พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
ตอนที่ 278 **ความดีมีสองแบบ**
+ +
ในเช้าของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้นอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม เรื่องของ “ผู้มีปัญญาธรรม”
ผู้มีปัญญาธรรมนั้น เขาจะรู้ว่า “การทำความดีอันสูงสุด คืออะไร”
เขาจะทำความดีแบบไหนบ้างล่ะเจ้าคะ จึงจะเป็นการทำความดีของผู้มีปัญญาธรรม
และจึงจะทำความดีที่ดีที่สุด อย่างแท้จริง น่ะเจ้าค่ะ ?
ลูกจะได้น้อมไปประพฤติ ปฏิบัติตาม.. ลูกจะได้เข้าถึงความดีอันสูงสุด อย่างแท้จริง น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตา แสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง ด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้ว.. ที่รู้จักแสวงหาคำถามต่างๆ มากมาย
พระยาธรรมเอ๋ย.. ตั้งใจฟังให้ดีลูก นั่งให้ดีๆ
หลับตาลง ทำจิตทำใจของลูกนั้น ให้เบา ให้สบาย.. ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไป
อย่ากังวล ถึงเรื่องใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น.. ทำใจให้มันว่างๆ
ไม่ต้องไปยึดติด ยึดมั่นถือมั่น.. กับสิ่งใดๆทั้งหมด
ทำจิตให้ว่าง ทำกายให้ว่าง..
น้อมพลังที่เย็น ที่สบาย.. เข้าไปสู่ศูนย์กลางกาย
ปรับจิต ปรับใจ ปรับกาย..ให้พร้อม
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลที่จะฟังธรรมรู้เรื่อง เข้าใจ.. ต้องวางทุกอย่างทิ้งไป
แล้วเอาจิตเอาใจตั้งมั่นไว้กับเสียงธรรม ลูก.. จึงจะสามารถที่จะเข้าถึงธรรม
พระยาธรรมเอ๋ย.. ตั้งใจฟังนะลูก
การทำความดีอันสูงสุดนั้น ย่อมแน่นอน ลูกเอ๋ย ว่า.. ต้องเป็นความดี
/ ที่เที่ยงแท้ ที่แท้จริง
/ ที่ไม่มีวันดับ วันสูญ ไม่มีวันสลายกลับคืนสู่ “ความไม่ดี” อีก !
นั่นย่อมหมายถึง..
ความดี ที่ไม่เกิด - ไม่ตาย
ความดี ที่ไม่มีความทุกข์ เข้ามาเจือปนอยู่ด้วย
ความดีอันบริสุทธิ์ ความดีที่เที่ยงแท้.. ย่อมต้องเป็นความดีที่สามารถเข้าถึง เข้าสู่พระนิพพานได้แล้ว
** ความดีที่เข้าถึงพระนิพพานแล้วเท่านั้น.. ที่จะเป็นความดี ที่เที่ยงแท้
..ไม่เกิด ไม่ตายอีก ไม่มีทุกข์ใดมาเจือปนอีก*
แล้วความดีนั้น คือความดีอะไร อย่างนั้นหรือ ?
ความดีนั้น ก็คือ.. ดวงจิตที่สร้างสั่งสมความดี จนถึงพระนิพพานไงลูก ++
ฉะนั้น.. ความดีอันสูงสุด ที่ผู้มีปัญญาธรรม เขาพากันรักษา พากันสร้าง พากันทำ
-- จึงเป็นความดี ที่ทำเพื่อถึงนิพพาน --
เพราะมันเป็นความดีอันสูงสุด - สูงสุด เพราะมันเป็นของจริง
+ มันเที่ยงแท้ มันไม่มีวันดับจากความสุข ความดีนั้นได้อีก +
พระยาธรรมเอ๋ย.. ความดีนั้น แยกออกมาได้ เป็น 2 รูปแบบ
รูปแบบที่ 1* ก็คือ การทำดี - เพื่อ..
ได้ดีในวัฏสงสาร
ได้ไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์ชั้นฟ้า เกิดมาเป็นมหาเศรษฐี
ได้ในสิ่งที่ตนสร้าง ตนทำ - กลับคืนสู่ตน.. แล้วก็ต้องทำความดีต่อไป เรื่อยๆ..
ความดีเช่นนี้ เรียกว่า
/ ทำดี แบบที่ยังยึดติดลุ่มหลง
/ ทำดีเพื่อ..ให้มีผลที่ดีนั้นกลับคืนสู่ตน
-- ทำไป ก็จะ..
ได้มาด้วยสวรรค์
ได้มาด้วยความสุข ที่ตนนั้นทำ.. แล้วก็ส่งผลมาให้ตนได้รับ
การทำดี แบบที่ 1* จึงเป็นการทำดีเพื่อได้ดี - แต่ไม่พ้นวัฏสงสาร..
ไม่ใช่ความดีที่เที่ยงแท้ !
เป็นความดีที่ทำไป.. แล้วก็ได้ผลที่ทำกลับคืน
คืนกลับมาค้ำหนุนจิตแห่งตน..ให้ได้รับผลที่ตนทำ
ส่วนการทำดีในแบบที่ 2*
คือ การทำความดี - เพื่อที่จะไปสู่พระนิพพาน
คือ การทำความดี - เพื่อดับตัวดับตน / เพื่อสลายตัวตน
ความดีในแบบนี้ เขานั้นจะทำ..
- ทำ เพื่อสลายตัวของเขาเท่านั้น
- ทำไป เพื่อที่จะสลายกรรมดี และกรรมชั่ว.. ในตัวของเขา
เขาจะยอมชดใช้กรรมทุกอย่างที่เขาก่อ เขาทำ
แล้วก็ยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเขาทุกอย่าง
แล้วรักษาความดีของเขานั้นเอาไว้
ไม่ว่าเขาจะทำความดีอะไรไปบ้าง ก็ตาม..
เขาก็จะใช้ความดีที่เขาทำนั้น.. ชำระตัวชำระตนของเขา
ทำดี.. ก็ไม่ยึดไม่ถือในความดี
ทำไป.. ก็คอยดูจิตแห่งตน ว่า.. ชำระดับกิเลสในตนได้มากน้อยเพียงใด ?
แล้วก็ยังคอยทำความดีอยู่เรื่อยๆ.. จนกว่าจิตของเขา จะดับจาก “ความหลง”
- หลงในตัวในตน /ในของของตน
- ในบุคคลที่รักทั้งหลาย ของตน
เขาดับจาก “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ”
“ความอยาก หรือความไม่อยาก” - ก็ดับลงจากตัวของเขา
เมื่อนั้น.. ความดีที่เที่ยงแท้ คือ ความดีในพระนิพพาน
ในแบบที่ 2* นี้ เรียกว่า “ทำดี เพื่อชำระกิเลสตัณหา”
พระยาธรรมเอ๋ย.. ง่ายๆเลย ก็คือ.. มีความดีอยู่ 2 แบบ
** ทำดีแบบเวียนว่าย เวียนวน - ก็ย่อมได้รับสิ่งที่ดีกลับมา
แต่เป็นการทำดี แบบยึดติด ยึดไว้ ถือไว้
เมื่อลูกทำความดีแล้ว ยังไม่สามารถดับตัวตนได้.. ลูกก็จะได้มาด้วยสวรรค์
ความสุขที่ดี ที่ละเอียดประณีต - ในรูปแบบของวัฏสงสาร
** หรือว่าจะทำความดี ตามแบบที่ 2* ทำไปเพื่อดับกิเลส / ละกิเลส
ซึ่งกิเลสนั้น ก็คือ “ความหลง” นั่นแหละลูก
- ทำไป เพื่อไม่หลงในตัวในตน /ในของของตน
- ทำเพื่อละ
.. อย่างนี้ละลูก
/ เขาจะรักษาศีล เพื่อให้ศีลนั้น.. ช่วยเป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้เขาพลาดพลั้งไปทำกรรมเพิ่ม
/ เขาจะยอมชดใช้กรรมที่ไม่ดี ที่เขาเคยก่อเคยทำ -ให้หมดเสีย
/ เขานั้นจะใช้ศีล เป็นเกราะป้องกัน ไม่ให้เชื้อแห่งกิเลสตัณหาของเขา - เพิ่มขึ้น
/ เขาจะถอดถอนตนให้ ไม่หลงในทุกสิ่งทุกอย่าง
- ดับ “ความโลภ ความโกรธ ความรัก ความลุ่มหลง” ในตัวของเขา
เมื่อทำเช่นนี้.. เขาก็จะถึงซึ่งพระนิพพาน คือ “ความดีอันสูงสุด”
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมดีแล้วนั้น.. เขาก็ย่อมเลือก ที่จะทำความดีอันสูงสุด
คือ ความดีที่เที่ยงแท้ / ไม่มีวันดับ / ไม่มีวันกลับสู่ความไม่ดี หรือความทุกข์ทั้งปวง...
ส่วนบุคคลผู้ที่เขานั้น อาจจะยังไม่เข้าใจ หรือว่าไม่สามารถทำความดี ถึงความดีที่สูงสุด
ก็ถือว่า “ดี” อยู่
- ดีเพราะว่าอย่างน้อย.. ก็รู้จักการสร้างความดี ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. ก็อาจทำให้จิตใจของบุคคลผู้ที่สร้างที่ทำนั้น.. ค่อยๆเห็นแจ้งขึ้นเรื่อยๆ
จากความดี ระดับที่ 1 ระดับที่ 2 ที่ 3, ที่ 4
คือ เข้าถึงความดีอันเที่ยงแท้ ความดีอันไม่ดับไม่เสื่อมสูญไป
คือ ดีในพระนิพพาน
.. เช่น พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ
ฉะนั้น ลูกเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรม เขาก็จะรู้แจ้งใน 2 หนทาง ของการทำความดี
แต่ทั้ง 2 หนทางนี้.. ก็ต้องเริ่มมาจากการทำความดี ++ นั่นแหละลูก
เราก็แค่ทำความดี จากการเริ่มต้นในการทำทาน แล้วก็ขยับเข้ามาสู่การรักษาศีล
การทำทาน และรักษาศีลนั้น.. ก็จะช่วยให้จิตดวงที่ทำทาน ที่รักษาศีลนั้น ขยับเข้ามาถึงความสงบ
ความสงบ ก็คือ สมาธิ
การมีความสงบ มีสมาธิ - จิตดวงนั้น.. ย่อมมีแสงสว่างแห่งธรรม *
แสงสว่างแห่งธรรม*.. ย่อมส่องสว่าง ให้จิตดวงนั้น - รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ลูกเอ๋ย.. ไม่ว่า ลูกนั้นจะทำความดี ในรูปแบบที่ 1* หรือรูปแบบที่ 2*
-- ก็ต้องเริ่มต้นจากการ ทำความดีเล็กน้อย / ดีเบื้องต้น.. อยู่ดี นั่นแหละลูก
บางคน เขาจะเริ่มต้นทำดีให้ถึงความดีอันสูงสุด
โดยการทำทาน.. เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำดีอันสูงสุดนี่ - ทำทานต้องทำแบบไหน
บางคน.. อาจเข้าใจ
บางคน.. ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจว่า ทำทาน -เพื่อชำระกิเลส
บางคน ก็เข้าใจว่า.. ทำทาน- เพื่อหวังที่จะให้ตนมีกินมีใช้ สุขสบาย
-- ทำกันไปตามเหตุ.. แต่ก็ยังดี ที่รู้จักทำความดี ++
จงเริ่มต้นด้วยการทำความดีก่อนลูก.. ทำไปก่อน
แล้วความดีที่ลูกทำ.. จะค่อยๆชี้ทาง บอกทางลูก
ให้ค่อยๆไปถึงความดี ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ.. ตามระดับไป
แล้ววันหนึ่ง.. ลูกก็จะถึงซึ่งความดี ในระดับต่างๆ ที่ได้สร้างได้ทำเอาไว้
ความดี ในระดับที่ 1 - จะส่งให้ถึง ระดับที่ 2
ความดี ในระดับที่ 2 - ก็จะส่งให้ถึง ระดับที่ 3
ความดี ในระดับที่ 3 นั้น - ก็จะส่งให้ถึงระดับที่ 4
-- ก็อาจถึงความดีอันสูงสุดได้ ++
ไม่ว่าจะเริ่มต้นมาจากการทำดีแบบไหน ก็ตาม..
โอกาสที่จะถึง และความรู้ ความเข้าใจ ความรู้แจ้งนั้น..
-- สามารถเปลี่ยนแปลง ตามพลังบุญบารมีได้ อยู่เสมอ **
พระยาธรรมเอ๋ย.. ความดีนั้น มีหลายระดับ .. แต่แยกออกมา เป็น 2 รูปแบบ
ให้ทุกคน.. จงรู้จัก เข้าใจทำความดี เช่นนี้ก็แล้วกัน
ลูกนั้น.. ก็จะเข้าใจ เข้าถึงการทำความดี ที่แจ่มแจ้ง
พระยาธรรมเอย.. ทำดีตามระดับไป แล้วก็พยายามแยกออกมา ให้เป็น 2 รูปแบบ ให้ได้
เพื่อลูกจะได้รู้ ว่า.. การทำความดีของลูกนั้น ไปในรูปแบบไหน ?
จงพากันสร้าง พากันทำความดีไว้เถิด
เพราะความดีนั้น.. จะสามารถช่วยให้ลูก มองเห็นสิ่งที่ดีขึ้นเรื่อยๆได้.. ลูกเอ๋ย
เช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้มีปัญญาธรรม.. เขาจะมองเห็นแจ้งในการทำความดี เช่นนี้ลูก
เขาจึงเลือกที่จะทำความดีอันสูงสุด คือ
* ดี ที่เที่ยงแท้
* ดี ที่ไม่กลับคืนไปสู่สิ่งไม่ดีอีก
* ความดี ที่ไม่มีความทุกข์จร เข้ามาหาได้อีกไงลูก
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
การทำความดี มันจะเริ่มต้นจาก การทำความดี เหมือนกัน
แต่ถ้าจิตของเรา รู้จักแบ่งแยกการความดีนั้น ออกเป็น 2 รูปแบบ
และเลือกที่จะเดิน เมื่อไร..
เราก็จะสามารถเข้าถึงความดี ในรูปแบบที่ตนนั้นเลือก เมื่อนั้น...
ทุกคนอาจจะเริ่มต้นจาก “การทำความดีก่อน”
บางคน อาจจะเลือกทำความดีไป แบบไม่รู้ว่า ความดี มี 2 รูปแบบ
คือ ทำดี - แบบยังเวียนว่าย เวียนวนอยู่
ทำดีแบบไม่ได้ถอดถอนความลุ่มหลง
หรือว่า ทำดี - แบบถอดถอนความลุ่มหลง.. ให้หลุดพ้น / หลุดจากการเวียนว่ายตายเกิด
บางคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้เช่นนี้
แต่ถ้าเขาทำความดีไปเรื่อยๆ..
เขาก็จะเข้าใจ เข้าถึง และรู้ได้เมื่อมีผู้ชี้ทางบอกทาง
บางคน ทำไป ลุ่มหลงไป.. เขาก็อาจจะไม่สามารถ ที่จะเข้าถึงเส้นทางความดี ในแบบที่ 2*
ซึ่งมันเป็นเส้นทาง ที่จะพาเราไปสู่ความดีอันสูงสุด
เขาก็จะหลงไป - ใน..
สิ่งสวยงาม ละเอียดประณีต / ในสิ่งที่มันอยู่ในวัฏสงสาร
ความสุขที่ได้มาด้วยสวรรค์ ได้มาด้วยทรัพย์สินสมบัติ ข้าทาส บริวารต่างๆ
... เขาอาจจะหลงอยู่แค่นั้น..
แต่บางคน เขาอาจจะเริ่มต้นจากการรู้ว่า การทำดีนั้น ทำเหมือนกัน
-- แต่มี 2 หนทาง --
คือ จุดมุ่งหมาย ที่เราจะทำไป.. เพื่อไปสู่ในที่ตรงนั้น อย่างชัดเจน
เขาแบ่งแยกได้เช่นนี้ เขาก็อาจจะรู้ว่า.. เขาจะทำความดี เพื่อไปสู่พระนิพพาน
ที่ที่เป็นความดีอย่างแท้จริง
และโดยปรกติแล้ว.. บุคคลผู้ที่มีปัญญาธรรมแล้ว
-- เขาย่อมเลือกความดีอันสูงสุด คือ พระนิพพาน อย่างนั้น
... เข้าใจแล้ว เจ้าค่ะ
หนูมาลองคิดๆดูแล้ว ของหนูนั้น คงจะมาแบบทำความดี ไม่รู้ว่า..
ทำเพื่ออะไร ?
ทำเพราะอะไร ?
... รู้แต่ว่า ต้องทำ !
แต่ในใจนั้น ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ทำเลย
รู้แต่ว่า.. ต้องทำไปเรื่อยๆ จะไปสิ้นสุดตรงไหน ก็ไม่รู้
รู้แต่ว่า.. ต้องทำไป อย่างนี้น่ะเจ้าค่ะ
พอทำไปๆ ความดีที่เราทำ.. จะค่อยๆชี้ทางให้เราเห็นความดีที่แท้จริง คือ *พระนิพพาน*
หนูก็เลยหันมาทาง*พระนิพพาน* บ้างแล้วละเจ้าค่ะ
หนูก็เลยรู้ว่า จุดหมายอันสูงสุด คือ พระนิพพาน
ทำทาน รักษาศีล ช่วยเหลือผู้อื่น
หรือโดนกระทบกระแทก จากผู้อื่น / จากกิเลสตัณหา..
... ก็รู้ว่า สิ่งเหล่านั้น คือ สิ่งที่จะขัดเกลา ทดสอบเรา - เพื่อจะไปสู่ความดีอันสูงสุด
คือ **พระนิพพาน** เจ้าค่ะ
ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ..
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรม ให้ลูกได้ฟังในวันนี้
วันนี้ ลูกกราบขอลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่
ลูกจะน้อมเอาธรรมนี้ไปเผยแผ่ และประพฤติ ปฏิบัติ
เพื่อเราทุกคนที่ตั้งใจทำความดี จะได้รู้ว่า.. ความดี มี 2 รูปแบบ
.. ให้เราเลือกเอาว่า เราจะทำความดีแบบไหน ?
.. ความดีที่เราทำแล้ว.. มันเป็นความดีอันสูงสุดหรือเปล่า ?
อย่างนี้ น่ะเจ้าค่ะ..
กราบขอลาก่อน นะเจ้าคะ
สาธุ