การพิจารณาธรรม คือการพิจารณาจิต กาย ใจ
ให้เห็นความเป็นจริง ในความไม่เที่ยง เป็นไปตามกรรม
ไม่ว่าจิต กาย ใจของตน หรือบุคคลผู้อื่นล้วนเป็นเช่นเดียวกัน
มีสติรู้อยู่อย่างนี้ เห็นเป็นธรรมดา
จิตวางอุเบกขาอารมณ์ เป็นผู้สำเร็จผลในธรรม
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ตอนที่ ๓๕๗ พิจารณาธรรม
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2561ณ พุทธอุทธยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้า ต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไปดังนี้ว่า
ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเจ้าขา วันนี้ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรมถึงสติปัฏฐาน หมวดที่ 4 คือการพิจารณาธรรม หน่ะเจ้าค่ะ
เราจะพิจารณาธรรมแบบไหน ยังไง หรือเจ้าค่ะ ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
พระพุทธองค์ ดีแล้วหละพระยาธรรมเอย ถ้าอย่างนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดี
ในหมวดที่4 ของสติปัฏฐาน 4 นั้น ก็คือ การพิจารณาธรรมเป็นอารมณ์ หรือว่ามีสติอยู่กับธรรม ให้ระลึกนึกถึงธรรมอยู่เสมอ
ซึ่งพระธรรมคำสอนสั่งนี้ ในความเป็นจริงนั้น มันก็มีมากมายและทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ในความเป็นจริงแล้วมันก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมทั้งนั้น
ถ้าเกิดว่าเรามองเห็น สิ่งที่มันเกิด ที่มันเป็นอยู่และที่ดับไปเหล่านั้น อย่างแท้จริงแล้ว เราก็จะเห็นมีแต่ธรรมทั้งนั้นแหละลูก ที่ซ่อนอยู่ในทุกสิ่ง ซ่อนอยู่ในทุกอย่าง
และเราก็สามารถที่จะหยิบยกเอา เรื่องต่าง ๆ สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านั้น มาพิจารณาตรึกตรองเป็นธรรมได้เช่นเดียวกัน
แต่การที่เรานั้น จะพิจารณาธรรมที่เป็นธรรมภายนอก บางทีมันอาจจะกว้างเกินไป กว้างจนเรานั้นอาจจะเสียเวลาไปดูแต่สิ่งที่มันมีอยู่เป็นอยู่ภายนอก
สิ่งที่เป็นธรรมภายนอก จนเรานั้นลืมดูสิ่งที่มันเป็นธรรมภายใน คือในกายของเรานี้ ในตัวในตนของเรานี้
ฉะนั้นพระยาธรรมเอย เราจึงควร ควรที่จะ พิจารณาดูธรรมที่อยู่ในตัวของเราเป็นหลัก อย่างนั้นก็จะดีกว่า
เพราะการที่เรานั้น พิจารณาสิ่งที่อยู่ในตัวของเราเป็นธรรม มันจะทำให้ตีวงของธรรมให้แคบลง ทำให้เราไม่เสียเวลา
เมื่อเราเข้าใจตัวของเรา เราก็จะเข้าใจสิ่งอื่น และบุคคลผู้อื่น เมื่อเราเห็นเรา เราก็จะเห็นคนเขาได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้นลูกเอ๋ย โดยส่วนใหญ่แล้ว การพิจารณาธรรมนี้ จึงควรพิจารณาธรรมที่เกิดขึ้นในเรา เช่น การที่เรานั้นได้พิจารณาดูขันธ์ทั้ง 5 กอง ของเรา
พิจารณาดูธรรมก็คือความเป็นจริง สิ่งที่มันเกิด สิ่งที่มันตั้งอยู่ สิ่งที่มันดับไป ที่มีอยู่ในเรา
หรือจะพิจารณาดูกาย ดูกายในกาย ดูสิ่งที่ไม่สวยไม่งามไม่เที่ยงแท้ที่มันเกิดขึ้นอยู่ในกาย
จะดู ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มันมีอยู่ในเรา
จะตามรู้อารมณ์สุข ทุกข์ ที่มันมีอยู่ในเรา ในจิตของเรา รู้เท่า รู้ทันตลอด แห่งกิเลสตัณหาที่มันมีอยู่ในเรา
แล้วนำเอาสิ่งเหล่านี้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หยิบยกขึ้นเป็นอารมณ์ พิจารณาธรรมนั้นให้จริงให้จัง
พิจารณาให้เข้าถึงแก่นลึกของธรรม ให้เราสามารถเห็นแจ้งตามความเป็นจริงในสิ่งนั้น มีสติระลึกอยู่กับธรรม จนทำให้ธรรมนั้น ๆ แตกฉานในเรา
และทำให้ธรรมนั้น ๆ ปรากฏขึ้นชัดเจนแก่เราอยู่เสมอ อย่างนี้หละลูก ที่เขาเรียกว่าการพิจารณาธรรม
พระยาธรรมเอย ฉะนั้นจึงอธิบายโดยรวมว่า การพิจารณาธรรมนั้น ทุกสิ่งบนโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมทั้งนั้น
และการที่เราจะหยิบยกเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งภายนอกมาพิจารณาเป็นธรรม มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เราจงเอาธรรมเหล่านั้น น้อมเข้าสู่ภายในจิตกายใจของเรา
น้อมเข้าสู่ตัวสู่ตนของเรา และพิจารณาธรรมที่อยู่ในตัวในตนของเราให้แจ่มแจ้งรู้จริง เข้าใจอย่างกระจ่างแล้วในตัวของเรา
อย่างนี้หละพระยาธรรมเอย คือการหยิบยกเอาธรรมมาพิจารณามีสติอยู่กับธรรม
หรือว่าเรานั้น จะหมั่นระลึกนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นึกถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
การไม่มี ความว่างเปล่า
นึกถึงเหตุของทุกข์ วิธีดับทุกข์และทำให้ทุกข์นั้นดับไป อย่างนี้ก็ได้
ธรรมนั้น ไม่มีสิ่งใดผิดลูกเอ๋ย ขอเพียงแค่ให้เรานั้น มีสติตั้งมั่นดำรงอยู่ กับการพิจารณาธรรม
ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งเรื่อง หรือสอง สาม เรื่อง หลาย ๆ เรื่อง ขอให้เราได้ทบทวนถึงธรรม คือพระธรรมคำสอนสั่ง คือความเป็นจริงและดำรงอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้
ในสิ่งที่มันเกิดและมันดับเหล่านี้ อย่างนี้ก็ถือว่าใช้ได้หละ พระยาธรรมเอย
ธรรมทั้งหลายมีกว้างไกลมากมายเท่ากับโลกใบนี้ และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มีความละเอียดมากมาย
แต่ธรรมทั้งหลาย ก็มีความคล้ายกันมากในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนโลกนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนกัน ตั้งอยู่เหมือนกัน และจะดับไปเหมือนกัน
ดวงจิตมีมากมายหลายภพภูมิ ผู้คนมีมากมายหลายรูปแบบ แต่ก็มีลักษณะคล้ายกันคือ มีดวงจิต มีกิเลสตัณหา มีกรรมเป็นตัวส่งผล
แล้วก็มีกายเป็นผลของกรรม ดำรงอยู่ เป็นอยู่ ตามสิ่งเหล่านี้เหมือนกันไม่มีความแตกต่าง
ฉะนั้นลูกเอ๋ย การที่เราจะพิจารณาธรรมนั้น เราจึงสามารถที่จะหยิบยกเอาเรื่องต่างๆ ที่มันมีอยู่เป็นอยู่มาพิจารณา ทั้งภายนอกและภายใน
พิจารณาภายนอกเข้าสู่ภายใน ทวนกันไป ทวนกันมา อยู่อย่างนี้ หรือว่าจะเลือกที่จะพิจารณาเห็นความเป็นจริงอย่างนี้ว่า
มีจิตเลยมีกิเลส มีกิเลสเลยมีกรรม มีกรรมเลยมีกาย
ถ้าเรามีศีล ศีลก็จะช่วยให้มีธรรม ธรรมแล้วก็จะมีสมาธิ สมาธิก็จะมีปัญญา ปัญญาก็จะช่วยถอดถอนกิเลส ดับการเกิดแห่งตน
มีเหตุของการเกิด มีเหตุของการต้องเกิด เกิดขึ้น ก็เพราะจิต เพราะกิเลส เพราะกรรม เพราะกาย
มีเหตุที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ คือการมีศีล มีธรรม มีสมาธิ และมีปัญญา ทบทวนอยู่อย่างนี้ ง่าย ๆ แบบนี้ ทบทวนไปมานั่นก็คือการมีธรรม
พระยาธรรมเอย สติปัฏฐาน 4 ก็คือการมีสติ ระลึก ตั้งมั่น จดจ่อ พิจารณาอยู่กับสิ่งทั้ง 4 ที่หยิบยกขึ้นมา คือ กาย คือเวทนา คือจิต และธรรม
ซึ่งถ้าจะพูดแบบง่ายๆ ให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ มีร่างกาย มีจิต มีใจ ใจก็แทนเวทนาไปแล้วกันนะ
เพราะใจคือตัวคอยรับเรื่องจากกายสู่จิต คอยรับเรื่องจากจิตสู่กาย คือตัวรับรู้สุข ทุกข์ ทั้งทุกข์ของกาย และทุกข์ของจิต คือหลงตามกิเลส ตัณหา ความต้องการต่าง ๆ
ฉะนั้นเราก็มีแค่พิจารณาดูกาย ดูใจ ดูจิต และส่วนเรื่องของธรรมนั้น ก็คือการพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงในกาย ในใจ หรือในเวทนา ในความรับรู้สุขทุกข์นั้น แล้วก็ในจิต
เราก็จะมีสติอยู่ในธรรมเช่นเดียวกัน ธรรมทั้งหลายมีมากมายจนสับสน
แต่ถ้าเกิดว่าเราเข้าใจกาย เข้าใจเวทนาหรือใจนั่นหละ และเข้าใจจิตแล้ว เราก็จะเข้าใจธรรมและแตกฉานในธรรมได้เอง โดยที่ไม่ต้องสับสนวุ่นวาย ครุ่นคิดให้มันมากมาย
อย่างงี้แหละพระยาธรรม ถ้าจะเอาอย่างง่ายๆ กันนะ ของบางอย่าง ถ้าเกิดว่าทำให้มันวุ่นวาย ยาก ทำให้มันไม่ง่ายที่จะประพฤติปฏิบัติ เพราะมันดูยุ่งเหยิง
พูดให้มันดูดีไป ดูฉลาดไป แต่มันใช้งานใช้การอะไรไม่ได้เลย มีแต่พูดไปอย่างนั้น ให้อวดรู้อวดเก่ง อวดดีถือดีว่าตนรู้อย่างนั้น อย่างนี้
คำพูดฉะฉาน ใช้แต่เฉพาะภาษาที่เป็นหลักเป็นการอย่างนั้น แต่มันเอามาปฏิบัติจริงจังไม่ได้ และไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรลูก
พระพุทธศาสนา คำสอนสั่ง การจัดตั้งขึ้นมา ชี้ทางบอกทางของศาสนานี้ ก็เพื่อเป็นหนทางให้ทุกคนพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
แต่ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อให้ใครเอาไปท่องให้ดูเก่งๆ เอาไปจดไปจำ เพื่ออวดชาวบ้านเขา ฉันพูดภาษาแห่งธรรมได้คล่องยิ่งนัก ไม่ได้เฉพาะอย่างนั้นลูก
ฉะนั้นบางที ถ้าไม่ยึดเอาเฉพาะตรงๆ เลยมา สติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิตและธรรม แล้วก็ไปเน้นอยู่ในสิ่งที่มันยาก ๆ ไม่ยอมรับไม่ยอมทำในสิ่งที่มันง่าย ๆ
มันก็จะเป็นหนทางที่จะทำลาย ทำลายการเจริญแห่งธรรม การเจริญแห่งการปฏิบัติ ทำลายการจะเข้าถึงธรรม ด้วยความคิดที่มีอยู่จริงเหล่านั้น
ใจที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง จึงควรที่จะมีใจที่อ่อนโยน และพิจารณาตามธรรมทุกอย่างที่มีอยู่ ทั้งง่าย ทั้งยาก
โดยไม่ยึดติด ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด แล้วเอายากมาทำให้มันง่าย ง่ายต่อการประพฤติปฏิบัติ
ธรรมในกึ่งพุทธกาลนี้ จึงตั้งใจที่จะอธิบายธรรม ในธรรมทั้งหลายให้มันง่าย ๆ อย่างเรื่องของสติปัฏฐาน 4 ก็เช่นเดียวกัน
จึงอธิบายให้มันง่ายๆ ให้มันเข้าใจไปเลยว่า การพิจารณากาย การพิจารณาดูเวทนาหรือใจ การพิจารณาดูจิต เมื่อพิจารณา 3 องค์นี้ครบ
เราย่อมแตกฉานในธรรมได้เป็นอย่างดี แล้วก็หยิบเอาความจริงที่เราเห็นอยู่ในกาย ในเวทนาและจิตนั้น ขึ้นมาพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ทำให้มันเป็นอารมณ์แห่งธรรมอยู่เสมอ
ทบทวนไปมาอยู่ในธรรมเหล่านี้แหละลูก นั้นแหละคือการมีสติอยู่กับธรรม นั่นแหละคือการพิจารณาธรรม ที่ถูกต้อง
โดยที่ไม่ต้องไปถกเถียงกันว่าพิจารณาธรรมคือการดูสิ่งนั้น คือการดูสิ่งนี้ จะต้องไประบุให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้น
มันคือการทำความง่ายให้กลายเป็นความยาก ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เอาจริงกับมันไม่ได้
ฉะนั้น ธรรมชาติก็คือว่า รู้กายก็รู้ธรรมซิลูก รู้เวทนาก็รู้ธรรม รู้จิตก็รู้ธรรม เมื่อรู้ 3 รู้นี้แล้ว ธรรมก็ย่อมที่จะแตกฉานจนสามารถหยิบยกขึ้นมาเป็นอารมณ์ได้
อย่างนี้หละพระยาธรรม ก็เหมือนกันกับช่วงแรกที่อธิบายให้ฟังแหละนะ
ธรรมมันมีมากมาย มากจริง ๆ ถ้าแยกเป็นปลีกย่อยออกมา แต่ว่าธรรมทั้งหลายก็คือธรรมอันเดียวกัน การที่เรามัวแต่พิจารณาธรรมภายนอก มันจะทำให้เราเสียเวลา
ฉะนั้นการพิจารณาธรรมอยู่ในกาย คือความจริงที่เป็นอยู่ มีอยู่ในกายนี้ ธรรมคือธรรมชาติ ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา
พระธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ก็คือสอนให้เราเข้าใจความจริงที่มีอยู่นั้น
เมื่อเราเข้าใจความจริงที่มันมีอยู่ในกาย เราก็เข้าใจพระธรรมคำสอนและเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า หรือว่าเข้าใจธรรมะคือธรรมชาติที่มันเป็นอยู่
เข้าใจทั้งพระธรรมและธรรมชาติอย่างนี้
เมื่อเราเข้าใจ เรื่องของเวทนาเราย่อมเข้าใจธรรมและธรรมชาติ
เมื่อเราเข้าใจถึงเรื่องของจิต เราก็ย่อมเข้าใจ ถึงพระธรรมและธรรมชาติ เราย่อมเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าชี้ให้เห็น และย่อมรู้เห็นตามธรรมชาติเหล่านั้น
อย่างนี้หละพระยาธรรม มันไม่ได้ยากอะไรหรอกลูก เพราะมันเป็นองค์ประกอบ ที่ประกอบกันเข้าไปอยู่ แล้วเป็นปรกติ
เช่น การมีศีลก็จะมีธรรม มีธรรมก็จะมีสมาธิ มีสมาธิก็จะมีปัญญา อย่างนี้ก็เหมือนกัน ลูก
การพิจารณาอยู่ในกาย มีสติอยู่ในกายก็จะเห็นเวทนา การพิจารณาเวทนาก็จะเห็นจิต
การพิจารณากาย เวทนา และจิต ก็จะเห็นธรรม จิตตั้งมั่นอยู่กับธรรมเหล่านี้เป็นอารมณ์
รู้ตื่น รู้เท่า รู้ทัน สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เหตุของทุกข์ วิธีดับทุกข์ เข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็คือเข้าใจธรรม ทรงอารมณ์อยู่ในธรรม มีสติอยู่กับธรรม คือความจริงของสรรพสิ่ง
นั่นหละพระยาธรรม คือการพิจารณาธรรม เป็นสติ เป็นอารมณ์ตั้งมั่น มีสติอยู่กับธรรมมันก็เป็นแค่นี้หละลูก มันไม่ยากอะไร พอจะเข้าใจบ้างหรือยังหล่ะพระยาธรรม
สาธุเจ้าค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแล้วหละเจ้าค่ะ แท้ที่จริงถ้าเราคิดว่ามันยาก เราก็จะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้ยากอะไรถ้าเรารู้กาย รู้เวทนา รู้จิต เราก็จะรู้ธรรม เพราะมันเป็นของคู่กัน
จิตเราควรจะรู้ตื่นอยู่กับพระธรรม คำสอน และธรรมะคือธรรมชาติที่มันเป็นอยู่ อยู่ตลอดเวลาเวลา มีสติอยู่กับธรรมคำสอน อยู่กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่ตลอด
เราก็จะเป็นผู้มีธรรมเป็นอารมณ์ เป็นผู้มีสติอยู่ในธรรม เข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าข้า
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาสอน เรื่องของสติปัฏฐาน 4 แบบ ง่าย ๆ ให้ลูกทั้งหลายได้เข้าใจกันเจ้าข้าฯ
เพราะว่าลูกชอบ ถ้ามีคนที่เขานั้น พูดแล้วรู้สึกว่ามันยากมากหนะเจ้าค่ะ รู้สึกเคยได้ยินแบบนี้มา ทำให้เรารู้สึกวุ่นวายและกลัวว่าจะทำไม่ได้
แต่วันนี้ลูกเข้าใจแล้วเจ้าข้าฯ ว่าสติปัฏฐาน 4 มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่เรื่องยาก ลูกจะน้อมไปประพฤติปฏิบัติ และเผยแผ่ พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกคงต้องขอลาก่อนนะเจ้าค่ะ ไว้ลูกจะมาเข้าเฝ้าฟังธรรมใหม่พระพุทธเจ้าข้า สาธุ