ธรรม ก็คือ ธรรมชาติ
ภายใต้กฏธรรมชาติ ธรรมทั้งปวงเป็น"อนัตตา"
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งรูป และ นาม ไร้แก่นสาร ล้วน คือ สมมติมายา
ผู้มีปัญญาเห็นแจ้งย่อมไม่ยึดมั่นในมายาจิต..
ใช้สมมุติมายาจิตให้เป็นประโยชน์ได้นะ😊
แต่ต้องมีสติรู้ทันมายาจิตตน สติเจริญให้มาก..จนเป็นมหาสตินั่นแหละ 🙏🏻ค่ะ
ผู้ที่หลงมายาจิต (ที่เกิด-ดับ) ว่าเป็นของของตน เพราะมีอวิชชา จึงสร้างสังสารวัฏไม่มีสิ้นสุด
จิตเดิมแท้ไม่เคยเกิดจึงไม่เคยดับ..แต่มีอยู่ตลอดกาล...
ยิ่งเรารู้สึกตัวมากขึ้น มีจิตที่ตั้งมั่นมากขึ้น
เมื่อรู้สึกลงมาที่กายจะรู้สึกเหมือนกายนี้กลวงๆ
เหมือนกับอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่คุ้นเคย
เหมือนไม่ใช่ร่างกายของเรา ซึ่งก็ใช่
เพียงแต่บางคนอาจจะตกใจแปลกใจบ้างเท่านั้น
เพราะเราคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า
ร่างกายคือฉัน ฉันเป็นร่างกายนี้
เมื่อถอนตัวมาเป็นเพียงผู้ดู เพราะมีจิตที่ตั้งมั่น
มันก็ถอนเอาความเป็นเรา ของเรา ออกมาด้วย
แม้เพียงชั่วขณะ ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เห็นได้บ่อย
จิตเป็นกลางมากขึ้น จนถึงจุดที่ถอนความเห็นผิดว่า
กายเป็นเรา ได้ในระดับจิตใต้สำนึกเอง
ไม่พัก ไม่เพียร พอดี พอดีนะ
...........................
จิตที่ไม่พัฒนาไปไหน
ย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลังลงคลอง
มีอยู่สามประการตามความเห็นของเรานะ
คือ เกียจคร้านในการภาวนา
มีความทะยานอยากในการภาวนามากเกินไป
และมีความสำคัญในตน ว่ารู้ธรรมเห็นธรรมยิ่งกว่าผู้อื่น
ต้องหมั่นตรวจสอบทบทวนจิต รู้จิตสม่ำเสมอ
กิจอันใด นอกไปจากการรู้ตามเป็นจริงแล้วให้รู้ทัน
แล้วดำเนินจิตสู่การรู้ตามจริงต่อไป ไม่ต้องไปสนในความรู้ใส่ใจเพียงความจริงที่ปรากฏเฉพาะหน้าก็พอ
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
"จิตปล่อยจิต" เป็นธรรม "อันเดียว"
เป็นธาตุที่บริสุทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ ทาง "สมาธิปัญญา" ใดที่เคยผ่านมา
พอ "จิตวางปั๊บ" ฮุกหมัดเด็ดคือ "วิปัสสนาญาณ" เข้าปลายคาง ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"
ตามดูลมหายใจไปด้วย ผ่อนลงไป...ผ่อนลงไป... ทีแรกมันอยู่ตรงนี้ พออยู่ตรงนี้หมด... หมด... หมด... หมดขึ้นมาเรื่อย หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิดๆ
เราก็พิจารณาอยู่ ยังไม่หมดนี่ พิจารณาค้นอยู่อย่างนั้นตลอด
พอพิจารณาตรงนี้มันดับหมดแล้ว เราก็ "หยุดความคิด" คือเรียกว่า “หยุดความค้น”
ลองวางปั๊บ แหม !! มันขาดเชียว
การ "ขาด" ครั้งนี้ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา
พอจิตวางปั๊บ... "จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด" ปล่อยวาง "สังขารโลก" "คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะ" อันเป็นประดุจตาข่าย
ด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือวิปัสสนาญาณ เข้าปลายคาง
"อวิชชา" ถึงตาย ไม่มีวันฟื้น !!
พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ คำว่า “เป็นหนึ่ง” นั้น ไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก
"ภพ" "ชาติ" ที่หมุนวนมา ตั้งกัปตั้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้
"ชาติ" "สังขาร" อยู่ที่ใด "ใจ" ไม่เกี่ยวเกาะ สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วย "ธรรมชาติ" ที่เป็น "หนึ่ง" นั้น
จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดเดาได้ แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็น "อจินไตย"
สำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว
"ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ" ไม่มีช่องทางให้ "อวิชชา" เดิน ถูกปิดด้วย "มหาสติ มหาปัญญา"
"วิปัสสนาญาณ" ตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้าง "อวิชชา" อันเป็นตัวการ
"จิตปล่อยจิต" เป็น "ธรรมอันเดียว" เป็น "ธาตุที่บริสุทธิ์" เป็น "มหัศจรรย์" ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทาง "สมาธิปัญญาใด" ที่เคยผ่านมา
***
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท