นามรูป*. นามรูปตัวนี้หมายถึง "วิญญาณของขันธ์ ๕".
มีอายตนะ. ผัสสะ. เวทนา ฯ
"ท่านที่ถือไตรสรณะคมณ์". ยังเป็นโลกีย์อยู่. มี "ญาณรู้ตัว". มีหลักมีหนทาง.
"ให้รวมญาณความรู้สึกตัว" ไว้ที่ "จุดรู้" จิตจึงจะรวมเป็น "หนึ่ง" เป็น "เอกจิต".
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"จิตหนึ่ง" ต้องรักษามันไว้ "อยู่กับมันแต่ไม่เอามัน".
"จากความไม่เที่ยง" ทำให้ "มันเที่ยง" ขึ้นมา แล้วให้ปล่อยวาง
"ทั้งความเที่ยงและความไม่เที่ยง".
"จิตหนึ่ง" เมื่อมันปรากฎขึ้นมาแล้ว "ให้รักษามันไว้" ถ้าไม่รักษามันไว้ "มันเสื่อมหายไปได้" ต้องรักษา. ที่มันหายไปเพราะ "ขาดสติ" ให่มีความชำนาญใน "วสีห้า" แล้วให้ "ปล่อยวางด้วยปัญญา".
"คำว่าปล่อยวางด้วยปัญญา" คือ "อยู่กับมันแต่ไม่เอามัน" ความหมายคือ "สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี. สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี" ก็คือ "มีแต่ไม่มี" นั้นเอง.
ก็คือ. "จิตหนึ่ง" นั้นเป็นสภาะจิตที่ "มีแต่ไม่มี" เป็นสภาวะที่ "อยู่กับมันแต่ไม่เอามัน" ในสภาวะนี้ "เห็นลม" เราก็จะเห็น "จิตหนึ่ง" ในขณะเดียวกัน. เห็น "จิตหนึ่ง" ก็จะเห็น "ลม" ในขณะเดียวกันเฃ่นกัน. เพราะ. มันอยู่ในที่เดียวกัน. ต่างคนต่างอยู่.
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะยึดเอา "อานาปานสติ" เป็น "เครื่องอยู่ชั่วคราว" ก็ได้. หรือจะยึดเอา "จิตหนึ่ง" หรือ "ความว่าง" เป็นเครื่องอยู่ชั่วคราวก็ได้เช่นกัน, เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง. ทั้งสองสภาวะนี้ให้ "อยู่กับมันแต่ไม่เอามัน". อยู่กับมันด้วย "ปัญญา" ก็คือ "มีแต่ไม่มี" นั่นเอง..
*** อย่าลืม "จิตหนึ่ง" ถ้า "ไม่รักษามันไว้" มันจะ "หายไป" เพราะ "ขาดสติ" ***
เจริญในธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"หลงโลก, หลงธรรม"
"หลงทาน" ให้ทำทานแต่ไม่ให้หลง, เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทาง เมื่อทานแล้วให้เข้าสู่เส้นทาง "ศีล,ภาวนา" เพื่อความพ้นทุกข์ "ทานวิมุติ" ไม่มี.
"หลงศีล" หลงในศีล ๕,๘,๑๐,๒๒๗,๓๑๑ ถ้าไม่เข้าสู่เส้นทาง สติ,สมาธิ,ปัญญา. จิตยังไม่รวมเป็น "หนึ่ง" อริยมรรค" ยังไม่เกืด ก็ยังถือว่าง "หลงในศีล" ศีลที่ไม่หลงคือ ศีลมีอันเดียว.
"หลงภาวนา" แม้จะฝึกจิตให้เข้าสู่ "ความสงบ" ถึง "จิตเดิมแท้" ได้แล้ว "อัปปนาสมาธิ" ได้แล้วก็ตาม, "อัปปนาสมาธิ" ยังไม่ใช่
"ที่สุดของสมาธิ" ส่วนมากจะมาติดอยู่ "จุดนี้" ทำให้เสียเวลา, ติดอยู่ในฤทธิ์, ในอภิญญา. จะเกิดที่จุดนี้. ทำให้หลงได้..
"หลงติดสุข" จุดนี้เป็น "ความหลง" ของพระอริยะเจ้า, เมื่อจิตรวมเป็น "หนึ่ง" แล้ว, หลงติดอยู่ในสุข, เป็นสุขที่เกิดจากสมาธิ "ฐีติจิต" สุขใน "จุดนี้" สุขยิ่ีงกว่า "สุขจากกาม" เป็นสุขที่ละเอียดอ่อนมาก "ฐีติจิต" ถ้าไม่เดินปัญญา ก็กลายเป็น "กิเลส" ไป.
"หลงรู้" เพลิดเพลินในการเดินปัญญา ของ "ผู้รู้" เรียกว่า "อุทธัจจะ" จิตยังไม่เห็นจิต, ยัง "ไม่เห็นธรรมเป็นธรรม"
"หลงอยู่ในความว่าง" ถ้าไม่ออกมาจาก "จิตหนึ่ง" ก็ยัง "หลงว่าง" อยู่...
เจริญในธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"กายในกาย"
"น้ำในกาย" กับ "น้ำที่อยู่นอกกาย" เป็นสภาวะเดียวกัน มันเป็นธาตุไม่รู้, ดิน,ไฟ,ลม. ก็เป็นธาตุไม่รู้เหมือนกัน. "กายมันเป็นธาตุไม่รู้".
"กายอันนี้มันตายไม่เป็น" มันไม่รู้จักบุญ, ไม่รู้จักบาป, ไม่รู้จักสุข, ไม่รู้จักทุกข์, มันไม่มี "ความอยาก" อะไรทั้งสิ้น, มันไม่รู้จักทาน, ไม่รู้จักศีล, ไม่รู้จักภาวนา, มันไม่รู้จักสติ,สมาธิ,ปัญญา, มันไม่รู้จัก "พระนิพพาน"... มันเป็นธาตุไม่รู้...
"กาย" เป็นคูหาให้ "วิญญาณ" อาศัยอยู่. "วิญญาณ" เป็นคูหาให้ "จิตผู้หลง" อาศัยอยู่...
อีกสภาวธรรมหนึ่ง "กาย" เป็นคูหาให้ "ผู้รู้" อาศัยอยู่, "ผู้รู้" เป็นคูหาให้ "จิตหนึง" อาศัยอยู่, กายที่อยู่นอกจิตหนึ่ง.. ตัวนี้ประกาศไม่ได้... รู้เฉพาะตน...
กายที่เป็นรูป, กายที่เป็นนามรูป, กายที่เป็นรูปนิมิต, กายที่เป็นนามอรูป, กายที่เป็น "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง" ...
"กาย มันไม่รู้จักเกิด,แก่,เจ็บ,ตาย" มันตายไม่เป็น...
เจริญในธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"จิตบริสุทธิ์" เรารู้เองเห็นเอง. ไม่ต้องไปถามใคร.
เมื่อ "อริยมรรค" รวมเป็น "หนึ่ง" เราจะมี "ความรู้สึก" ว่ามันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ให้เราจับ "จิตที่เป็นหนึ่ง" หรือ "จิตหนึ่ง" ไว้. ทีนี้.
พระโสดาบัน. : เราจะเห็น "จิตหนึ่งกับลม" มันอยู่ด้วยกัน. คือมันวางลมไม่ได้. นี่คือโสดา.
พระสกิทาคา : คือโสดาไม่เสพกาม (เมถุน). มีจิตหนึ่งกับลม.
พระอนาคามี : คือ จิตหนึ่งไม่มีลม. จิตเป็นหนึ่งล้วน ๆ. มีสติก็เป็นหนึ่ง. ไม่มีสติก็เป็นหนึ่ง. วางลม. วางอารมณ์. เป็นหนึ่งอยู่แต่เพียงผู้เดียว. นี่คือพระอนาคามี.
พระอรหันต์. (สะอุ). สภาวะของสะอุ ฯ. มันจะเห็นจิตหนึ่งชัดเจน. ไม่ต้องไปถามใคร.
จับเอาจิตหนึ่งให้ได้. "จิตหนึ่งเป็นสักขีพยานทุกสภาวธรรม." ไม่ตัองไปเดินปัญญา. จับตัวจิตหนึ่งตัวเดียว.
จิตหนึ่งไม่ส่งนอก : อนาคามี.
จิตหนึ่งมีลม. ไม่มีเมีย : สกิทาคามี.
จิตหนึ่งมีเมีย : คือโสดา.
ออกไปอยู่นอกจิตหนึ่ง. ออกไปอยู่นอกห้อง. ออกไปอยู่นอกถ้ำ. : สะอุ ฯ.
*** จับเอาหนึ่งตัวเดียว. รู้แจ้งทุกสภาวธรรม ***
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ภูมิจิตภูมิธรรม"
เราจะรู้ภูมิจิต. ภูมิธรรมของตนเองและผู้อื่นได้อย่างไร ?. สำหรับสายเจโต. ดูง่าย. ดูภาวะของจิตเลย. ไม่ต้องเดินปัญญา. ถ้ามีความรู้สึกว่า. จิตเป็นหนึ่ง. อยู่แต่เพียงผู้เดียว. นั่นคือ ภาวะของ "พระอริยะบุคคล หรือ พระอริยะสงฆ์"
พระอริยะแต่ละลำดับก็ดูง่าย. รู้เองเห็นเองด้วยตัวเราเอง. ไม่ต้องไปถามใครเลย.
เริ่มแรก. "ลมกับจุดรู้" คือ จิตเป็นหนึ่ง.อยู่ในที่เดียวกัน. จุดรู้หรือผู้รู้. เด่นดวง.นี่คือ พระโสดาบัน. ทางโลก. พระโสดาบันมีครอบครัว. ยังมีคู่ครอง. ทางจิต. รู้ด้วยตัวเราเอง. พระโสดาบันมี "จิตหนึ่งกับลม". อยู่ด้วยกัน.
พระสกิทาคามี : ไม่มีคู่ครอง. มีจิตหนึ่งกับลม. อยู่ในที่เดียวกัน. ยังวางลมไม่ได้. ลมในที่นี้คือ "กามราคะ". ไม่มีครอบครัว. ไม่มีคู่ครอง. ก็คือไม่มีกาม. พระสกิทาคามีวางกามได้. แต่ยังวางอารมณไม่ได้.
พระอนาคามี : วางกาม. วางอารมณ์. วางลม. เหลือแต่จิตหนึ่งล้วน. ความรู้สึกว่าเป็นหนึ่งภายในจิต. ลมหาย. ไม่มีลม. ไม่มีกาย. ในสภาวะลมตานี้แหละ. ไม่มีกาย. เหลือแต่ "จิตหนึ่ง" ล้วน ๆ.
พระอรหันต์ที่ยังไม่ตาย (สะอุ) : สภาวะทางจิต. จิตได้พลิกตัวออกไปอยู่นอกจิตหนึ่งแล้ว. จะเห็น "จิตหนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว ชัดเจน. !!
นิพพานแท้ : มันจะเป็นของมันเอง ตกแต่งเอาเองไม่ได้.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเพื่อความพ้นทุกข์"
จะสายเจโตหรือปัญญาก็ตาม. จิตต้องรวมเป็น "เอกัคตาจิต" ความรู้สึก. ที่ปรากฎขึ้นภายในจิต. มันจะมีความรู้สึกว่ามันเป็น "หนึ่ง" อยู่แต่เพียงผู้เดียว. ไม่ข้องเกี่ยวกับสัญญาอารมณ์. กับกาย. มันเป็น "ความว่างในสิ่งที่มีอยู่". ถ้ามันเป็น "ความว่างโล่ง ๆ ไม่มีสิ่งที่มีอยู่" อยู่ในความว่างนั้น. สถาวะนั้นเป็น "เอกัคตารมณ์" ถ้าอริยมรรคยังไม่รวมเป็นหนึ่ง. ยังข้ามโลกีย์ไม่ได้. กำลังเดินทางอยู่.
จะเป็น "เจโตหรือปัญญวิมุติ" ก็ตาม. จิตต้องรวมเป็น "หนึ่ง" ถ้าจิตยังไม่เป็น "หนึ่ง" ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์. หมดบุญก็ต้องตกนรก.
เส้นทางของเจโต. ปฏิบัติให้จิตรวมเป็น "หนึ่ง" ก่อน.แล้วค่อยมาเดินปัญญาเอาทีหลัง. "ปิดอบาย" พ้นภัยไว้ก่อน.
สายเจโตหลงมาแล้ว. เมื่อก่อนเดินสายปัญญา. แสง. สี. เสียง. หลงมาหมดแล้ว. อสุภะมองเห็นคน สัตว์เห็นโครงกระดูกเดินได้. เห็นด้วยตาเนื้อนี่แหละ. นั่งสมาธิเป็นสมาธิหัวตอ. จะนั่งนานเท่าไหร่ก็ได้. ออกบวช. ๓ เดือน. จิตรวมเป็น "หนึ่ง". ลาออกจากราชการ. "บวช". บวชอยู่วัดถ้าผาปู่. ปีนั้น. ปี ๒๕๔๙. หลวงพ่อสีทนมรณภาพ. หลวงปู่เทสก์มรภาพ. ต่อมาหลวงปู่ชอบมรณภาพ. จิตไม่มีที่พึ่ง. ไปไม่เป็น. สึก. ไปสึกที่เพชรบูรณ์. กลับเข้ารับราชการปี ๒๕๔๐. เกษียรปี ๒๕๕๔.
ได้จิตหนึ่งแต่ไม่เดินปัญญา. ติดสุขอยู่ ๒๒ ปี. มาอ่านธรรมหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ. ท่านบอกว่า. "ฐีติจิต" ไม่เดินปัญญาเป็น "กิเลส" จึงเริ่มต้นเดินปัญญา. เอา "ผู้รู้" จากอริยมรรคมาอบรมปัญญา. จิตพลิกตัวออกจาก "ผู้รู้". จิตระเบิด. ปี ๒๕๕๖. ขณะนี้ยังเป็น "ฆราวาส". ปฏิเวธกับหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงตา. พระไตรปิฎก. คิดว่าน่าจะสู่สุคติได้. ปิดอบายไว้ก่อน. อายุก็ "หนุ่มน้อย".
แลกเปลี่ยน. เล่าสู่กันฟัง. เผื่อเป็นข้อคิด. ครับ.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"สมาธิตั้งมั่น. อัปปนาสมาธิ. ฐีติจิต."
"สมาธิตั้งมั่น". เป็นภูมิวิปัสสนาปัญญา. ของสายปัญญวิมุติ. ความสงบอยู่ที่ "อุปจาระสมาธิ". แล้วเข้าพักจิตที่ "อัปปนาสมาธิ". เป็นสมาธิหลับตา. เมื่อจิตรู้แจ้งตามความเป็นจริงแล้ว. จิตจะปล่อยวางธาตุ ๔. ขันธ์ ๕. แล้วรวมเป็น "หนึ่ง". ผู้รู้เกิด. นี่สายปัญญา.
สายเจโต. จะให้ไปเดินปัญญาแบบสายปัญญา. เจโตทำไม่เป็น. สายเจโตจิตมีจิตที่ละเอียดอยู่แล้ว. และเป็นของเก่าที่บำเพ็ญเพียรมาแล้วในภพเก่า ๆ. อธิบายให้ฟังเข้าใจแล้ว. ดึงลมทีเดียวเข้าสู่ "เอกัคตาจิต". ได้เลย. "ผู้รู้" เกิด. ไม่ต้องเดินปัญญาเหมือนสายปัญญา.
สมาธิตั้งมั่น" ของสายปัญญา. หรือ สมาธิจิต "ฐีติจิต" ของสายเจโต. จะสายไหนก็ตาม. มันเป็นเส้นทางเข้าสู่พระนิพพานเหมือนกัน.
ไม่มีสายไหนดีกว่า. ต่ำกว่า. เสมอกัน. มีค่าเท่ากัน. จะสายใหนก็ตาม. สำคัญ. อริยมรรครวมเป็น "หนึ่ง" หรือยัง ?.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"เพ่ง"
มีเพ่งนอก. กับเพ่งใน.
เพ่งนอกก็ว่าง. เพ่งในก็ว่าง.
นอกก็ว่าง. ในก็ว่าง.
สองว่างรวมกัน. เป็น "นิพพาน"
"ความรู้" ที่เกิดจากการอ่าน. การคิด. การจำ. เป็น "ปริยัติ". ตัดสังโยชน์ ๑๐ ไม่ขาด.
ร้อยทั้งร้อยเป็น "สัญญา" รู้แล้วให้ปล่อยวาง. ความรู้. ความคิด. ความจำ. เป็น "สัญญา" ยึดเมื่อใดก็ติดบ่วงของมารทันที. ครูบาอาจารย์ตาบอด. ลูกศิษย์ก็เลยบอดตาม. กลายเป็น "เถรใบลานเปล่า" โดยไม่รู้ตัว.
"สภาวะของความปล่อยวาง" รวม "ความรู้สึก" ลงที่ "จุดรู้" จน "จิตรวม" เป็น "หนึ่ง" จิตหนึ่งตัวนี้เป็น "ญาณ" การปล่อยวาง "สัญญา" ให้ถอยจิตเข้าสู่ความเป็น "หนึ่ง" ของจิต. "ถอยจิต" เข้าสู่ "จิตหนึ่ง" จิตหนึ่งเป็นเหมือนความว่าง. จึงจะเป็น "การปล่อยว่างที่แท้จริง". ตัดสังโยชน์ ๑๐ ขาด.
(สู่แดน พระนิพพาน)
"เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก. ทั้งจักรวาล" นี่กะคือกัน อย่าติดมัน !!
เห็นแสงเม้าๆ กะแล่นใส่ !! เห็นแส่งดาวแสงเดือนกะคือกัน พวกเหาะเหิรเดินอากาศ" เดินบนฟ้า" ตีลังกา" เดินจงกลม" เห็นเทวบุตรเห็นเทวดา" เห็นแสงสว่างไปหมดทั้งโลก" ทั้งจักรวาล" นี่กะคือกัน" อย่าติดมัน !!
"พวกนี่พวกหมาตาเหลือง"
ได้ยินเสียงคนคุยกะดี !! เห็นแสงสว่างกะดี !!. สิ่งเหล่านี้มันเป็น "อุปจาระฌาน" เป็น "อุปจาระภาวนา" เป็น "ภวังคจลนะ" กะอันเดียวกัน !!
"คันสิเอาแสงสว่างเป็นความบริสุทธิ์" !! กะเอาแสงสว่างของ "พระอาทิตย์ ของดวงจันทร์" เป็นความบริสุทธิ์คือกัน !!
*** บ่อเห็นมันบริสุทธิ์หยังเลย !! กิเลสกะมีคือเก่า !!.***
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี(ภูจ้อก้อ)บ้านแวง อ.หนองสูงใต้ จ.มุกดาหาร
เกิดวันจันทร์ 19 กพ.2454 - ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน - บ้านกุดสระ อ.เมือง อุดร
ละสังขาร 19 มค.2539 เวลา 13.59
- ถวายเพลิงศพ 28 มค.2539 โดยหลวงตามหาบัวเป็นประธาน
- 84 ปี 52 พรรษา
*** วัดพระบาทเขาพริก. ต.คลองไผ่. อ.สีคิ้ว. จ.นครราชสีมา.***
29 ธันวาคม. 2561. รวมพล.
30. ธันวาคม 2561.
แลกเปลี่ยน. ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมแห่งความพ้นทุกข์. ธรรมที่มองไม่เห็นตัว. แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยจิต. เป็น "สมถะลืมตา". รู้แจ้งเห็นจริงใน "สิ่งนั้น" ด้วย "ปัญญาอริยมรรค"
31. ธันวาคม. 2561.
เจริญวสี ๕. การเข้าไป. ตั้งอยู่. รักษาความเป็นหนึ่งของจิต. ได้ตามความประสงค์. เข้าออกได้ตามความปรารถนา. การถอยออกมาของจิต. อยู่ในอารมณ์ "อุปจารสมาธิ." ดูการดับของกิเลส. ด้วยมัคคปหาน. แล้วอยู่กับ "อานาปานสติ" เอาสติลม. เป็นวิหารธรรม. เห็นลมก็จะเห็นจิตหนึ่ง. เห็นจิตหนึ่งก็จะเห็นลม. มันอยู่ในที่เดียวกัน. ต่างคนต่างอยู่.
แลกเปลี่ยนความรู้ของสภาวธรรม. ระหว่างน้อง ๆที่ได้จิตหนึ่งแล้ว. จะได้หายสงสัย. ว่า. พระนิพพานมีจริง.
31 ธันวาคม. 2561.
กลับภูมิลำเนา. บ้านเคยอยู่. อู่เคยนอน. ด้วยจิตใจที่ไม่หวั่นไหว. ถึงที่หมายแน่นอน.
จึงเรียนมาเพื่อทราบ.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน)
"พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้โลกุตตรธรรม"
เห็นก็ได้แต่เห็น วางไปไม่ยึดถือ ดับความยึด จึงจะไปรอดด้วยสติ ตัวสติแท้ๆ เป็นโลกุตตรธรรม เป็นธรรมพ้นโลก!!!
"ตัวโลกุตตรธรรม" เหมือนไฟฟ้าแลบ แปล๊บเดียว มันก็เห็นหมดแล้ว. แลบหนเดียวไม่แลบมาก....
"เจริญสติ" หนทางเดียวไปรอด เห็น ได้ยิน ก็สักแต่รู้ ไม่ไปถาม ไปตอบอะไร ไม่ได้สมมุติเป็นเราเป็นเขา เช่นได้ยิน ไม่ได้เป็นภาษาอะไร ไม่ใช่ว่าฉันได้ยิน ได้ยินของฉัน ฉันได้ยิน พระเจ้าไม่มี ศาสนาพุทธเป็น Fact ไม่ใช่ Fiction เสียงถูกหู ได้ยินปั๊บ นี่เป็น Fact มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็น Fact ก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไม่ต้องไปอยาก ความคิดทั้งหลายก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปหยุด วิญญาณดับไปๆ หยุดไม่ได้ ไวมาก โลกสมมุติสิ่งใดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ไปเอามา ไม่ไปเอามาสักอย่าง มันก็ไม่มีเรื่องนะซิ ไม่มีเรื่อง มันก็สบาย จิตก็สบาย ไม่มีสงสัยแล้ว หเมือนอย่างกินข้าวอิ่มแล้ว จะไปสงสัยทำไมว่ากินแล้วหรือยัง? กินหรือเปล่า ? กินกับอะไร? ไม่ต้องไปคิดแล้ว สำเร็จแล้วนี่ จะไปสงสัยอะไร ถ้ายังสงสัยอยู่ มันจะพ้นไปได้อย่างไร?
"จุดหมายปลายทาง" คือ ทำความโง่(อวิชชา)ให้พ้นไปจากจิตโดยเด็ดขาด ไม่มีเรื่องที่จะมาสงสัยอีกแล้ว.....
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณธิโต
"พระเวลาสวดงานศพ"
กุศบาธรรมา อกุศลาธรรมา ดีก็ธรรมดา ไม่ดีก็ธรรมดา กลางๆก็ธรรมดา ก็เหมือนฝ่ายวัตถุ มีไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ ไฟฟ้ากลางๆ ทั่วจักรวาล เท่านั้นเอง....ร่างกาย วัตถุ คิด นึก รู้ มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปทุกศูนย์วินาที พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เรียกว่า ขันธ์ 5 คือ กายใจทั้งหมด .....กาย เรียกว่า รูป ....หนาว ร้อน ทุกข์ สุข เรียกว่า เวทนา ....นึกนั่น นึกนี่ รู้นั่น รู้นี่ หลงภพ เรียกว่า สัญญา....ที่คนเราเวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะตัวนี้ หมายรู้ทุกชนิด สัญญาอดีต สัญญาปัจจุบัน สัญญาอนาคต เป็นตัวละเอียด....สังขาร ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คำพูด นึกคิด มันเปลี่ยนไป ไม่มีหยุดหรอก กายสังขาร มโนสังขาร คิดบุญ คิดบาป มันเป็นอยู่เรื่อยๆ เหมือนไฟฟ้าบวก ไฟฟ้าลบ วิญญาณกระทบหู กระทบตาเห็น กระทบใจนึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันกระทบอยู่เรื่อย มันก็เป็นอย่างนั้น เกิด รู้ ดับ ก็เรียกว่า วิญญาณ....
พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต ในปัจจุบัน ในอนาคต รู้อันนี้แหละ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของธรรมดา เรียกว่า อนัตตา..."สัพเพ ธัมมา อนัตตา" เทียบวิทยาศาสตร์ อะไรก็ Energy ก็หมดเรื่องกันเท่านั้นแหละ
ถ้าเห็นแจ้งแทงตลอดธรรมทั้งหมด อะไรก็เป็นธรรมะ ธรรมดา รู้ธรรมชาติ แจ้งในธรรมชาติ หรือธรรมะ มันก็สบาย ความเห็นอย่างอื่น มันก็ดับไปพร้อมกันนั้น ความเห็นผิดมันดับ ทุกข์ก็ดับพร้อม ก็สบายขึ้นตามธรรมดา ไม่ต้องมหัศจรรย์อะไรหรอก มันเป็นธรรมชาติ
ถึงจะรู้ว่าไฟ ไม่ไปจับมันก็ไม่ร้อน ถ้าไม่รู้มันก็จับอยู่อย่างนั้น!!!
ถ้ารู้ธรรม เห็นธรรม มันก็หายโง่ พ้นทุกข์พอแล้ว หายใจเข้า หายใจออก ก็ธรรมดา ได้ยินก็ธรรมดา ได้เห็นก็ธรรมดา รู้สึกนึกคิดก็ธรรมดา ธรรมดาทั้งนั้น เป็นวิญญาณที่เกิดขึ้นทุกขณะ......
หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณธิโต
จิตหนึ่งเป็นเหมือน "ความว่างที่ไม่ใช่ความว่าง" ถอยออกจาก "ความว่าง, ออกไปอยู่นอกความว่าง" มันเป็น "ธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุด" รู้เองเห็นเอง... ไม่ต้องไปถามใคร !!!.
เจริญธรรม สาธุครับ...
(สู่แดนพระนิพพาน) "อย่าอยู่ในจิตหนึ่ง"
"ให้ถอยออกมา" จากความเป็น "หนึ่ง" ออกมาดูความเป็น "หนึ่ง" ของ "จิตหนึ่ง" ..."ผู้ดู" ความเป็นหนึ่ง กับ "จิตหนึ่ง" มันเป็นคนละตัวกัน, "ความรู้สึก" ว่า "ลม" มันออกมาจาก "ผู้รู้" ก็จริง. แต่มันเป็นคนละตัว. มันอยู่ในที่เดี่ยวกัน, ชัดเจน...
"ลม" คือกาย, "เวทนาในกาย" กับเวทนาในจิต, เป็นตัวเดียวกัน, "ผู้รู้" เป็นผู้มาครองกาย, "ผู้รู้" คือ "จิตเดิมแท้" เป็น "จิตสะอาด" แต่ยังไม่ใช่ "จิตบริสุทธิ์".
"ผู้รู้" เดินปัญญา "จิตรวมอีกครั้ง" เป็น "จิตหนึ่ง"
"จิตมิใช่กิเลส กิเลสมิใช่จิต"...
จิตไปยึดเอากิเลสมาปรุงแต่ง ให้เป็นกิเลส ถ้าจิตกับกิเลสเป็นอันเดียวกันแล้ว ใครในโลกนี้จะชำระกิเลสให้หมดได้..
จิตและกิเลสเป็นแต่นามธรรมเท่านั้น หาได้มีตัวมีตนไม่ จิตที่ส่งไปทาง ตา หู เป็นต้น, ตา หู ก็มิได้เป็นกิเลส..เมื่อตา กระทบรูปเกิด "ความรู้สึก" แล้วความรู้สึกนั้นก็หายไป "จิตไปตามเก็บความรู้สึกนั้น" มาเป็น "อารมณ์" ดีแลชั่ว รักแลชัง ต่างหาก จึงเกิด"กิเลส" ผู้ไม่เข้าใจไปหลงว่า "จิตเป็นกิเลส" ไปแก้"แต่จิต" ตัวกิเลสไม่ไปแก้.. ไม่ไป "แยกเอาจิตออกจากกิเลส".. อย่างนี้แก้เท่าไรๆก็แก้ไม่ออก "เพราะแก้ไม่ถูกจุดสำคัญของจิต จิตไปหลงยึดเอาสิ่งสารพัดวัตถุ เครื่องใช้ต่างๆมา เป็นของกูๆติดมันอยู่ในสิ่งนั้นๆ มันเลยเป็น "กิเลส"...
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี..