นอนกอดทุกข์ เพราะไม่รู้แจ้งในทุกข์
สัตว์ แปลว่า ผู้ข้อง ข้องในอารมณ์ ในกุศลและอกุศุล ในบุญ ในบาป
เพราะทุกขสัจจ์ นั้นเป็นของจริง คือทุกข์แท้ๆ
ทุกข์ที่ว่าคือทุกข์ในการเกิดนั่นแล
การเกิดนั้นแหละคือ ทุกข์...
#และที่น่าเจ็บใจ อารมณ์ทุกอย่าง_ล้วนสร้างเอง
#พระสิ้นคิด
#มีแต่คนโง่..เท่านั้น ที่ไม่ปฏิบัติ เพราะคิดว่าตน
ไม่มีวาสนา ข้องอยู่ในกับดักที่ตนสร้างขึ้นเอง
#เพราะความเพลินในอารมณ์เป็นเหตุ_จึงไม่รู้จักทุกข์
มีสติผู้มีสติเจริญสมบูรณ์แล้วจะอิสระจากอารมณ์.พ้นจากความเป็นทาสของอารมณ์
เจริญสติไห้มีกำลังรู้ทันความคิด.รู้ลมเห็นจิต.รู้ความคิดเห็นธรรม...#พระสิ้นคิด.
ความคิดที่มีอุปปาทานอยู่ย่อมนำพาเกิดพาตาย
หรือเรียกในภาษาธรรมว่า"อุปาทานขันธ์".
เมื่อสติมีกำลังจนรู้ทันสังขาร(ความคิด).
การคิดปรุงแต่งก็เกิดไม่ได้ เรียกว่า
สิ้นการเกิดการดับในภาษาธรรมเรียกว่า
"สัมโพธายะ"หรือรู้พร้อมหรือตรัสรู้นั้นเอง
...#พระสิ้นคิด...
ธรรมชาติของจิตใจย่อมไหลลงต่ำ
หน้าที่ของเรา คือ สวนกระแสของมัน
เป็นผู้ดูที่ดี ดู อย่างมีสติ ไม่เข้าไปมีไปเป็น
ธรรมะก็มิใช่แต่เพียงการบรรยาย
ธรรมะก็มิใช่เพียงการท่องบ่น
ธรรมะจึงมิใช่การหมายเอา คิดเอา
การเข้าถึงสภาวะธรรม จึงมิใช่เรื่องง่าย
เรื่องล้อเล่น ดังนั้น เราจึงต้องพัฒนาสติ
ให้ตนเองมีสติสัมปชัญญะ ไม่หลงอารมณ์
ไม่เข้าไปมีไปเป็น เมื่ออยู่กับทุกขสัจจะ
มันจึงไม่ใช่ธรรมะภาคบรรยาย
และไม่ใช่การหมายเอาซึ่งกฏไตรลักษณ์
แต่ จิตต้องยอมรับจนเกิดปัญญาแจ่มแจ้ง
ว่าแท้ จริงแล้วไม่มีสิ่งใดที่ขัดแย้งกับพระธรรม
คำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเลย...
ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ นอกจากการเข้าถึง
ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อสติสัมปชัญญะตัังมั่น
การเห็นทางเดินในการดับทุกข์ เพื่อการพ้นทุกข์นั้น
จิตจะจำทางเดิน หรือสภาวะได้ แม้แต่เพียงการเข้าถึงสภาวะธรรม ถ้าเราไปยึดเข้า จิตเราก็ยังหลงอยู่ดี
เมื่อรู้มากเข้าๆ ตัวสติก็จะทำงานได้รวดเร็วขึ้น
หากแต่เข้าไปรู้ยึดเข้าก็หลงรู้ได้เช่นกัน
แม้จะปฏิบัติถูกเห็นถูก ถ้าเราไปยึดเข้ามันก็ผิด
#เมื่อจิตยังมีอวิชชาก็เป็นการเห็นไตรลักษณ์แบบอวิชชานั่นเอง
ฝึกอานาปานสติสมาธิวันนี้ ได้ใช้กันทุกคน
พวกเราไม่ได้ตายจริงๆดอก เชื่อหลวงตาเถอะ!!!
ผู้ใดที่เดินทางสู่การพ้นทุกข์ในวัฏฏะ.
ต้องเผชิญกับบททดสอบ
เผชิญกับดักของพยามารที่แสนสาหัสนัก
ถึงจะยากยิ่งแค่ไหน ผู้จะเดินทางสายนี้
นั้นจะพบด้วยกันทุกๆท่าน...
เพราะเห็นโทษภัยในทุกข์ จมอยู่ในกองแห่งทุกข์ตลอดเวลานานแสนนาน เปรียบเสมือนนอนจม ในกองไฟอันร้อนระอุ ที่เผาจิตใจสัตว์โลกทั้งหลาย
ลูกเอ๋ย.!!เจ้าจะจมอยู่ในกองไฟนั้นตลอดไปจริงหรือ...!!?? หรือลูกจะอดทน พยามออกจากกองเพลิงแห่งทุกข์.
ลองคิดด้วยใจว่าอันไหนจะทุกข์กว่ากันล่ะลูกเอ๋ย...
#พระสิ้นคิด
..........น้อมกราบสาธุธรรม............
จะเที่ยวไปหาที่ไหนธรรม หาที่กายที่ใจเรานี้
จะไปฟังใครหรืออาจารย์ไดอีกเล่า เรามีครบ
ฟังมามาก จนวุ่นวายใจไปหมด
กลับมาหาที่ตัวเราเองจึงประเสริฐ ลมหายใจเรา
ก็มีแค่ฝึกสติ มีสติในลมหายใจเข้า.หายใจออก
แค่นี้พอเลย ฟ้าจะถล่มดินจะไหวก็อย่าไปสนใจ
ไห้อยู่ในลมหายใจเข้าออกจบเลย
....#พระสิ้นคิด....
...น้อมกราบสาธุธรรม....
🍁ทุกข์🍁เปรียบเหมือนสวนดอกไม้ของพระอริยเจ้า
เพราะทุกข์นั้นแลคือธรรม.เห็นทุกข์ รู้ทุกข์
ทุกข์ที่สุด จนสุดทุกข์ จึงพ้นทุกข์
...#พระสิ้นคิด
สติ มีกำลังเป็นมหาสติ
ศีล สมาธิ ปัญญา
เจริญฌานสี่จนบริบูรณ์
แท้แล้วคืออันเดียวกัน
ต่างกันที่ภาษาพูดหรือโวหารเท่านั้น
บุคคลผู้เข้าถึงสามประการนี้
ย่อมเป็นเหมือนกันถึงธรรมอันเดียวกัน
คือเป็น สมาธิที่เป็นเองแล้ว
หรือเรียกว่าหมดกิจหรือสิ้นสงสัย
ท่านไม่ต้องทำสมาธิหรือทำความเพียรอะไรอีกเลย
สมาธิขั้นนี้พระพุทธเจ้าทรงตรัสสรรเสริญว่าเป็นสมาธิที่สมบูรณ์
หรือเรียกว่าอนันตริกสมาธิ
เป็นสมาธิของพระอนาคามีขึ้นไป...
#พระสิ้นคิด...
หลงความคิดติดในวังวนของความคิดไม่มีที่สิ้นสุด.มีสติฝึกสติความคิดกลัวสติรู้เท่าทัน...#พระสิ้นคิด.
สติเจริญไห้มีกำลังยิ่งขึ้นๆ
นั้นแล ."คือ พัฒนา.ภาวนา."
...#พระสิ้นคิด.
มีสติ.เจริญสติก็เหมือนกำลังเดินเข้าไกล้พระพุทธเจ้านั้นแล...#พระสิ้นคิด
มีสติรู้ทันความคิด นั้นแล..รู้ทันจิตเกิดหรือการเกิดอุปาทาน.หลงความคิด ติดในวังวนของความคิดไม่มีที่สิ้นสุด...#พระสิ้นคิด.
สิ่งที่กลัวที่สุดในโลกนี้และโลกอื่นไม่ใช่สิ่งไดดอกคือ"ความคิดเรานี้แหละ".ไม่มีอะไรหลอกลวงเก่งเท่าความคิดของตัวเราเอง.มีสติเจริญสติความคิดกลัวสติรู้เท่าทัน...#พระสิ้นคิด.
...น้อมกราบสาธุธรรม..#พระสินทรัพย์ จรณธัมโม
..ไม่มีอะไร หลอกลวงเก่ง
..เท่ากับความคิด ของเราเอง
》》ดูกายเห็นจิต ดูความคิดเห็นธรรม《《
...น้อมกราบสาธุธรรม...#พระสินทรัพย์จรณธัมโม
"สติ" แก้ความเห็นผิดทุกชนิด
มี"สติ" รู้สึกตัวก็หายหลงหมดโง่
มีสติผู้มีสติเจริญสมบูรณ์แล้วจะอิสระจากอารมณ์.พ้นจากความเป็นทาสของอารมณ์
ฝึกตนเตือนตนแก้ไขตนและเมตตาตน"ก่อนค่อยเมตตา"ผู้อื่นศาสนาพุทธท่านสอนแบบนี้...#พระสิ้นคิด.
#พระสินทรัพย จรณธัมโม
...มีสติ คุ้มครองใจไม่ไหลไปตามสัญญา อารมณ์
"นั้นแล ภาวนา"
ถ้ายังคิดอยู่จะสงบได้อย่างไร..!!!
การหยุดคิดนั้น ไม่ใช่ไปห้ามความคิด
แค่มีสติอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก
ส่วนความคิดมันจะคิด ก็แค่รู้ว่ามันคิดเท่านั้น
รู้เฉยๆมันคิดดี ก็แค่รู้ คิดชั่ว ก็แค่รู้.
ให้มีสติแนบอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออกแค่นี้ ทำแค่นี้
แค่รู้ อย่าเข้าไปร่วมดี ร่วมชั่วกับความคิด
เจริญสติให้ยิ่งๆขึ้นๆ ความคิดก็จะหมดกำลัง
และดับลงเองง่ายๆแค่นี้...
เพราะความคิดนั้นแหละ คือเหตุของทุกข์ทั้งมวล
ความคิดนี้แหละพาเกิด ความคิดนี้แหละพาตายเพราะตายไปเกิดอีกร้อยชาติพันชาติมันก็จะคิดเหมือนเดิมนี้แหละ ไม่สิ้นสุด..
สติจึงเป็นยอดของธรรม เพราะสะกัดกั้นกระแสของความคิด
สติเป็นจักษุ สติมีอยู่ในลมหายใจเข้า-ออก
ฝึกจนมีกำลัง แนบติดเป็นอันเดียวกับลมหายใจ
หรือเรียกว่าเป็นอานาปานสติสัญญา
ความคิดก็หยุดลงหรือดับลง
เป็นสังขานุเบกขาญาน
สงบระงับไม่มีทุกข์ให้ดับอีกเลย
เรียกว่าพ้นทุกข์เป็นอิสระ.
เห็นความคิด รู้ทันความคิด...
นั้นแหละเห็นจิต รู้เท่าทันจิต
เจริญสติให้มีกำลังจนรู้เท่าทันความคิดนั้นแหละความนึกคิดปรุงแต่ง[จิตสังขาร]
มันจะหมดกำลังจนดับลงเองในที่สุด..
ธรรมใดๆก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ..
ลงมือปฏิบัติสะ..!!!จะได้ไม่ไปเที่ยวถามใครอีก🤔
........น้อมกราบสาธุธรรม..........
__คิดอย่างไรเห็นอย่างนั้น
__เห็นอย่างไรเชื่ออย่างนั้น
__เชื่ออย่างไรทำอย่างนั้น
__ทำอย่างไรนิสัยอย่างนั้น
>>มีสติฝึกไห้เจริญยิ่งๆขึ้นนั้นแลภาวนาหรือพัฒนา
>>อบรมนิสัยตนนั้นแลคือผู้เจริญโดยแท้
..#พระสิทรัพย์ จรณธัมโม..
สัญญาคือกรรมเก่า(ความจำ)
ความคิดเกิดจากความจำ
การมีสติรู้เท่าทันความคิด
นั้นจะเห็นความคิดมันเกิดมันดับลง(เห็นการเกิดดับ)
ดูไปเรื่อยๆจนมันสุดสัญญา(ความจำ)
นั้นแหละความคิดปรุงแต่งก็เกิดขึ้นไม่ได้
หรือเรียกว่าสิ้นกรรม หมดกรรม
เพราะความจำ(สัญญา)มันตั้งอยู่ไม่ได้นั้นเอง
หรือจะเรียกว่าสิ้นอาสวะกิเลสก็ไม่ผิด
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเรียกว่า.จิตสลัดสัญญา
ภาษาอภิธรรมเรียกว่า.สังขารนุเบกขาญาณ
หรือจิตสังขารมันระงับ.นี้พูดภาษาง่ายๆนะ
มีสติรู้อยู่ทุกๆกิริยาบท คือ ผู้ไม่ประมาท
ออกจากความคิด นั้นแหละคือ"ออกจากทุกข์"
วางความคิด นั้นแหละคือ"วางอารมณ์"
จิตที่ไม่ติดพัวพันในอารม์ทั้งปวง นั้นแหละ"บริสุทธิ์"🌾🌾
"รู้หมดเป็นไฉน"
รู้หมดหมายความว่ารู้เกิดจากสัญญา
ความคิดปรุงแต่งเต็มไปด้วยเจตนา(มโนกรรม)
..มีอวิชชาเป็นเหตุ..
"หมดรู้"หมายความว่ารู้ตามธรรมชาติ
เกิดรู้เองไม่มีเจตนาร่วมหรือไม่มีความคิดปรุงแต่ง
"รู้เฉยๆ"ไม่มีตัวตนหรือเจตนา..แค่รู้...
#พระสิ้นคิด.
เจริญสติไห้มีกำลังรู้ทันความคิด.รู้ลมเห็นจิต.รู้ความคิดเห็นธรรม...#พระสิ้นคิด.
#ให้พากันฝึกหัดใจของตนให้ดี..#ให้เป็นใจที่มีสติ
พระพุทธเจ้าว่า ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า.
มีใจถึงพร้อม มีใจเป็นใหญ่ มีใจประเสริฐสุด.
ครั้นทรมานใจดีแล้ว ฝึกฝนดีแล้ว อบรมดีแล้ว มีใจประเสริฐสุดแล้ว มีใจที่มีสติบริบูรณ์ #มันก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น จบ..
ถ้าไม่ทรมานไม่ฝึก ไม่หัด ปล่อยมันทำพิษเผาลน
อยู่ทั้งกลางวันกลางคืน.
นี่แหละ ใจไม่ดี ใจไม่รู้เท่า ใจโง่."
#พระสิ้นคิด
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน
มีสติในลมหายใจเข้าออก...
ย่อมเข้าถึงสติปัฏฐานสี่ได้
มีสติ ย่อมมีปัญญา
ปัญญาในที่นี้ ย่อมรู้เท่าทัน
จิตใจของตน
ผู้มีปัญญาแท้จริงแล้ว คือ
ผู้ที่พาตนเองพ้นทุกข์ได้
รู้คิด รู้เท่าทัน รู้การไหลเข้า
ไปในการปรุงแต่งของความคิด
#พระสิ้นคิด
"#อวิชชาคือใจ ใจที่ถูกครอบด้วยอวิชชา
คือมันไม่รู้ต่อสิ่งทั้งปวง
ไม่รู้ในกองสังขาร แล้วหลงยึด..
ชอบเข้าก็หลงยึด ไม่ชอบก็ยึดเข้ามาเผาตน.
มันไม่รู้
#ความทุกข์_นั่นแหละที่เสียบแทงจิต
ดูได้ง่ายในเมื่อดูที่อาการร้อนรน
แต่ว่าเป็นการเสียบแทง คือ เผาลนจิตใจ
เพราะฉะนั้นทั้ง 3 อย่างเป็นโรค โลภะ ราคะ โทสะ ต้องรู้จักไอ้โรคนี้ให้ดีเสียก่อน
จึงจะรู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นนายแพทย์ผู้รักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง
เพราะสัตว์โลกทั้งปวงเป็นโรค 3 ชนิดนี้อยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อย
รู้สึกบ้างไม่รู้สึกบ้าง จะไม่เป็นก็เว้นแต่ที่ ไม่มีเวลาที่ไม่ปรากฏ โลภะ โทสะ โมหะ
ตามปกติสัตว์นี่สะสมความเคยชินที่จะเกิดโลภะ โทสะ โมหะไว้มากมาย จนเป็นอันว่ามันเกิดเมื่อไรก็ได้
อารมณ์ที่น่ารักมามันก็รัก
อารมณ์ที่น่าเกลียดน่าโกรธมา มันก็โกรธ มันก็เกลียด
อารมณ์ที่ชวนให้ทึ่ง ให้สงสัย ให้ฉงน ให้ข้องใจ นี่มันก็ทึ่งขึ้นมา ไม่ได้อยู่เป็นปกติ
นี้คือโรคถ้ามันเนื่องกับกายมันก็เสียบแทงกาย
ถ้ามันเนื่องกับจิตมันก็เสียบแทงจิต
ถ้าเนื่องกับวิญญาณมันก็เสียบแทงวิญญาณ
ความรู้สึกทางกายล้วน ๆ มันรู้สึกไม่ได้
มันรู้สึกทางจิต ถ้าจิตไม่รู้สึกเสีย กายมันก็ไม่รู้สึกทางสติปัญญาก็เหมือนกัน
มันอาศัยจิตเป็นที่ตั้งนั้นมันเพียงแต่ว่ามันไปแสดงออกที่ส่วนไหนมากเท่านั้นเอง
ไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะมันแสดงออกกันส่วนมากที่ร่างกาย มันแสดงออกทางจิตโดยตรง
มีแต่เรื่องของจิตโดยตรง หรือไปแสดงออกทางสติปัญญา
#หรือที่เรียกว่าทิฏฐิ ความคิดความเห็นนั่นเอง นั่นเป็นโรคกันที่นั่น
เรายังไม่เป็นพระอรหันต์เพียงไร..!!
เราก็ไม่ปลอดจากโรคทางวิญญาณโดยสิ้นเชิง
อยู่เพียงนั้น...
การภาวนาคือการพัฒนา
_ฝืนจิตฝืนใจด้วยสติ
_ไม่ไห้ไหลไปตามสัญญาอารมณ์
_หลักหรือวิหารธรรมคือมีสติ
_ในลมหายใจเข้าออก.เท่านี้คือแก่นธรรม..
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,, #พระสิ้นคิด
🍃การเข้าถึงธรรมชาตินั้น
ง่ายจนยากจะเข้าถึงจริงๆ
เพียงแหวกม่านของความคิด..พ้นเสียจากการคิดปรุงแต่ง
ก็จะอิสระจากเหตุทั้งหมดของโลกหรืออารมณ์ได้
พ้นเสียจากมายาแห่งจิตเด็ดขาด
...#พระสิ้นคิด...
ไม่มีสิ่งใดๆ ในโลกที่ดีหรือเลว
มีแต่ ความคิด เราเท่านั้น
ที่ทำให้เกิดความดีและความเลว
สติ คือการรู้ทันความคิด
รู้พร้อมเฉพาะที่มันคิด
ไม่ต้องไปสืบสาว[ปรุงแต่ง]
ว่ามันคิดอะไร
รู้แต่ว่า มันคิด ไม่ใช่ เราคิด
#ผู้ทรงธรรมคือผู้ทรงความสงบระงับ_จากอารมณ์.
อุปมาเหมือนคนป่วยที่หายขาดจากโรคนั้นแล...
แต่พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านหายจากโรคแห่งอารมณ์[โรคจิต]..
นิวรณ์ 5 คือโรค ที่ทำร้ายจิตใจสัตว์โลกทั้งหลาย
จิตใจที่ปราศจากนิวรณ์คือจิตใจที่สงบระงับ...
ความคิด คือนิวรณ์ตัวเอ้...
ความสงสัยฟุ้งซ่าน นั้นเป็นภัยต่อจิตต่อใจ
รีบเร่งขวนขวาย.ฝึกสติ เจริญสติ ให้มีกำลังรู้เท่าทัน
ความรู้สึกนึกคิด..จนจิตสังขารมันดับลง...
มีอุเบกขาธรรมเป็นที่อยู่ พ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ผู้จะเดินทางหนีโลกทั้งหมด[โลกนี้โลกหน้า]
จิตใจกำลังใจ ต้องมีกำลังมาก
เด็ดเดี่ยวอาจหาญ กล้าสละแม้แต่ชีวิต
จึงพ้นโลก เพราะโลก คืออารมณ์ทั้งหลาย
ทั้งดีและไม่ดี[บาป-บุญ]
ถ้าศรัทธาหรือกำลังจิตใจยังห่วง[บ่วงมาร]
เงินทอง ญาติหรือห่วงชีวิต[กลัวตาย]
ก็ขอแสดงความยินดีกับกิเลสด้วยว่า.
ท่านก็จะยังเกิดในโลกนี้และโลกหน้าอีกนับไม่ถ้วน
#เพราะตัวกิเลสใหญ่ก็คือตัวเรานี้เอง
#ถ้ายังกลัวตาย_ก็ยังเสียดายกิเลส
#หยุดโง่โดยพูดว่าคิดว่าเกิดมาใช้กรรมเสียที...
ตื่นมาพัฒนากรรม จึงเป็นมนุษย์ที่พัฒนา...
ภาวนาแปลว่าพัฒนา.
อย่าทำร้ายตนให้เป็นมนุษย์ด้อยพัฒนา
ด้วยการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ชึ่งมีมาหลายๆหมื่นปีแล้ว...
พุทธศาสตร์แปลว่าศาสตร์ของผู้ตื่น.
ส่วนไสยศาสตร์แปลว่าศาสตร์ของผู้หลับ.
เขาเป็นอย่างไร ก็ยังไม่สำคัญเท่า
#เราเป็นอย่างไร พัฒนาเจ้าของให้มีสติ
สัมปชัญญะ ระลึกรู้ รู้ที่มันคิด รู้กายใจ
ที่เคลื่อนไปในทุกขณะ โดยมีลมหายใจ
เป็นเครื่องอยู่ หรือ วิหารธรรม.
พัฒนาสติ ให้มีสติต่อเนื่องทุกอิริยาบถ
หลงไปคิดก็รู้ แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจ
อยู่แบบนี้ เมื่อรู้สึกตัวต่อเนื่อง นั่นคือ ...
ถ้าปัญญามาก่อน นั้นคือ ปัญญาอ่อน ขาดกำลัง
หรือเป็นสัญญา เป็นปัญญาทางโลกีย ์[โลก]
ทางสายเอกสายเดียวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา [มรรค]
ทางสายอื่นเป็นทางตัน
การเจริญสติจนมีกำลัง สมาธิก็จะเกิด พอสมาธิเกิด
ปัญญาก็จะเกิดเอง ไม่ใช่คิดเองว่ามีปัญญา
ปัญญาในวิปัสนา นั้นต้องมีสมาธิอบรมขึ้น
และสิ่งสำคัญ ต้องมีอุเบกขาเป็นวิหารธรรม[เครื่องอยู่]
ที่ว่าปัญญามาก่อนเป็นวิปัสนู นั้นเพราะจิตขาดสมาธิ
จึงเป็นความคิดปรุงแต่ง ด้วยเหตุผลทางโลก
จิตที่ขาดสมาธินั้นจิตย่อมมีนิวรธ์เป็นเครื่องกั้น
ตัวปัญญาที่แท้จริง
เพราะว่า นิวรธ์ 5 นั้นเป็นข้าศึก ของสมาธินั้นเอง
ถ้าจิตเกิดสมาธิ นิวรธ์ก็ดับลง
ถ้ามีนิวรธ์ สมาธิย่อมดับเช่นกันนั้นเอง
แล้วจะไม่เรียกว่าปัญญาอ่อนแล้วจะให้เรียกว่าอย่างไร...
#พระสิ้นคิด