ที่เราเป็นทุกข์ กังวล ทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็เพราะยังมีคำว่า "เรา"
นั่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา ยึดเอาไว้ไม่ปล่อย
แต่สภาวะที่แท้จริงมันไม่มีอะไรเลย...
พระพุทธองค์จึงทรงมาชี้ทางให้รู้ว่า จริงๆแล้ว
**สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มี **
จากคลิปพุทธธรรม
วัดพระพุทธเจ้าศรีเชียงของ
อ.เชียงของ จ.เชียงราย
"ทุกสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับจิตนั้น
ก็สักแต่ว่าเป็นความรู้สึกเท่านั้นเอง
เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมา ก็ตั้งอยู่
ตั้งอยู่ ก็ดับไป ก็เป็นไปเท่านั้น
ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเรา ไม่มีเขา
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น อันใดอันหนึ่ง
ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อาตมา จะ
ให้บทภาวนา สั้น ๆ ย่อ ๆ ให้ทุกคน
ภาวนาว่า.. #มันก็แค่นั้นแหละ
ธรรมชาติรู้ = จิต จิตเปรียบเหมือนที่ว่างๆ
ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ไม่สามารถสัมผัสได้
ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยจิตเอง..
รู้สึก = อาการของจิต
รับรู้ได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รู้สึกอะไรบางอย่าง เช่น..(เอาภาษาสมมุติมาขยายความ)
รู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
รู้สึกมีเสียงมากระทบที่หู
รู้สึกมีภาพมากระทบที่ตา
หรือรู้อารมณ์เกิดขึ้นที่ใจ
(เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เสียง ภาพ
หรืออารมณ์ทางใจ..
นั้นเป็นคำสมมุติเพื่อให้เข้าใจ ไม่ได้มีอยู่จริง)
**แต่ที่รู้สึกอยู่จริงๆในขณะนั้น เป็นเพียงอะไรบางอย่าง..
ไม่มีภาษาสมมุติ**
..รู้ และ รู้สึก..เป็นธรรมชาติเพียวๆ..ไร้สมมุติใดๆ..
ไร้ความคิดปรุงแต่งใดๆ
ไร้ความเชื่อ ไร้ความคิดเห็น
ไร้สุข ไร้ทุกข์ ไร้ดี ไร้ชั่ว
ไร้บุญ ไร้บาป ไร้สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา..
*และธรรมชาตินี้ ปรากฏให้รับรู้อยู่ทุกขณะ*
..แต่ๆๆๆ..ที่ท่านไม่ตระหนัก..
เพราะท่านไปหลงอยู่กับกระแส
ของความคิดปรุงแต่ง..หลงยึดถือ
ภาษาสมมุติ ตลอดเวลา..
..แต่ใช่ว่าจะไปยับยั้งความคิดปรุงแต่ง..หรือไปล้มภาษาสมมุติ....ไม่ใช่อย่างนั้น..
ความคิดปรุงแต่งก็ยังทำงาน อยู่ภาษาสมมุติก็ยังต้องใช้งานอยู่..เพียงเข้าใจและแยกกันให้ได้ว่า ธรรมชาติรู้ธรรมชาติ....ก็ส่วนหนึ่ง..
(นี้คือธรรมที่ปรากฏอยู่เดิมแท้)
ความคิดปรุงแต่ง รู้สมมุติปรุงแต่ง..ก็ส่วนหนึ่ง..
(นี้คือธรรมที่ไม่ได้ตั้งอยู่ก่อน ไม่ได้ตั้งอยู่ปัจจุบันและไม่ได้ ตั้งอยู่ในอนาคต..ไร้ซึ่งตัวตน)
..เหมือนน้ำบนใบบัว..หากสะกิดใจ สะดุ้งใจ..
ในวิถีชีวิตประจำวันทั้งวัน ท่านจะตระหนักถึง
**ธรรมชาติเพียวๆ**....อยู่ทุกขณะ...
""""""""""""""
"ธรรมะนั้นไม่มีอะไรจะให้เขียน แต่เมื่อจะเขียน
ก็ต้องนำภาษาสมมุติมาเขียน"
จากโพสต์ที่แล้วได้เขียนเรื่อง..จิต..และ อาการของจิต
คือรู้..รู้สึก.ซึ่งเป็นสภาวะธรรมเพียวๆ ไร้ความคิดปรุงแต่ง
ไร้ภาษาสมมุติที่ปรากฏให้รับรู้อยู่ทุกขณะและพร้อมกันนั้น ความคิดปรุงแต่งก็ทำงานควบคู่กันไป ด้วยการปรุงแต่งสมมุติ
ต่างๆ..เป็นภาษาในความนึกคิดภาษาพูด..ภาษาเขียนมากมาย
สองสภาวะนั้น อยู่คนละส่วนกัน *เหมือนน้ำบนใบบัว*
และความคิดปรุงแต่งสมุติทั้งหลาย ไม่สามารถทำให้..จิตและอาการของจิต..ทุกข์..สุข ใดๆ ได้เลย..
..พูดมาถึงตรงนี้.. ท่านคงจะงงๆๆ..ไม่เข้าใจ..
ขอยกตัวอย่าง..คุณสมศรีซื้อทุเรียนหมอนทอง
มาจากตลาด ที่เขาปอกไว้แล้ว เนื้อเหลืองพูใหญ่น่ากินมาก มาถึงบ้าน ด้วยความอยากกิน ยังไม่ทันได้นั่ง..
จึงหยิบออกจากถุงใส่ปากเคี้ยว
..คุณสมโชคสามีนั่งอยู่ในบ้าน เห็นคุณสมศรีเดินเข้าบ้านแล้วรีบกินทุเรียน..จึงถามว่า.. "เป็นไงทุเรียน อร่อยไม๊"
คุณสมศรีได้ยินก็ตอบทั้งที่ปากก็เคี้ยวทุเรียนอยู่ด้วย..
"ทุเรียนอร่อยมาก หอมหวานกำลังดีไม่เละ กรอบนุ่มอร่อย"
*โปรดสังเกตุ*..ความรู้สึกที่คุณสมศรีเคี้ยวอยู่
ในปากนั้น กับคำพูดที่ว่า "ทุเรียนอร่อยมาก หอมหวาน
กำลังดีไม่เละกรอบนุ่มอร่อย"*มันคนละส่วนกันกับ*
ที่เคี้ยวหนึบๆหนับๆอยู่ในปาก และที่ลิ้นได้สัมผัส จมูกได้สัมผัส..มันไม่มีภาษาสมมุติ...มีแต่อาการอะไรบางอย่าง..
นี่หละ..อาการของจิตที่รับรู้อยู่อย่างนั้น อย่างนั้น..
ไม่มี.."ทุเรียนอร่อยมากหอมหวานกำลังดีไม่เละกรอบนุ่มอร่อย"
แต่ที่พูดออกไปว่า"ทุเรียนอร่อยมาก หวานกำลังดี ไม่เละ กรอบนุ่มอร่อย" อันนี้คือความคิดที่ปรุงแต่งออกมา
เป็นภาษาเพื่อที่จะพูด..
ฉะนั้น..ทุเรียน อร่อย หวานกรอบนุ่ม จึงไม่มีอยู่จริง..
มีอยู่แต่..*สภาวะธรรมชาติรู้ รู้อะไรบางอย่าง..*
"ที่อ่านมา..ท่านเห็นอะไรไหมครับ"หากท่านเห็นก็นับว่าตระหนัก ในสภาวะแล้ว..
..แต่ๆๆหากท่านยังงงๆๆ..ก็ยังหลงยึดติดอยู่ในกระแส
ความคิดปรุงแต่งและภาษาสมมุติ.. ที่ให้ค่าว่าทุเรียน..อร่อย..หวาน
จึงไม่ตระหนักในสภาวะธรรมอันบริสุทธิ์อยู่เดิม..
*ซึ่งปรากฏให้รับรู้อยู่ทุกขณะ*
อาจารย์ปู่ เอกธาตุ
คนเราที่เครียดกันมาก
ปวดหัวกันจนจะเป็นโรคประสาท
ก็เพราะความคิด เพราะชอบเข้าไปแบก
ไปรับความคิด เข้าไปท่องเที่ยว
อยู่แต่ในโลกของความคิดโดยตลอด
จนหาทางออกไม่เจอ
ถ้าเพียงแต่เราสามารถรู้สึกตัว ว่าขณะนี้
กำลังทำอะไรอยู่ มีความรู้สึกใดเกิดขึ้นอยู่
ทั้งความเพลิน ความเหม่อๆ
กระแสความคิดนั้นจะถูกตัดลงไปทันที
ความรับรู้จะมาอยู่ที่ความรู้สึกตัว
ถ้าเราพัฒนาในขั้นนี้ได้จนชำนาญ
แม้ความคิดไม่ดับไปก็ตาม
แต่ไม่มีความเป็นเราเข้าไปแบก
ในความคิดเหล่านั้น จึงไม่ต้องทุกข์ ต้องเครียด
เพราะความคิดอีก ต่างคนต่างอยู่กันไป
...........
สรรพสิ่งทั้งหลาย
หมายรวมทั้ง ฝ่ายรูปธรรม นามธรรม
ทั้งธรรมที่พ้นจากรูปนาม
เมื่อหลงไม่รู้สึกตัว
ก็เข้าไปยึดถือให้ค่า
ว่าเป็นนั่นนี่ ตามแต่ที่เขาว่ากัน
แล้วก็มีชอบ ชังแฝงมากับการให้ค่านั้น
ทั้งๆ ที่เมื่อมีจิตตั้งมั่น จะเห็นเอง รู้เองว่า
สิ่งทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นเอง
ไม่ได้มีอะไรเป็นอะไรเลย เป็นธรรมเท่านั้นเอง
เมื่อรู้ได้อย่างนี้จิตก็ไม่กระเพื่อมหวั่นไหว
เห็นว่าเป็นเพียง 'สิ่ง' ที่เกิดดับตามเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ความทุกข์ไม่อาจขจัดได้ด้วยความคิด ความทุกข์ดํารงอยู่ได้ด้วยความทรงจํา ด้วยการคิดถึงความทุกข์ เพราะความคิดก่อให้เกิดความทุกข์ อะไรคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงและดำรงรักษา ความทุกข์ในอดีต และอนาคตไว้เล่า แน่นอนว่า มันคือ " ความคิด "
Trader Hunter พบธรรม
หากเราตระหนัก และรู้ถึงความว่าง.ของความคิดของเรา
โดยไม่ไปยึดถือ เอาจริง เอาจัง กับความคิดเหล่านั้น
การเกิด และการดับ ของแต่ละ...ความคิด
จะทำให้การรู้ และเข้าถึงซึ่ง...ความว่าง
เกิดความชัดเจน และมั่นคงยิ่งขึ้น
ขอให้มุ่งปฏิบัติเพื่อ...ตระหนักรู้ถึงความว่าง...
อันเป็นธรรมชาติ ของจิต."
(ตุลกู ดิลโก รินโปเช)
จริต ๖
พระพุทธศาสนาจำแนกจริตคนมี๖ ประเภท
เกิดจากที่มาของชีวิต
๑ โทสะ จริต
๒ ราคะ จริต
๓ ศรัทธา จริต
๔ โมหะ จริต
๕ พุทธะ จริต
๖ วิตกจริต จริต
บางคนมีหลายๆจริต
แต่ละคนจะมีจริตเด่นในตน
การเจริญกรรมฐานปรับจริต
โทสะจริตแก้ด้วยเจริญเมตตา
ราคะจริต แก้ด้วยการเจริญอสุภกรรมฐาน
ศรัทธา โมหะจริต แก้ด้วยการเจริญปัญญาสาม
วิตกจริต แก้ด้วยการเจริญ อานาปนสติ การภาวนา ฯ
“ภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลายและไม่ใช่ของบุคคลเหล่าอื่น เป็นกรรมเก่า มีปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึก เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้”
แต่ด้วยความไม่รู้ จึงไปสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในสังขารนี้ขึ้นมาเอง จึงทุกข์แล้วสร้างเหตุเกิดต่อไปไม่หยุด ด้วยกุศลและอกุศล ดังนั้นภพชาติที่จะต้องไปเวียนก็จะเป็นสุคติและทุคติตามที่ท่านทำมาเอง แต่ที่น่ากลัวคือท่านสร้างอกุศลมากกว่าเพราะสันดานที่มีในรูปนามนี้จะดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด นั่นคือเบียดเบียนคนอื่นอย่างไม่สนใจใยดี และจะสนับสนุนว่าการกระทำของตนเองถูก
รูปนามนี้ แม้จะเป็นทุกข์อย่างไรก็ยังกลัวตาย จนความทุกข์มากขึ้นจนรับไม่ไหว ก็อยากตายเพื่อจะหนีทุกข์ แต่หนีไม่เคยพ้น เพราะไปสร้างเหตุเกิดทุกข์ไม่หยุดนั่นเอง
ไม่ศึกษาที่จิต ไปหลงเคร่ง กลัวนรก เห่อสวรรค์ เลยไม่พบธรรมะหัวใจพุทธศาสนา
.
“พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ให้ศึกษาตรงที่ “จิต” หรือที่ตัวจิต หรือให้มองดูจิต ให้เฝ้าระวังจิต
.... สิ่งเหล่านี้ พวกปริยัติไม่เคยทำ เพราะทำไม่เป็น ฝ่ายผู้ที่ปฏิบัติก็มักจะไปทำอย่างอื่นตามๆเขาไป หลงระบอบอย่างอื่น แบบแผนอย่างอื่น ระบบอย่างอื่น (ไม่ใช่ที่จิต) ก็เลยไม่เข้าถึงจุดอันนี้ได้สักที
.... โดยเหตุดังกล่าว จะเห็นว่า ทั้งที่เรียนปริยัติก็มาก เป็นนักปฏิบัติก็มาก มานานแล้วก็ไม่เข้าถึงจุดสักที สู้ใครสักคนหนึ่งที่มาบวชไม่รู้อะไร แต่มานั่งเฝ้าระวังจิต สังเกตจิต ศึกษาจิต ว่ามันเป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร ทำไมเป็นอย่างนี้อยู่แท้ๆ เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปอย่างโน้นไปได้...
.... มันเป็นเรื่องที่มองดูแล้วก็น่าสังเวช หรือน่าเศร้า พวกปริยัติก็หลงปริยัติ พวกปฏิบัติก็หลงปฏิบัติไปในเรื่องเคร่งครัดอย่างหลับหูหลับตา ไปสนใจเคร่งครัดในสิ่งที่เป็นเปลือกเป็นฝอยอย่างหลับหูหลับตา ก็มี...
.... เพราะฉะนั้น บางคนเกิดมาแล้วบวชเรียนจนตลอดชีวิต ก็ไม่เคยพบกับเรื่อง “จิต” ไม่เคยพบกับเรื่องหัวใจของพุทธศาสนาเลย พบแต่อย่างอื่น ซึ่งมีหลายๆอย่าง แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง เคร่งครัดไปจนตาย ก็ได้แค่นั้น ได้เท่านั้นเอง ทั้งไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ว่าความเคร่งของตัวนั้นคืออะไร? หรือความไม่เคร่งของผู้อื่นนั้นคืออะไร? และก็เลยไม่รู้ว่าธรรมะแท้จริงนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเคร่งหรือไม่เคร่ง เลยไปหลงเรื่องเคร่งกับเรื่องไม่เคร่ง ก็เลยไม่ใช่ธรรมะที่แท้จริง...
.... คนบางพวกกลัวนรก แล้วเห่อสวรรค์ บางคนก็กลัวบาป แล้วก็เห่อบุญ อย่างนี้ยิ่งทำไปยิ่งไกลต่อธรรมะ...ไปเข้าใจธรรมะเป็นบาปเป็นบุญไป ก็พบแต่ธรรมะชนิดนั้น ธรรมะที่เรียกว่าปรุงแต่ง เป็นความคิดปรุงแต่ง เป็นธรรมะปรุงแต่ง ธรรมะแท้จริงเลยไม่ได้พบ ไปอบรมสั่งสอนหรือแวดล้อมกันอยู่แต่ให้กลัวบาป จนหมดความรู้สึก แล้วก็เห่อบุญ หวังบุญ จนหมดความรู้สึกอย่างอื่น ก็ได้เท่านั้นเอง จนตายก็ได้เท่านั้น ไม่ได้เข้าถึงธรรมะแท้...
.... ฉะนั้น เพื่อประหยัดเวลา เราจึงมีแนวอันใหม่ว่ามีชีวิตอยู่โดยไม่มีความรู้สึกเป็น “ตัวกู ของกู” อย่าให้เป็นที่ตั้งของบุญหรือบาป ดีหรือชั่ว สุขหรือทุกข์ อะไรอย่างนี้ เพื่อประหยัดเวลา”
.
พุทธทาสภิกขุ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันดึงชีวิตนี้ไปในทางที่มีปัญหาทั้งนั้น
.
… “ ปัญหาของมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์มีชีวิต มันอยู่ที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง ; ถ้าอย่ามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ไม่มีปัญหา. ถ้ามีกันน้อยหน่อยมันก็มีปัญหาน้อย เช่น ต้นไม้มันไม่มีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรมากมายนัก หรือมันมีไม่ถึงกําหนด : ฉะนั้นปัญหาของต้นไม้มันก็มีน้อยกว่า, สัตว์เดรัจฉานมันก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในลักษณะที่น้อยกว่า มีสมรรถนะน้อยกว่าของมนุษย์, ปัญหามันก็น้อยกว่าของมนุษย์
…. มนุษย์นี่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีความสามารถกว้างขวาง, แล้วยังเสริมสร้างออกไปได้อีกมาก ให้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันขยายตัวออกไปได้มากมาย, แล้วมนุษย์ก็ชอบทํากันอย่างนั้น และกําลังทํากันอยู่อย่างนั้นทั้งโลก, เสริมปัญหาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกไปด้วยสร้างสิ่งที่เอร็ดอร่อยสนุกสนานสวยงามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แล้วก็หลงกันอยู่แต่กับเรื่องเหล่านี้ จนเห็นแก่ตัวจัด จะฆ่าเพื่อนมนุษย์ให้หมดทั้งโลกมันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร. นี่ความคิดมันหลงขนาดนี้ : ประโยชน์ของเราก็แล้วกัน, ถ้าไม่ได้ เราก็จะต้องเอาให้ได้, ถ้าไม่ได้ เราก็จะต้องฆ่าคนที่มาขัดขวาง, ฉะนั้น เราจะทําสงครามรบราฆ่าฟันกัน, ฆ่ากันให้หมดโลก ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่, เขาคิดกันอย่างนี้
…. นี่เรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันดึงชีวิตนี้ไปในทางที่มีปัญหาทั้งนั้น อย่างรุนแรงด้วยกันทุกๆทาง. พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ตัวปัญหา ตัวต้นตอของปัญหามันอยู่ที่นี่ ที่ “ผัสสะ” คือการกระทบที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. อายตนะเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่ง เพราะอายตนะเป็นที่กระทบให้เกิดความรู้สึก...”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ หัวข้อเรื่อง “ภาวะธรรมดาแห่งชีวิตมนุษย์” บรรยายเมื่อ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๖ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ธรรมะเล่มน้อย”
ในทางพุทธจุดที่คุ้มที่สุดของการมีชีวิตมนุษย์
คือรู้ให้ได้ก่อนตายว่า
กายทั้งกายนี้ ใจทั้งใจนี้ ไม่ใช่ตัวคุณ
แม้ความรู้สึกนึกคิด ณ บัดนี้ วินาทีนี้
ก็เป็นเพียงของหลอกที่เกิดขึ้นชั่วคราว
ลวงให้จิตหลงยึดว่ามีบุคคล มีตัวใครคนหนึ่งอยู่จริงๆถาวร
แต่การจะรู้ให้ได้อย่างนั้น เบาแสนเบาให้ได้ขนาดนั้น
เป็นของยาก ต้องใช้เวลา ต้องสละหลายสิ่งอันยาก
ที่มนุษย์ธรรมดาจะสละ
จึงมีอีกทางหนึ่ง ที่คนทั่วไปเราๆท่านๆจะไปให้ถึงสักครึ่งทาง คือ เจริญสติเรื่อยๆ เอาแค่ให้รู้ว่า ความทุกข์ทางใจที่เกิดขึ้น จริงๆแล้วแยกชั้นกัน เป็นต่างหากจากจิต
จิตไม่ต้องแบกทุกข์ไปไหนมาไหนกับตัวก็ได้
คาถามือใหม่ คือ หายใจสั้น เป็นทุกข์ หายใจยาว เป็นสุข
สังเกตเช่นนั้น เพื่อเห็นความไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่ทุกข์ตัวเดิมในแต่ละลมหายใจ ง่ายๆแค่นี้
เหมาะกับช่วงที่คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์สาหัส และต้องการความสุขแบบง่ายๆ อยู่ตรงไหนก็ทำได้เสมอ
เมื่อเป็นสุขได้ จากการรู้ว่าความทุกข์ไม่เที่ยง
ความทุกข์จะปรากฏเหมือนน้ำมัน
ที่แยกชั้นกันเป็นต่างหากจากน้ำธรรมดา
เมื่อจะตายก็รู้ว่า จิตของเรามีดีพร้อมตาย
จิตของเราจะไม่ตายไปกับอาการแบกทุกข์
จิตของเราจะรู้ว่า ตนเองมีสภาพต่างไปแล้ว
ตนเองหลุดจากอันตรายรอบด้านแล้ว
ตนเองเป็นความปลอดภัยให้ตัวเองแล้ว
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ก่อนตายถ้าจิตผ่องแผ้ว
เป็นอันหวังได้ว่าจะไปสู่สุคติภูมิ!
ธรรมะคือยาขนานเอก
รู้มาก รู้น้อย ไม่สำคัญ
สำคัญที่ว่า
ให้รู้สึกตัว แล้วรู้สึกไหม
รู้สึกตัวจากอะไร?
รู้สึกตัวจากความฟุ้งซ่าน
รู้สึกตัวจากความสงบ
รู้สึกตัวจากความเฉยๆ
รู้สึกตัวจากสุข
รู้สึกตัวจากทุกข์
รู้สึกเมื่อใด ก็ไม่เข้าไปเป็น
เมื่อไม่เข้าไปเป็น ก็สามารถรู้ตามจริง
เมื่อใดสามารถเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตัวตน
มันก็ไม่ต้องทุกข์เพราะความแปรปรวนของสิ่งเหล่านั้น
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ความเผลอสติ ความไม่รู้สึกตัว
เป็นต้นเหตุของการเกิดทุกข์
เป็นสายโซ่ข้อหนึ่งทำหน้าที่เกาะเกี่ยว
กับเหตุปัจจัยอื่นๆ อีกหลายตัว
เช่น เมื่อเราเผลอสติ(อวิชชา)
สังขาร(การปรุงแต่ง)
วิญญาณ(การรับรู้)
นามรูป(ภาพในใจ)
สฬายตนะ(การเชื่อมต่อภาพภายในและภายนอก)
ผัสสะ(การกระทบกันระหว่างภาพทั้งสอง)
เวทนา(การเข้าไปรับรู้ภาพที่มากระทบ)
เกิดขึ้นตามลำดับ
เมื่อภาพเชื่อมต่อกัน ขบวนการของทุกข์ยังไม่ครบวงจร
หากผู้ที่ฝึกฝนมาดี มีความชำนาญในการตามรู้
จนถึงขั้นปรมัตถ์แล้ว โอกาสที่จะเกิดสติ รู้เท่าทัน
และตามเห็นกระบวนการของอวิชชา เป็นไปได้มาก
ดังนั้น ผู้ปฏิบัติต้องศึกษา ทบทวนประสบการณ์ตรงนี้บ่อยๆ
ทุกๆ ครั้งที่ความคิดเกิดขึ้น อย่าพลาดโอกาสเลยทีเดียว
เพราะตรงนี้อาจกล่าวได้ว่า
เป็นหัวใจของการปฏิบัติวิปัสสนา
ที่สำคัญมากจุดหนึ่ง
Direk Saksith
คลิปที่ 156 วิถีชีวิตใหม่ : 2 สักแต่ว่า...ความรู้สึก
ตอนที่ 3 สักแต่ว่าความรู้สึก
เราเริ่มวิถีชีวิตใหม่ หันเหความสนใจจากที่เคยสนใจนอกตัว กลับมาสนใจที่ตัวเอง ร่างกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็รู้สึก มันเคลื่อนแล้วก็รู้สึก มันนั่งอยู่ก็รู้สึก มันยืนอยู่ก็รู้สึก มันเดินอยู่ก็รู้สึก ไม่หลงลืมสิ่งที่อยู่กับเราตั้งแต่เกิด
จิตใจก็เคลื่อนไหวเหมือนกัน เดี๋ยวมันก็ไปตรงโน้น เดี๋ยวมันก็ไปคิดนี่ เดี๋ยวมันก็ไปรู้สึกตรงนั้น เดี๋ยวมันก็ปรุงแต่งอารมณ์ เดี๋ยวมันก็โกรธ เดี๋ยวมันก็ไม่พอใจ เดี๋ยวมันก็ชอบ เดี๋ยวมันก็ดีใจ เดี๋ยวมันก็มีความสุข #เห็นกายและใจนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง_เป็นแค่สิ่งที่ถูกรู้
จิตใจมันปรุงแต่ง ไม่เข้าไปเป็นกับมัน มันปรุงแต่งความโกรธ ไม่ใช่เราโกรธ เป็นเพียงแค่ความรู้สึกโกรธเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่เรา #มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึก_ไม่มีสาระแก่นสารใดๆกับชีวิตเรา
อย่าไปเอาจริงเอาจังกับความรู้สึกใดๆ ที่เกิดขึ้น มีใครโกรธตลอดชีวิตแล้วไม่เคยหายเลยไหม มันไม่มีหรอก ความโกรธเป็นของไร้สาระ เพราะมันเกิดขึ้นแล้วก็หายไป ในชีวิตเรามันเกิดแล้วหายไปกี่ครั้งแล้วในความไร้สาระนี้ มันมีสาระจริงเหรอ ถ้ามีสาระจริงแล้วทำไมหายไปได้ รู้จักมองให้มันถูก
อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มันก็สักว่าเป็นเพียงแค่ความรู้สึก จำอันนี้ไว้ ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องเป็นเจ้าของมัน เราเป็นแค่คนเห็นมัน เห็นด้วยตาใจนี่แหละ เห็นด้วยความรู้สึก
เมื่อไม่พอใจ หรือโกรธแล้ว อดทนหน่อย เข้มแข็ง ลองดูซิความโกรธเนี่ยมันแสดงอาการแบบไหน มันกำลังทำอะไร มันบีบคั้นไหม พุ่งพล่านไหม แล้วมันขึ้นตลอดเลยไหม หรือพอดูไปเรื่อยๆ แล้วมันลง ดูไปอีกหน่อยมันหายไป มันมีสาระตรงไหน
การปฏิบัติไม่ได้ยากอะไร เราแค่อดทนไม่พอกับอารมณ์อันฉูดฉาดนั้น เรารีบเข้าไปคว้ามันเป็นของเรา อดทนสักหน่อย เราจะเริ่มเห็นว่ามันไม่ใช่เรา #มันเป็นสักแต่ว่าความรู้สึก เป็นความรู้สึกอันหนึ่งที่เหมือนความรู้สึกที่เรียกว่าดีใจหรือมีความสุขหรือพอใจ…เหมือนกัน สักแต่ว่าจะถูกปรุงแต่งไปอีท่าไหน แต่มันเหมือนกันคือ #ไม่มีสาระอะไร มันเกิดขึ้นแล้วมันก็จะดับไป
ถามตัวเองว่าเคยโกรธมากี่ครั้งแล้วในชีวิต มันอยู่ตลอดไหม ถ้ามันไม่อยู่ตลอดทำไมต้องไปเป็นเจ้าของความโกรธนั้น เพื่ออะไร เพื่อความมันส่วนตัว หรือเพื่ออะไร
เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในกายในใจนี้ หัดที่จะเห็นมันเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เป็นสักแต่ว่าความรู้สึกที่ถูกรู้ เราคือใคร เราเป็นอะไร เราเป็นคนรู้ คนรู้สิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นสิ่งๆ นั้น เราคือ #ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ เราเป็นเหมือนกล้องวงจรปิด รู้เป็นอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่เป็น
ทั้งหมดที่ผมพูด เราเริ่มจากฝึกที่จะรู้สึกร่างกาย ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวรู้สึก #แค่รู้สึก จิตใจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวก็ #แค่รู้ทัน ค่อยๆ ฝึกไป มันไม่ได้ดีในวันสองวันหรอก อาศัยเวลา อาศัยความอดทน อาศัยความต่อเนื่อง #ถ้าเราเป็นคนจริง_เราจะได้ของจริง
เมื่อเรารู้สึกถึงความมีอยู่ของร่างกายนี้ไม่ว่าจะรวมๆ หรือเป็นจุดนู้นจุดนี้ สังเกตได้ไหมว่าไม่มีทุกข์ ปราศจากความกังวล ความห่วง ความเกี่ยวพัน #ความพ้นทุกข์อยู่ใกล้ตัวเราแค่เอื้อม เพียงแค่เราใส่ใจสักหน่อย เราจะพบความสุขที่แท้จริงได้ คือความที่จิตใจนี้ไม่ดิ้นรน ปราศจากตัณหา ความอยากใดๆ เป็นปกติอยู่ เป็นความสุขจากการที่เราเป็นผู้รู้อยู่ รู้อยู่ในกายในใจนี้
แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเป็นผู้หลง หลงลืมกายและใจนี้ ลองสังเกตดู มันหนัก มีภาระ เต็มไปด้วยความห่วงนู่นห่วงนี่ กังวลนั่นกังวลนี่ คิดนู่นคิดนี่ แล้วเราก็บอกว่าเราไม่มีความสุข ถ้าเราเป็นผู้หลงไม่มีวันที่เราจะมีความสุขได้
แต่การจะมีความสุขได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย #เพียงแค่เปลี่ยนจากความหลงเป็นความรู้ขึ้นมา เหมือนที่เรานั่งอยู่นี่ มันยากไหม…ไม่ยาก เราพบเจอได้ด้วยตัวเองไหม…ได้ด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในเราทุกคน ขอแค่เราใส่ใจ ความทุกข์จะค่อยๆ ลดลง ความสุขจากจิตใจที่ไม่มีภาระใดๆ จะเพิ่มขึ้น
ฟังธรรม
อ่านถอดความฉบับเต็ม
https://camouflagetalk.com/2020/02/12/talk156/
ดาวน์โหลด MP3
เคยสงสัยไหมว่าทำไม เราต้องรู้สึกตัว ?
.
ที่พวกเราทุกวันนี้ต้องเจอความเครียด ความทุกข์
ความกังวลต่างๆ ก็มาจากความคิดปรุงแต่งขึ้นมา
.
การที่เราจะออกจากสิ่งเหล่านี้ได้
ก็ด้วยความมีสติ ด้วยความรู้สึกตัว
เบื้องต้นเราก็ควรที่จะรู้จัก
สัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัวขึ้นมา
.
ความรู้สึกของร่างกาย
ปรกติความรู้สึกตัวมันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
แต่เวลาเราเพลินอยู่กับความคิด
อยู่กับอารมณ์ต่างๆ ความรู้สึกตัวก็หายไป
.
แต่เมื่อใดที่รู้สึกตัวขึ้นมา
ความเพลินในอารมณ์ก็ถูกละออกไป
มันเป็นคู่ปรับกันแบบนี้นะ
.
เมื่อใดที่เราอยู่กับความรู้สึกตัว
จิตที่ไหลไปกับความคิดจะถูกละออกไป
ผลที่ตามมาก็คือเกิดสัมมาสติ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
สภาวะรู้ จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
.
สภาวะรู้ นี่แหละ ที่ทรงเรียกว่า #ธรรมอันเอก
เป็นทางสายเดียวที่จะหลุดออกจากทุกข์ได้
.
เพราะฉะนั้นเราลองขยับมือดูมีความรู้สึกไหม ?
ขณะที่รู้สึก สังเกตไหมมันหลุดจากความคิด
ถ้าเราไม่รู้สึกตัว เราก็จะไหลไปกับความคิด
แต่พอเรารู้สึกตัวขึ้นมา มันจะหลุดจากความคิดขึ้นมา
.
ลองขยับ2มือ รู้สึกได้ไหม ?
ความรู้สึกตัวนี้มันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
เป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังมาก
ความรู้สึกตัวสามารถทำให้เราหลุดจากความทุกข์
ความเร่าร้อนต่างๆได้
ความรู้สึกตัวสามารถทำให้เราเข้าถึงความสุข
ที่แท้จริงของชีวิตได้
เดินจิต
------------------------------------------
พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
“ นินทา หรือ สรรเสริญ ก็ลองไปคิดดูเถอะ ซึ่งมันมีมาก ยากที่จะหลบหลีก;
ถูกนินทาหรือถูกสรรเสริญเสียจนเลิศลอย, ถูกเขาสรรเสริญก็ตัวลอยฟุ้งเฟ้อไป
ถูกเขานินทาด่าว่าก็มาขัดใจโกรธแค้นอยู่ เหมือนกับคนบ้า ; ได้รับสรรเสริญก็บ้าไปอย่าง ได้รับการนินทาก็บ้าไปอย่าง,
นี่ เพราะมันไม่รู้ว่ามันเป็น “เช่นนั้นเอง” คือว่าในโลกต้องเป็นเช่นนี้เอง ;
แล้วนินทาก็เป็นสักว่า “ความรู้สึก”, สรรเสริญก็สักว่า “ความรู้สึก”, ก็เลยเป็นเช่นนั้นเองด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย มันเหมือนกันที่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเราทําไมไปแยกมันให้แตกต่างกันอย่างตรงกันข้าม ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น นี่..ช่วยจำไว้ให้ดีว่า อะไรๆเกิดขึ้น ก็ให้รู้สึกได้ว่า มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นหนอ...”
.
พุทธทาสภิกขุ
ถ้าเราทำความคิดไว้ในใจ ให้ได้ดังนี้
เห็นรูปก็ว่า รูปไม่มี
ได้ยินเสียงก็ว่า เสียงไม่มี
ได้กลิ่นก็ว่า กลิ่นไม่มี
ลิ้มรสก็ว่า รสไม่มี
มันก็หมด
ที่เห็นรูปนั้น ก็เป็นเพียงความรู้สึก
ได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าความรู้สึก
ที่มีกลิ่น ก็สักแต่ว่ามีกลิ่น เป็นเพียงความรู้สึก
รสก็เป็นแต่เพียงความรู้สึก แล้วก็หายไปตาม
ความเป็นจริง ก็ไม่มี
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี้เป็นโลกีย์
ถ้าเป็นโลกุตตระแล้ว
รูปไม่มี เสียงไม่มี กลิ่นไม่มี รสไม่มี โผฏฐัพพะไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มี เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นเท่านั้น แล้วก็หายไป ไม่มีอะไร เมื่อไม่มีอะไร ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี
เมื่อตัวเราไม่มี ของเราก็ไม่มี ตัวเขาไม่มี ของเขาก็ไม่มี ความดับทุกข์นั้นเป็นไปในทำนองนี้
คือไม่มีใครจะไปรับเอาทุกข์ แล้วใครจะเป็นทุกข์ ไม่มีใครไปรับเอาสุข แล้วใครจะเป็นสุข
หลวงพ่อชา สุภัทโท
ถ้าเราชำนาญนะ อาจจะไม่ต้องยกมือเคลื่อนไหวก็ได้
นั่งอยู่เฉย ๆ ก็มีความรู้สึก กระพริบตาก็รู้สึกได้
หายใจก็รู้สึกได้ ตัวรู้ที่ไปรู้การกระพริบตาก็เป็นความรู้สึก
คือสติ ตัวรู้ที่ไปรู้ลมหายใจ ก็เป็นความรู้สึก
คือสติ ความรู้ที่กระดิกนิ้วมือ ก็เป็นความรู้สึก
คือสติ อยู่เฉยๆ ก็เป็นสติ อยู่ที่ไหนก็เป็นสติ
แม้แต่อยู่เฉย ๆ นั่งอยู่เฉย ๆ ก็เป็น ความรู้สึกตัว
หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
“เช่นนั้นเอง” แก้ปัญหาได้ทุกกรณี
.
