ผู้บรรลุ ผู้ไม่บรรลุ สิ่งที่บรรลุล้วนมายา
💥จิตธรรมดาหรือจิตตรัสรู้ล้วนมายาเท่าเทียมกัน
👉ด้วยทั้งคน ทั้งจิต ทั้งนิพพาน ทั้งสังสารวัฏ
👉ล้วนเป็น"ความว่าง"ที่เสมอเท่ากันหมด
💥มีแต่กระแสปรุงแต่งแห่งธรรมชาติล้วนๆที่หมุนกลิ้งไป ตถตา....เช่นนั้นเอง🙏🙏🙏
#การพิจารณาอาการของจิตเป็นเรื่องสำคัญ
ที่"ปัญญา"จะต้องสอดแทรก
ตามให้ทัน
เมื่อ"สติ ปัญญา"ตามทันแล้ว
"จิตคิดปรุงแต่งอะไร"ก็ทราบว่า"ไปจากจิต"
ซึ่งกำลังออกไปวาดภาพหลอกตัวเอง
กำลังจะไปสำคัญมั่นหมายกับรูป เสียง
กลิ่น รส นานาชนิด ใจก็รู้ทัน!
เมื่อรู้ทัน อารมณ์นั้นก็ดับไปทันที
ไม่เกิดเป็นตนเป็นตัว เป็นรูปเป็นร่าง
เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
เพราะ"สติปัญญา" ทันมัน! เรื่องก็สงบไป...
#หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
คนทั่วๆไปไม่มีตัวผู้รู้.. ไม่มีจิตเป็นผู้รู้
มีแต่จิตเป็นผู้คิด-ผู้นึก-ผู้ปรุง-ผู้แต่ง เป็นผู้หลง
เราก็หัดพัฒนาจิตให้เป็นผู้รู้ขึ้นมา
เพื่ออะไร..?
เพื่อว่าเราจะเห็นว่า ชีวิตเราขาดเป็นช่วงๆ
คนที่ไม่ได้ภาวนานะ ไม่มีตัวรู้เนี่ย
ชีวิตเค้ามีอย่างเดียวคือหลง หลงๆๆๆๆ
หลงอยู่อย่างนั้นแหละ เลยคิดว่าจิตใจนี้เที่ยง
แต่พอเรามาหัดมีตัวรู้ขึ้นมา เราก็รู้ว่า
ตัวรู้อยู่ชั่วคราว แล้วก็หายไป มีตัวหลงเกิดขึ้น
ตัวหลงอยู่ชั่วคราว แล้วก็หายไป มีตัวรู้เกิดขึ้น
คล้ายๆ ชีวิตเราขาดเป็นท่อนๆ
ชีวิตช่วงนี้ เป็นชีวิตที่รู้สึกตัว
ชีวิตช่วงนี้ เป็นชีวิตที่หลง
เราจะเห็นว่า ชีวิตเราไม่ได้มีอันเดียว
จิตใจเราก็ไม่ได้มีดวงเดียว เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เราก็สามารถเดินปัญญาได้
".. งั้นมีตัวรู้ขึ้นมานะ
เพื่อเอามาเดินปัญญา "
(เจริญวิปัสสนากรรมฐาน--ผู้ถอดความ)
พอมีตัวรู้เราก็เห็นรูปนามเกิดดับได้
เห็นความรู้สึกเกิดดับได้ .. จิตเป็นคนรู้
แล้วสุดท้ายมันก็เห็นว่า
ตัวรู้เองก็เกิดดับได้
เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด
งั้นที่เราฝึกจนกระทั่งเรามีตัวผู้รู้ขึ้นมาเนี่ย
เพื่อจะอาศัยชั่วคราวเท่านั้นเอง
อาศัยไว้เจริญปัญญา
ถ้าเราไม่มีตัวรู้ มันเจริญปัญญาไม่ได้
พอมันมีตัวรู้ขึ้นมา มันก็จะเห็นเลย
ความสุขเกิดแล้วก็ดับ ความทุกข์เกิดแล้วดับ
ดีเกิดแล้วดับ โลภ-โกรธ-หลง เกิดแล้วก็ดับ
ร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่ไม่ใช่ตัวเรา เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
มันจะแยกๆๆ ออกไป มันจะเห็นตัวเราไม่มี
นั้นเดินปัญญา เดินปัญญาเสร็จแล้ว จนรู้ความจริงก็วาง
วางอารมณ์ไป วางร่างกายไป
ก็เหลือตัวรู้แล้วคราวเนี้ย ตัวรู้จะเด่นดวงแล้ว
เวลาบรรลุพระอนาคามีแล้วเนี่ย ตัวรู้จะสว่างไสว
ท่านบอกว่าสมาธิบริบูรณ์แล้ว
สมาธิบริบูรณ์หมายถึง
สมาธิชนิดที่จิตตั้งมั่น (ลักขณูปณิชฌาน)
ไม่ใช่สมาธิสงบ (อารัมมณูปณิชฌาน)
สมาธิสงบน่ะ ฤาษีชีไพรก็ทำได้
พระอนาคาฯบางองค์นะได้ปฐมฌาน(ฌานที่ ๑)
ทั้งๆที่ว่าสมาธิบริบูรณ์
ในขณะที่ปุถุชนบางคนได้ฌานที่ ๘
แต่ถือว่าสมาธิไม่บริบูรณ์
เพราะสมาธิคนละชนิด
งั้นพอจิตเรามันปล่อยวางจิต
แล้วจิตรวมลงมาที่จิตดวงเดียวสว่างไสวอยู่อย่างนั้น
ถึงตรงนี้ผู้ปฏิบัตินะ
จะรักแล้วก็จะหวงแหนตัวจิตผู้รู้นี้ที่สุดเลย
โห! นี่แหละจิตหนึ่ง ๆ นี่แหละจิตเดิมแท้
จริงๆ ยังไม่ใช่
ยังไม่ใช่จิตหนึ่งหรอก
ยังเป็นจิตสองอยู่ เพราะอะไร..?
ประเดี๋ยวก็เป็นตัวรู้.. เดี๋ยวก็เป็นตัวหลง
เดี๋ยวก็เป็นตัวรู้.. เดี๋ยวก็เป็นตัวเพ่ง
จิตยังแปรปรวนอยู่
สว่างไสวได้ ยังหมองๆได้ มัวๆได้ นานๆมัวทีหนึ่ง
ไม่เหมือนจิตพวกเรามัวทั้งวัน ไม่ค่อยสว่าง
ภพภูมิของเราเป็นอย่างนี้นะ อย่าไปเสียใจ
เราก็เป็นอย่างนี้แหละ
ยอมรับความจริงแล้วพัฒนาไป
ถ้าเป็นพระอนาคาฯนะ สมาธิไม่เสื่อม
เห็นด้วยว่าจิตมันหมองๆ แต่จิตก็ยังตั้งมั่นนะ
ไม่ใช่หมองๆ แล้วไหลไปหลงโลกไม่มีหรอก
มันหมองอยู่กับตัวของมันเองนั่นเอง
ผู้มีสติปัญญาก็จะเห็นเลย
ตัวรู้นี้ก็ยังไม่เที่ยง ตัวรู้ยังแปรปรวนได้อีก
จิตก็ปล่อยวางตัวรู้ได้
สร้างมาแทบตายนะ
มีตัวรู้ขึ้นมาเพื่ออาศัยเจริญปัญญา
พอเจริญปัญญาเต็มที่แล้วกลับปล่อยตัวรู้ทิ้ง
ตัวรู้ตัวเดียวนี้แหละ จะพาเราไปเกิด
จิตตัวรู้ เนี้ย! เหมือนๆ เมล็ดของต้นไม้
เรามีเมล็ดข้าวอยู่เมล็ดหนึ่งเนี่ย
เมล็ดข้าวเมล็ดเดียวตกลงไปในท้องนา
ถูกแดดถูกฝนเข้างอกเป็นต้นข้าวได้อีก
มีจิตตัวรู้ตัวเดียวนี้แหละ
อวิชชาคือเชื้อเกิดซ่อนอยู่ข้างใน
ถึงเวลาเหมาะๆนะ มันก็งอกขันธ์ ๕ ขึ้นมาได้อีก
งั้นอาศัยตัวรู้ตัวเดียวนี้เองสร้างขันธ์ ๕ ขึ้นมาได้อีก
ต้องทำลายเชื้อเกิดของมัน
คล้ายๆ เรามีเมล็ดต้นไม้อยู่เมล็ดหนึ่ง
ต้องทำลายต้นอ่อนของมันที่อยู่ข้างในของมันให้ได้
ต้นอ่อนที่อยู่ในเมล็ดของต้นไม้
ตัวต้นอ่อนของมันก็คือตัวอวิชชานั่นเอง
อวิชชา...เราจะทำลายตัวนี้ได้ยังไง เราก็ดูไป
ตัวรู้เองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
ตัวรู้เองก็ไม่เที่ยง ตัวรู้เองก็บังคับไม่ได้จริง
พอเห็นความจริงแจ่มแจ้งแล้วเนี่ย จิตปล่อยวางตัวรู้
แต่ถ้าคนไหนเป็นพวกทรงฌานนะ
จิตทรงฌานอยู่ได้เยอะๆ จะเห็นว่าตัวรู้นี้เป็นตัวทุกข์
ลำพังเห็นตัวรู้ว่าไม่เที่ยงเนี่ย จิตไม่ปล่อย
เพราะว่าเวลาทรงฌานอยู่ มันเหมือนตัวรู้เที่ยง
แล้วก็จิตนั้นมันก็มีความสุขมาก จิตที่ทรงฌานอยู่
แต่จู่ๆ กลับไปเห็นว่า จิตตัวรู้ผู้ทรงฌานอยู่เนี่ยเป็นตัวทุกข์ เนี่ยเห็นตัวทุกข์นะ ถึงจะปล่อย
งั้นเวลาที่จิตจะปล่อยวางจิตเนี่ย ปล่อยได้หลายแบบ
พวกที่มีศรัทธามีวิริยะอะไรมากมายนะ
เห็น(จิตผู้รู้)ว่ามันไม่เที่ยงก็ปล่อยแล้ว(เห็นอนิจจัง)
***พวกที่มีปัญญาแก่กล้า เห็นว่า(จิตผู้รู้)มันบังคับไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวเรา (เห็นอนัตตา) ก็ยอมปล่อยวางจิต***
แต่พวกทรงฌานเนี่ย เห็นว่าจิตนี้คือตัวทุกข์ (เห็นทุกขัง)
นี่คือก้อนทุกข์ที่สงวนรักษาเอาไว้ จิตถึงจะปล่อยวางจิต
งั้นเวลาจะปล่อยวาง(จิต)เนี่ย เห็นอันใดอันหนึ่ง
บางคนเห็นอนิจจัง บางคนเห็นทุกขัง บางคนเห็นอนัตตา
เราเลือกไม่ได้ จิตจะเลือกของจิตเองในวาระสุดท้ายนั้น
อย่างบางคนเห็นจิตเป็นตัวทุกข์
พวกทรงฌานเห็นจิตเป็นตัวทุกข์ ก็ปล่อยวางจิตได้
บางท่านเห็นจิตไม่ใช่ตัวใช่ตน
ท่านก็ปล่อยวางได้ นี่พวกปัญญากล้า
พวกหนึ่งมีความเพียรกล้าพยายามภาวนาไป เห็น(จิต)มันไม่เที่ยง.. ก็ปล่อย
งั้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ปล่อย(จิต)แล้วเป็นอันเดียวกัน (เป็นพระอรหันต์--ผู้ถอดความ)
ตรงที่เรียกว่า"จิตหนึ่ง" หรือ"จิตเดิมแท้ "
ทีท่านเว่ยหล่างพูดถึงหรือฮวงโปพูดถึง ไม่ใช่ตัวจิตผู้รู้
จิตผู้รู้ ยังเป็นจิตที่ยังเป็นคู่อยู่
ยังเป็นสิ่งที่เป็นคู่อยู่ คืิอ คู่กับความหลง
สว่างไสวได้ก็คู่กับความมืดมัวได้
แต่เมื่อจิตปล่อยวางจิตแล้วเนี่ย
จะเข้าถึงธาตุอีกชนิดหนึ่ง เป็นธาตุรู้
ธาตุรู้ ...มันก็ไม่มีอะไรปลอมปน เข้ามาปรุงแต่งมันได้อีกต่อไป มันมีความสุข มีความสงบ อยู่ในตัวเอง
โดยไม่ต้องระวังรักษา
เนี่ย! ที่เรียกว่า.. จิตหนึ่งๆ คือมันไม่เป็นสองขึ้นมา
จิตเดิมแท้ เป็นธาตุ ธาตุก็เป็นของเดิม
อย่างร่างกายเราเนี่ย ไม่ใช่ของเดิม
มันอาศัยธาตุที่มาประกอบเป็นร่างกาย
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม เป็นธาตุ เป็นของเดิม
ตัวรู้ก็ยังมีธาตุรู้ ธาตุรู้เป็นของเดิม
เพราะฉะนั้นบางทีเลยเรียกว่า"จิตเดิมแท้"
ต้องมีคำว่า.. แท้ ..ด้วย ไม่ใช่จิตเดิมเทียม
"... เราจะภาวนานะ จนเข้าถึงจิตเดิมแท้นี้แหละ
มันจะไม่แปรปรวน ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งมันได้อีก
เพราะมันไม่มีความอยาก(ตัณหา)เกิดขึ้นแล้ว
ที่มันไม่มีความอยาก เพราะมันฉลาดเต็มที่แล้ว
มันทำลายเชื้อเกิดคือความโง่ไป(อวิชชา)
ค่อยๆฝึกนะ ค่อยฝึกไป
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ใจบ่มีหยัง ใจบ่ติดหยัง กะไปพระนิพพาน
คำว่านิพพานหมายถึง ใจหมดจากสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งปวง บ่มีหยังในใจ
"พระนิพพานคือความดับ"
เราทั้งหลายให้พิจารณาตามคำสอนของพระศาสดา ผู้สอนผู้นำไปสู่พระนิพพาน
การกระทำนี้ถูกต้องดีงาม ไม่เลือกว่าผู้หญิงผู้ชาย เด็กน้อยผู้ใหญ่
ผู้ใดเห็นธรรมผู้ใดรู้ธรรม
เป็นธรรมอันเดียวกันเลย
เป็นธรรมชนิดเดียวกัน มีรสเดียวกัน
หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ
จึงจะเข้าถึงธรรมชาติรู้ที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม)
ซึ่งเกิด ไม่ดับ ไม่มีการไป การมา การหยุดนิ่งอยู่
ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ใช่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ไม่ใช่อากาศ (ความว่าง) ไม่ใช่ความว่างในอรูปฌาน
ไม่ใช่อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ (อาการของจิตหรือของใจ) จึงไม่อาจถูกรู้ได้ทางอายตนะภายใน และไม่ใช่อายตนะภายใน
ไม่ใช่ขันธ์ห้า ไม่อาจถูกทำลายได้
เป็นอมตธาตุ อมตธรรม
มีชื่อสมมติว่า “จิตบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ นิพพาน… ซึ่งไม่ได้เป็นของเรา
แต่ผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อปล่อยวางกาย จิต ผู้รู้ (ตัวปลอม) แล้ว จะมาหลงยึดถือจิตบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ นิพพาน
เมื่อรู้เท่าทันความหลงมีตัวตน มีเรา ตัวเรา มาหลงยึดถือความบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน.... จึงจะสิ้นตัวตนของผู้หลงยึดถือ มีแต่ความบริสุทธิ์เท่านั้น เรียกว่า “นิพพาน”
ดังนั้น การพิจารณาธรรมใดชัดเจนในปัจจุบัน ก็ให้น้อมนำธรรมนั้นมาพิจาณากัดติด จดจ่อ เพราะมีความพอใจ (ฉันทะ) ความเพียร จิตตะ (เอาใจใส่จดจ่ออย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย) วิมังสา (ตริตรองในเหตุผล ในอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) จนเห็นสัจธรรมความจริงของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มีโพชฌงค์ 7 ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ .....
***** สำคัญที่ต้องมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จึงจะพ้นจากทุกข์ได้
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
" การกระทบมี
แต่...ผู้กระทบ ไม่มี
ความอยากมี
แต่...ผู้อยาก ไม่มี
ความยึดมั่นถือมั่นมี
แต่...ผู้ยึดมั่นถือมั่น ไม่มี
พระพุทธภาษิต
มีอยู่...อย่างนี้."
(หลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ)
พิจารณาธรรมต่อเนื่อง จึงพ้นจากทุกข์
ธรรมทั้งการพิจารณากาย พิจารณาจิต พิจารณาผู้รู้ เพื่อให้รู้แจ้งถึงใจว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะได้สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่นว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา....
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
"กิเลสตัณหาก็เป็นธรรม ธรรมทั้งนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมทั้งนั้น เรียกว่าธรรม
คือธรรมเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
เพ่งเข้าหาจิต เพ่งเข้าหาจิต
ดูเข้าไปหาจิต หยั่งเข้าหาจิต
กิเลสตัณหามันเป็นเหมือนกับเปลือกเนี่ย
เปลือกไม้นั่นน่ะ เหมือนกับเปลือกผลไม้อย่างงั้นล่ะ
เข้าไปหาถึงเนื้อแล้วเปลือกไม่มี
เข้าไปหาถึงแก่นแล้วกระพี้ไม่มี
เข้าไปหาจิตจริง ๆ แล้ว เรื่องขี้หมูขี้หมาไม่มีหรอก
เรื่องไฟเผาหัวนี่ไม่มี
ลูบ ๆ คลำ ๆ ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ
ใคร ๆ ก็ว่า เหมือนกับเอาเชื้อไปใส่ไฟ
เข้าไปหาจุดที่ไฟมันเกิดเหมือนสวิตซ์ไฟอย่างเนี้ย
ดับที่ถูก ถูกที่จุดมันเนี่ยนะ กี่ดวงกี่ดวงดับทันที
ถ้าหากว่าดับไม่ถูกจุดนั่นน่ะ ตายเพราะไฟนั่นล่ะ
นี่ ธรรมทั้งหลายเกิดจากจิต"
หลวงปู่แบน ธนากโร
"ชีวิต" ของคนเรา...ไม่มีเลยสักวินาที ที่ไม่มีธรรม
ที่อิงอาศัยเหตุแห่งกรรมส่งผลในชีวิต
เพราะฉะนั้น...ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏตรงหน้าเรา
กระทบเรานั่น"จะไม่ใช่"ผลกรรมของเรา
เกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงล้วนเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย
ที่เราได้กระทำเอาไว้ทั้งสิ้น
ใครไป ใครอยู่ ใครจะได้รับบทเรียน
ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้วด้วยตัวเราเอง
ชีวิตจะเป็นไปตามธรรม ...ระวังได้แต่อย่าหวาดระแวง!!!
จิตของผู้ใดเปรียบด้วยภูเขาหิน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
ไม่กำหนัดในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
ไม่โกรธเคืองในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งการโกรธเคือง
จิตของผู้ใดอบรมแล้วอย่างนี้ ทุกข์จักถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน ฯ
ชุณหสูตร
สัมมาสติ...
ต้องประกอบด้วย
สติ ความระลึกได้
ถึงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น
กับสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวของจิต
คือการรู้อยู่ถึงคุณลักษณะของจิตเอง
"ไม่ถลำเข้าไปเป็น"ในสภาวธรรมนั้นๆ
เมื่อไม่เข้าไปเป็น ไม่ว่าจะเป็น
กาย เวทนา จิต ธรรมมารมณ์ ต่างๆ
เมื่อนั้นย่อมรู้เห็นสิ่งเหล่านั้นตามจริง
เมื่อรู้จักพัฒนา สติสัมปชัญญะ ให้เจริญเสมอ
การปฏิบัติธรรมก็จะไม่เยิ่นเย้ออยู่แค่เพียง
ทำความสงบ พอไม่ได้ทำก็ฟุ้งซ่าน
พอฟุ้งก็อยากหาวัด อยากเข้าคอร์สต่างๆ
เพื่อหวังจะได้สงบอีก
แต่ถ้าเพียง เจริญสติ สัมปชัญญะ ได้อย่างถูกต้อง
ทุกช่วงเวลา ของชีวิต จะเป็นการปฏิบัติธรรม
แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายต่างๆ ทางโลก
แต่จิตที่ฝึกฝนมาตลอด ก็ยังสงบเย็นตื่นรู้อยู่ได้
เพราะ..."รู้แล้ว"ไม่เข้าไปเป็น
คำว่าอัตโนมัตินี้ก็รู้สึกว่าหยาบ
ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับผลไม้เมื่อแก่แล้วเป็นยังไง มีแต่ทางจะสุกโดยถ่ายเดียว ก่อนจะสุกนั้นมันทำหน้าที่อะไรของมัน ผลไม้ที่แก่แล้วนั้นมันจึงจะห่ามไปได้ มันจึงจะสุกไปได้ มันทำงานของมันอย่างไร อันนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่มีคำที่จะพูดก็เรียกว่าอัตโนมัติ
จิตถึงขั้นพระอนาคามีแล้วย่อมเป็นจิตอัตโนมัติ ที่จะหมุนตัวไปเพื่อความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ไม่มีคำว่าถอยกลับ
กิเลสตัวให้ถอยกลับๆมีแต่กิเลสตัณหาราคะนี้เป็นสำคัญมาก ที่ดึงดูดและฉุดกระชากโลกทั้งหลายให้จมแน่วๆจนไม่รู้จักบุญจักบาป ตกนรกอเวจีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วน
ก็เพราะอันนี้เองเป็นสำคัญ เมื่อผ่านนี้ไปแล้วจะโล่งไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรมากวนใจ
จิตมีแต่ความสงบเย็นใจอย่างเบา ไม่ใช่สงบแบบสมาธิ
เลยสมาธินั้นไปแล้ว เป็นความว่างเปล่าจากสัตว์จากบุคคล นี่อำนาจของปัญญา
ท่านเรียกว่าปัญญา อันนี้ก็อยู่ในขั้นปัญญา
ท่านว่า ปัญญาปริภาวิตัง จิตตัง สัมมเทวะ อาสเวหิ วิมุจจติ
นี่แหละขั้นนี้แล
#จิตที่ปัญญาอบรมแล้ว #ซักฟอกแล้ว #ย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ #คือหลุดพ้นอย่างนี้แล #หลุดพ้นไปเรื่อยๆอย่างนี้
ตั้งแต่ขั้นหยาบๆ มีราคะตัณหานี้เป็นต้น
จนกระทั่งอันนี้พังทลายลงไปหมดจากหัวใจก็รู้ได้ชัดตามเป็นจริง นี่ก็เรียกว่า สันทิฏฐิโก หรือเรียกว่าปฏิเวธธรรม ปรากฏอยู่ในผู้ปฏิบัติ เห็นได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องไปถามใคร
พูดแล้วสาธุ..แม้พระพุทธเจ้าจะมาประทับอยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่ทูลถามพระองค์ เพราะสันทิฏฐิโก ประกาศกังวานมาแล้ว ด้วยโอวาทของพระพุทธเจ้านั้นแล จะเป็นโอวาทของใคร ประจักษ์ใจ เพราะเป็นหลักธรรมชาติอันเดียวกัน รู้ได้ชัดเป็นลำดับลำดา ท่านจึงเรียกว่า สันทิฏฐิโก จากนั้นจิตก็ว่างเปล่าไป ปัญญาประเภทนี้เรียกว่า ปัญญาอัตโนมัติ ถ้าในปริยัติของเรา ท่านเรียกว่า ภาวนามยปัญญา
สุตมยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟังหนึ่ง
จินตมยปัญญา ปัญญาที่พินิจพิจารณาใคร่ครวญแล้วเกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมาหนึ่ง
ภาวนามยปัญญา นี้เกิดขึ้นทางด้านภาวนาล้วนๆ ได้แก่ ภาวนาที่มีสมาธิหนุนตัว แล้วเกิดความคล่องแคล่วว่องไว เห็นเหตุเห็นผล เห็นดีเห็นชั่ว เห็นโทษเห็นคุณของกิเลสและธรรม ไปโดยลำดับลำดา แล้วหมุนตัวไปเอง
นี่ท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา คือหมุนไปในหลักธรรมชาติของตัวเอง อันนี้ถ้าจิตไม่เป็นด้วยตัวเองแล้ว เราเรียนในปริยัติเราก็จำได้ดังที่ท่านๆ เราๆ เรียนกันนั่นแหละ
ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วนๆ ก็ได้เพียงเท่านั้น ไม่ทราบสาเหตุเป็นมาอย่างไร ภาวนามยปัญญานี้ ต้องเกิดขึ้นจากอำนาจของปัญญาที่พิจารณาเห็นเหตุเห็นผล แล้วหมุนตัวไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงธรรมขั้นละเอียด กลายเป็นมหาสติ มหาปัญญา ไปจาก ภาวนามยปัญญานี้ทั้งนั้น
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
" ใจที่ว่างนั้นมี"รู้" ผัสสะกระทบเกิด"รู้" รู้แล้ว สติเป็นตัวนําปัญญามารู้ทัน ปัญญาที่รู้ทันเพราะเห็นความจริง ว่าง ไม่เข้าไปยึดจนก่อภพชาติขึ้นมา
พระอรหันต์ไม่ใช่ก้อนหินที่ว่างแต่ไม่รับรู้อะไร รู้แต่ละด้วยปัญญา ปัญญาเป็นตัวมาละกิเลส จนรู้แจ้งหมดการละ ดําเนินชีวิตไปกับรู้ ว่าง ด้วยปัญญา แต่ไม่เข้าไปจมแช่อยู่กับความว่าง
อย่าให้สิ่งที่ไปรู้นั้นเด่นขึ้นมา ไม่ว่าผัสสะที่มากระทบหรือความว่างไม่ให้เด่นมันเป็นการส่งใจออกไปโดยไม่รู้ตัว แค่รู้ รู้ที่หมดประธาน ไม่เข้าไปยึดก่อภพก่อชาติ "
จุดสําคัญ อยู่ที่การวางใจ ทางสายกลางของใจตนเอง ไม่ตึงจนจมแช่ ไม่หย่อนจนไม่รู้ตัว ตนเองเท่านั้นที่จะรู้ได้ด้วยตนเอง เรื่องของใจ สภาวะทางใจ ละเอียดยิ่งนัก ต้องรู้เองเห็นเอง สัมผัสเอง เวลาเอามากล่าว แค่การใช้คําที่มองคนละจุดกัน ก็คลาดเคลื่อนไปได้มากแล้ว คําตอบแท้ๆ จึงอยู่ที่ใจของเราเอง ต้องใจเรารู้เห็นเอง ใจจึงคลาย
Trader Hunter พบธรรม
1005.. วงจรปฏิจจสมุปบาท ๒ แบบ
ทำให้เกิดวงจรสังสารวัฏ ..วงจรปฏิจจสมุปบาทมี ๒ แบบ
1.) แบบข้ามภพข้ามชาติ
- จากอดีตชาติมาสู่ปัจจุบันชาติ .เพราะมีอวิชชา เป็นราก ทำให้เกิดการสร้างกรรม(สังขาร) เกิดเป็นดวงบุญ- ดวงบาป- ดวงไม่บุญไม่บาป..เกิดมีปฏิสนธิวิญญาณ ..ไปเกิดในภพต่างๆ รับความทุกข์
- ชาติปัจจุบันไปสู่อนาคตชาติ
จิตวิญญาณ มีการสร้างกรรมใหม่ เกิดเป็นวิบาก พาไปเกิดในภพภูมิตามกรรม ในอนาคตต่อไป
2.) แบบทุกขณะจิต
การเกิดดับของจิตในทุกขณะ มีการเกิดดับเร็วมาก (ชาติ ชรา มรณะ)นั่นเอง คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
* จิตเกิดมาได้ เพราะมีภพอยู่ (อัตตา. เห็นว่าสิ่งนี้เป็นตัวของเรา)
มโนธาตุ โพธิญาณ
นี่แหละ นักธรรมนักกรรมฐาน จิตเป็นของไม่ตาย ตัวตายนั้นคือรูปเป็นตัวตาย ตัวตายตัวเวทนา ตัวตายตัวสัญญา ตัวตายคือตัวสังขาร ตัวตายตัววิญญาณ
ตัวไม่ตาย ได้แก่ จิตที่เป็นนิพพาน
อสังขตธรรมได้แก่ รูปธรรม เวทนาธรรม ไม่มีแก่จิต
อสังขตธาตุ เวทนาธาตุ ไม่มีแก่จิต อสังขตปัจจัย
ใจพ้นจากรูป ใจพ้นจากเวทนา ใจไม่มีเวทนา
ใจพ้นจากสัญญา ใจไม่มีสัญญา ใจก็พ้นจากสัญญา
ใจไม่มีสังขาร ใจก็พ้นจากสังขาร
ใจไม่มีวิญญาณ ใจพ้นจากวัญญาณ ใจก็นิพพานนั่นแหละ
เมื่อใจเป็นนิพพานแล้ว ชาติ ความเกิดไม่มีแก่ใจ ชรา ความแก่ ไม่มีแก่ใจ พยาธิ ความเจ็บไข้ ตัวร้อน ไม่มีแก่ใจ มรณะ ความตาย ความเกิดไม่มีแก่ใจ ใจก็เป็นพระนิพพาน พ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ไม่ต้องกลับมาเกิด ให้มันทุกข์ มันยากลำบากในโลกนี้
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
ทางวิปัสสนา (๓) ปัญญาเป็นเครื่องทำลายความโง่ (อวิชชา)
หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเราอยากพ้นทุกข์จริงๆนะ เราต้องมาเรียน ถึงสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา”...“ตัวเรา”
ทำไมต้องมาเรียนตรงนี้ ถ้าเราไม่เรียนในสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” เนี่ย ความทุกข์อยู่ที่ไหนล่ะ ความทุกข์อยู่ที่กายใช่มั้ย ความทุกข์ที่ใจของเรา กายกับใจก็คือ รูปธรรม นามธรรม ที่ประกอบกันเป็นตัวเรานั่นเอง ความทุกข์มันตั้งอยู่ในร่างกาย ความทุกข์มันตั้งอยู่ในจิตใจนี้เอง
ถ้าสติปัญญาเราไม่พอ เวลาร่างกายไม่สบาย ร่างกายมีความทุกข์เกิดขึ้น เราก็จะรู้สึกว่าเราทุกข์ ไม่ใช่ร่างกายทุกข์นะ เป็นเราทุกข์ เวลาจิตใจมีความรู้สึกนึกคิด มีความปรุงไม่ดี มีความรู้สึกที่ไม่ดีเกิดขึ้นน่ะ ก็คิดว่าจิตใจของเราทุกข์ จิตใจเราไม่ดี กลายเป็นตัวเราไปหมด ทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแค่สภาวธรรมอย่างหนึ่ง
การที่เรามาปฏิบัติจนกระทั่งล้างความเห็นผิดว่ามีตัวเราได้เนี่ย เป็นเรื่องใหญ่นะ ไม่มีในคำสอนของคนอื่น ยกเว้นแต่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีคำว่าทั้งหลายด้วย พระพุทธเจ้าไม่ได้มีองค์เดียว แต่ในยุคหนึ่งๆนะมีทีละองค์ พระพุทธเจ้ามีนับจำนวนไม่ถ้วน แต่ในยุคของเรา พระพุทธเจ้าชื่อ พระโคตมะ พระโคตมพุทธะ ลูกพระเจ้าสุทโธธนะ ชื่อเดิมท่านชื่อสิทธัตถะ มีองค์เดียว
คำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย ถึงขั้นการเจริญปัญญา ในขณะที่คำสอนของคนอื่นนะ มันไปหยุดอยู่แค่การทำทาน การรักษาศีล การทำสมาธิ การทำทานก็ไม่ใช่เรื่องเลว เป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัว สละความเห็นแก่ตัวออกไป ลดความเห็นแก่ตัวลงไป การรักษาศีลก็เป็นเรื่องดี เป็นเครื่องกดข่ม ข่มใจของเราเอง ไม่ให้ทำชั่วตามกิเลส การทำสมาธิก็เป็นเรื่องดี เป็นการข่มกิเลสไม่ให้ครอบงำจิตใจ กลับข้างกันนะ
ศีลเนี่ย เราข่มใจไม่ให้ทำตามกิเลส อยากฆ่าเขา-ไม่ฆ่า อยากตี-ไม่ตี อยากขโมย-ไม่ขโมย อยากโกหก-ไม่โกหก เป็นศีล ข่มใจของตัวเอง
สมาธิน่ะ ข่มกิเลส จิตจะฟุ้งซ่าน จิตจะมีกิเลส ทำสมาธิ กิเลสก็สงบ ความฟุ้งซ่านก็สงบ ดับลงไป จิตก็สงบขึ้นมา มีราคะขึ้นมา มีความใคร่ขึ้นมา เจริญอสุภกรรมฐานอะไรอย่างนี้ จิตก็สงบเข้ามา ข่มกิเลส ข่มราคะได้ ข่มโทสะ มีโทสะขึ้นมาก็เจริญเมตตา เจริญเมตตามากๆนะโทสะก็ถูกข่ม
สมาธิ...นี้นะเป็นตัวข่มกิเลส
ศีล...เป็นตัวข่มใจของตัวเองไม่ให้ทำตามกิเลส
ส่วนปัญญานั้นเป็นการเรียนรู้ความจริงของสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา จะทำลายความโง่ ใช้คำว่า “ทำลาย” แล้วนะ
ศีล-สมาธิ เป็นเรื่องข่มๆเอาเท่านั้นเอง ข่มจิตบ้าง ข่มกิเลสบ้าง แต่ปัญญาเนี่ย ถึงขั้นทำลายความโง่เขลา เท่านั้นเอง
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ในเรื่องของวิถีจิตนั้น
เมื่อสั่งสม สติ ปัญญา
จนสามารถรู้เห็นว่า
สรรพสิ่งทั้งปวง ที่ถูกรู้นั้น
เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของใครหรืออะไร
มันจะสลัดทิ้ง คลายออกจากสิ่งเหล่านั้น
ย้อนทวนกระแสส่งออก เข้ามารู้อยู่ที่ตัวที่รู้
และเป็นเพราะสั่งสมความตระหนักรู้มาตลอด
ไม่ได้มัวรักษา ตัวรู้ให้อยู่คงที่ จึงสามารถรู้ได้ว่า
แม้ตัวรู้นี้ก็เป็น อนัตตา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
จึงรู้ถึงสุญญตา ความว่างที่เต็มเปี่ยม
ว่างจากความมี ความเป็น ในสิ่งที่มันมี และไม่มี
ตระหนักถึงความว่างอย่างยิ่งที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
..ผู้ที่เรียน ศึกษามาก ๆ นั้นนะ
มันเป็นด้วยสัญญา ไม่ใช่ปัญญา
สัญญาเป็นความจำ ปัญญาเป็นความรู้เท่าทัน
มันไม่เหมือนกัน มันต่างกัน บางคนจำสัญญาเป็นปัญญา
ถ้าปัญญาแล้วไม่สุขกับใคร ไม่ทุกข์กับใคร ไม่เดือดร้อนกับใคร ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับจิตที่มันสงบหรือไม่สงบ
ถ้าสัญญาไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันเกิดความยึดมั่นถือมั่น เป็นทุกข์เป็นร้อนไปตามอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น.
หลวงพ่อชา สุภัทโท
" การเข้าไปมีตัวมีตนกับสิ่งใด ก็คือการที่จิตหลงเข้าไปยึดถือจนเกิดภพเกิดชาติ เป็นการมีตัวตนกับสิ่งนั้น
หากไม่ยึดถือ จิตมีสภาวะธรรมปกติเพียงแค่รับรู้รับทราบความคิดอารมณ์ แต่ไม่เข้าไปยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือ ภพชาติย่อมไม่เกิด ความมีตัวตนย่อมไม่มี "
หลักธรรมคำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตอบรมจิต
รู้ธรรมภายในจิต
แล้วอบรมธรรมในธรรมภายในจิต
ผู้รู้ไม่คิด
ผู้คิดยังไม่รู้
รู้แล้วไม่ต้องคิดก็เกิดปัญญา
เอาธรรมมาอบรมธรรม รู้ธรรมในธรรม
เอาธรรมชาติมาปฏิบัติธรรมชาติ
ให้รู้ธรรมชาติในธรรมชาติ
เอาธาตุมาปฏิบัติธาตุ
ให้รู้ธาตุในธาตุ
เอาธรรมอบรมในธรรม
เอาจิตอบรมในจิต
ให้รู้ธรรมภายในจิต
รู้แล้วละวาง ปล่อยทิ้ง และไม่อาลัย
และไม่ยึดมั่นในธรรมต่างๆ
ธรรมที่เกิดขึ้นภายในจิต ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
บาปบุญเปรียบเหมือนมารยา เกิดขึ้นแล้วดับ ปล่อยทิ้งทั้งสอง
มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ้นแห่งความรู้
หุบปากเงียบ อิ่มในธรรม
ธรรมเติมธรรม ไม่มีธรรมนั้นคือธรรม
ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน
หลวงพ่อปราโมทย์: ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา ถ้าไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความคิดนะ กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เนี่ย พอเราเห็นซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นะ ถึงจุดหนึ่งจิตมันจะรวมเข้ามา มันจะเข้าสมาธิ รวมเอง ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จิตมี ปีติ สุข เอกัคคตา มีวิตกวิจารณ์คือการตรึกถึงอารมณ์ การตรองเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้น อารมณ์อะไร อารมณ์นิพพาน จิตจะรวมเข้ามานะ ขั้นแรกพอรวมเข้ามาปั๊บ มันจะเห็นสภาวธรรม อะไรก็ไม่รู้ นะ ไม่รู้ว่าคืออะไร นะ ถ้ายังรู้ว่าคืออะไรนี่ยังเจือด้วยสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ของจริง จิตจะเห็นสภาวธรรมบางอย่าง เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ขึ้นมา บางคนเห็นสองครั้ง บางคนเห็นสามครั้ง
เห็นสองทีเนี่ย จิตก็วางการรับรู้อารมณ์นั้นแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ทวนกระแสเข้ากลับมาหาธาตุรู้ จากนั้นสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังธาตุรู้ไว้ จะถูกแหวกถูกทำลายออกชั่วขณะ จะแหวกออก จิตที่เป็นอิสระล้วนๆเลยที่สัมผัสกับธรรมะคือนิพพานล้วนๆเลยจะปรากฎขึ้นมา
เสร็จแล้วจิตจะถอยออกมานะ ตรงนี้ไม่มีคำพูดนะ แว้บเดียวเอง แต่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พร้อมอยู่ตรงนี้เลย พอถอยออกมากลับมาสู่โลกภายนอก จิตจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่า อ้อ..เมื่อตะกี้นี้เกิดอริยมรรคขึ้นแล้ว สังโยชน์เบื้องต้นถูกละไปแล้ว ความเห็นผิดถูกละไปแล้ว กายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ดูยังไงก็ไม่เป็นเราอีกต่อไปแล้ว จะละความเห็นผิดได้ จะหมดความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรายังลังเล รู้สึกมั้ย ฝึกๆไปช่วงหนึ่งก็รู้สึก เอ้อ.. จริง ไม่จริงว้า.. จริง ไม่จริงว้า.. อั้นนั้นเป็นธรรมชาตินะ ต้องมี ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่มี
หรือเราเคยงมงาย เห็นว่าต้องปฎิบัติอย่างนี้แล้วจะดี ปฏิบัติแล้วจะดี ต้องทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี จะหมดความงมงายอย่างนี้เลย รู้แต่ว่ามีแต่การเจริญสติรู้กายรู้ใจทางสายเดียว ทางสายเอก มีอันนี้อันเดียว ไม่มีอันอื่นอีกแล้ว เนี่ย พระโสดาบันละสิ่งเหล่านี้ได้ ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยได้ ละการถือศีลบำเพ็ญพรตแบบงมงาย ลูบๆคลำๆ ว่าทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี รู้แล้วว่าไม่มีทางอื่นเลยนอกจากการมีสติรู้กายรู้ใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง
เพราะฉะนั้นเวลาที่บรรลุพระโสดาบันไม่ใช่จิตดับนะ ทุกวันนี้มีคำสอนเรื่องจิตดับมากมาย คิดว่าภาวนาไปเรื่อย กำหนดไปเรื่อยนะ อย่างจะหยิบอะไรสักอันหนึ่ง กำหนดไปเรื่อยให้จิตมันแนบอยู่ที่มือเนี่ย เพ่งมากๆนะ จิตจะดับลงไป จิตดับแล้วสำคัญมั่นหมายว่าบรรลุธรรมแล้ว ดับ ๔ หน ก็เป็นพระอรหันต์นะ ออกมาจากพระอรหันต์ก็มาทะเลาะกับเมียเหมือนเดิมแหละ นะ ละกิเลสไม่ได้จริง
ในขณะที่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน มีจิตนะ ไม่ใช่ไม่มีจิต ขณะที่บรรลุอริยมรรค นะ ก็มี มรรคจิต ขณะที่บรรลุอริยผล มีผลจิต มรรคจิตมี ๔ ดวง ผลจิตอีก ๔ ดวง นี่เรียก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คนโบราณชอบพูด
ถ้าพูดอย่างละเอียด ก็มี ๒๐ อย่างละ ๒๐ เพราะว่ามันเจือด้วยฌานเข้าไปในแต่ละชนิด ฌานมันไม่เท่ากัน มีฌาน ๕ อย่าง เพราะฉะนั้นจิตที่บรรลุมรรคผลเนี่ย รวมแล้วมีจิตตั้ง ๔๐ ดวงแหน่ะ ทีนี้พวกเรารุ่นหลังๆนะ เชื่อคำสอนของอาจารย์มากไป เลยคิดว่าเวลาบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตดับวูบลงไปหมดสติ พอรู้สึกตัวขึ้นใหม่ บอกบรรลุไปแล้ว ตรงที่จิตดับลงไปนั้น คือ อสัญญสัตตาภูมิ คือ พรหมลูกฟักนะ
มีองค์หนึ่งท่านเล่น เมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านอนุสรณ์ เนี่ย ท่านลองเล่นๆของท่านนะ ดับปั๊บเลย และท่านรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ เพราะมันขาดสติ ออกมาแล้วไม่เห็นจะละกิเลสอะไรเลย ดับไปเฉยๆ ฝึกไม่กี่วันก็เป็นแล้ว นี่คือการเพ่งกาย เพ่งกายแล้วลืมจิต จนจิตดับลงไป เหลือแต่กายอันเดียวล้วนๆ
เพราะฉะนั้น เวลาบรรลุมรรคผลนิพพานมีจิต ไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่มีจิตแล้วใครจะรู้นิพพาน นิพพานเป็นอารมณ์นะ มีอารมณ์ต้องมีจิต เป็นกฎนะ กฏของธรรมะ ชื่อภาษาแขกเพราะๆเรียกว่า “ธรรมนิยาม” กฎของธรรมะ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
🌸 ธาตุรู้ 🌸
" ใจ" หรือ "ธาตุรู้"ตามธรรมชาติแท้ๆ
ที่ไม่ใช่เป็นวิญญาณขันธ์ เป็น "วิญญาณธาตุ" วิญญาณธาตุกับวิญญาณขันธ์ไม่เหมือนกัน
วิญญาณธาตุเป็นธาตุรู้แท้ ๆ หรือเรียกว่า "ใจ" นั้นน่ะ มันเป็นธาตุที่ว่างเปล่า ไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างไม่มีอะไรปรากฏเลยแต่มี "ความรู้" อยู่ในธาตุของเค้าเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด
แล้วเค้าก็มาประกอบกับธาตุดิน ซึ่งเป็นผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก ตับไตไส้น้อยไส้ใหญ่ ม้ามตับปอดหัวใจ ที่เรากินซากพืชซากสัตว์ผสมเป็นธาตุดิน เข้าไปเติม มาผสมกับธาตุน้ำ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำปัสสาวะ
มาผสมกับธาตุลมหายใจเข้าออก ลมเรอ ลมตด
มาผสมกับธาตุไฟ เป็นความร้อนความอบอุ่น
มาผสมกับ "ธาตุอากาศ"ซึ่งเป็นความว่าง
แล้วก็ธาตุรู้ก็มาแทรกซึม
"ธาตุอากาศ" และ "ธาตุรู้" จะแทรกซึมอยู่ภายในทุกธาตุ เพราะว่าเค้าเป็นความไม่มีตัวตนไม่มีอะไร เป็นความว่างเปล่า จึงแทรกซึมอยู่ในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และแทรกซึมอยู่ในธาตุอากาศนั้นเอง
"ธาตุรู้" จึงอยู่ในทุกที่ อยู่ในทั้งธรรมชาติภายนอกและทั้งธรรมชาติภายใน
เมื่อตายแล้ว "ขันธ์ห้า"แตกดับแล้ว "ธาตุรู้" ก็ไปอยู่ในทุกที่อยู่ในทุกธรรมชาติ อยู่ในทุกธาตุ อยู่ในทุกที่เลย
ดังนั้นในหนังพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกตอนจบ ตอนที่พระอานนท์ไปเดินอยู่ที่ชายหาดแล้วก็เสียใจอยู่ เศร้าเสียใจ
ก็มีเสียงพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
อานนท์เธออย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลย ตถาคตไม่ได้เกิดไม่ได้ตาย ที่มีรูปร่างเกิดตายเพียงแต่เป็นสิ่งที่ปรากฏและเปลี่ยนร่างไปเรื่อย
☀️แต่ตถาคตที่แท้จริง คือ ธาตุรู้ที่แท้จริง
☀️ไม่เคยเกิดไม่เคยตาย
☀️ไม่เคยแตกดับทำลาย
☀️อยู่ในทุกที่ อยู่ในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
☀️อยู่ในทรายที่เจ้าเดิน
☀️อยู่ในแสงแดดอยู่ในอากาศ
☀️อยู่ในลมที่พัดโดนตัวเจ้า
☀️อยู่ในใบไม้ที่เจ้าถือ
☀️อยู่ในร่างกายจิตใจของเจ้า
☀️อยู่ในร่างกายจิตใจของทุกคนของทุกชีวิต
"ธาตุรู้" นั้นเป็นอมตะและก็มีอยู่แล้วในพระพุทธเจ้า มีอยู่แล้วในพระอรหันต์ทั้งหลายพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย มีอยู่แล้วในปุถุชน มีอยู่แล้วในสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ธาตุรู้นี้มันมีธาตุเป็นธาตุประจำที่อยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว ผสมกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ แล้วเปลี่ยนรูปร่างไป แต่ธาตุรู้เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เขามีอยู่แล้วแต่รู้ไม่ทัน "ขันธ์บังธรรม"
เอาขันธ์ห้าเนี่ยมาบัง ทำให้มองไม่เห็นเขา ไม่รับรู้เขา...แต่เขามีอยู่แล้ว
ไม่ใช่พอเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ธาตุรู้เพิ่งจะมีธาตุรู้สร้างขึ้นมา เป็นพระอรหันต์แล้ว ธาตุรู้เพิ่งจะสร้างขึ้นมา
ธาตุรู้นั้นมีอยู่แล้ว แต่ความไม่รู้เท่าทันเป็น "อวิชชา" เอาขันธ์ห้ามาบัง บังธรรมหมด
"ใจ" เป็นธาตุรู้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เคยเกิดดับ ไม่เคยแตกทำลาย มีอยู่แล้วในร่างกายในจิตใจนี้ มันมีอยู่แทรกซึมอยู่ในทุกธาตุ ไม่ได้เป็นของที่ไปหาขึ้นมาใหม่ไม่ได้เป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่
แต่ "ขันธ์ห้า" รูป เวทนา สัญญา สังขาร โดยเฉพาะวิญญาณขันธ์ ซึ่งมันเกิดดับ ที่ไปรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วเอาเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร เอามาพูดเอามาพากษ์อยู่ในใจ ทำให้ไม่พบใจเลย... มันบังหมด
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
(หลวงพ่อชา สุภัทโท : ตอบปัญหาธรรมะ)
_______________________________________
" ถาม : มีอุบายที่แก้อุทธัจจกุกกุจจะ เสียหน่อย
ไหมครับ ?
ตอบ : อะไร อุทธัจจะ มันเป็นอย่างไร ?
ถาม : มันฟุ้งซ่าน เวลามันเข้มข้นขึ้นมา เราจะมี
อุบายแก้ยังไงครับ ?
ตอบ : มันไม่ยากหรอก ของมันไม่แน่นอนหรอก
ไม่ต้องไปแก้มัน
คราวที่มันฟุ้งซ่านมีไหม ที่มัน ไม่ฟุ้งซ่านมีไหม ?
ถาม : มีครับ
ตอบ : นั่น ! จะไปทำอะไรมันล่ะ มัน ไม่แน่อยู่แล้ว
ถาม : ทีนี้ เวลามันแลบไป แลบมาละครับ ?
ตอบ : เอ้า ! ก็ดูมันแลบไปแลบมา เท่านั้นแหละ
ทำอย่างไงกับมัน มันดีแล้วนั่นแหละ
โยม จะไม่ให้มันเป็นอะไร อย่างไง
มัน จะเกิดปัญญาหรือนั่น ?
ถาม : มันแลบไป เรา ก็ตามดูมัน ?
ตอบ : มันแลบไป มัน ก็อยู่นั่นแหละ
เรา ไม่ตามมันไป เรา รู้สึกมันอยู่
มัน จะไปตรงไหนล่ะ มันก็อยู่ในกรงอันเดียวกัน
ไม่ไปตรงไหนหรอก นี่แหละ ! เราไม่อยากจะให้
มันเป็นอะไร
นี่ ! ท่านพระอาจารย์มั่น (ภูริทัตโต) เรียกว่า...
สมาธิหัวตอ ถ้าแลบไปแลบมา ก็ว่า มันแลบไป แลบมา
ถ้ามันนิ่งเฉย ๆ ก็ว่า มันนิ่งเฉย ๆ จะเอาอะไรกันล่ะ
ให้รู้เท่าทันมัน ทั้ง ๒ อย่าง
วันนี้ ! มันมีความสงบ ก็ถอนมันมา ให้ปัญญามัน
เกิด แต่บางคนเห็นว่า มันสงบนี่ดีนะ ชอบมัน ดีใจ
วันนี้ ฉันทำสมาธิ มันสงบดีเหลือเกิน แน่ะ !อย่างนี้
เมื่อวันที่สองมา ไม่ได้เรื่องเลย วุ่นวายทั้งนั้นแหละ
แน่ะ ! วันนี้ ไม่ดีเหลือเกิน
เรื่องดี ไม่ดี มันมีราคา เท่ากัน
เรื่องดี มันก็ไม่เที่ยง
เรื่องไม่ดี มันก็ไม่เที่ยง
จะไปหมายมั่น มันทำไม ?
มันฟุ้งซ่าน ก็ดู...มันฟุ้งซ่านไปซิ
มันสงบ ก็ดู...เรื่องมันสงบไปสิ อย่างนี้ ให้ปัญญา
มันเกิด มัน เป็นเรื่องของมัน จะเป็นอย่างนี้
เป็นอาการของจิต มันเป็นอย่างนั้น
เรา อย่าไปยุ่งกับมันมากสิ ลักษณะอันนั้น
อย่างเราเห็นลิงตัวหนึ่งน่ะ มัน ไม่นิ่งใช่ไหม ?
โยม ก็ไม่สบายใจ เพราะลิงมันไม่นิ่ง
มัน จะนิ่งเมื่อไร ? โยมจะให้มันนิ่ง โยมถึงจะสบาย
มันจะได้ไหม ?
เรื่องของลิงน่ะ ลิง มันเป็นอย่างนั้น
ลิงที่กรุงเทพ ฯ ก็เหมือนลิงตัวนี้แหละ
ลิงที่อุบล ฯ ก็เหมือนลิงที่กรุงเทพ ฯ นั้นแหละ
ลิง มันเป็นอย่างนั้น ของมันเอง(ถ้า เราเข้าใจเรื่อง
ของลิง) ก็หมดปัญหา เท่านั้นแหละ
อันนี้ ลิงมันไม่นิ่ง เรา ก็เป็นทุกข์อยู่เสมออย่างนี้
เรา ก็ตายเท่านั้นแหละ
เรา ก็เป็นยิ่งกว่าลิง ซะแล้วมั้ง."
___________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)