แต่ถ้าเพียงรู้....รู้ว่า ความคิดถูกรู้
เมื่อ"รู้ถูก"ไม่หลงไปกับคิด ย่อมตระหนักได้
ถึงความสงบที่มีอยู่เฉพาะหน้านั้นเอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
ถ้าหากบำเพ็ญสมาธิ มุ่งจะให้จิตสงบ
ให้มีจิตมั่นคงต่อการทำความดี
และเพื่อจะให้เกิดมีสมาธิ มีสติ ปัญญา
รู้แจ้ง เห็นจริง ในสภาวธรรมตามความเป็นจริง
เพื่อจะได้เป็นอุบายถ่ายถอนราคะ ความกำหนัดยินดี
หรือกิเลสโลภ โกรธ หลง ให้หมดไปจากจิตใจ
โดยไม่ได้มุ่งสิ่งอื่น นอกจากความบริสุทธิ์
และความพ้นทุกข์ จัดว่าได้ชื่อว่าเป็น สัมมาสมาธิ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ธรรมดาจิตมันต้องคิดนึก
ถ้าเราไปคิดที่จะไม่คิด
ก็ไปกั้นกระแสธรรมชาติ
ทำให้เกิดความอึดอัดขัดข้อง
การทำจิตให้สงบ
การทำจิตให้สงบ คือวางให้มันพอดีมัน ให้มันพอดี ตั้งใจมากเกินไป มันก็เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่ถึง มันขาดความพอดีของมัน
ธรรมดาจิตนี้มันเป็นของที่ไม่อยู่นิ่ง มันเป็นกิริยาของมันไหวตัวไหวตนอยู่เรื่อย ๆ ฉะนั้นจิตใจเราจึงไม่มีกำลัง ทำจิตใจให้มีกำลัง และทำกายให้มีกำลัง ต่างกัน ทำร่างกายให้มีกำลัง ออกแรงกายบริหาร มีการโยก การวิ่ง ทำร่างกายให้มีกำลัง
"ทำจิตให้มีกำลัง" ก็คือ"ทำจิตให้สงบ" ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ ต้องการให้ "ใจ" อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตเรานั้นไม่เคยได้อยู่สบาย มันไม่เคยมีกำลัง เพราะมันไม่เคยมีกำลังทางด้านสมาธิของมัน
บัดนี้เราทำสมาธิ ก็ตั้งใจให้เอาความรู้สึก"ผู้รู้" เรียกว่าความรู้สึก ถ้าหากว่าเราหายใจ สั้นเกินไป หรือยาวเกินไปมันก็ไม่พอดี มันไม่ได้สัดได้ส่วนมัน มันก็ไม่เกิดความสงบ เหมือนกันกับเราเย็บจักร มีมือมีเท้า เราต้องถีบจักรเปล่าดูเสียก่อน ให้มันรู้จัก ให้มันคล่องแคล่ว เอาเท้าของเราให้มันคล่องทางเท้าของเราเสียก่อน
กำหนดลมหายใจก็เหมือนกัน หายใจทิ้งเฉย ๆ กำหนดรู้เฉย ๆ มันจะพอดี เท่าใด ยาวเท่าใด สั้นเท่าใด ค่อยเท่าใด แรงเท่าใด มันจะยาวก็ไม่เอากับมัน มันจะสั้นก็ไม่เอากับมัน มันจะค่อยก็ไม่เอากับมัน เอาที่ความพอดี เอายาวพอดี เอาสั้นพอดี เอาค่อยพอดี เอาแรงพอดี นั้นชื่อว่าความพอดี
มันไม่ได้ขัดได้ข้องแล้วก็ปล่อยให้หายใจดูเสียก่อน ไม่ต้องทำอะไรมัน ถ้าหากว่ามันสบายแล้ว พอดีแล้ว ก็ยกเอาลมที่มันหายใจเข้าออกนั่นเองเป็นอารมณ์ หายใจเข้า
ต้นลมมันอยู่ปลายจมูก
กลางลมอยู่หทัยคือหัวใจ
ปลายลมมันจะอยู่สะดือ
อันนี้เป็นแหล่งคือการเดินลม เมื่อลมมันออกมา ต้นลมมันจะอยู่สะดือ กลางลมมันจะอยู่หทัย ปลายลมมันจะอยู่จมูก มันจะสลับกันอย่างนี้
เมื่อหายใจเข้าต้นลมมันจะอยู่ปลายจมูก กลางลมมันจะอยู่หทัย เมื่อลมมันผ่านจมูก ผ่านหทัย และผ่านไปสะดือ สุดแล้วก็กลับมา
สามการนี้ ความรู้เรานี้ให้อยู่ในสามการนี้ เรื่อยไป เพียบพร้อม เพื่อรักษาความรู้นั้น และทำสัมปะชัญญะเราให้กล้าขึ้น
เมื่อหากว่าเรากำหนดจิตของเรา ให้รู้จักต้นลม กลางลม ปลายลม ดีแล้วพอสมควร เราก็วาง เราจะหายใจออกเฉย ๆ เราจะหายใจเข้าออกเฉย ๆ เอาความรู้เราไว้ที่ปลายจมูก หรือริมฝีปากข้างบน เอาที่ลมผ่านออกผ่านเข้า เอาความรู้สึกนั้นไว้เท่านี้ ไม่ต้องตามลมออกไป ไม่ต้องตามลมเข้ามา เอาความรู้ เอาผู้รู้นั่นแหละไว้ เฉพาะหน้าเรา ให้รู้จักลมมันผ่านออก ผ่านเข้า ผ่านออก ๆ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย มีความรู้สึกเท่านั้นแหละ ทำให้มันมีความรู้สึกติดต่อต่อกัน
ลมเข้าก็ให้รู้ ลมออกก็ให้รู้ ให้รู้อยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปคิดว่ามันจะเป็นอะไร ให้เอาเท่านี้เสียก่อน ในเวลานี้ หน้าที่การงานของเรามีเท่านี้ ไม่ได้มีมากมาย
กำหนดลมเข้าออกอยู่อย่างนั้นแหละ ต่อไปจิตมันจะเกิดความสงบ ลมมันก็จะละเอียดเข้าไป น้อยเข้าไป กายก็จะเบาเข้าไป จิตก็จะสงบไป ความเบากาย เบาใจนั้น มันก็จะเกิดขึ้นมา มันจะเป็นกายควรแก่การงาน มันจะเป็นจิตควรแก่การงานต่อไป
นี่การทำสมาธิ ไม่ต้องทำอะไรมาก ให้กำหนดเท่านั้น เอาต่อนี้ไปก็ทำก็กำหนดได้
-----------------------------------------------
หลวงปู่ชา สมมุติ บังวิมุติ
เดินสายกลาง
ความอยากอย่างแรงกล้าที่จะหลุดพ้นหรือรู้แจ้งนั้นจะเป็นความอยากที่ขวางกั้นการหลุดพ้น
พยายามมากเกินไปแต่ขาดปัญญา..เป็นการเคี่ยวเข็ญตนเองไปสู่ความทุกข์ยากโดยไม่จำเป็น เดินสายกลาง..คือ สงบ..วางสุข..วางทุกข์
หลวงปู่ชา
คนเราที่แสวงหาความสงบ
อยากได้ความสงบให้กับใจ
มักจะไปตกหลุมแห่งความคิด
ที่จะไม่คิด พยายามที่จะไม่คิด
พยายามผลักดันปิดกั้นความคิด
" วิธีสังเกต ตัวเอง
สังเกต จิต
ที่มีนิสัยหลุกหลิก ไม่อยู่เป็นปกติ
ด้วยมีสติตามระลึกรู้ความเคลื่อนไหว ของจิต
โดยมีธรรมบทใดบทหนึ่งเป็นคำบริกรรม
เพื่อเป็นยารักษาจิตให้ทรงตัวอยู่ ด้วยความสงบสุข
ในขณะภาวนา
ที่ให้ผลดี ก็มีอานาปานสติ คือ กำหนดจิตตามลม
หายใจเข้า - ออก ด้วยคำภาวนา พุทโธ
พยายามบังคับให้อยู่ กับอารมณ์แห่งธรรมบทที่นำ
มาบริกรรมขณะภาวนา
พยายามทำอย่างนี้เสมอ ด้วยความไม่ลดละความ
เพียร
จิตที่เคยทำบาปหาบทุกข์อยู่เสมอ จะค่อยรู้สึกตัว
และ ปล่อยวางไปเป็นลำดับ มีความสนใจหนักแน่น
ในหน้าที่ของตน เป็นประจำ
จิต ที่สงบตัวลงเป็นสมาธิ
เป็นจิตที่มีความสุขเย็นใจมาก และจำไม่ลืม
ปลุกใจให้ตื่นตัว
และ ตื่นใจได้อย่างประหลาด."
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
วิธีการฝึกฝนจิต
หลวงพ่อปราโมทย์ : จิตเป็นเด็กซุกซนนะ แต่ขี้อาย เวลาเผลอเมื่อไหร่มันหนีไปเที่ยว ถ้ารู้ทันมันนะ มันไม่ซนนะ มันเข้ามาอยู่ที่บ้าน ไม่ซนไปที่อื่น แต่เราอย่าเอาโซ่ไปล่ามมัน เอาโซ่ไปล่ามคือเอาไปเพ่งไว้ มันหนีไปแล้วไม่รู้ทันนี่คือมันหลงไป อย่าให้มันสุดโต่งไปข้างมันหนีไปมันหลงไปโดยไม่รู้ทัน และไม่ใช่ว่ามันไม่หนีไปเพราะถูกบังคับอยู่
ตรงที่มันหนีไปแล้วรู้ไม่ทันนะ เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค สุดโต่งไปข้างตามใจกิเลส ตรงที่บังคับไว้ไม่ให้หนีเลยเป็นการสุดโต่งมาข้างบังคับตัวเอง เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค สองอันนี้แหละที่ทำให้เราพลาดจากทางสายกลาง คือทางแห่งการรู้
เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ให้เป็น ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งแล้วรู้ทันจิตไปเรื่อยๆ จิตไหลไปแล้วรู้ ไหลไปดู ไหลไปฟัง ไหลไปคิด ไหลไปเพ่ง รู้ทันเรื่อยๆ นี่แหละเรียกว่าเรียนเรื่องจิต ถ้าเราเรียนเรื่องจิต จิตจะค่อยๆตั้งมั่นขึ้นมา โดยเฉพาะจิตที่หลงไปคิดนะ ถ้าเรารู้ทันจิตที่หลงไปคิดนะ จิตผู้รู้จะเกิดขึ้นในฉับพลันนั้นเลย เพราะรู้กับคิดนั้นกลับข้างกัน เหมือนเหรียญอันเดียวกันนะ แต่ด้านหัวด้านก้อยกลับข้างกัน เมื่อไหร่รู้ว่าจิตคิด เมื่อนั้นจิตรู้ก็เกิดขึ้น อันนี้ดีที่สุดเลย
แต่รู้ว่าจิตเพ่งจะไม่ค่อยหายเพ่ง รู้ว่าเพ่งก็ยังเพ่งไปเรื่อยๆ เพราะดูไม่ออกว่าโลภ เบื้องหลังการเพ่งคือความโลภ อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอยากได้อยากดีอยากเด่น มีอยากซ่อนอยู่ ทำให้มานั่งคอยจ้องไม่ให้คลาดสายตา อันนั้นดูด้วยความโลภ ใช้ไม่ได้ทำไปด้วยกิเลส มีกิเลสแล้วเกิดการกระทำกรรม เกิดการเพ่งการจ้อง มีความโลภแล้วก็ไปเพ่งไปจ้อง
ในตำราสอนนะว่า กิเลสเป็นสหชาตปัจจัยของกรรม กิเลสทำให้เกิดการกระทำกรรมทางใจ โลภขึ้นมาแล้วอยากจ้อง อยากจ้องแล้วไปจ้อง เกิดความอยากจ้องนี่ล่ะความโลภ ก็ไปจ้องเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา นี่คือการกระทำกรรม ในขณะที่เรากระทำกรรมด้วยความอยาก ความอยากก็ยังดำรงอยู่
เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่เราจ้องอยู่ด้วยความโลภอยากรู้ให้ชัดนะ ความอยากรู้นั้นยังดำรงอยู่ สติจะไม่เกิดเลย สติจะเกิดร่วมกับอกุศลไม่ได้เด็ดขาดเลย ถ้าเมื่อไหร่สติเกิดเมื่อนั้นจะไม่มีอกุศลนะ เมื่อไหร่สติหายไปเมื่อนั้นมีอกุศลได้ แต่บางทีก็มีวิบาก จิตบางดวงก็เป็นอกุศลจิต จิตบางดวงเป็นวิบากเฉยๆ ไม่ต้องมีสติ แต่มีสติเมื่อไหร่จิตจะเป็นกุศลทันที จะเป็นอกุศลไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นในขณะที่เราปฏิบัติแล้วเราจ้องเอาๆนั้น สติตัวจริงไม่เกิดนะ เพราะความโลภมันเกิดอยู่ ไม่มีพื้นที่เหลือให้สติเกิด ให้เรารู้ทัน ถ้าเกิดว่าเราไปจ้องอยู่เนี่ย วิธีแก้จ้องนะ ให้รู้ทันว่ามันอยาก อยากรู้ให้ชัด อยากรู้ให้ไม่คลาดสายตา อยากรู้ตลอดเวลา อยากรู้ให้ทัน เป็นการดักดู ไปคอยดักดู ดักดูเมื่อไหร่ก็คือเพ่งเมื่อนั้นแหละ ถ้าเรารู้ทันใจที่โลภใจที่อยากนะ มันก็ไม่เพ่ง ถ้ารู้ไม่ทันมันก็เพ่ง
เราค่อยๆสังเกตนะ จนใจของเรา สังเกตจิตบ่อยๆ ในที่สุดเราจะได้สมาธิที่ดีขึ้นมา คือจิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จิตที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนะ จะมีความเบานะ ถ้าหนักๆจะไม่ใช่ของจริง จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานจะมีความอ่อนโยนนุ่มนวล ถ้าแข็งกระด้าง ไม่ใช่ของจริง อย่างที่พวกเราชอบนั่งสมาธิ รู้สึกมั้ย จิตหนักๆ บางทีจิตแน่นๆแข็งๆ นั่นเป็นสมาธิชั้นเลวนะ ไม่ใช่สมาธิที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานนะ เป็นสมาธิชั้นเลว ใช้ไม่ได้ เอาจิตอย่างนั้นไปเจริญปัญญาไม่ได้
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
เส้นทางเดินจากปุถุชนไปสู่พระอริยะ
การจะภาวนานะ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามกิเลสแต่ละวันไปเรื่อยๆ ไปไม่รอดหรอก ทั้งพระทั้งโยม จะต้องมีองค์ธรรมพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่เรียบง่าย มีชีวิตที่วุ่นวาย รุงรัง ไปไม่รอด
พระพุทธเจ้าสอนให้มักน้อย มักน้อยนี่เป็นธรรมสำคัญของพระมักน้อย หมายถึงว่า มีโอกาสได้เยอะ ก็เอาน้อย เอาเท่าที่จำเป็น
ฆราวาส ตัวนี้หย่อนหน่อยก็ไม่เป็นไร รวยเข้าไว้ก็ไม่เป็นไรนะ แต่อย่าหากินจนกระทั่งหมดเวลาภาวนา
ต้องรู้ว่าเราทำมาหากิน เพื่ออาศัยมีชีวิตอยู่ในชาตินี้เท่านั้นเอง งานที่สำคัญในชีวิตเรา คือการยกระดับใจเราให้พ้นจากความทุกข์ งานนี้ต้องสะสมข้ามภพข้ามชาติเลย
สันโดษ หมายถึง เราพอใจในสิ่งที่เรามี เราทำเต็มที่แล้ว เราได้เท่านี้ เราพอใจ ไม่เหมือนมักน้อยนะ
มักน้อย มีโอกาสได้เยอะ เอาเท่าที่จำเป็น เท่าที่พอเพียง
สันโดษ พอใจตามมีตามได้
แล้วต้องรู้จักความวิเวก
กายวิเวก อย่าเอาร่างกายไปมั่วสุม วุ่นวาย
จิตตวิเวก รู้จักฝึกฝนใจ ให้มันสงบสุขบ้าง อย่าให้มันว้าวุ่นมาก
อุปธิวิเวก ลด ละ กิเลสไป จนกิเลสมันอ่อน มันระงับลงไป
ต้องฝึก ต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง ถ้าปล่อยเลื่อนๆ ลอยๆไปนะ
จะยิ่งอ่อนลงไปเรื่อยๆ ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา
ต้องไม่คลุกคลี ยุ่งกับคนอื่นให้น้อยๆ
เอาเวลามากที่สุด มาเรียนรู้ตัวเอง
วันๆ ยุ่งกับคนอื่นทั้งวัน ไปไม่รอด
คลุกคลียุคนี้ ทำได้หลายรูปแบบ
คลุกคลีทางอินเตอร์เน็ตนี่ร้ายมากเลย
วันๆ นั่งเฝ้าจอ เดี๋ยวมีอะไรมาแล้ว
อย่างวันนี้วันอาทิตย์ ก็สวัสดีวันอาทิตย์
บ้านเราก็วันอาทิตย์เหมือนกัน เสียเวลา
อย่างนี้คลุกคลี หาสาระไม่ได้เลย
•มักน้อย สันโดษ วิเวก ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร•
วันๆ ต้องคิดถึงว่างานของเรายังไม่เสร็จ
ภาระหลักในชีวิตของเรายังไม่เสร็จ
เส้นทางเดินจากปุถุชนไปสู่พระอริยะ
มีเงื่อนไขพื้นฐาน ต้องมีการปฏิบัติ
ไม่ใช่เลื่อนลอยไปวันหนึ่งวันหนึ่ง
หมดเวลาไปวันหนึ่งวันหนึ่ง น่าเสียดายที่สุดเลย
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แนะนำหลักในการนั่งสมาธิ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
จะแนะนำหลักในการนั่งสมาธิ ของท่านผู้ที่มาใหม่ยังไม่เคยทำ พอให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
๑. ให้ตั้งใจว่าเรื่องราวอะไรทั้งหมด เราจะไม่เก็บมาคิดนึก จะนึกถึงแต่พุทธคุณอย่างเดียว คือ "พุทโธ"
๒. ตั้งสติกำหนดนึถึงลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ หรือจะนึก พุทโธๆ อยู่ที่ใจอย่างเดียวก็ได้
๓. ทำจิตให้นิ่ง แล้วทิ้งคำภาวนา "พุทโธ" เสีย ให้สังเกตแต่ลมที่หายใจเข้าออกอย่างเดียว เหมือนกับเรายืนเฝ้าดูวัวของเราอยู่ที่หน้าประตูคอก ว่าวัวที่เดินเข้าไปและออกมานั้น มันเป็นวัวสีอะไร สีดำ แดง ขาว ด่าง วัวแก่หรือวัวหนุ่ม เป็นลูกวัวหรือวัวกลางๆ แต่อย่าไปเดินตามวัวเข้าไปด้วย เพราะมันจะเตะขาแข้งหักหรือขวิดตาย ให้ยืนดูอยู่ตรงหน้าประตูแห่งเดียว หมายความว่า ให้จิตตั้งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องเคลื่อนไหวไปกับลม
ที่ว่าให้สังเกตลักษณะของวัวก็คือให้รู้จักสังเกตว่า ลมเข้าสั้นออกสั้นดี หรือลมเข้ายาวออกยาวดี ลมเข้ายาวออกสั้นดี หรือลมเข้าสั้นออกยาวดี ให้รู้ลักษณะของลมว่าอย่างไหนเป็นที่สบาย ก็ทำไปอย่างนั้นเรื่อยไป
ต้องทำให้ได้อย่างนี้ทั้ง ๓ เปราะ คือ เปราะแรกภาวนา พุทโธๆ ตั้งใจนึกด้วยสติหรือด้วยใจ เปราะที่สอง ให้สติอยู่กับลมเข้า พุท ลมออก โธ ไม่ลืมไม่เผลอ และเปราะที่สาม จิตนิ่ง ทั้ง พุทโธ เสีย สังเกตแต่ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
๔. เมื่อทำได้เช่นนี้ ใจของเราจะนิ่ง ลมก็นิ่งเหมือนกับขันน้ำที่ลอยอยู่ในโอ่ง น้ำก็นิ่งขันก็นิ่ง เพราะไม่มีใครไปกด ไปเอียง ไปกระแทกมัน ขันนั้นก็จะลอยเฉยเป็นปกติอยู่บนพื้นน้ำ เหมือนกับเราขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดเขาสูงๆ หรือขึ้นไปลอยอยู่เหนิือเมฆ ใจของเราก็จะได้รับแต่ความสุขเยือกเย็น นี้ท่านเรียกว่าเป็น มหากุศล คือเป็น ยอด แก่น หรือรากเง่า ของกุศลทั้งหลาย
เมื่อดวงจิตของเราสงบ บุญต่างๆ ก็จะไหลเข้ามารวมอยู่ในดวงจิตของเรา คือความดีแล้วความดีในดวงจิตนั้นก็จะขยายตัวออกมาครอบทางกาย กายของเราก็จะหมดจากบาป ออกมาครอบทางวาจา ปากของเราก็จะหมดจากบาป ทางกายกรรมคือตาที่เราเคยสร้างบาปมา ทางหูที่เราเคยสร้างบาปมา และมือที่เราเคยสร้างบาปมา ฯลฯ ความดีที่เกิดจาการภาวนานี้มันจะขยายมาล้างตา มาชำระหู มาล้างมือ กายที่บาปด้วยสัมผัส บุญก็จะขยายมาล้าง ทีนี้กาย วาจา ตา หู จมูก ปาก และส่วนอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลายของเรา ก็จะเป็นของสะอาดหมด.
" ให้กำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่ที่ปลายจมูก กำหนดไว้ในใจ บริกรรมว่า.. (หายใจ)เข้า.. พุท (หายใจ)ออก..โธและให้ตั้งสติปัญญาประคับประคองจิตใจของตนเองให้มาคิดหรือให้มากำหนด..รู้ อยู่ที่ลมที่ถูกต้องสัมผัสที่ปลายจมูกของตนเอง อยู่ก็ให้รู้ นี้เรียกว่าการเจริญ..อานาปานุสติกัมมัฏฐาน
เป็นข้อบริกรรมภาวนา เมื่อเรารู้จักว่าจิตของเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกพร้อมกับข้อบริกรรม.. พุทโธ สัมพันธ์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ ก็ให้รู้เพราะการทำสมาธิชนิดนี้เป็นการทำทางลัด เป็นทางที่ทำให้จิตสงบ เป็นสมาธิได้ง่ายที่สุด จึงให้กำหนดเอาแต่ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก กับพุทโธอย่างเดียว "
หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่.
"อย่าไปยึดถืออารมณ์จะเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์มันไม่เที่ยง
บางทีมีความสุข บางทีมันมีความทุข์ บางทีสบาย
บางทีรำคาญ บางทีรักคนโน้น บางทีเกลียดคนนี้
ดูใจเรานั้นแหละ ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
หัด - ฝึก ปล่อยวาง
ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา นี้คือ "ธรรมะ"
.
ธรรมโอวาท : หลวงปู่ชา สุภัทโท