…. “ อาตมาจะยืนยันเดี๋ยวนี้ว่า “เช่นนั้นเอง” นี้แก้ปัญหาได้ทุกกรณี : เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ อะไรก็ได้, เรื่องปัญหาทางปาก ทางท้อง ทางอะไรก็ได้, ทางการเมือง ก็ได้, กระทั่งว่าในภายใน จะเป็นเรื่องบรรลุมรรคผลนิพพานก็ยังได้ ได้ด้วยคําคําเดียวว่า “เช่นนั้นเอง”, กลัวแต่ว่าเขาไม่รู้จัก เขาไม่เข้าถึง ไม่อาจจะใช้เช่นนั้นเองให้เป็นประโยชน์ได้
…. จึงขอให้ทุกคนสนใจในสิ่งที่เรียกว่า “เช่นนั้นเอง” ซึ่งเป็นหัวใจพระพุทธศาสนา, อะไรเกิดขึ้นก็ต้องมีความรู้สึกทันควันว่ามัน “เช่นนั้นเอง”….
…. ฉะนั้น จงดูให้เห็นว่า มันเป็นเพียงความรู้สึก : รู้สึกทางเวทนาก็ได้, รู้สึกทางสัญญาก็ได้. แต่ที่มันเป็นกันมากนั้น มันเป็นความรู้สึกทางเวทนา ; ถ้าเห็นเวทนาว่ามันเป็นอย่างนี้เอง “ตามกฎของปฏิจจสมุปบาท” แล้วมันก็ไม่มีกําลังอะไร, ไม่มีความหมายอะไร, ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ที่จะทําให้เราเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
…. ฉะนั้น ขอให้เอาไปจับกับเรื่องทุกเรื่องที่มันเป็นความทุกข์ ไม่ว่าความทุกข์ชนิดไหน, ที่บ้านเรือน ที่วัด เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องทุกเรื่องที่มันเกี่ยวกับมนุษย์ เพราะว่าความทุกข์หรือความสุข มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นเอง; ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นเพียงความรู้สึก เราก็ไม่ยินดีในความสุข, และไม่เกลียดกลัวในเรื่องของความทุกข์ คือ ไม่ยินดียินร้ายในเรื่องของความทุกข์หรือความสุข
…. เดี๋ยวนี้ มันโง่เกินไป ไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง จนเกิดปัญหาเกี่ยวกับโลกธรรม, โลกธรรมคือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้นินทา ได้สรรเสริญ ได้ทุกข์ ได้สุข, กลายเป็นของต่างกันไป ได้ลาภก็ยินดี เสื่อมลาภก็ยินร้าย ; นี่มันบ้า เพราะมันไม่เห็นว่ามันเช่นนั้นเอง, มันต้องเป็นเช่นนั้นเองด้วย ที่ได้มามันก็คือเช่นนั้นเอง ลาภก็คือเช่นนั้นเอง เลื่อมลาภก็เช่นนั้นเอง : ตามกฎของอิทัปปัจจยตา มันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วมันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ที่เรารู้สึกขึ้นมาว่า เราได้ลาภ แล้วก็บ้าไปตามแบบได้ลาภ, แล้วเราก็รู้สึกว่าเราเสียลาภสูญลาภ, เราก็บ้าไปตามความรู้สึกว่าเราสูญเสียลาภ ไม่มองดูที่ว่า มันเป็นเพียง“สักว่าความรู้สึกเท่านั้นเอง” เช่นนั้นเอง และมันต้องเป็นอย่างนี้เอง ในโลกนี้ นี่พอเห็นอย่างนั้นเอง เช่นนั้นเอง มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องได้ลาภ เรื่องเสื่อมลาภ เรื่องได้ยศ หรือเสื่อมยศ ก็เหมือนกันอีก; ถ้าเช่นนั้นเองเข้ามาแล้วไม่มีเรื่องได้ยศหรือเสื่อมยศ มันเป็นเรื่องหลอกๆเหมือนกันแหละ เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น นี่ไปถือเอาความหมายของความรู้สึกมากเกินไป มันก็ต้องได้มีเรื่องยินดียินร้าย
…. นินทา หรือ สรรเสริญ ก็ลองไปคิดดูเถอะ ซึ่งมันมีมาก ยากที่จะหลบหลีก : ถูกนินทาหรือถูกสรรเสริญเสียจนเลิศลอย, ถูกเขาสรรเสริญก็ตัวลอยฟุ้งเฟ้อไป ถูกเขานินทาด่าว่า ก็มาขัดใจโกรธแค้นอยู่เหมือนกับคนบ้า;
…. ได้รับสรรเสริญก็บ้าไปอย่าง ได้รับนินทาก็บ้าไปอย่าง. นี่ เพราะมันไม่รู้ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง คือว่าในโลกต้องเป็นเช่นนี้เอง;
…. แล้วนินทาก็เป็นสักว่าความรู้สึก, สรรเสริญก็สักว่าความรู้สึก, ก็เลยเป็นเช่นนั้นเองด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย มันเหมือนกันที่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วเราทําไมไปแยกมันให้แตกต่างกันอย่างตรงกันข้าม, ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น
…. นี่ ช่วยจําไว้ให้ดี ว่าอะไรๆเกิดขึ้น ก็ให้รู้สึกได้ว่า มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นหนอ, มันเป็นเพียงความรู้สึกแห่งจิตเท่านั้นหนอ. เรื่องดี เรื่องบ้า เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องรวย เรื่องจน เรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องแหละ มันเป็นเพียงความรู้สึกของจิตเท่านั้นหนอ; พอเห็นเป็นความรู้สึกเท่านั้นหนอ มันก็หยุด, หยุดเป็นทุกข์”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมโอวาทสำหรับปีใหม่ หัวข้อเรื่อง “เช่นนั้นเอง” เนื่องในวันสิ้นปี ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา