พุทธโอวาทกึ่งพุทธกาล ตอนที่ ๓ ถังเก่าใบหนึ่ง
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙
พุทธโอวาทในเช้าของวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2559
ณ. สวนธรรมิกราช
พระพุทธองค์ท่านได้ทรงเมตตาแสดงธรรม กับเราทั้งหลาย ดังนี้ว่า - - - -
พระยาธรรมเอย..
บุคคลผู้ใด.. ที่ได้เห็นธรรมที่เกิดขึ้นในตน..
บุคคลผู้นั้น.. จะเป็นผู้ที่เห็น ทางพ้นทุกข์
พระยาธรรมเอย.. เพราะในความเป็นจริงแล้วลูก ธรรมคำสั่งสอนก็เป็นสิ่งที่รู้มาจาก สิ่งที่เกิดอยู่ในตัวในตน ของมนุษย์เราทุกคน
ของดวงจิตทุกดวง
ธรรมคำสั่งสอนขององค์พระพุทธเจ้า ก็มาจาก
การที่..รู้ที่มา รู้ที่เกิด รู้ที่ดับ ของดวงจิตทั้งหลาย ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย..บุคคลผู้ใด ที่สามารถมองเห็นธรรม ที่อยู่ในตัวในตนของตนนั้น
บุคคลผู้นั้นแล จึงจะเป็นคนที่ใกล้จะเห็นความเป็นจริง
พระยาธรรมเอย..บุคคลผู้ใด ที่ยังคงมองเห็นธรรม มองเห็นสิ่งภายนอกที่อยู่ภายนอกนั้น เป็นธรรม.. แต่ยังมองไม่เห็นธรรมที่อยู่ในตนนั้น
บุคคลผู้นั้น.. ยังไม่เห็นธรรมที่แท้จริง ลูกเอ๋ย..
เพราะธรรมะ ธรรมคำสั่งสอนก็คือการรู้จักตัวตนของเรา รู้จักที่มา ที่เป็น และที่ไป ของดวงจิตทุกดวง การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์เรา
ลูกเอ๋ย.. เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ตนเอาตนเป็นที่ตั้ง - เมื่อนั้นและ ตนจึงจะเข้าใจในแก่นธรรม ที่แท้จริง
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. หน้าที่ของเราทุกคน ก็คือ แค่..
- ดูแลดวงจิตของเรา
- ดูแลการกระทำของเรา
- ดูหนทางของตัวเราเอง
- ดูตัวดูตน
... นั่นแหละเป็นสิ่งที่เราทุกคน ควรที่จะทำ...
ลูกเอ๋ย..บุคคลผู้ที่ยังไม่เห็น หนทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ที่มีอยู่ในตัวในตน ของตน
บุคคลผู้นั้น จะไม่มีทางเห็นความเป็นจริงที่ซ่อนอยู่ในวัฏสงสารนี้
ลูกเอ๋ย.. หนทางของการพ้นทุกข์ ก็อยู่ในเรา ในเท่านั้น จะไม่อยู่ในที่อื่นใดเลย
หนทาง แห่งความสุข ความทุกข์ สิ่งหลายทั้งปวง ที่จะก่อเกิดขึ้นกับชีวิตของตน ก็อยู่ในตนทั้งนั้น
ชีวิตจะดี มีสิ่งต่างๆมากมาย ที่ครบทุกสิ่ง ครบทุกอย่าง ที่สมบูรณ์ไปด้วย เหตุปัจจัยภายนอก ก็ขึ้นอยู่กับตัวของเรานี้
หากจะมีสิ่งใด ที่ไม่ดีที่เกิดขึ้น กับชีวิตของตน ก็ขึ้นอยู่กับตนอีก นั่นแหละ
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ฉะนั้น จงเอาตนเป็นที่ตั้ง หมั่นพิจารณาธรรม ที่เกิดขึ้นมีอยู่ในตน
แม้จะมองเห็นธรรม ที่เกิดในภายนอก ก็จงน้อมเข้ามาสู่ภายใน
แม้จะมองเห็นธรรม ที่อยู่ในที่แห่งหนใด ก็จงเอามาเป็นธรรมที่เกิดในใจตน
เพราะตน คือเหตุที่เกิด หากจะดับ ต้องดับในตน
ไม่ใช่เหตุทั้งหลาย ที่อยู่กับปัจจัยภายนอกทั้งหลายเหล่านั้น.. ลูกเอ๋ย
ลูกทั้งหลาย.. การประพฤติธรรมนั้น ต้องประพฤติที่ตน
การแสวงหาธรรม ก็แสวงหาที่ตน…
ธรรม คือสิ่งใดเล่า ทำไมจึงต้องแสวงหา ?
ธรรม ก็คือความจริง ความจริงที่มีอยู่ในเรา
เมื่อเราหาความจริงที่อยู่ในเราเจอ - เราก็จะหาความจริงที่อยู่ในที่อื่นเจอเหมือนกัน
เมื่อเรายังหาความจริงในเราไม่เจอ - ความจริงในที่อื่นนั้น.. เราก็จะไม่เจอ
และความจริงที่มีอยู่ในเรา ก็คือ..
- เราเป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร มาเพื่อสิ่งใด
- เกิดประโยชน์อะไร ในที่ที่มีเรา
- เกิดประโยชน์อะไร หากยังมีเราอยู่
ลูกเอ๋ย.. นี่แหละลูกคือสิ่งที่เราควรจะหา และหาให้เจอ
จงพิจารณา ดูตัวดูตน ของตนเถิด ว่าเรานี้เป็นใคร...
เรานี้ก่อเกิดมาจาก "กรรม"
กรรม เกิดจากกระทำทั้งดี และไม่ดี
การกระทำทั้งดีและไม่ดี ก็เกิดจากความรู้สึก
ความรู้สึก*** ก็เกิดจาก กิเลสและตัณหา คือความรัก โลภ โกรธ หลง ความอยากและความไม่อยาก
** เชื้อทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา **
เขามีคู่อยู่กับวัฏสงสาร เขาเปรียบเสมือนฝุ่นที่ทำให้ดวงจิตของเราปนเปื้อน
ทำให้ดวงจิตของเรา ต้องคลุกอยู่กับเขา แยกเขาออกไป
ดวงจิตของเราคือใคร
เราคือ สิ่งที่ไม่มี
แท้ที่จริงแล้ว ก็คือสิ่งที่สมมุติขึ้นมา ตามธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
แต่เพราะเราเกาะความมีเอาไว้.. จึงรู้สึกว่ามีเรา
ฉะนั้น.. สลายที่ความรู้สึก สลายที่ความมี -- เราก็จะไม่มี
เมื่อเราดับเหตุที่ตน เข้าใจในตัวในตน เช่นนี้อย่างนี้แล้ว
ธรรมในเราก็สว่างแจ่มแจ้ง รู้แจ้งเหตุ เข้าใจตามความเป็นจริง
บุคคลผู้อื่นทุกข์ เราก็จะเข้าใจ สุข เราก็จะเข้าใจ ดีแล้ว เราก็จะเข้าใจ ในความดีแล้วนั้น
หากยังไม่ดี เราก็จะเข้าใจ ในความที่ยังไม่ดี นั้นด้วย เราจะเข้าใจวัฏสงสารนี้ทั้งหมด
เมื่อรู้และเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เราก็เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้จบกิจ
ไม่ต้องทำอะไรอีกต่อไปแล้ว ในวัฏสงสารนี้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย.. ** จริงๆแล้ว ตัวของเรานี้ก็ไม่ได้มี และไม่ได้มีค่า ไม่ได้สำคัญอะไรเลย **
บุคคลผู้ใด.. ที่สามารถประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญอบรมจิตของตน
.. จนมองเห็นถังเก่าๆที่วางทิ้งไว้ - กับตน นั้น มีค่าเสมอเหมือนกัน
บุคคลผู้นั้นแล.. ได้ดับทิฐิ อัตตา ตัวตน ความสำคัญในตัวในตน ยึดถือ ยึดมั่นในตนลงเสียแล้ว
พระยาธรรม :: เป็นแบบไหนเหรอเจ้าคะ ขอพระพุทธองค์โปรดทรงอธิบายด้วยเจ้าค่ะ ในเรื่องของการเห็นถังเหมือนกันกับเรา หน่ะเจ้าค่ะ
พระยาธรรมเอ๋ย.. ก็เช่นถ้าหากว่าเรา มองเห็นถังเก่าๆใบนั้น ที่เขาถูกทิ้งไป..
จริงๆแล้ว เราก็ไม่ต่างอะไรจากถังใบนั้นหรอก ถูกหลอมมาจากเม็ดพลาสติก แล้วหล่อหลอมมา เป่ามา จนเป็นถังใบหนึ่งที่ใช้งานได้
ดูสวยงามเมื่อยังใหม่อยู่.. แต่เมื่อหมดคุณภาพแล้ว ใช้งานไม่ได้แล้ว.. ก็หมดคุณค่าลงไป
ตัวของเรานี้ก็เหมือนกัน -- เราก็ถูกหลอมมาจากกิเลสตัณหา
กรรมที่ดีและไม่ดี รวมตัว ก่อตัว มาเป็นเรา เรานี้ก็ยังคงใช้งานได้อยู่
แต่วันหนึ่งก็จะใช้งานไม่ได้ เช่นนั้นเหมือนกัน.. จึงไม่มีค่าที่แตกต่างกันเลย จึงมีค่าเสมอเหมือนกัน
เมื่อเราพิจารณาเช่นนี้ ความเห็นคุณค่าตัวของเรา เห็นตัวเราว่าสำคัญ ก็จะดับไป..
หากเราพิจารณาเช่นนี้ เราก็จะเข้าใจ ถึงการดับตัว ดับตน ถึงความเป็นตัวเป็นตน แล้วก็จะดับทิฐิ อัตตาตัวตนของตนลงได้.. ลูกเอ๋ย
พระยาธรรม :: พระพุทธเจ้า เจ้าขา ถ้าอย่างนั้นก็ ถ้าเกิดว่าเราเห็นอะไร ๆ ก็ตาม เราก็จะสามารถเอาเปรียบเทียบกับเราได้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น ใบไม้ ใบหญ้า เป็นรถรา บ้านเรือน เป็นต้นไม้ เป็นอะไรก็ตาม ก็ไม่แตกต่างกันจากเรา เราก็ไม่แตกต่างจากเขา
เราสามารถเอามาเปรียบเทียบ เพื่อดับอัตตาของเรา ได้ทั้งหมดอย่างนั้น ใช่มั้ยเจ้าคะ ?
พระยาธรรมเอย.. กายมนุษย์ก็มีที่มาและที่ดับ สิ่งทั้งหลายในโลก ก็มีเกิดและดับ เขาก็มีที่มาของเขาเหมือนกัน จึงไม่แตกต่างอะไร
แต่ ความแตกต่างนั้นมันเกิดขึ้น ก็เพราะว่าเราสำคัญตนเอง คิดเอง ให้คุณค่าเราเอง ต่างหากล่ะลูก
หากดับที่ความคิด ด้วยการพิจารณาบ่อยๆ ก็จะทำให้เราสามารถดับทิฐิอัตตาในตัวตนของเราได้.. ลูกเอ๋ย
พระยาธรรมเอย..
จงใช้ตนเป็นที่ตั้ง
จงหาธรรมในตนให้เจอ
จงฝึกฝนเรียนรู้ในตัวของตน
จงนำเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ประสบพบเจอภายนอก มาค้นหาสิ่งที่เหมือนกันอยู่ภายใน
แล้วจะดับทิฐิ อัตตาตัวตน ดับตัวดับตน ดับการเกิดได้.. ลูกเอ๋ย
พระยาธรรม :: พระพุทธองค์เจ้าขา เช่น ถ้าเกิดว่าเรารักษาศีล เราก็จงมองให้เห็นธรรมในการรักษาศีลนั้น ที่อยู่ในตัวของเรา ที่เกิดขึ้นในเรา
ว่าเรารักษาศีลแล้ว เกิดธรรมะอะไรขึ้นกับเราบ้าง
เช่น ถ้าเกิดว่าเราทำทาน เราก็จงน้อมเอาการทำทานนั้น เข้ามาสู่ตัวของเรา ว่าเรานี้ทำทานอะไรบ้าง ทำแล้วได้อะไร
ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้น้อมเข้ามาหาตน ให้เอาตนเป็นที่ตั้ง หาธรรมในตนให้เจอ เราก็จะเจอกับการดับการเกิดแล้ว อย่างนั้นหรือเจ้าคะ
พระยาธรรมเอย.. เป็นเช่นนั้นแหละลูก เพราะพระพุทธเจ้า...
สอนธรรมก็เพื่อให้ ดับเรา ไม่ได้ให้ดับบุคคลคนผู้อื่น
สอนธรรมก็เพื่อให้ดับ ที่ตัวตนของเรา ไม่ได้ให้ดับที่วัฏสงสาร
ทุกคนมีหน้าที่ เพียงแค่นำพาจิตของตนให้พ้นทุกข์ก็พอ
พระยาธรรม :: แล้วบุคลที่มีหน้าที่นำพาดวงจิตอื่นให้พ้นทุกข์ด้วย เช่น องค์พระพุทธเจ้า หล่ะเจ้าคะ
พระยาธรรมเอย.. เราก็จงนำพาเราให้ดับลงได้เสียก่อน เราจึงค่อยบอกทางบุคคลผู้อื่น
แต่เราก็จะเป็นเพียง ผู้บอกทาง ไม่ใช่ผู้ทำให้ผู้อื่นเป็นเช่นนั้น หรือเช่นนี้...
ลูกเองก็เช่นเดียวกัน.. จงนำทางตนให้พ้น ให้เข้าใจ แล้วจงเป็นแต่เพียงผู้บอกทาง
.. ลูกก็จะไม่เหนื่อย เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ทำได้และเกิดขึ้นได้
หากการที่เรากระทำในสิ่งที่มันสามารถเกิดขึ้นได้ มันย่อมเป็นไปได้
แต่ถ้าเกิดว่าเรา ไปทำในสิ่งที่มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เราก็จะไม่สามารถทำได้
เช่น การทำแทนผู้อื่น การโยกย้ายผู้อื่น ให้ไปเป็นเช่นนั้นเช่นนี้.. ตามใจตน
ลูกเอ๋ย.. ** แม้แต่พระพุทธเจ้า ยังเป็นแต่เพียงผู้แสวงหาทาง ยังเป็นแต่เพียงผู้บอกทาง **
จงเข้าใจความเป็นจริงสิ่งที่มันเป็นไปเถิด.. แล้วลูกจึงจะพบกับความสุข
พระยาธรรม :: กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ได้โปรดเมตตาลูกทั้งหลาย.. ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ทุกๆดวงจิต
ให้ได้ฟังธรรมจากพระองค์ ให้ได้รู้และเข้าใจความเป็นจริงของวัฏสงสาร
ให้ลูกได้รู้จัก การแสวงหาธรรมในตัวของลูก รู้จักเอาสิ่งภายนอกมาหาสิ่งภายใน รู้จักการดับทิฐิ อัตตาตัวตนของตน
และลูกจะนำธรรมนี้ ไปเผยแผ่ให้แก่ญาติธรรมทั้งหลาย ให้ได้ฟัง พิจารณา เพื่อดับการเกิดของญาติธรรมทุกคน
ผู้มีความตั้งใจดี ที่จะพบกับพระนิพพาน ทั้งหลาย เหล่านั้น นะเจ้าค่ะ
ขอให้พระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาดวงจิตทั้งหลาย ผู้ที่มีความตั้งใจดีเหล่านั้น ให้เขาได้เข้าใจ พบแสงธรรมของพระองค์ด้วยเถิดเจ้าค่ะ
สาธุ