ไม่ให้ราคากับอารมณ์
ถ้าเห็น"มันไม่แน่"ทุกสิ่งทุกอย่าง ราคามันก็น้อยลง
อารมณ์ทั้งหลายนั้น เป็นอารมณ์ที่ไม่มีราคาแล้ว , ของไม่มีราคาแล้ว เราจะเอาไปทำไม
เห็นอารมณ์ทั้งหลาย มันก็สม่ำเสมอกันอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นสามัญลักษณะ มีอะไรก็เสมอกันอย่างนั้น
เมื่อเราเห็นอารมณ์ทุกอย่างเป็นเช่นนั้น เราก็เห็นโลก
โลกนั้นคืออารมณ์ อารมณ์นั้นก็คือโลก
เราไม่หลงอารมณ์ เราก็ไม่หลงโลก ,
ไม่หลงโลก เราก็ไม่หลงอารมณ์
จิตอันนี้ จะมีปัญหาน้อย แก้ปัญหาได้ทุกประการ
เมื่อปัญหามันหมดไป ความสงสัยมันก็หมดไป .. อย่างนี้ ความสงบมันก็ขึ้นมาแทน
อันนี้เรียกว่าการปฏิบัติถ้าปฏิบัติกันจริงๆก็ต้องเป็นอย่างนั้น !!
หลวงปู่ชา พระโพธิญานเถระแห่งหนองป่าพง
พระพุทธเจ้าจะตรัสย่อ ๆ ไม่ได้บอกทุกทวาร
เห็นสักแต่ว่าเห็น หมายถึงทางตา
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ก็หมายถึงรู้ทางหู
ทราบสักแต่ว่าทราบ นี้หมายถึงทางจมูก
เวลารู้กลิ่น ก็ให้รู้สักแต่ว่ารู้
แล้วก็ข้ามไปทางใจเลย รู้สักแต่ว่ารู้
คำว่าเห็นสักแต่ว่าเห็นนั้น หมายความว่าอย่างไร
คำว่าสักแต่ว่า เวลาที่เกิดการเห็น มีสติระลึกว่ารู้สภาพเห็น
เพียงสักแต่ว่าเห็น คือการที่ระลึกรู้ ไม่เข้าไปตีความหมาย
ไม่ขยายไปสู่นิมิต รู้เพียงสักแต่ว่าสิ่งที่ปรากฏ
อันเป็นปรมัตถธรรม สภาพเห็นนี้เป็นปรมัตถธรรม
สีสันก็ดี สภาพเห็นก็ดีเป็นปรมัตถธรรม
เลยไปกว่านั้นมันก็เกิดกิเลส เกิดราคะ เกิดโทสะ
เกิดมานะทิฐิขึ้นในใจ จะทำอย่างไร
มันไม่ทันตอนที่เห็น กำหนดไม่ทัน เลยไปแล้ว
ใจเกิดกิเลสขึ้นมาแล้ว ก็ให้มีสติระลึกรู้ดูสภาพของจิตใจ
ที่กำลังเป็นไปอยู่ขณะนั้น ใจที่กำลังตรึกถึงความหมาย
ใจที่กำลังขยายไปสู่นิมิต ใจที่มีกิเลสเกิดขึ้น
มีปฏิกิริยา มีความปรุงแต่ง เป็นปรมัตถธรรม
เป็นสภาวธรรมที่กำลังปรากฏ
ผู้ปฏิบัติก็กำหนดรู้ ดูจิต ดูใจ ดูสภาพความรู้สึกแล้ว
เวลากำหนดรู้ ก็สักแต่ว่ารู้อยู่
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า รู้สักแต่ว่ารู้ แม้จิตใจเป็นสภาพรู้
เกิดขึ้นพร้อมด้วยกิเลส หรือเกิดขึ้นพร้อมด้วยสภาพที่ดีงามก็ตาม สติสัมปชัญญะที่เข้าไปรับรู้ ไปกำหนดรู้
ก็ต้องรู้อย่าง สักแต่ว่าไปเลย ไม่เข้าไปยินดี ไม่เข้าไปยินร้าย ไม่ขยายไปสู่สมมติ
อย่างบางคนที่มีราคะเกิดขึ้น
ถ้ามองเพียงแค่เห็นสักแต่ว่าเห็น
ไม่เลยไปสู้นิมิตอนุพยัญชนะ มันจะไม่เกิดอะไรขึ้น
จะเป็นจิตที่ราคะ จิตที่พยาบาท
เพราะเรามองแล้ว เราเลยไปสู่นิมิต ไปสู่อนุพยัญชนะ
สู่ความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล กิเลสทั้งหลายก็เกิดขึ้น
ถ้าเรามองทุกวัน เรามองอย่างนั้น
วันหนึ่ง ๆ เราจึงต้องมีกิเลสเกิดขึ้นสะสม ทับถมลงไป
ในห้วงลึกของจิตใจ หมักหมมหนาแน่นกลายเป็นอาสวะ
ถ้าเรามาสะสมบ่อย ๆ มาก ๆ ขึ้น หมักดองเป็นอาสวะ
อาสวะเกิด มันก็จะติดไปในขันธสันดาน
เกิดใหม่ก็เป็นคนมีจิตใจโลภ โกรธ หลง
ราคะ มานะ ทิฐิ ไปไม่จบสิ้น
เพราะว่ามันหมักหมม หมักดองอยู่
แต่เมื่อเรามาปฏิบัติธรรม เห็นสักแต่ว่าเห็น
ไม่เลยไปสู่สมมติ กิเลสเกิดขึ้นไม่ได้
แล้วก็จะเป็นเหตุปัจจัยต่อปัญญาเกิดขึ้น
พอรู้เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏ
มีปัญญาเกิด เห็นความจริง เห็นความไม่เที่ยง
เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความเป็นอนัตตา
ปัญญาก็ไปชำระ อาสวะที่หมักดองในขันธสันดาน
ถ้ารู้บ่อยขึ้น รู้บ่อย ๆ ขึ้น ก็ชำระกันไปเรื่อย ๆ
นอกจากว่าไม่ตีความหมาย ไม่ขยายออกเป็นนิมิต
ไม่ขยายเป็นรูปร่างแล้ว เห็นสักแต่ว่าเห็นนั้น
ยังจะหมายถึงความไม่เข้าไปยินดี ยินร้าย
เรียกว่าไม่มีอภิชฌาและโทมนัส ใส่เข้าไปในขณะเห็น
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
พระพุทธเจ้าสอนว่ากายานุปัสสนา
ให้เอากายนี้แหละเป็นการศึกษา
เวทนานุปัสสนา เห็นความสุข ความทุกข์
เกิดกับกายใจ เป็นการศึกษา
อย่าให้ทุกข์เป็นทุกข์ อย่าให้สุขเป็นสุข
เห็นจิตที่มันคิดโน้นคิดนี้ ที่เกิดจากความคิด
มันก็ไม่ใช่ผิด บางโอกาสก็ไม่ได้ตั้งใจคิด
ความคิดมันลักคิดขึ้นมา
อย่าให้ความคิดหลอกได้
ธรรมวาจา
จากหนังสือ ธรรม ธรรมชาติ หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
ให้เราคิดไปว่าเราบวชมากันทำไม? เราปฏิบัติกันทำไม?
บวชมาปฏิบัติ ถ้าหากเราไม่ปฏิบัติก็อยู่เฉยๆ เท่านั้นแหละ ถ้าไม่ปฏิบัติก็เหมือนฆราวาส มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่ทำธุระหน้าที่การงานของเรานี้มันก็เสียเพศสมณะ ผิดความมุ่งหวังมาแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เรียกว่า เราประมาทแล้ว เราประมาทแล้ว ก็เรียกว่าเราตายแล้ว อันนี้ให้เข้าใจ
นานๆ ก็พิจารณาไปเถอะ อย่าไปลืมความตายนี้ ดูสิ ถามว่าเมื่อเราตาย...มีเวลาไหม ถามทวงเราเสมอล่ะ “ตาย…เมื่อไหร่ตาย” ถ้าเราคิดเช่นนี้จิตใจเราจะระวังทุกวินาทีเลยทีเดียว ความไม่ประมาทจะเกิดขึ้นมาทันที เมื่อความประมาทไม่มีแล้ว สติ...ความระลึกได้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เกิดมาทันที ปัญญาก็แจ่มแจ้ง เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งชัดเจนในเวลานั้น เราก็มีสติประคองอยู่ รอบรู้อยู่ทางอารมณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน ทุกสิ่งสารพัดนั้นแหละก็เป็นผู้มีสติอยู่ ถ้าเป็นผู้มีสติอยู่ ก็เป็นผู้สำรวม ถ้าเป็นผู้สำรวมอยู่ก็เป็นผู้ไม่ประมาท ถ้าเป็นผู้ไม่ประมาท ก็เป็นผู้ปฏิบัติถูกต้องเท่านั้น อันนี้เป็นหน้าที่ของเราทั้งหลาย
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ข้อวัตรทรงไว้
มีอยู่วันหนึ่ง พระองคุลิมาล ได้ถามพระนันทิยะว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรแก่พระนันทิยะบ้าง
พระนันทิยะก็เล่าว่า
“พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้ปล่อยให้วางทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และท่ามกลาง
มิให้ยึดติดในอารมณ์อันเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
"อารมณ์ที่พอใจ หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจ" เมื่อเกิดขึ้น จงปล่อยวางเป็นกอง ๆ ไว้ ณ ที่นั้น อย่านำมาเก็บไว้แบกไว้”
แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า
“เขาด่าว่าเราบนบก จงกองคำด่าว่านั้นไว้บนบก อย่านำติดไปในน้ำด้วย
เขาว่าเราในน้ำ จงกองคำด่าว่านั้นไว้ในน้ำ อย่านำติตตัวขึ้นมาบนบก
เขาด่าว่าในเมือง จงกองไว้ในเมือง อย่านำติดตัวมาจนถึงเมืองเชตวันนี้ด้วย”
พระองคุลิมาลเพ่งดูจิตของท่านมาตลอด..ได้ดวงตาเห็นธรรม มีความเห็นแจ้งชัดว่า
"สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา"
"เพราะ"สุข..ทุกข์..มี "......"การยึดมั่นถือมั่น" จึงมี
เพราะ"สุข..ทุกข์..ดับ" ..."การยึดมั่นถือมั่น"จึงดับด้วย
เป็นธรรมดา สุขกับทุกข์ ถ้าพิจารณาโดยละเอียดแล้ว เป็นของติดกันอยู่
ครั้นวางสุข ทุกข์ไม่ต้องวาง มันก็หายไปเอง
เข้าสู่พระนิพพานด้วยอาการแบบนี้"
พระพุทธองค์จึงได้ตรัสต่อไปอีกว่า
"ถ้าจิตจะนึกคิดอะไร ก็อย่าตามเขาไป ให้ปล่อย ให้วางลงเสีย อย่าได้ไป"ยึดมั่นถือมั่น"อะไรเข้า
ให้คิดเสมอว่า เราอยู่คอยวันตายเท่านั้น ประโยชน์อะไรกับ "จิต" หรือ "วิญญาณ"นี้ ก็เป็นเพียงแต่ "ลม"อันมีอยู่สำหรับโลกเท่านั้น ท้ายสุดก็ต้องคืนให้แก่โลกดังเดิม "
จิตของพระองคุลิมาล ท่านจึงไม่ทุกข์กับอดีตที่ผ่านมาแล้ว ไม่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อยู่แต่กับปัจจุบันขณะ
มี"สติ"ระลึกถึง ความไม่ใช่ตัวตนในร่างกายกับจิตใจนี้ อยู่ทุกครั้งที่มีลมหายใจออกเข้าแล้ว
ย่อมจบกิจ ย่อมจบชาติด้วย
ฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท
เพราะว่าผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมมีสติ เข้าถึงความสุขอันไพบูลย์ กับทั้งไม่ยินดีในกามคุณทั้ง๕
การที่เรามาสู่พระพุทธศาสนานี้นั้น เป็นการมาดีแล้ว ย่อมเกิดประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด
บรรดาธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกไว้ดีแล้ว เราก็ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดแล้ว (นิพพาน)
การที่เราได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐสุดนี้นั้น เป็นการถึงดีแล้ว ย่อมเกิดประโยชน์ ไม่เป็นการคิดผิด
วิชชา ๓ เราบรรลุแล้ว
คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำแล้ว ถอนสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเสียได้ จึงเป็นพระอรหันต์ ดังนี้
ถ้าเรามีสมาธิอย่างนี้ อย่างนั่ง วันนี้ มาเข้า สมาธิกันอยู่สัก 30 นาที หรือชั่วโมงหนึ่ง จิตใจของเราจะเยือกเย็นไปตั้งหลายวัน เมื่อจิตเยือกเย็นหลายวันนั้น จิตเราจะสะอาด เห็นอะไรจะรับพิจารณาทั้งนั้น อันนี้มันเป็นเบื้องแรกของมัน นี้เรียกว่า "ผลที่เกิดจากสมาธิ"
....ปล่อยอารมณ์ข้างนอก เสียงรถยนต์ก็ไม่รำคาญ เสียงอะไรก็ไม่รำคาญ ไม่รำคาญซักอย่างหนึ่งข้างนอก จะเป็นรูป เป็นเสียง ไม่รำคาญทั้งนั้นแหละ เพราะว่ามันไม่รับ แล้วมันมารวมอยู่ที่ลมหายใจเรานี้...
- เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็ต้อง "มีสติติดต่อกันเสมอ" ไม่ใช่ว่าเราจะทำความสงบเฉพาะเวลานั่งสมาธิ
เพราะว่า สมาธิคือ ความตั้งใจมั่น เราเดินอยู่เราก็ทำใจเราให้มั่น ให้มีอารมณ์มั่นเสมอ มีสติสัมปชัญญะอยู่ ่ไปเสมอ ออกจากที่นั่งนี้แล้ว หูเราได้ยินเสียง ตาเห็นรูปที่เราเดินไป นั่งรถไปก็ตามเถอะ ให้รู้สึก มีอะไรที่มันชอบใจหรือไม่ ชอบใจเกิดขึ้นมาเป็นอารมณ์ ก็มีความรู้สึกว่าอันนี้ไม่แน่ อันนี้ไม่เที่ยง ตลอดเวลาอย่างนั้น จิตใจจะสงบปกติ
หลวงพ่อชา สุภัทโท
เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็ต้อง "มีสติติดต่อกันเสมอ" ไม่ใช่ว่าเราจะทำความสงบเฉพาะเวลานั่งสมาธิ
เพราะว่า สมาธิคือ ความตั้งใจมั่น เราเดินอยู่เราก็ทำใจเราให้มั่น ให้มีอารมณ์มั่นเสมอ มีสติสัมปชัญญะอยู่ ่ไปเสมอ ออกจากที่นั่งนี้แล้ว หูเราได้ยินเสียง ตาเห็นรูปที่เราเดินไป นั่งรถไปก็ตามเถอะ ให้รู้สึก มีอะไรที่มันชอบใจหรือไม่ ชอบใจเกิดขึ้นมาเป็นอารมณ์ ก็มีความรู้สึกว่าอันนี้ไม่แน่ อันนี้ไม่เที่ยง ตลอดเวลาอย่างนั้น จิตใจจะสงบปกติ
.................................................................
- ธุระหน้าที่ของเราก็คือ ให้ดูลมหายใจเข้าออก อย่าไปบังคับให้มันสั้น หรือบังคับให้มันยาว ปล่อยตามสบาย ไม่ให้กดดันมัน ให้มีความปล่อยวางอยู่ในช่วงลมหายใจเข้าออกเสมออย่างนี้...
- ดูลมหายใจอย่าให้มีความกดดัน คือ อย่ายึดมั่น รู้แล้วให้ปล่อยตามสภาวะของมันอย่างนั้น ให้ถึงความสงบ ต่อไปจิตมันก็จะวาง ลมหายใจก็จะเบา เบาไป ผลที่สุดลมหายใจมันจะน้อยไป น้อยไป จนกระทั่งปรากฎว่า มันไม่มีลม... นี่พูดถึงการกระทำในเวลาเรานั่งสมาธิอย่างเดียว
- มี "สติ" ตามดูจิต จิตเป็นผู้รู้ อาการที่ตามดูจิตของเรานั้นอยู่ในลักษณะอันใด ก็ให้เรารู้อย่างนั้น
อย่าเผลอไป... เมื่อมันคิด มันรู้สึก ให้มันรู้สึกอยู่ด้วยความสงบ ไม่เป็นอะไร...
- จะต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ สติ คือ ระลึกได้ สัมปชัญญะ คือ รู้ตัวอยู่ สมาธิ คือ ความตั้งใจมั่น
ปัญญา คือ ความรอบรู้
(ในระหว่างนั่งสมาธิ)
- "ลมหายใจ" นี่หมดไปก็ได้ มีความรู้สึกอีกอันหนึ่งขึ้น ลมหายใจมันจะหายไป คือมันละเอียดจนเกินไป...
บางทีนั่งอยู่เฉยๆ ลมไม่มี ที่จริงมันมีอยู่ แต่เหมือนว่ามันไม่มี เพราะอะไร เพราะว่าจิตตัวนี้มันละเอียด
มากที่สุด มันมี ความรู้เฉพาะของมัน มีเหลือความรู้อันเดียว ถึงลมมันหายไปแล้ว ความรู้ที่ว่าลมมันหายไป
ก็ตั้งอยู่ ทีนี้จะเอาอะไร เป็นอารมณ์ต่อไปอีก ก็เอาความรู้นี่แหละเป็นอารมณ์ต่อไปอีก อารมณ์ที่ว่า ลมไม่มี ลมไม่มี อยู่อย่างนี้เสมอ นี่เรียกว่า มีความรู้อีกอันหนึ่งตั้งขึ้นมาอีก
- ในจุดนี้บางคนอาจมีความสงสัยขึ้นมาได้ เพระตรงนี้มันจะเกิดนิมิตขึ้นมาก็ได้ เสียงก็มีได้ รูปก็มีได้ มันมีทุกอย่าง ได้ สิ่งที่ว่าเราคาดไม่ถึงมันเกิดขึ้นมาได้ตรงนี้ (นิมิตนี้บางคนมันก็มี บางคนก็ไม่มี) ก็ให้เรารู้ตามเป็นจริง อย่าสงสัย อย่าตกใจ
- ทีนี้ท่านจงตั้งใจให้ดี ตั้งสติให้มาก บางคนก็เห็นว่าลมหายใจไม่มีแล้วตกใจ ตกใจเพราะธรรมดาลมมันมีอยู่ เมื่อเรามาพบว่าลมไม่มี แล้วก็ตกใจว่าลมไม่มี กลัวว่าเราจะตายก็ได้ ตรงนี้ก็ให้ตั้งความรู้สึกขึ้นมา อันนี้มัน
เป็นอย่างนี้ของมัน เราจะดูอะไร ดูลมไม่มีนั่นอีกต่อไปเป็นความรู้ นี้ท่านจัดว่าเป็นสมาธิอันแน่วแน่ ที่สุดของ
สมาธิ มีอารมณ์เดียวแน่นอนไม่หวั่นไหว เมื่อสมาธิถึงจุดนี้ จะมีความแตกต่างสารพัดอย่างที่จะรู้ในจิตของเรา... เมื่อจิต ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง เพราะว่าไม่มีอารมณ์อะไรเข้ามาเสียดแทง อยู่นานเท่าไรก็ได้ ไม่รู้สึกเวทนาเจ็บปวด อะไร อยู่อย่างนั้น
- การทำสมาธิมาถึงที่นี่ เราจะออกจากสมาธิก็ได้ ไม่ออกก็ได้ ออกจากสมาธินี่ก็เรียกว่าออกสบาย ออกอย่าง สบาย ไม่ออกเพราะว่าขี้เกียจ ไม่ออกเพราะว่าเหน็ดเหนื่อย ออกเพราะว่าสมควรแล้วก็ออกมา ถอยออกมา... อย่างนี้ นี่ อยู่สบาย ออกมาสบาย ไม่มีอะไร นี้เรียกว่าสมาธิ จิตใจมันจะสบาย
" หลายคนคิดว่า...ความรัก คือ...สิ่งที่ดี ที่สุด
ควรมอบให้กัน มีให้กันและกัน
แต่ทุกคนหารู้ไม่ว่า...ความรัก
คือ สิ่งที่เลวร้าย ที่สุด
เพราะความรัก...ทำให้คน แทบจะทุกคน ทำอะไรก็ได้
เพื่อ...คนที่เรารัก
แม้สิ่งนั้น...จะเป็นสิ่งที่เลวทราม สกปรก โหดร้าย ขนาดไหน
แต่...ถ้าทุกหัวใจ จะเปลี่ยน จาก...รัก
มาเป็นสงสาร เมตตา ผู้อื่น ที่ไม่ใช่ คน ที่เรารัก
ให้ ใจ...ของเรา กับผู้อยู่ใกล้-ไกล มองไปกว้าง ๆ หยิบยื่น
ความสงสาร จาก...ใจ ให้เขาบ้าง
ลองทำดูสักครั้ง...แล้วหันกลับมาดู ถามหัวใจของเราเอง
ว่า...จริงไหม ? ภัยที่ร้ายกาจ ที่สุด คือ...รัก
เมื่อไม่รัก...ความลำเอียง ก็...ไม่เกิดขึ้น
ความเป็นธรรม ที่ทุกคนใฝ่หา จะเบ่งบานแทน...
ไฟ แห่ง...ภัยร้าย คือ...รัก."
คุณแม่จันดี โลหิตดี
ถ้าเราไม่มีหางเราก็จะไม่ทุกข์กับมัน แต่ถ้าสิ่งที่เรามีในกายสังขาร เค้าเรียกว่ากองขันธ์ทั้งนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราต้องทุกข์ต้องรู้สึก นั่นแลก็เอาสิ่งนั้นแลที่เรารู้สึกระลึกได้นั่นแล พิจารณาในกองขันธ์ลงไป เค้าเรียกว่ากองทุกข์ มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งอยู่แล้ว รอวันดับ..
ในขณะที่มันเกิดขึ้นแล้วนั่นแลคือทุกข์ ตั้งอยู่นั่นแลคือเวทนา คือเสวยทุกข์ คือเสวยภพเสวยชาติ เมื่อมันดับไป..ภพมันก็ดับ แต่ว่าถ้าใจเรามันยังมีกายสังขารอยู่ มันจึงเป็นวัฏฏะหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ ให้เห็นว่าเวทนาก็ดี แม้เวทนาก็ดีมันก็ไม่เที่ยง เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ก็ดับไป
เมื่อเห็นได้อย่างนี้แล้วก็เพ่งโทษมันลงไปในกายว่า สภาวะร่างกายสังขารนี้เป็นของผุพังเป็นของที่เสื่อม ไม่เที่ยง ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เป็นเพียงสภาวะร่างกายสังขารที่เรานั้นได้ดำรงจิตธาตุขันธ์ ได้อยู่ได้อาศัยได้ประพฤติปฏิบัติคุณงามความดี ให้เอาเป็นฐานที่ตั้งมั่น ของกองบัญชาการของงานของจิตของกรรมฐาน..อย่างนี้
คราใดสักวันหนึ่งว่ากายสังขารนี้ หรือกองบัญชาการนี้เราต้องย้ายฐาน ก็อย่าได้ไปอาลัยอาวรณ์ จงใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด เหมือนขณะหนึ่งขณะใด เรานั้นสังขารนี้มันบ่ายหน้าไปในทางพญามัจจุราช คือหุบเหว ดังนั้นเมื่อเราฝึกจิตนี้อยู่บ่อยๆ เห็นโทษเห็นภัยในกายในวัฏสงสาร เห็นโทษเห็นภัยมันอยู่บ่อยๆ
เมื่อถึงเวลากายสังขารจะดับก็ดี เราก็ถอดจิต ถอดจิตคือถอดอุปาทานขันธ์ ๕ คือถอดการยึดมั่นถือมั่น และทำจิตให้มีที่ๆเรานั้นมีจุดหมายปลายทางของบุญกุศล เมื่อจิตเราหลุดออกก่อนที่ร่างกายสังขารนี้มันจะตกมันจะตายไปในหุบเหวก็ดี อย่างนี้แลเค้าเรียกว่าเราก็พ้นทุกข์ นั้นเราต้องฝึกให้มันบ่อยๆให้มันชินว่าเมื่อกายสังขารก็ดี เมื่อมันหมดในอัตภาพนี้ เมื่อมันใช้การไม่ได้แล้ว เมื่อจะสิ้นสุดแห่งกรรมแล้ว ในกายสังขารแห่งการเกิดนี้
ชื่อว่าการเกิดก็ดี ของเหล่านี้..เราจักไม่เอาการจุติเกิดอันใดอีก เราต้องการปรารถนาไม่เกิด เราต้องทำอย่างนี้ให้จิตนั้นมันชิน ถ้าเรายังมีความปรารถนาอยากเกิดอยู่ จิตนี้มันจะไปติดในภพในกามภพอยู่ อย่างนี้แลมันจะเป็นตัวดึงรั้ง ขัดขวาง เค้าเรียกว่า"ขันธมาร" ดังนั้นเราไม่ต้องปรารถนาว่าเราจะเกิด เราต้องปรารถนาการไม่เกิดคือความดับภพดับชาติไป
เมื่อเราปรารถนา..แต่ความเพียรก็ดี การปฏิบัติก็ดี..เรายังทำไม่ถึง อันนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยมันก็เป็นกำลังใจเป็นบารมี นั้นการฝึกนี้เพื่อให้เรานั้นเพ่งโทษในกายสังขาร ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์..ก็เพื่ออะไร เพื่อว่าสักวันหนึ่งนั้นเราไม่รู้ได้ว่า กรรมในอดีตมันจะส่งผลมาตัดรอนเราอย่างไรบ้าง เมื่อเราเสวยทุกข์ เสวยเวทนา เสวยวิบากกรรมอันใดก็ดี ที่ต้องรู้ชะตากรรมก็ดี เมื่อเรานั้นจะสิ้นทุกข์นั้นสิ้นกรรมนั้นก็ดี ที่ทุกข์ในกรรมนั้นจะมาเสวย ก็สิ่งที่เราฝึกไว้ในพระกรรมฐานนี่แล ก็เมื่อเราปลงอายุกายสังขารเราในขณะนั้น..เราก็จะวางมันได้
นั้นทุกครั้งที่เราจะเจริญกรรมฐานขอให้โยมนั้นปลงอายุกายสังขารลง ปลงอายุกายสังขารปลงอย่างไร เค้าเรียกว่าการปลงคือการละ การสละ ให้เกิดเห็นธรรมสังเวชนั่นเอง "ธรรมสังเวช"เป็นอย่างไร ธรรมสังเวชคือสิ่งที่เราพิจารณาระลึกแล้วทำให้เราเกิดนิมิตให้เกิดความสลดหดหู่กับกายสังขาร ในเรือนร่างนี้ในกายนี้ที่เราไปพึงไปพอใจไปยึดไปติดนี้ ว่านี่ตัวกูของกู
แท้ที่จริงมันใช่ตัวกูของกูจริงหรือไม่ ในป่าช้านี้ ในซากผีซากศพผีดิบ ในสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นเหล่านี้ ให้พิจารณาในธาตุสีสันวรรณะศพก็ดี ที่ตายอยู่ก็ดี หนึ่งวันเป็นอย่างไร สองวันสามวันเป็นอย่างไร ศพอืดแล้วเป็นอย่างไร ศพที่มีหนอนมีมูตรเน่ามีเลือดไหลน้ำหนองออกมาเป็นอย่างไร เหล่านี้ล้วนแล้วแม้เรายังไม่ตายก็ดี..ในกายเราก็มีอย่างนั้น มีน้ำเลือดน้ำหนอง น้ำมูกน้ำลาย ของปฏิกูลเปื่อยเน่า อาหารเก่าอาหารใหม่ที่เรากินที่เราบริโภคเข้าไป สิ่งเหล่านี้ล้วนมันต้องเน่าต้องเหม็นต้องขับต้องถ่าย สิ่งนั้นแลมันเป็นวัฏจักร มันเป็นของไหลเข้าไหลออกอยู่ตลอดเวลา เหล่านี้ให้พิจารณาอย่างนี้
ที่ให้เราพิจารณาอย่างนี้หมายถึงว่าให้เห็นตามความเป็นจริง ทำให้เรารู้จักปลง สละ การสละคืออะไร คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในกายนั้นเอง คือไม่ยึดในขณะนั้น เมื่อเราปลงได้ในกายแล้วจิตมันก็จะปล่อยวางนั่นเอง เมื่อจิตเราปล่อยวางในกายเมื่อไหร่ จิตมันก็จะเบา ที่จิตเราหนักเข้าสมาธิแล้วไม่เป็นสมาธิก็เพราะเรายึดถือในกายอยู่ เพราะกาย..เมื่อมีกายก็มีอารมณ์เมื่อนั้น เมื่อมีอารมณ์ก็มีสัญญา สังขาร มีวิญญาณเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของธาตุขันธ์อยู่อย่างนี้..
ดังนั้นเราต้องดับที่กายเสียก่อน ปลงสังขารให้ได้เสียก่อน ถ้าเราปลงสังขารไม่ได้ สมาธิแม้จะเกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นได้ไม่นาน ดังนั้นขอให้เจริญสมถวิปัสสนาให้มาก การที่เราพิจารณาสังขารให้เรานั้นไปสละในทางปลงนั่นคือธรรมสังเวชนี้แล นี่เรียกว่าสมถวิปัสสนา มีวิตกวิจารอารมณ์ของทุกข์ของกายในธาตุขันธ์อยู่อย่างนี้..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
อันว่าเรานั่งไปแล้วมันมีเวทนาเกิดขึ้นที่ขาก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก็ดี ก็ให้คิดเสียว่ามันมีส่วนใดส่วนหนึ่งก็ดี..มันก็ต้องเป็นทุกข์ส่วนนั้นในสิ่งนั้น ถ้าสิ่งนั้นมันไม่มี..ทุกข์มันก็บังเกิดไม่ได้
นั้น"การฝึกสติ"นั้น "ฝึกสมาธิ"มันเป็นอย่างไร
คือให้กำหนดรู้ในอารมณ์ในปัจจุบันของจิต ว่าจิตในขณะนี้มันเป็นอย่างไร ก็เรียกว่าเจริญสติปัฏฐานก็คือเรียกว่ากำหนดรู้ที่กาย รู้ที่เวทนาคืออารมณ์ความรู้สึก หรือเรียกว่าจิตในขณะนี้เสวยอารมณ์อะไรอยู่ อะไรมาผัสสะ มากระทบ..นั่นแลทำให้เกิดภพเกิดชาติ สภาวะธรรมอะไรที่มันเกิดขึ้นนั่นแล..นั่นเค้าเรียกว่าเหตุ ก็ให้พิจารณาไปตามนั้น
หมายถึงว่าเมื่ออะไรมันเกิดขึ้นก็ให้"รู้".จิตมันเป็นสภาวะใด เค้า"ไม่ได้ให้ยึดว่าจิตมัน ต้องนิ่ง ต้องสงบ อยู่ตลอดเวลา" มันจะทำให้จิตเรานั้นเสียได้ หรือจะทำให้เราเป็นบ้าได้ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจอะไรมันเลย เพียงเรามีสติตั้งมั่นอยู่..อยู่ในกาย อยู่ในสติปัฏฐาน ทำอยู่อย่างนี้อยู่บ่อยๆ เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆ เค้าเรียกว่ามันเกิดความชิน เมื่อเราชินแล้วในสมาธิชินแล้วในฌาน เข้าออกในฌาน เข้าออกในสมาธิจนชินแล้วนั่นแล มันจะทำให้เรานั้นมีความพัฒนาจิตก้าวกระโดด ทำให้เกิด"ญาณทัศนะ"
"ญาณทัศนะ"นี้เค้าเรียกว่ารู้เห็นตามความเป็นจริงของจิตว่าอาการจิตมันเป็นอย่างนี้ มันมีมายาของจิตซ่อนอยู่ ดังนั้นเมื่อสภาวะใดที่จิตนั้นเกิดอาการใด เกิดสภาวะอารมณ์ใดก็ให้รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตมีโมหะก็รู้ จิตมีราคะก็รู้
คำว่า"รู้" ตัวนี้คืออะไร.นี่แหล่ะคือรู้คือตัวระลึกได้คือตัวสติ เมื่อเราเจริญสติมากๆ มันก็จะน้อมเข้าไปถึงตัวปัญญา ก็คือการเจริญวิปัสสนา คือการพิจารณา"ละอารมณ์"นั่นเอง..
ถ้ากำลังจิตเรายังไปพิจารณาธรรมยังไม่ได้ เราก็ทรงกายทรงฌาน ดูในกาย ในลมหายใจ อยู่อย่างนี้ไป สลับสับเปลี่ยนกันไปอยู่อย่างนี้ คืออยู่อย่างนี้แล้ว..คือไม่ต้องทำอะไรมาก จริงๆแล้วการเจริญสมาธิไม่มีอะไรซับซ้อน แต่เราอย่าไปทำให้มันซับซ้อน สมาธิ..คือความสงบความตั้งมั่นของใจ อย่างนี้ชื่อว่าสมาธิ..คือความตั้งมั่น
"ใจ"ที่ไม่ตั้งมั่น ใจที่มันสับสน จิตมันยังฟุ้งซ่านรำคาญใจอยู่อย่างนี้ นั่นเค้าเรียกว่า"ยังมีเหตุอยู่" ไฟมันยังไม่สงบ เราจะต้องทำยังไงให้ไฟมันสงบ คือเราต้องดับไฟเสียก่อน คือเข้านิโรธก่อน เค้าเรียกว่านิโรธคือการดับทุกข์ เราจะรู้เห็นนิโรธดับทุกข์ได้อย่างไร เราก็ต้องเพ่งอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เค้าเรียกว่าเมื่อจิตเห็นจิต เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไปนั่นแล
อารมณ์ที่ตั้งอยู่ ก่อนที่มันจะตั้งอยู่มันต้องเกิดก่อน ถ้าเรายังไม่รู้สภาวะที่เกิดมันเป็นอย่างไร แล้วมันตั้งอยู่ตอนไหน มันดับไปตอนไหนเราก็ยังไม่รู้ ไอ้ความไม่รู้นี้คือยังไม่รู้เท่าทันของอวิชชาของอารมณ์ เพราะเรายังมีจิตที่เคลิบเคลิ้มอยู่ นั้นขณะใดที่จิตเรายังเคลิบเคลิ้ม..มันก็ยังมีตัวสติอยู่..คือขอให้รู้ ฝึกรู้ให้มาก เมื่อรู้มากแล้วสติมันจะระลึกได้เท่าทัน ก็เรียกว่าปัญญามันจะแก่กล้าแววไวเท่าทันในอารมณ์
เพราะอารมณ์หนึ่งนี้เมื่อมันเสวยขึ้นมาแล้ว มันเกิดดับเร็วมาก เร็วมากเป็นอย่างไร เร็วมาก..เทียบเท่าว่าบอกไม่ได้เลยว่ามันเร็วแบบไหนของจิต เค้าเรียกมันเคลื่อนที่เร็วมากนั่นเอง
นั้นเราไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะเร็วไปทางไหน มันจะยังไงเราไม่ต้องสนใจ การไม่สน.นั่นคือการวางเฉย รู้อารมณ์เฉพาะหน้าของจิตอย่างเดียว อารมณ์ที่ล่วงไปแล้วเราอย่ามาทำใส่ใจ อย่ามาทำความผูกพันกับมัน เรารู้แต่อารมณ์เฉพาะหน้า คือระลึกได้เฉพาะหน้า รู้อยู่อย่างนั้น เค้าเรียกว่าเมื่อ"จิตเห็นจิต"..เห็นอารมณ์เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..แล้วดับไป เห็นสภาวะความไม่เที่ยงนั่นแล
เมื่อเราเห็นมันอยู่บ่อยๆอย่างนั้น อย่างนี้เค้าเรียกว่าเห็นมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..แล้วมันดับไป เค้าเรียกว่าสภาวะนิโรธมันก็บังเกิด ก็ให้เราเพ่งอยู่แต่อารมณ์นั้น เค้าเรียกว่าอารมณ์แห่งฌาน เอาฌานนั้นเป็นเบื้องบาทแห่งวิปัสสนาญาณ เมื่อใจเราแข็งแรงแล้วนั่นแล..วิปัสสนาญาณมันก็จะบังเกิด คือเอาไปพิจารณา..
เมื่อเราเห็นแล้ว เห็นอารมณ์ของจิตเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป ขอให้เราเห็นเพ่งรู้ให้เห็นชัด เห็นอยู่บ่อยๆ คือทำนิโรธให้มันแจ้ง "ทำนิโรธให้มันแจ้ง"..แจ้งอย่างไร คือทำให้มันสว่าง คือมันหายสงสัย แจ้งในทุกข์ มันก็อยู่อย่างนี้..
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
สมาธิมันทำได้ไม่ยาก แต่ว่าเมื่อมันทำสมาธิได้แล้ว..การจะรักษาสมาธิจะรักษาความสงบให้มันคงที่ ให้มันทรงอยู่ได้นาน อันนี้เรียกว่าทำได้ยาก แล้วจะทำอย่างไร นั้นการจะทำอย่างไรให้มันคงที่ ให้มันทรงได้นาน คือการอย่าไปยึดมั่นถือมั่นมัน คือมันไม่สงบ..เราก็รู้ มันสงบ..เราก็รู้ เมื่อเราไปยึดในความสงบเมื่อไหร่ คราใดในขณะจิตนั้นมันไม่สงบจิตมันก็จะฟุ้งซ่านได้
การรู้สึกตัวผ่านลมหายใจ แค่ รู้สึก สัมผัส ถึงลมหายใจ
ดูลมก็ไปจดจ้องไปกับลม มันเป็นการเพ่ง ได้สมถะ
การดูลมนั้น เป็นเพียงคําพูด ที่ใช้พูดกันให้ดูง่ายๆ แต่เวลาปฏิบัติจริงๆนั้น
เทคนิคการดูลม " เราไม่ได้ไปดู ไปรู้จดจ้องไปกับลม แต่เราแค่เอาใจ สัมผัสถึง หรือ ระลึกรู้สึก แค่รู้สึกถึงลม แค่รู้สึกถึงลมที่เกิด รู้สึกตรงนี้ รู้ได้จากใจ ไม่ใช่การเพ่งดู แค่รู้สึก แผ่วเบา สบายๆ ไม่ไปยึดจับกับลม แค่รู้สึกเบาๆ สบายๆ ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ เป็น รู้ที่ใจ เป็นการเจริญมรรคผลที่ใจนะ เพราะเรารู้สึกสัมผัสได้ที่ใจ "
เราไป รู้สึกตัว รู้สึกที่ใจ โดยรู้ผ่านความรู้สึกของลม
ทําอย่างนี้ เราไม่ไปเพ่งจองดูลมนะ ยกเว้นจะจิตใจวอกแวกมากๆ แล้วอยากจะเอาสมถะแบบเพ่ง เข้ามาช่วยให้ใจวอกแวกน้อยลง สามารถทําได้
เป็นการ รู้สึก รู้สึกถึงลม ที่เข้า ที่ออก แต่ไม่ต้องไปคิด ว่าลมเข้าลมออก การไปคิดมันเป็นการไปปรุงแต่งใจกําหนดรู้ลม เป็นความคิด วิปัสสนาไม่เกิดนะ แต่เวลาสอนกัน ก็มักพูดแบบนั้น ทําให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
อย่าไปคิด แต่ก็อย่าไปห้ามความคิด แต่ให้รู้สึก รู้สึกถึงลม ลมเข้าก็รู้สึก ลมออกก็รู้สึก แต่อย่าไปให้ความหมายว่าลมเข้าลมออก มันเป็นการปรุงแต่งความคิด ให้แค่รู้สึก แว๊ปแรกที่รู้สึก ลองสังเกตุดีดีสบายๆนะ จะรู้ได้ว่า รู้สึกนี้ เกิดที่ใจ เกิดกับจิตเรา ที่เข้าไปรู้สึก ตรงนี้หล่ะ มรรคที่จิตนะ
"เพียงอย่าหลงอารมณ์"
ความพอใจ ความสุขใจ เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ...
ความไม่พอใจ ความทุกข์ใจ เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ...
ความรู้สึกเฉยๆ เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ...
คือ
"สุขเวทนา" เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ...
"ทุกขเวทนา" เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ...
"อุเบกขาเวทนา" เกิดขึ้น ในแต่ละขณะ...
ผู้ที่ได้ฝึกฝนการเจริญสติสัมปชัญญะ จนจิตตั้งมั่นแล้ว
(ย้ำ...จนจิตตั้งมั่นแล้ว)
คือ มีกำลังของ "สัมมาสมาธิ" แล้ว
(ย้ำ...มีกำลังของสัมมาสมาธิแล้ว)
จะพลิกกลับมาดู "อาการของจิต"
จะไม่หลงไปตาม ความพอใจ ความไม่พอใจ หรือ ความรู้สึกเฉยๆนั้น
(...ถ้าจิตยังไม่ตั้งมั่น ควรฝึกเจริญสติสัมปชัญญะให้ต่อเนื่องไปก่อน ให้ตั้งมั่นก่อน อย่าเพิ่งรีบไปดูอาการของจิต )
เมื่อเจริญสติสัมปชัญญะ จนจิตตั้งมั่นแล้ว
พอใจ....ก็รู้ว่าพอใจ ไม่พอใจ...ก็รู้ว่าไม่พอใจ ดูมันไป
ไม่ "หลงอารมณ์" ไม่ได้ผิดอะไรที่จะสุขใจ หรือทุกข์ใจ
(ทว่า ยังไม่มีพฤติกรรมทางกาย วาจา อะไรออกไป)
ความพอใจ ความไม่พอใจ เป็นปฎิกิริยาของจิต ที่เกิดตามธรรมชาติ เกิด แล้วก็ ดับ
ทว่า... ปัญญา ต่างหากที่ควรฝึกให้เจริญ เพื่อจะได้ตามระวังกันทัน
คือ ควรมีการสำรวมของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เวลามีการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายใน
มักจะเจริญงอกงามเป็นอารมณ์
ทว่า ถ้าเท่าทัน จะเห็นปฎิกิริยาของมัน เห็นธรรมชาติของมัน คือ เกิด แล้วก็ ดับ
มีการกระทบ แต่ไม่กระเทือน
ในที่สุด เมื่อมีการสังเกต จักเห็นการเปลี่ยนแปลงของทุกขันธ์
อ้อ ! ธรรมชาติของขันธ์ 5 เป็นอย่างนี้
เมื่อมีกำลังพอ....ก็จะคลาย และวางได้
ในแต่ละขณะ...และวางได้อย่างถาวร ในที่สุด
ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชาและน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ
นฤมล สุมะโน
เพจ สัมมาปฏิบัติ
💦การมีชีวิตแบบบัวไม่ติดน้ำ💦
~แท้จริงจิตของคนและสัตว์ทั้งหลาย
จะส่งออกไปเกาะเกี่ยวกับอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ราวกับท่อนไม้แช่น้ำ
แล้วจิตจะเกิดการกระเพื่อมหวั่นไหวยินดียินร้าย
ไปกับอารมณ์อย่างไม่มีทางรู้เท่าทันได้เลย
ต่อเมื่อเริ่มศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
จนเกิด⭐สติรู้เห็นสภาวธรรมได้แล้ว
จะรู้สึกว่า ....
~อารมณ์ก็เป็นอันหนึ่ง ~จิตก็เป็นอีกอันหนึ่ง
คล้ายกับเห็นว่ากาย เวทนา
และจิตสังขารก็ทำงาน โลภโกรธ หลงไป
โดยมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งเป็นผู้รู้ผู้เห็นสภาวธรรม
ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น
และเห็นว่าบางคราวธรรมชาติรู้ ก็แยกจากอารมณ์
บางคราวธรรมชาติรู้ ก็ไหลรวมเข้ากับอารมณ์
เมื่อศึกษามาถึงจุดนี้บางท่านก็เกิดความสงสัยว่า
ควรจะรู้อารมณ์ที่ปรากฏอยู่กลางอก
เป็นก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง หนักบ้างเบาบ้าง
สุขบ้างทุกข์บ้าง ดีบ้างชั่วบ้าง
หรือควรตามรู้ธรรมชาติรู้ที่เหมือนจะอยู่ด้านบนแถวๆ ศีรษะดี
เรื่องนี้ขอเรียนว่าถ้าสติจะระลึกรู้อะไรก็รู้อันนั้น
อย่าจงใจรู้อันใดอันหนึ่ง
เพราะเราไม่ได้เอาอะไรสักอย่างเดียว
เมื่อเจริญปัญญาเรียนรู้จิตใจของตนเองมากเข้าๆ
ก็จะเห็นอีกว่า ....
จิตใจจะถูกยึดถือและบีบเค้นอยู่ตลอดเวลา
ก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
เมื่อเจริญปัญญามากขึ้นไปอีก
จนถึงขั้นที่สติตามรู้สภาวธรรมได้เป็นอัตโนมัติแล้ว
จะเห็นว่าทันทีที่ตื่นนอน
งานแรกที่ทำก็คือการหยิบฉวยจิตขึ้นมาศึกษาพิจารณา
และเกิดการบีบคั้นจิตอยู่ตลอดเวลาด้วย
ทั้งจะพบว่าจิตพร้อมจะหยิบฉวยจิตได้โดยง่าย
แต่ปล่อยวางไม่เป็น
เมื่อเจริญปัญญาจนถึงขีดสุด
คือรู้แจ้งในความเป็นไตรลักษณ์ของจิตแล้ว
ก็เท่ากับการรู้ทุกข์อย่างแจ่มแจ้ง
เพราะจิตเป็นทุกข์ ตัวสุดท้ายที่จะปล่อยวางได้
จากนั้นจะเห็นว่าจิตเกิดการปล่อยวางก้อนทุกข์ที่กลางอก
พร้อมทั้งสลัดทิ้งธรรมชาติรู้ที่ตั้งอยู่เบื้องบนทิ้งไปพร้อมๆ กัน
ถึงจุดนี้จิตใจจะเป็นอิสระเพราะไม่ได้ยึดถืออะไรเลย
จิตจะได้สัมผัสกับความสุขของนิพพานที่ยิ่งใหญ่
เป็นอันจบการศึกษาพระพุทธศาสนาแต่เพียงเท่านี้
นี้คือการรู้แจ้งอริยสัจจ์ที่ชัดเจนหมดจดถึงขีดสุด
ภายหลังที่จบการศึกษาทางพระพุทธศาสนา
เพราะเกิดปัญญารู้แจ้งอริยสัจจ์แล้ว
ชีวิตที่เหลืออยู่
จะอยู่กับโลกในลักษณะของบัวที่ไม่ติดน้ำ
คือตาหูจมูกลิ้นกายและใจก็ทำหน้าที่ไป
อย่างเดียวกับมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
ในการรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๖
แต่อารมณ์ทั้งหลายจะมีลักษณะเหมือนสิ่งที่เคลื่อนไหว
ไปในอวกาศที่ว่างเปล่า
ไม่มีสิ่งใดไปกระทบกระทั่งกับอารมณ์ทั้งหลายนั้น
ที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ในจิตใจขึ้นมาได้อีก
เพราะปล่อยวางจิตที่จะรองรับความทุกข์ทิ้งไปได้แล้ว
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
" เมื่อจิต...
เข้ากระทบกับอารมณ์ภายนอก อย่างไร
ก็ให้หยุดอยู่...แค่นั้น
อย่า ไปทะเลาะวิวาทโต้แย้ง
อย่า ไปเอออวยเห็นดี เห็นงาม
ให้จิตได้โอกาส ก่อรูปก่อร่าง
เป็นตุ เป็นตะ เป็นเรื่องเป็นราว ยืดยาวออกไป
อย่า ไปวิพากษ์วิจารณ์ ต่อไป
อย่า ไปใส่ใจอีกต่อไป
พอกันเพียง...
รู้...อารมณ์เท่านี้เอง
หยุด กันเพียงเท่านี้."
____________________________________
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
จิตเป็นของไม่ตาย สมาธิจึงสำคัญ
วิธีฝึกจิต ฝึกสมาธิง่ายๆ
-"กำหนดรู้ตัว"ในสิ่งที่กระทำอยู่
ใจ(สติ)จดจ่อพิจารณาในสิ่งที่ทำ
-"กำหนดรู้อารมณ์" เมื่ออารมณ์เปลี่ยนแปลง
ให้กำหนดรู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะรู้ตัว
กำหนดรู้ว่าโกรธ ว่าโลภ ว่าอยากได้
"ดูอารมณ์"ว่าเป็นเช่นไร เมื่อพิจารณาเห็นว่าไม่ดี
เราก็จะลดแรงของอารมณ์นั้นลง
สุดท้ายก็จะ"ควบคุมอารมณ์"เหล่านั้นได้
"...ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเรา"ไม่เห็นความคิด"นั่นเเหละ
ตัวความคิดจริง ๆ นั้น มันก็ไม่ได้มี"ความทุกข์"
ที่มันมีทุกข์เกิดขึ้น คือเราคิดขึ้นมา
เราไม่ทัน"รู้"-ไม่ทัน"เห็น"-ไม่ทัน"เข้าใจ"ความคิดอันนั้น
มันก็เลย"เป็นโลภ-เป็นโกรธ-เป็นหลง"ไป
เมื่อมันเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง
มันก็นำความทุกข์ มาให้เรา..."
"...ทำความรู้สึกตัว ทำความตื่นตัวอยู่เสมอ
รู้ทั้งการเคลื่อนไหวทางรูปกาย ก็ให้รู้
และจิตใจมันนึกมันคิด ก็ให้รู้
ทำอย่างนี้แหละ ทำบ่อย ๆ ไปไหนมาไหนก็ทำอย่างนี้ บ่อย ๆ ไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรทั้งหมดเลย
มันคิดมาแล้ว ก็ปัดทิ้งไปเลย...เราอย่าไปรู้กับมัน
อันนี้เป็นวิธีฝึกหัด
เมื่อเราฝึกหัด ความเคยชินมันมีครับ-ความเคยชินมันมี
พอดีจิตใจมันไหวตัวขึ้นมา เราจะรู้ทันที
เมื่อเรารู้ทันทีแล้ว ความคิดมันก็เลยไม่ได้ปรุง
มันก็เลยไม่มีทุกข์..."
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
มี "สังสารวัฏ" เพราะชอบ"ส่งจิต...ออกนอก"
หลวงพ่อปราโมทย์ : ทีนี้การที่หวังพึ่งอารมณ์ภายนอกนะ อารมณ์ภายนอกเป็นของแปรปรวน เป็นของบังคับไม่ได้ เป็นของเลือกไม่ได้ "กรรม"มันเลือกให้เรา
เพราะฉะนั้นจิตเนี่ย เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์
พอมีความสุขเกิดขึ้น ก็หลงเพลิดเพลินพอใจ นั่นคือราคะแทรก
อารมณ์นี้นำความสุขมาให้ ก็เลยหลงรักใคร่อารมณ์นั้น ราคะแทรก
อารมณ์นี้นำความทุกข์มาให้ โทสะก็แทรก
เกลียดอารมณ์อันนี้ ในใจก็กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง เดี๋ยวฟูเดี๋ยวแฟ่บ เดี๋ยวฟูเดี๋ยวแฟ่บ ไปเรื่อยๆ
วัฎฎะนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย (วัฏฏะในที่นี้คือ สังสารวัฎฎ์ หรือ ไตรวัฎฎ์ ได้แก่ วงจรของ กิเลส กรรม วิบาก – ผู้ถอด) เพราะว่า เมื่อเพลิดเพลินตามอารมณ์ หรือปฏิเสธอารมณ์นะ (อารมณ์ คือ สิ่งใดๆที่จิตไปรู้เข้า – ผู้ถอด) จิตก็เกิดการกระทำกรรมขึ้นมา เกิดความดิ้นรนทางใจขึ้นมา ดิ้นรนไปในทางดีบ้าง ทางชั่วบ้าง มันก็สะสมวิบากต่อไปอีก
เพราะอย่างนั้น วัฎฎะเนี่ย จึงได้หมุนไปเรื่อยต่อไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันมาจากการที่พวกเราชอบส่งจิตออกนอก
นี่ถ้าหากว่าเราเคยได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรู้ว่าโอปนยิโก น้อมกลับเข้ามา มาเรียนรู้"ตัวเอง"
ไม่ใช่ว่าไป...สนใจ"รูป"แล้วลืม"ลูกตา" ไม่ใช่
สนใจ"เสียง"แล้วลืมหู
สนใจ"กลิ่น"แล้วลืมจมูก สนใจ"รส"แล้วลืมลิ้น
สนใจ"สิ่งที่มากระทบกับร่างกาย"แล้วลืมร่างกาย
สนใจ"สิ่งที่มากระทบทางใจ" แล้ว ก็ลืม"ใจ"ของตัวเอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แม้จิตจะเดินทางได้เร็วกว่าแสงสว่าง
จะวูบไหวได้ง่ายเมื่อเจอแรงปะทะ
แต่จิตก็รับรู้ได้ทีละอารมณ์
ถ้าเราเรียกคืนสติ มีสมาธิตั้งมั่น...
เราจะเห็นสรรพสิ่ง...เขาเป็นอยู่อย่างที่เป็น
และจะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
การแยกสรรพสิ่งออกเป็นส่วนๆ...แต่ไม่ให้ค่าผิดถูกใดๆ
แล้วค่อยๆเอาจิตของเราเข้าไปทำความเข้าใจ
ทีละส่วน ทีละเรื่องราวที่ปรากฏเรียงร้อยมาสู่เรา
เราจะเข้าใจสรรพสิ่งต่างๆนั้นอย่างแจ่มชัด
#ช้าแต่ชัวร์
#เข้าใจง่ายโดยไม่เกิดลังเลสงสัย
มิติเวลาจึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการชลอ
การเดินทางของจิตให้ช้าลง
และความรู้ที่เกิดก็ช่วยให้จิต..ไม่เบาหวิววูบไหวโดยง่าย
นี่คือการมองเห็นสัจจะที่เป็นจริงรอบด้าน
โดยปราศจาก"การตัดสิน"....
เพราะทุกสิ่ง"มันก็เป็นเช่นนั้นของมัน"...