ตอนที่ ๓ กรรมฐาน 3 ขั้น
ธรรมธาตุ”💠
👤โยม : กราบในความเมตตาค่ะหลวงตา หนูมีบ้างอย่างที่อาจจะทำให้หลวงตาหายเหนื่อยขึ้นมาบ้างนะค่ะ แต่หนูกราบรบกวนหลวงตาไม่ออกสื่อได้ไหมคะ เพราะหนูก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
หนูคิดว่าหนูเจอใจ (จิต) ในการภาวนาแล้วค่ะ แต่หนูไม่ทราบจะอธิบายออกมายังไงนะค่ะ หนูจะพยายามลองนะคะ
จิตหรือใจ มีอยู่ในที่ว่าง ๆ แบบที่ไร้ขอบเขตของที่สุดอ่ะค่ะ หลวงตา
จิต เกิด ดับ ในความว่างที่มีอยู่ของมันอยู่แล้วค่ะ
จิต ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขของความเป็นอนัตตา (เกิด-ดับ)
“จิต” จริง ๆ จึง ไม่ใช่ “เรา” เลยค่ะ ทำได้ “แค่รู้” แบบไม่ใช่เรารู้อีกนะคะ
“รู้ “ของเขาเองอ่ะค่ะ แล้วก็ “จบไป” จิตดวงใหม่ ก็มีมา ไม่ว่าสภาวะไหนเกิดที่จิต มันก็ได้แค่รับรู้ รู้อยู่ แต่ไม่มีการแทรกแซงนะค่ะ แลัวมันก็ดับค่ะ
ส่วน “รู้” อยู่ในธรรมชาติของเดิมอยู่แล้วจริง ๆ แบบหลวงตาสอนเลยค่ะ
พอมาเจอสภาวะจริง ๆ มันคือ ความไม่มีอะไรในอะไรเลยค่ะ ตรงนี้อธิบายยากที่สุดค่ะ มันจะคล้ายการคืนกลับสู่ธรรมชาติเดิมที่มันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดค่ะ
หนูก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นนะคะ พอมันรู้วาง รู้วางของมันเองแบบนี้ อาการเด้งผัวะ ๆ ๆ เหมือนมีอะไรเด้งหลุดจากตัวหนูก็เกิดตามมา 3-4 ครั้งค่ะ คล้าย ๆ กับมันสลัดอะไรออกมาอ่ะค่ะ คล้าย ๆ ที่เคยเป็นมานะคะ แต่แรงกระเด้งมันเบาลงมาก ๆ เลยค่ะ
หนูคงอธิบายได้แค่นี้จริง ๆ ค่ะ หลวงตา เพราะมันไม่สามารถแทนปรากฎการณ์ด้วยคำพูดได้จริง ๆ เลยค่ะ
☀️หลวงตา : สาธุ
เมื่อพบธรรมธาตุ (ธาตุรู้ซึ่งเป็นเหมือนกับความว่างในธรรมชาติ) แล้ว ขันธ์ห้าซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่ง กับธาตุรู้นี้ก็ยังคงเป็นธรรมชาติคู่กันอยู่ คือ ขันธ์ห้าก็เกิดดับในธาตุรู้ที่ไม่เกิดดับ ไม่มีตัวตน จนกว่าจะสิ้นอายุขัย ขันธ์ก็ดับไป
ส่วนธาตุรู้บริสุทธิ์ เพราะสิ้นผู้ยึดถือแล้ว ก็จะไปรวมกับความว่างในธรรมชาติอย่างเป็นอมตะ
👤โยม : กราบค่ะหลวงตา หนูคิดว่าหนูเข้าใจที่หลวงตาอธิบายมาค่ะ
ธาตุรู้ ที่ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีตัวตน คือที่มันรู้ของมันเอง หรือแค่รู้ หรือรู้ซื่อ ๆ ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลยใช่ไหมคะ ปล่อยให้ รู้ก็รู้ไป
หลักการเดียวกันกับการเห็นธรรมชาติในจิต แค่รู้อย่างที่มันเป็น แบบนี้นะค่ะ
☀️หลวงตา : สาธุ ถูกต้องแล้ว
พิจารณาเห็นว่า จะมีประโยชน์แก่ผู้อื่น ขออนุญาตแชร์นะ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
14 ธันวาคม 2562
จิตอวิชชา ค่ะ
มันต้องปฏิบัติที่จิตเดิมแท้ "วิญญาณ" นี่แหละ มันมี "อวิชชา" อยู่
ก็ต้องให้มันเข้าใจที่ถูกต้องว่าตัวตนมันไม่มีหรอก มันมีแต่ความรู้ ตัวตนมันไม่มี แต่กลาย
เป็นในความรู้มีตัวตน มีตัวเราซะ มันก็เลยสร้างเป็นกายโปร่งแสงไว้
แต่ถ้ามันมีแต่ความรู้ ไม่มีตัวตนของเราหรอก "วิญญาณ" มันมีแต่ความรู้ ตัวตนมันไม่มี
มันก็เลยมีแต่ความรู้ที่ว่างเปล่าเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แม้แต่ขันธ์ห้ายังไม่ตายมันก็
เป็นความรู้ที่ว่างเปล่า ไม่มีตัวตน
มันต้องปฏิบัติที่จิตนั่นแหละ ให้จิตมันหายโง่ มันยังเป็นอวิชชา คือมันยังโง่อยู่ ก็ให้มัน
หายโง่ ให้มันเข้าใจให้ถูกต้อง
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
สิ่งใดปรุงแต่งเกิดดับได้ เรียกว่า "สังขาร"
ส่วน "วิสังขาร" จะคิดปรุงแต่งยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราไม่ได้
ดังนั้น ความปรุงแต่งหลงยึดถือขันธ์ห้า หรือ หลงยึดถือใจ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา นั้น ก็เป็นเพียงสังขารที่ปลอมปนผสมอยู่ใน “วิสังขาร” เป็นเหมือนผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำ
แต่สำหรับผู้ที่เฝ้าสังเกตจิตใจของตนเองอยู่เงียบ ๆ ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และ ขันติ โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู
ซึ่งระหว่างการฝึกอย่างหนัก จะหลงมีตัวตนของผู้เฝ้าดูเสียก่อน โดยหลงยึดถือว่า เราเป็นผู้เฝ้าดู หรือ ผู้เฝ้าดูเป็นตัวเรา
ความรู้สึกว่าเราเป็นผู้เฝ้าดู หรือ ผู้เฝ้าดูเป็นตัวเรานั้น จะเป็นเหมือนกับผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งเป็น “อวิชชา” ตัวจริง
แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าผู้เฝ้าดูนั้น เป็นสังขาร เพราะสามารถคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ได้ เช่น มีเจตนา จงใจ ตั้งใจ พยายามที่เริ่มต้นจะดูจิต
มีความแทรกแซง มีความอยาก มีความพยายาม ดิ้นรน ค้นหา สงสัย มีความเพ่ง จ้อง เน้น กด ข่ม บังคับ กดดันตนเอง หงุดหงิดเมื่อปฏิบัติไม่ได้อย่างใจอยาก มีความสุขใจสบายใจ เมื่อปฏิบัติได้อย่างใจอยาก
ปรุงแต่งยึดถือว่าเราเป็นผู้ดู เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้เห็น เราเป็นผู้รู้แจ้ง เราถึงธรรม เราบรรลุนิพพาน... เป็นต้น
เมื่อรู้เท่าทันสังขารที่ปรุงแต่งเป็นเรา หรือ ตัวเราผู้เฝ้าดูจิตแล้ว ก็ไม่หลงทำตามสังขาร ที่ปรุงแต่งเป็นเราหรือตัวเราเริ่มต้นมีเจตนา จงใจ ตั้งใจ หรือ พยายามจะดูจิต หรือ แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวในปัจจุบันขณะนั้นเสีย และไม่หลงไปพยายามดับเขา
แล้วสังขารในปัจจุบันขณะก็จะเกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง... โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู ไม่มีตัวตนของเราไปรองรับหรือไปยึดถือสิ่งเกิดดับ
ก็จะรู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า สังขารในปัจจุบันขณะที่เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง... โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู ไม่มีตัวเราของเราไปยึดถือรองรับนั้น เกิดดับในความว่างที่ไม่ปรากฏอะไรเลย
แต่ถ้าหากรู้ไม่เท่าทัน ก็จะหลงมีตัวตน มีเรา หรือ มีตัวเรา เป็นผู้หลงยึดถือความว่าง และ รังเกียจสังขารที่เกิดดับ
ถ้าสังเกตให้ดี ๆ โดยไม่มีตัวตนของผู้สังเกต หรือ ไม่หลงมีตัวเราเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ก็จะรู้เท่าทันความหลงเอาสังขารมายึดถือ "วิสังขาร" ซึ่งเป็นความไม่มีอะไรปรากฏ โดยหลงสังขารปรุงแต่งเป็นความอยากพ้นทุกข์ หรือ อยากเป็นวิสังขารอย่างถาวร ซึ่งมันเป็นอวิชชา เหมือนกับผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำที่บริสุทธิ์
แต่สำหรับผู้มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และขันติอย่างต่อเนื่อง ก็จะสังเกตเห็นว่ายังหลงยึดถือว่าผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้เงียบ สงบ สงัด ผู้ถึงความว่าง ผู้นิพพานเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ยังมีกิเลส มีความทุกข์ มีความกังวล มีความผ่องใสแล้วเศร้าหมองได้ มีความรู้สึก นึก คิด ตรึก ตรอง วิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย สงสัย ดิ้นรนค้นหา ยังโหยหานิพพาน มีการปรุงแต่งพูดพากษ์อยู่ในใจคนเดียวเหมือนคนบ้าอยู่ตลอดเวลาได้ หรือ มีอาการต่าง ๆ เกิดดับได้
ถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็จะหลงไปเป็นสังขารเหล่านี้ เกิดเป็น “อวิชชา” ห่อหุ้มจิตหรือใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นความว่างไว้ภายใน เป็นเหมือนกับลูกโป่งวิทยาศาสตร์ หรือ ลูกโป่งฟองสบู่ ที่เด็กเอามาเป่าเล่น ที่ห่อหุ้มความว่างไว้ภายใน โดยจะหลงมีเรา ตัวเรา ตัวตนของเราอยู่ในห้องว่าง
เมื่อรู้เท่าทันว่าหลงเอาสังขารมาปรุงแต่งยึดถือจิตหรือใจบริสุทธิ์ ก็จะสิ้นหลง
จิตหรือใจจึงเป็นความบริสุทธิ์ หรือ นิพพานแท้จริง ๆ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมส่วนหนึ่งจากปุจฉาวิสัชนา
19 กรกฎาคม 2562
⚜️อธิษฐานฟังธรรม และ ความสำคัญของสติ⚜️
ไฟล์เสียงที่ถามตอบ เราตั้งใจฟัง ตั้งใจอ่าน ถ้าเราฟังหรืออ่านไม่เข้าใจ ให้อธิษฐานจิต
อธิษฐานระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อธิษฐานถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พุทธบารมี ธัมมะบารมี สังฆะบารมี พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ รวมกับบุญบารมีของเราทั้งหมดที่ได้ทำมาแล้ว และคุณงามความดีที่เราตั้งใจที่จะละบาป บำเพ็ญบุญ จะฝึกฝนจิตใจ ทำความเพียร อธิษฐานฟังธรรมให้เข้าใจถึงใจ อธิษฐานให้เห็นธรรม ให้เข้าใจธรรม ให้รู้แจ้งถึงใจ ให้สิ้นอวิชชา ดับมิจฉาทิฏฐิ ดับอวิชชาคือความเห็นผิด ความหลง ให้เป็น “ธรรมแท้ถึงใจที่สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น”
ไฟล์ใหม่ ๆ และถามตอบหลัง ๆ มานี่ดีมาก ละเอียดมาก ชัดเจนมาก ให้ตั้งใจอ่าน ตั้งใจฟัง
ที่สำคัญที่สุดคือ “สติ” ไฟล์เมื่อเช้าส่งไป 3 ไฟล์ ละเอียดมาก เรื่องสติสัมปชัญญะ ตอนที่ 1, ตอนที่ 2 และตอนที่ 3 ตั้งใจฟังดี ๆ ว่า “สติ” มันคืออะไร เป็นยังไงจึงเรียกว่าสติ ตั้งใจฟังให้ดี ๆ
เพราะว่าสำคัญที่สุด ถึงเราจะฟังธรรมมาก อ่านธรรมมาก ปฏิบัติมาก ตั้งใจปฏิบัติดี เป็นคนดี แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่อง “สติสัมปชัญญะ” ถึงจะปฏิบัติยังไง มันก็ไม่ไปยังไง มันจะเดินทางช้ามาก
เพราะว่าพระพุทธเจ้าและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็ล้วนแต่ “สติ” อันเดียว หลวงปู่จูม พันธุโล พ่อแม่ครูอาจารย์รุ่นเก่า ถามหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตว่า... เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีสมาธิดี สมาธิของเราดีแล้ว สมาธิของเราตั้งมั่นแล้ว สมาธิของเราเป็นสัมมาสมาธิ ถูกต้องแล้ว เราจะรู้ได้ยังไง
หลวงปู่มั่นบอกว่า... อย่าดูที่ตัวสมาธิ ให้ดูที่ “สติ” ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีธรรม ต้องดูที่ “สติ”
ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามาถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกท่าน จนมาถึงหลวงปู่ทา จารุธัมโม “สติอันเดียวก็ไม่หลาย” หลวงปู่คำตัน ฐิตธัมโม เจอหน้าท่านครั้งใดก็...
สติขาด สมาธิขาด ปัญญาขาด
สติหาย สมาธิหาย ปัญญาหาย
สติมี สมาธิมี ปัญญามี
สติเป็นมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา เป็นพระนิพพาน
“สติ” อันเดียว
ฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่อง “สติ” ต่อให้เราฝึกสมาธิยังไงก็ตาม เดินจงกรมยังไงก็ตาม อ่านธรรมะ ฟังธรรมะยังไงก็ตาม แต่มีชีวิตอยู่ในทุกปัจจุบันขณะโดยไม่มีสติ
เมื่อไม่มีสติ เท่ากับไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีธรรม “ธรรม” ขาดหมดเลย
สติขาด สมาธิขาด ปัญญาขาด ... เป็นทุกข์
สติมี สมาธิมี ปัญญามี ธรรมมี ... ไม่ทุกข์
สติเป็นมหาสติ เป็นมหาสมาธิ เป็นมหาปัญญา เป็นพระนิพพาน ... พ้นจากทุกข์
“สติ” อันเดียว ... ก็ไม่หลาย
ฉะนั้น มันต้องเข้าใจว่า พอพูดถึง “สติ” มันละไว้ในฐานที่เข้าใจ มันรวมถึง “สัมปชัญญะ” ด้วย
🔸“สติ” คือ ความระลึกได้
🔸“สัมปชัญญะ” คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ระลึกได้อย่างไร? มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างไร? มีอยู่ใน 3 ไฟล์ เราตั้งใจฟังทบทวนให้ดี แล้วปฏิบัติตามนะ
ส่วนใหญ่ที่เราปฏิบัติกัน มันมีความเป็นอยู่โดยไม่มีสติ อ่านมาก ฟังมาก ปฏิบัติมาก แต่ก็ยังไม่มีสติ ยังไม่เข้าใจเรื่องสติ กลับไปฟังกันนะ 3 ไฟล์ที่ส่งไปให้
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมก่อนฉันภัตตาหารเช้า
ณ พุทธธรรมสถานปัญจคีรี
วันที่ 19 ธันวาคม 2562
🔅ปรารภเหตุเป็นปุจฉาวิสัชนาธรรม🔅
(ภาคปฏิบัติต่อเนื่องจากไฟล์เสียง)
☀️หลวงตา : *****แม่ชียังหลงคิดละเอียด ๆ อยู่ข้างใน
ถ้าไม่พูดคุยก็จะเห็นแต่อาการนิ่ง แต่แม่ชีจะเข้าใจผิดว่าจิตของตนเองนิ่งเงียบสงบดี
แต่ถ้าได้พูดคุย รวมทั้งคุยทางโทรศัพท์ หรือ คุยด้วยการพิมพ์คุยกันทาง Line หรือ Facebook ก็จะฟุ้งซ่าน ส่งจิตออกนอกโดยไม่รู้ตัว
เป็นเพราะยังไม่เห็นจิตปัจจุบันขณะ เห็นแต่อารมณ์หรืออาการของจิตหรืออาการของใจที่ถูกรู้
ทั้งนี้เพราะแยกไม่ขาดระหว่างอารมณ์หรืออาการที่ถูกรู้ในปัจจุบันขณะ กับจิตผู้รู้อารมณ์ ซึ่งโดยปกติธรรมชาติจิตเมื่อรู้อารมณ์ก็ต้องเอามาคิดปรุงแต่งในใจ (เพราะจิตเกิดจากวิญญาณขันธ์ซึ่งเป็นผู้รู้อารมณ์ในปัจจุบันขณะ ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร)
*****จิตผู้รู้อารมณ์แล้วเอามาคิดปรุง หรือ ปรุงคิดในใจทุกขณะปัจจุบันขณะ ซึ่งจิตผู้รู้ทุกดวง ต้องคิดปรุง หรือ ปรุงคิด จะเกิดดับเร็วมาก ๆ ๆ ๆ ..... เขาเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง....... ตลอดเวลา
*****ถ้ารู้เห็นจิตผู้รู้คิดปรุง หรือ ปรุงคิด เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง ทุกปัจจุบันขณะ... ด้วยใจบริสุทธิ์ หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ (เพราะไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น) ซึ่งเป็นธรรมชาติที่รู้ขึ้นมาเอง เหมือนกับรู้ว่านั่ง ยืน เดิน นอนขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องมีเจตนารู้ จงใจรู้ พยายามรู้ ตั้งใจรู้ หรือ ไม่มีเจตนาเหลือบมองดูข้างใน โดยไม่มีผู้หลงยึดมั่นถือมั่น ก็จะไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ กิเลส ตัณหาให้เป็นทุกข์
👤แม่ชี : อีกอย่างเจ้าค่ะ... อาการนิ่งที่เกิดจากที่ฝึกจิตมาผิด หมายไว้จนชินกับร่องเดิมแบบนี้ กับพลังอัด มันเป็นอาการของจิตที่มันกดข่ม เครียด พยายาม (เพราะอดข้าวมาหลายวัน) มันปน ๆ กัน หรือว่ามันมีพลังอื่นแทรกเข้ามาจริง ๆ อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ เจ้าค่ะ
☀️หลวงตา : จิตที่นิ่งข้างในมันเป็นอารมณ์หรือ อาการของจิต หรือ อาการของใจที่ถูกรู้ แต่แม่ชีเข้าใจผิดว่าจิตของตนเองนิ่งเงียบสงบดี จึงทำจิตนิ่งจนเป็นปกตินิสัย ใครจะบอกสอนอย่างไร ไม่ยอมฟัง เพราะเข้าใจผิดว่าทำถูกแล้ว
ครั้นกระทบกับสิ่งที่ไม่พอใจ ก็จะยิ่งสะกดจิตหรือทำจิตให้นิ่งเฉยนิ่งมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยไม่รู้ตัวว่าทำผิด ปฏิบัติผิด เมื่อเก็บไม่อยู่ ก็จะระเบิดอารมณ์ใส่คนอื่น ๆ ...
อารมณ์ที่ถูกเก็บกดไว้ข้างใน มีผลทำให้เกิดพลังอัดแน่นจากข้างใน เพราะคับแค้นแน่นหน้าอก ที่ไม่ได้อย่างใจหรือถูกขัดใจ เพราะถ้าได้พูดคุยหรือเล่นโทรศัพท์มือถือ ก็จะไม่อึดอัดคับข้องใจนิ่งอยู่ภายใน แต่จะฟุ้งซ่านส่งจิตออกนอกแทน
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
15 ธันวาคม 2562
คำตอบของหลวงปู่ชา สุภทฺโท
ถาม : จำเป็นไหมครับที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง
เมื่อเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาเองให้มั่นใจว่าทุกๆสิ่งหายไปหมดไม่มีอะไรหลงเหลือว่างบริสุทธิ์จริงๆให้เชื่อมั่นแบบนี้อย่ามีข้อข้องใจ
จิตตไพศาล จิตตไพศาโล ได้แชร์โพสต์ลงในกลุ่ม: Enlightenment (การตรัสรู้)
26 นาที ·
จิตตไพศาล จิตตไพศาโ
ผู้มาตามรู้เท่าความคิด พูด ทำ
ของตนอยู่ทุกขณะ ผู้นั้นได้ชื่อว่า
เป็นผู้รู้ขันธโลกภายนอกภายใน
อารมณ์ทั้งหลายที่ข้องอยู่แล้ว
ย่อมหายไปตั้งอยู่ไม่ได้
___________________
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
จิตนี้..ที่ไม่สามารถจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้
เพียงเพราะมันเกิดการหวั่นไหว
ทะยานออกไปตามอายตนะต่างๆ
โดยไม่รู้เท่าทัน ไม่มีฐานแห่งสติ
ให้เป็นที่ระลึก ไม่มีสัมปชัญญะรู้ไม่หลง
แล้วจะอย่างไรดี ก็คือเมื่อมันไหลไป
แล้วสามารถรู้ทัน โดยมีฐานแห่งสติ
จะเป็นกาย หรือความรู้สึกทางกาย
เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น
ระลึกได้บ่อยๆ จิตก็หลงสั้นลง
เป็นเหตุให้จิตตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อตั้งมั่นได้ต่อเนื่อง โดยไหลออกสั้นมาก
จะเหมือนกับเราทรงสมาธิได้ตลอดเวลาเอง
Trader Hunter พบธรรม
🔆 สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น จึงพ้นทุกข์ "นิพพาน" 🔆
🙏โยม 1 : กราบเท้าองค์หลวงตาเหนือเกล้าค่ะ
ฟังคำสอนของหลวงตาซ้ำไปมา ... จนเริ่มพอเข้าใจโครงสร้างที่หลวงตาสอนค่ะ
ภาพในหนังพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลก ที่พระองค์มีสาม ร่างแล้วมารวมเป็นหนึ่ง
คือ รูป + นาม + จิตเดิมแท้
แต่ด้วยจิตเดิมแท้ที่ยังมีอวิชชา จึงยังไม่เป็นหนึ่ง คือยังมีกายโปร่งแสงแยกออกมาพาวนเกิด วนตาย ตามแรงกรรม
ศิษย์เข้าใจตามโครงสร้างอย่างนี้ค่ะ ... เมื่อเห็นว่ารูปไม่เที่ยง + นามไม่เที่ยง จึง “พยายาม” ละความยึดถือในรูปกับนาม และสมมุติต่าง ๆ ... แต่ละไม่ได้เพราะยังมีตัวการใหญ่คืออวิชชา ที่ฝังเนียนที่จิตเดิมแท้ เป็นตัวการ ... รู้ที่ออกจากจิตอวิชชาจึงเป็นรู้ที่มีผู้รู้ / อัตตาแฝงอยู่
ถึงตรงนี้มีคำสอนหลวงตาขึ้นมาว่า
“ไม่ส่งจิตออกนอก ไม่สยบติดภายใน”
“รู้ทุกคิดไม่ติดไป”
อันนี้คือรู้หนึ่ง ใช่มั้ยคะหลวงตา
กราบเท้าองค์หลวงตาขอคำชี้แนะ หากศิษย์เข้าใจอะไรผิดพลาดไปค่ะ
☀️หลวงตา : สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ สิ้นผู้เสวย สิ้นยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวตนของผู้เสวย หรือ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็นิพพาน
หรือไม่หลงส่งจิตออกนอก วิญญาณก็จะไม่สงบติดสิ่งใดภายนอก
ไม่หลงส่งจิตเข้าใน วิญญาณก็จะไม่สงบติดสิ่งใดภายใน
และ ไม่ยึดมั่นถือมั่นขันธ์ห้า ซึ่งเป็นสังขารปรุงแต่ง หรือ พ้นสังขาร หรือ สิ้นยึดมั่นถือมั่นสังขาร
ไม่มีตัวตนของผู้พ้นสังขาร ไม่มีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่นนิพพาน ไม่มีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นธรรม ไม่มีมีตัวตนของผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นนิพพาน
สิ้นตัวตนของผู้ยึดมั่น ก็พ้นทุกข์ (นิพพาน)
~~~~~~~~~~~~~
👤โยม 2 : กราบนมัสการครับ
หลายวันมานี้ ความชัดเจนที่ว่า ตัวเรานั่นแหละ คืออวิชชาตัวจริง ทั้งรูปและนามที่สังขารขึ้นมา ล้วนมาจากความหลงผิดทั้งสิ้น แม้แต่ "ความเข้าใจ" ในจุดนี้ ก็ยังเป็นสังขารเช่นกัน
ความเป็นตัวเรา ดูมันเบาบางลงอย่างบอกไม่ถูก ในทุกขณะปัจจุบันมันรู้แก่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น ภายในกลับเงียบสงบ ความหลงไปในสังขารลดน้อยถอยลงไป แบบที่ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น
คงปล่อยให้สังขารเกิดขึ้นและสลายตัวไปเอง
กราบ กราบ กราบ องค์หลวงตาเป็นที่สุดครับ
☀️หลวงตา : สาธุ ... มันเป็นเช่นนั้นเอง
~~~~~~~~~~~~~
👧โยม 3 : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก
แม้ไม่ใช่สองฝั่ง ก็ยังไปยึดอยู่ ว่าธรรมะเป็นแบบนี้เอง ๆ
ว่างก็ไม่ใช่ ไม่ว่างก็ไม่ใช่ ที่แท้เป็นแบบนี้เหรอ แต่สุดท้าย ไอ้ที่แท้ ๆ ก็ยังยึดอยู่
ทุกกระบวนการรู้ ไม่ใช่สองฝั่ง ไม่ใช่กลาง ๆ ไม่ใช่หยุดอยู่ อะไร ๆ ก็ไม่ใช่ แต่สุดท้ายก็ไปยึดอะไร ๆ ก็ไม่ใช่
ละเอียด ลึกซึ้งถึงที่สุดเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~
👵โยม 4 : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ
หนูอยากจะร้อง...โอ้แม่เจ้า!!! มันช่างละเอียดจริง ๆ เจ้าค่ะ
เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในสังขาร จึงพ้นสังขารไป และเจอวิสังขาร ตรงนี้ในขั้นแรกจะมี “เรา” ไปเป็นผู้พ้นสังขาร และเป็นวิสังขารแทน... จนมีปัญญาเข้าใจเห็นว่าตัวเราที่พ้นสังขาร ตัวเราเป็นวิสังขาร... ก็เป็นสังขารอยู่ดี จึงปล่อยวางมันไป
แล้วก็กลับกลายเป็น มี “ตัวเรา” เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขาร และวิสังขารอีก จริง ๆ แล้ว ไอ้เจ้าตัวที่เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็เป็นสังขารตัวละเอียดอีกที... ต้องมีปัญญารู้ทัน จึงจะไม่มีตัวตนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร
จึงเรียกว่านิพพาน แต่ก็จะมี ผู้ยึดนิพพานอีก... ว่าเราเป็นผู้นิพพาน เมื่อรู้เท่าทัน... ก็หลงอีกทีว่ามีเราเป็นผู้ไม่ยึดนิพพาน
สรุปได้ว่าทั้งผู้ยึดและไม่ยึดไม่ว่าจะเป็นสังขาร, วิสังขารหรือนิพพาน มันเป็นเพียงสังขารตัวนึงแค่นั้นเอง จริง ๆแล้วไม่มีตัวตนใด ๆ ไม่มีความคงที่ใด ๆ เลยในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นอะไร ไม่มีใครได้อะไร ไม่มีใครไปไหน ไม่มีใครได้นิพพาน ไม่มีใครนิพพาน
เราทุกคนปฏิบัติมาเพื่อให้รู้ความจริงอันสูงสุดตรงนี้ เท่านั้นใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~
👦โยม 5 : อวิชชาตัวจริง คือตัวเรานี่แหละเจ้าค่ะ ที่อยากได้ อยากเป็น อยากมีมันทุกสิ่ง อยากได้แม้ธรรมชาติที่เค้าเป็นของเค้าอยู่แล้ว แล้วก็หลงว่าเราได้มันมา เราเป็นมันได้ ของจริงคือ ไม่มี ไม่เหลืออะไรเลย
ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เมตตาชี้แนะ คงไม่อาจเข้าใจได้ขนาดนี้เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~~~
🗣โยม 6 : กราบหลวงตาที่เคารพครับ
"ไม่ยึดมั่นถือมั่น" เป็นธรรมที่เด็ดขาดจริง ๆ ครับ เป็นหัวใจแห่งธรรมเลยก็ว่าได้ การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เวลามันหลง มันก็จะหลงอยู่ตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ แม้ตอนที่จิตเขาไม่หลงส่งออกไปข้างนอก หรือ ไม่หลงส่งไปยุ่งข้างใน แต่เวลาที่ยังหลง ก็เพราะยังมี "เชื้อของความยึดมั่นถือมั่น" ยึดถืออะไรสักอย่างอยู่ในขณะจิตนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น...
... ยึดมั่นถือมั่นใน "ความคิด" ว่าเป็นเรา
... ยึดมั่นใน "ผู้รู้" ว่าเป็นเรา
... ยึดมั่นใน "ความเห็น" ในหลักการ หรือ ในสัญญาอะไรสักอย่างว่า เช่นนี้ถูก เช่นนี้ผิด เป็นเราถูก เราผิด
... หรือยึดมั่นกับสภาวะที่สบายใจ ไม่สบายใจ โล่งว่าง ฯลฯ เหล่านั้น ๆ ว่าเป็นเรา มีสภาวะอย่างไรเกิดขึ้น ก็หมายเอาตลอดว่า "เราเป็น"
สรุปรวมคือ ยึด "ขันธ์ห้า" ว่าเป็นเรา หรือยึดว่าเราเป็นเช่นนี้จริง ๆ จัง ๆ
แม้แต่ตอนที่สิ้นยึดสังขารไปแล้วขณะหนึ่ง แต่ในเมื่อมันยังไม่สิ้นอวิชชา มันก็ยังแอบไปยึด "ความไม่มี ไม่เป็น" หรือยึดความไม่ยึดนั้นว่าเป็นเราอีกจนได้... นี่คือความร้ายกาจของอวิชชา...
ความยึดถือนี้ น่าจะเปรียบเป็นดั่ง "รากแก้ว" หรือ "เชื้ออวิชชา" ที่หมายเอาสิ่งต่าง ๆ เป็นจริงเป็นจัง แต่ในความจริงนั้นเขาก็ล้วนเป็นเพียงของเกิดดับ เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นของธรรมชาติเดิมแท้ทั้งนั้น...
ทั้ง "ความมี" หรือ "ความไม่มี" ก็ล้วนเป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่มีใครที่ไปเป็นอะไรจริง ๆ อยู่ตรงนั้น ทุกอย่างเป็นเหมือนเพียงแค่ "ขณะจิต" เมื่อไม่ติด ไม่ยึด ก็ไม่มีตัวตน ...
ธรรมที่หลวงตาเมตตาสอนตรงนี้ละเอียดมาก ๆ ครับ ถ้าไม่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ชี้ให้ ก็คงหลงในสังสารวัฏอีกยาวนาน
กราบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เมตตาอบรมสั่งสอนมาตลอดครับ
กราบ กราบ กราบ
~~~~~~~~~~~~
👥โยม 7 : เราคือมายา
~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากปุจฉาวิสัชนา
18 ธันวาคม 2562
🔆สองขั้วของสังขาร : ฟุ้งซ่าน กับ ติดนิ่ง🔆
🔅ปฐมเหตุจากไฟล์เสียง🔅
👤แม่ชี : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ ถึงใจที่ว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้าเป็นยังไงค่ะหลวงตา มันก็สงบดีค่ะ
☀️หลวงตา : ดีแล้ว สงบดีก็ดีแล้ว ที่ผ่านมามันเป็นแค่ความจำ มันไม่ได้เป็นความจริง
เราหลงว่ามันเป็นความจริง นึกว่ารู้จริงเห็นจริงเป็นจริง ว่างจริง นิพพานจริง สุดท้ายปลอมหมด
ตอนนี้มันก็จะเริ่มเป็นจริง เริ่มเป็นของจริง เราก็จะรู้ถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ พระสังฆคุณ อันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณเอง ก็จะรู้ถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นยังไง คุณของพระธรรมเป็นยังไง คุณของพระอริยสงฆ์เป็นยังไง
ที่ผ่านมามันของปลอมหมด ก็ต้องเดินอย่างนั้นแหละ
👤แม่ชี : ต้องอด (อาหาร) ต่อไปใช่มั้ยคะหลวงตา?
☀️หลวงตา : มันก็ยังไปอยู่ข้างในลึก ๆ อยู่ในใจลึก ๆ คือ มันไม่ซ่านออกไปข้างนอก แต่มันไปหดตัวอยู่ข้างใน
ไปหดตัวแล้วก็เป็นความปรุงแต่งอยู่ข้างใน เหมือนกับว่ามันเป็นไข่แดงไข่ดาว ตอนนี้มันไม่ซ่านออกไปเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเห็นอะไรก็อยากจะพูด ได้ยินอะไรก็อยากจะพูดมันไม่รู้ไม่เห็นเลย
ตอนนี้มันเริ่มรู้เห็นบ้างแล้ว แต่ในความรู้เห็นมันคล้าย ๆ กับมันยังเก็บตัวเองซ่อนเข้าไปในไข่แดง เหมือนไข่ดาว แล้วก็มีตัวตนของเราน่ะอยู่ในไข่แดง คือมันยังไปพูดไปพากษ์ไปบ่นอยู่ในไข่แดง แล้วเราไม่ได้เป็น "ผู้เห็น" แต่ไปเป็นผู้เป็นไปเป็นผู้ที่บ่น ไปเป็นผู้ที่พูด แต่ไม่ได้เห็นว่าจิตมันบ่นมันพูดมันพากษ์ ไม่เห็น "จิตตสังขาร"
เหมือนกับที่เราโพสต์ไปของ "หลวงปู่หล้า เขมปัตโต"
เมื่อเย็นนี้ ที่ว่า ใจย่อมรู้ว่าใจเป็นอย่างไร
ใจของตัวเองก็ย่อมรู้ว่าใจของตัวเองเป็นยังไง
ใจก็ย่อมรู้สังขารในใจ แล้วก็ไม่ติดสังขาร ไม่ยึดสังขารแล้วก็ใจย่อมรู้ใจ แล้วก็ไม่ติดใจ ไม่ยึดใจ
คือใจนี่มันตั้งแต่ว่ามันรู้ทุกอย่างภายในใจ ไม่ใช่ว่าพูดออกไปโดยไม่รู้ เราเห็นอะไรเราก็อยากจะพูด ได้ยินอะไรเราก็อยากจะพูด เราอยากจะพูดทั้งวัน อยากจะไปโน่นไปนี่ ทั้งวัน เราไม่เห็น
มันจะต้องมาเริ่มเห็นว่า ทุกปัจจุบันขณะมันมีอะไรเกิดขึ้นในใจ มันมีแต่ปรากฏการณ์เกิดขึ้นในใจ เริ่มเห็นแล้วมันก็ถอยตัวหดตัวเองเข้ามาเรื่อย ๆ มาเป็นผู้เห็น แล้วมาพูดอยู่ในผู้เห็นผู้พากษ์ ผู้พูดผู้พากษ์
ใจมันก็เริ่มเห็นผู้พูดผู้พากษ์ ว่าเป็น “สังขาร” แล้วมันจึงมาพบ “ใจ” แล้วมันก็มายึดใจที่ไม่สังขาร พยายามจะรักษาใจที่ไม่สังขาร
แต่ 3-4 บรรทัดของหลวงปู่หล้านี่คือมันจบเลย
คือบรรทัดที่หนึ่ง คือใจย่อมรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในใจ
ใจเป็นยังไงใจย่อมรู้ใจ ใจดี ใจชั่ว ใจบุญ ใจบาป ใจกุศลใจอกุศล ใจย่อมรู้ใจ
สอง ใจย่อมรู้สังขารในใจ
แต่บุญบาปดีชั่วน่ะ มันก็คือกิเลสอย่างหยาบ
ใจย่อมรู้สังขารในใจ ก็คือกิเลสอย่างกลาง ก็คือว่ามันไม่ส่งออกไปหาคนนั้นคนนี้ แต่มันพูดอยู่ในใจ
แม้แต่เราอดข้าวเราอยู่คนเดียวในห้องไม่ให้ออกมา แต่มันพูดไม่หยุดนะ มันพูดไม่หยุดขนาดอยู่ในห้องไม่ออกมา พูดอยู่คนเดียว
เพื่ออะไรก็เพื่อว่า ให้สำรวมซะห้าประตู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ห้าประตู เพื่อให้รู้ประตูใจ เพราะว่าที่ผ่านมา เราไม่เคยรู้ประตูใจเลย สอนยังไงเรื่องผู้รู้ ผู้พูดผู้พากษ์ เราไม่เคยเห็นเลย เพราะเราอยู่แต่ความว่าง
เราอยู่แต่ความว่างเปล่า ที่เป็นนิพพานแล้ว ความว่างเปล่าที่เป็นนิพพานแล้ว แต่เราไม่เห็น "ตัวเรา" เลยในความว่าง
ที่ผ่านมาจึงให้อดอาหาร ก็เพื่อให้เห็นว่า แม้แต่ไม่กระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ห้าประตูภายนอก ปิดประตูเข้าไปอยู่คนเดียว อดอาหารอดนอนผ่อนอาหาร อยู่ในห้องคนเดียวมันก็จะเหลือแต่ประตูใจแล้วตอนนี้ ตอนนี้มันพูดไม่หยุดเลยประตูใจ เริ่มเห็นแล้วตอนนี้ เริ่มเห็นประตูใจ
ที่ผ่านมาหลายสิบปี ปฏิบัติ ไม่เห็นประตูใจเลย คือ เอาตัวเราไปเห็นแต่ความว่าง แต่ไม่เห็นในประตูใจเลย ว่ามีตัวเราเข้าไปฝังตัวอยู่ในความว่าง จะพูดยังไงก็ไม่เห็น
ทีนี้พอเราไปอยู่ตัวคนเดียวในห้อง แล้วอดนอนด้วยผ่อนอาหารด้วย มันก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า อุ๊ย... อยู่คนเดียวมันพูดไม่หยุดนี่หว่าเนี่ย ขนาดไม่กระทบอะไรเลยพูดอยู่คนเดียวพูดไม่หยุดเลย
แต่ในขั้นตอนนี้ มันยังไปเป็นผู้พูดไม่หยุด แต่ไม่ได้เห็นว่าผู้พูดไม่หยุดน่ะ มันเป็นสังขาร ไม่ใช่เป็นเราเป็นตัวเราเป็นตัวตนของเรา
แต่เรากลับไปเป็น อยู่คนเดียวแต่พูดไม่หยุด เข้าใจมั้ย แล้วเห็นแบบนี้มั้ย? เราเนี่ยพูดไม่หยุดจริง ๆ แต่ไม่ใช่ว่าเห็นจิตมันพูดไม่หยุดแล้วก็สักแต่ว่าเห็น แต่ "เรา" ไปเป็นคนพูดไม่หยุด นี่อยู่ในขั้นนี้
แต่ถ้าออกมานอกห้องแล้วมากินอิ่มนอนหลับ ตอนนี้ก็พูดจริง ๆ เราน่ะพูดทางปากเลย เห็นอะไรก็อยากพูด ทีนี้ก็ไม่เห็นจริง ๆ เลย
พอสำรวมกายซะห้าประตู อดนอนผ่อนอาหารมันก็เริ่มเห็นจริง ๆ แล้วว่า เอ๊ะ ทำไมอยู่คนเดียวมีแต่ประตูใจแต่มันพูดไม่หยุดเลย แต่ปัญหาตอนนี้คือ มันเริ่มเห็นแล้วล่ะว่าในประตูใจเริ่มรู้จักประตูใจแล้ว ตอนนี้เริ่มรู้จักประตูใจจริง ๆ แต่กลายเป็นว่าเราเป็นคนพูดไม่หยุด เราพูดนั่นพูดนี่ พูดนี่พูดนั่น พูดไม่หยุดเลยทั้งวัน ตลอดเวลาเลย
เราต้องฝึกไปจนกระทั่งเห็นว่า... ไอ้ตัวที่พูดไม่หยุดเนี่ย เป็นตัวสังขาร ทุกปัจจุบันขณะ มันเป็นสังขาร เป็นความปรุงแต่ง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อย่าหลงไปสังขาร เห็นสังขารแต่ไม่หลงไปเป็นสังขาร
ที่หลวงปู่หล้าท่านว่า บรรทัดที่สอง ที่ว่า... ใจย่อมรู้สังขาร ใจไม่ติดสังขาร
แต่อันแรกนี่มันคืออารมณ์เลย มันเป็นอารมณ์มันเป็นอย่างนู้นมันเป็นอย่างนี้ นี่บรรทัดแรก
บรรทัดที่สอง ใจย่อมรู้สังขาร ไม่ติดสังขาร ไม่ไปเป็นสังขาร พอรู้สังขารไม่ติดสังขาร กลายเป็นใจที่มันไม่มีอะไรเลยเหมือนกับไม่มีตัวจิตตัวใจ มันว่างเปล่าไปหมด
ก็เห็นว่าพอไม่ติดสังขาร แล้วก็พยายามมีผู้มารักษา มายึดใจที่ว่างเปล่า ก็ใจก็ย่อมรู้ใจ ใจรู้ใจและไม่ติดใจไม่ยึดใจ
ใจรู้สังขารในใจไม่ยึดสังขารในใจ คือ ไม่ไปเป็นสังขารแล้วก็ใจรู้ใจ ตอนนี้รู้ว่าใจเนี่ย รู้จักใจที่ไม่สังขารแล้ว แต่ก็พยายามจะยึดและรักษาใจที่ไม่สังขารไว้
อันนี้มันก็ "รู้เท่าทัน" ว่ามีผู้มายึดใจที่ไม่สังขาร ก็ใจรู้ใจแล้วใจก็ไม่ยึดใจ นั่นแหละที่เป็นความรู้บริสุทธิ์
ความรู้บริสุทธิ์ ก็เรียก “นิพพาน”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง
191209B-1 อดนอน ผ่อนอาหาร ตอนที่ 1 (บางส่วน)
ฟังจากระบบซาวด์คลาวด์ : https://soundcloud.com/luangtanarongsak/191209b-1-1
☆หมายเหตุ : โอวาทธรรมคำสอนองค์หลวงปู่หล้า เขมปัตโต ที่องค์หลวงตาฯ อ้างถึงในไฟล์เสียง
อ่านธรรม ก็คืออ่านใจ
อ่านใจในที่นี้ คือ การรู้เท่าทันใจของตัวเอง
ใจจะดี ใจจะชั่ว ก็ให้ดูใจ ใจขี้เกียจ ก็จงหมั่นดูใจ ใจขยัน ก็จงหมั่นดูใจ แล้วใจจะเข้าใจเอง
ใจจะรู้ใจ ใจจะรู้ธรรม ใจจะรู้สังขาร และใจจะละสังขาร ใจจะละใจ
ในที่สุด หมดการยึดมั่น กล่าวได้ว่า หมดความสงสัยใด ๆ เพราะมีใจเป็นบัลลังก์
ความก้าวหน้าในธรรม มันจะไม่เดินหน้าอย่างเดียวนะ มันจะมีเดินหน้าบ้างถอยหลังบ้างอยู่ตลอด เหมือนย้อนกลับมาทดสอบใจเราว่ามั่นคงพอหรือยัง แต่โดยรวมเมื่อทดสอบผ่านแล้วเราก็จะก้าวข้ามไปอยู่อีกระดับหนึ่งเป็นอย่างนี้อยู่เสมอนะ ทุกทางที่ก้าวเดินจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ด้วย " สติ " นะ ให้มีสติรู้ตัวเอาไว้ รู้อยู่กับกายนี่หล่ะ จะพาคุณข้ามอุปสรรคทั้งปวงได้นะจนถึงข้ามสังสารวัฏนี้ได้ จําไว้นะ รู้ตัวเอาไว้ อย่าปล่อยใจให้เพลินกับความคิด จะหลุดนะ
บางคนคิดว่า ยิ่งนั่งภาวนานานเท่าใด ก็ยิ่งเกิดปัญญามากเท่านั้น
ผมเคยเห็นไก่กกไข่อยู่ในรังของมันทั้งวัน นับเป็นวันๆ
"ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆ อิริยาบถ"
การฝึกปฏิบัติของท่าน ต้องเริ่มต้นขึ้นทันที ที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า
และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป
อย่าไปกังวลว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ
สิ่งสำคัญก็คือ ท่านเพียงแต่*เฝ้าดู*ไม่ว่าท่านจะเดินหรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่
แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง บางคนตายเมื่อมีอายุ ๕๐ ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี
และบางคนเมื่ออายุ ๙๐ ปี ฉันใ้ดก็ฉันนั้น ปฏิปทาของท่านทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน
อย่าคิดมากหรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย
จงพยายาม*มีสติ*และปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน
แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้นๆ ในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง
มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่า ที่ซึ่งบรรดาสัตว์ป่าที่สวยงามและหายาก
จะมาดื่มน้ำในสระนั้น ท่านจะเข้าใจถึงสภาวะธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง (สังขาร) ในโลก
อย่างแจ่มชัด
ท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์และแปลกประหลาดทั้งหลาย*เกิดขึ้นและดับไป*
แต่ท่านก็ยังสงบนิ่งอยู่เช่นเดิม *ปัญหา*ทั้งหลายจะบังเกิดขึ้น
แต่ท่านจะ*รู้ทันมันได้ทันที* นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า
จาก มรดกธรรมเล่มที่ ๓๔ “คำตอบหลวงปู่ชา” หน้า ๒๑-๒๒
💠
รู้ปรมัตถ์ คือ เเจ้งชัด ..พุทธรรม
"...หาก เกิดปัญญาญาณ
รู้เห็นปรมัตถ์เมื่อใด..
การเจริญสติ ..
จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
และ .. สติ
จะมีความมั่นคงสมบูรณ์มากขึ้น
เพราะ ..
รู้เห็นประโยชน์อย่างชัดเจนว่า ..
สติ ..
ที่อยู่ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
จะมี ..ความสุข ประณีต
ละเอียดอ่อน สุขุมเยือกเย็นจริงๆ
ต่างกับ ..จิต
ที่อยู่ด้วยกิเลสตัณหาอย่างสิ้นเชิง
และ .. การปรารภความเพียร
ก็ทำโดยไม่ต้องใช้ความเพียร
เพราะ ..
มันกลายเป็นชีวิตจิตใจไปแล้ว
เดิน ยืน นั่ง นอน หยิบจับฉวย
สติ ..จะปรากฎตัวอยู่เสมอ..
พร้อมกับ ..สมาธิ ปัญญา
ไม่ยอมทิ้งกาย ใจ ไปไหนอีกเลย..."
เคลื่อนไหวไปสู่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม(ภายใน๗วัน)
พระพุทธยานันทภิกขุ
https://www.youtube.com/watch…
สติ สมาธิ ปัญญา (layer)
สิ่งทั้งหลายก็ทุกข์ต่อไป ตามเรื่องของธรรมชาติ
แต่ใจเราเป็นอิสระมีสุขที่สมบูรณ์”
สิ่งทั้งหลายที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มีความเปลี่ยนแปลงเป็นไปต่างๆ
มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา
เพราะมันอยู่ในกฏธรรมชาติอย่างนั้น
ไม่มีใครไปแก้ไขได้ แต่ที่มันเป็นปัญหาก็เพราะว่า
ในเวลาที่มันแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามกฏธรรมชาตินั้น
มันพลอยมาเบียดเบียนจิตใจของเราด้วย เพราะอะไร ?
เพราะเรายื่นแหย่ใจของเรา เข้าไปใต้อิทธิพล
ความผันผวนปรวนแปรของธรรมชาตินั้นด้วย
ดังนั้น เมื่อสิ่งเหล่านั้นปรวนแปรไปอย่างไร
ใจของเราก็พลอยแปรปรวนไปอย่างนั้นด้วย
เมื่อมันมีอันเป็นไป ใจของเราก็ถูกบีบคั้นไม่สบาย
แต่พอเรารู้เท่าทันถึงธรรมดาแล้ว
กฎธรรมชาติก็เป็นกฎธรรมชาติ
สิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมชาติ ก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ
ทำไมเราจะต้องเอาใจของเราไปให้กฎธรรมชาติบีบคั้นด้วย
เราก็วางใจของเราได้ ความทุกข์ที่มีในธรรมชาติ
ก็เป็นของธรรมชาติไป ใจของเราไม่ต้องเป็นทุกข์ไปด้วย
ตอนนี้แหละที่ท่านเรียกว่ามีจิตใจเป็นอิสระ
จนกระทั่งว่า แม้แต่ทุกข์ที่มีในกฎของธรรมชาติ
ก็ไม่สามารถมาเบียดเบียน บีบคั้นใจเราได้
เป็นอิสรภาพแท้จริง ที่ท่านเรียกว่า “วิมุตติ”
เมื่อพัฒนามาถึงขั้นนี้ เราก็จะแยกได้ระหว่าง
การปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายภายนอก
กับการเป็นอยู่ของชีวิตจิตใจภายในของเรา กล่าวคือ
สำหรับสิ่งทั้งหลายภายนอก ก็ยกให้เป็นภาระของปัญญา
ที่จะศึกษาและกระทำไปให้ทันกันถึงกัน กับกระบวนการ
แห่งเหตุปัจจัยของธรรมชาติให้ได้ผลดีที่สุด
ส่วนภายในจิตใจก็คงอยู่เป็นอิสระ พร้อมด้วยความสุข
ความสุขจากความเป็นอิสระถึงวิมุตติที่มีปัญญารู้เท่าทัน
พร้อมอยู่นี้ เป็นความสุขที่สำคัญ พอถึงสุขเช่นนั้นแล้ว
เราก็ไม่ต้องไปพึ่งอาศัยสิ่งอื่นอีกต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
มันจะกลายเป็นความสุขที่เต็มอยู่ในใจของเราเลย
และเป็นสุขที่มีอยู่ประจำอยู่ตลอดทุกเวลา เป็นปัจจุบัน
ความสุขที่เรานึกถึงหรือใฝ่ฝันกันอยู่นี้
มักเป็นความสุขที่อยู่ในอนาคต
คือเป็นความสุขที่หวังอยู่ข้างหน้าและอิงอาศัยสิ่งอื่น
แต่พอมีปัญญารู้เท่าทันความจริงแล้ว
จะเกิดความสุขที่อยู่ในตัวเป็นประจำและมีอยู่ตลอดทุกเวลา
เป็นปัจจุบันทุกขณะ กลายเป็นว่าความสุขเป็นเนื้อเป็นตัว
เป็นชีวิตจิตใจของเราเอง พอถึงตอนนี้
ก็ไม่ต้องหาความสุขอะไรอีก
ถ้ามีอะไรมาเสริมให้ความสุขเพิ่มขึ้น
เราก็มีความสุขที่เป็นส่วนแถม และเราก็มีสิทธิ์
เลือกตามสบายว่าจะเอาความสุขนั้นหรือไม่ ไม่มีปัญหา
และเมื่อสุขแถมนั้นไม่มี ก็ไม่เป็นไร เราก็สุขอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ท่านเรียกว่า ไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตนเองอีก
พลังงานชีวิตที่เหลืออยู่ก็ยกให้เป็นประโยชน์แก่โลกไป
นี่แหละเป็น สุขที่สมบูรณ์ และก็เป็น ชีวิตที่สมบูรณ์ด้วย
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
จากหนังสือ : ความสุขที่สมบูรณ์