พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 16 เมษายน 2561
ตอนที่ 317 **พระอนาคามี**
+ +
ในเช้าของวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม เรื่องของผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติ จนบรรลุถึงการเป็นพระอริยเจ้า ระดับที่ 3 คือ *พระอนาคามี*
พระอนาคามีนั้น.. ท่านจะทรงอยู่ในอารมณ์แบบไหน มีสภาวธรรมเป็นเช่นไรบ้าง ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม และเผยแผ่ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ก็ดีแล้วละ พระยาธรรม.. ที่รู้จักฝึกฝนตน ด้วยการถามธรรมะ ศึกษาธรรมะ
ฝึกฝนการเรียนรู้ให้พัฒนายิ่งขึ้นไป ทุกวันๆ
พระยาธรรมเอ๋ย.. แม้จะเป็นความรู้ แต่เรารู้ไว้ แล้วเราค่อยน้อมไปประพฤติ ปฏิบัติตาม ย่อมเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยเราก็รู้ละลูก.. ว่าเราจะปฏิบัติ และนำพาตนไปสู่จุดมุ่งหมายใด ++
ลูกเอ๋ย.. การที่เราประพฤติ ปฏิบัติ.. จนจิตของเรา ผ่านการเป็นอริยเจ้าในระดับที่ 2 มาแล้ว..
จนเข้าถึงการเป็นอริยเจ้าในระดับที่ 3 คือ *พระอนาคามี* นั้น จะมีความรู้สึกเช่นนี้ ลูก
จงตั้งใจน้อมพลังที่มันว่าง ที่มันโล่ง ที่มันเบาสบาย.. เข้าสู่จิตใจของตน
จงละจิตที่คิดปรุงแต่งทิ้งไปเสีย - น้อมเอาแต่พลังที่บริสุทธิ์ มาพิจารณา
น้อมธรรมที่เป็นพลังธรรมอย่างแท้จริง โดยไม่มีจิตคิดปรุงแต่ง เข้าสู่ศูนย์กลางกายเถิด.. ลูกทั้งหลาย
เพื่อจะได้สัมผัส เข้าใจ และเข้าถึงอารมณ์แห่งพระอนาคามี พระอริยเจ้าในระดับที่ 3*
ด้วยจิตด้วยใจของลูกเอง..
การที่บุคคลผู้หนึ่ง สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระอนาคามี - มีอารมณ์ คือ มีจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับความสุข ในกระแสธรรม - กระแสแห่งพระนิพพาน
จิตดวงนั้นจะสว่างไสว.. มีความสุขมาก เหลือความทุกข์เพียงน้อยนิด
จิตตั้งมั่นอยู่ในทางธรรมมาก.. เหลือเพียงแค่ความรู้อยู่ เห็นอยู่ ที่ประกอบกับโลกอยู่ เพียงเล็กน้อย
บุคคลที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนถึงอารมณ์เช่นนี้
และทรงอารมณ์ไว้อย่างนี้ อยู่ตลอดเวลา - ย่อมไม่ติดอยู่กับโลกอีกต่อไป ++
ฉะนั้น.. โดยส่วนใหญ่ จึงถือศีลบริสุทธิ์ คือ ศีล 8
บุคคล ผู้ที่ถือศีล 8 โดยการออกบวช
บุคคลผู้นั้น.. ย่อมสามารถละทางโลก ละบ้านเรือน สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกสมมุติทั้งหลายได้แล้ว เกือบจะเทียบเท่ากับ *องค์พระอรหันต์* เลยทีเดียว
จิตนั้นจะมีสุขมาก อยู่ในกระแสธรรม กระแสแห่งพระนิพพาน
มีความยึดติดลุ่มหลงกับโลก เพียงเล็กน้อย เบาบาง..
จิตนั้นตั้งมั่น อยู่กับการประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อขัดเกลา ชำระล้างกิเลสตัณหา เพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่ - ให้มันหมดไป..
บุคคล ผู้ที่เป็นพระอนาคามี ที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านในเรือนอยู่..
บุคคลเหล่านั้น.. แม้จะติดอยู่ในบ้านในเรือน ด้วยสภาวธรรมของจิตของเขา ที่มีเหตุที่ต้องสำเร็จเป็นพระอนาคามีอยู่ในบ้าน ตามเหตุที่เขาทำมา …
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น.. เขาก็รู้ตื่นอยู่เสมอ - รู้ตามธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า*
จิตของเขา ย่อมมองเห็นสิ่งทั้งหลาย คือ บ้าน หรือสมบัติ หรือบุคคลอันเป็นที่รัก สิ่งต่างๆทั้งหลายนั้นอย่างชัดเจนว่า.. สิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้น ตั้งขึ้น ดับไป
มีความเกิดกับความดับอยู่ในตัว คนเดียวกัน สิ่งเดียวกัน
- ย่อมยึดถืออะไรเอาไว้ไม่ได้ !
เขาจะมองเห็นเช่นนี้อย่างชัดเจน มองเห็นความไม่สวยไม่งามของร่างกาย ตัวบุคคลและสิ่งของ
- จนเขานั้นละกามคุณได้แล้วทั้งหมด -
เขานั้น.. ไม่ได้สนใจยึดติดอะไร
สักแต่ว่าอยู่ ว่าทำไปตามหน้าที่ ตามเหตุปัจจัย..
แต่จิตของเขา..จะจดจ่อตั้งมั่นอยู่กับ **กระแสแห่งนิพพาน**
จิตของบุคคลผู้ที่สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนเข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้า ในระดับที่ 3* นั้น..
ย่อมมีฌานสมาธิที่สูง - สูงจนสามารถถอดถอนความยึดติด ลุ่มหลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ
ไม่อาจมีการครองคู่
และจิตของเขาจะตั้งมั่นอย่างบริสุทธิ์ อยู่ในการรักษาศีลพรหมจรรย์
อยู่ในกรอบของศีล 8 - ด้วยจิตใจอันตั้งมั่น ที่ไม่ต้องถือศีลให้มันหนัก
แต่ใจของเขา จิตของเขา.. จะทรงอารมณ์อยู่ในศีล 8 ด้วยความสุข ด้วยความสงบ ++
เขานั้น สามารถที่จะบรรลุนิพพานได้ในชาตินั้น เป็นชาติสุดท้าย
บรรลุนิพพานอยู่ที่กายหยาบ ก็คือ ตอนที่เป็นมนุษย์ ก็สามารถเข้าถึงได้ **
หรือว่าจะดับจากกายนี้แล้ว แล้วก็ขึ้นไปสู่โลกทิพย์ ในจุดที่เหมาะสม
หรือว่าจุดที่เหล่าพระอนาคามีทั้งหลาย บำเพ็ญกัน
ไปปฏิบัติอยู่ที่นั่น แล้วก็อธิษฐานดับการเกิด.. เข้าสู่พระนิพพาน
สามารถทำเช่นนี้ เพราะพระอนาคามีทั้งหลาย..
/ เป็นผู้ละกิเลสได้อย่างเบาบาง
/ เป็นผู้ทรงอารมณ์นิพพานอยู่เสมอ
/ เป็นผู้ที่เหลือกิเลส เพียงแค่เล็กน้อย
-ใช้สติปัญญาแห่งธรรม ขัดเกลาสักหน่อย.. ก็ใช้ได้ *
เช่นนี้ละ พระยาธรรม..
* พระอนาคามี ไม่เหลือภพชาติอีกต่อไป
* พระอนาคามี คือ ผู้เข้าถึงการเกิดในชาติสุดท้ายแล้ว
* พระอนาคามี เหลือหน้าที่เพียงแค่นิดหน่อย ที่จะต้องทำ ก็คือ การชำระกิเลสเล็กน้อย ที่หลงเหลืออยู่ในตัวของเขา
พระยาธรรมเอย.. เช่นนี้ละลูก คือ อารมณ์จิตอันบริสุทธิ์ ที่พระอนาคามีทั้งหลาย ทรงอารมณ์ตั้งมั่นอยู่ในดวงจิตของเขา ++
พระอนาคามี เป็นผู้ที่ละสังโยชน์ได้ 5 ประการ ดังนี้.. ลูก
การละได้ ก็คือ การไม่ติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ และทรงอารมณ์อยู่เหนือความรู้สึกเหล่านี้ *
1. มีความรู้สึกว่ากายนี้เป็นเรา เป็นของเรา
2. มีความรู้สึกว่า เรามีอยู่ในกาย / กายนี้มีอยู่ในเรา
- อารมณ์เช่นนี้ พระอนาคามีจะไม่มี !
พระอนาคามี จะรู้แจ้ง เข้าใจ เห็นชัดเจนว่า..
กายนี้.. ประกอบไปด้วยธาตุแห่งดิน น้ำ ลม ไฟ
หาความสวยงาม ที่จะเอาจริงเอาจังกับกายนี้ไม่ได้เลย.. เพราะมันเป็นของที่ต้องเสื่อม !
- มีอยู่ก็เป็นของหนัก..
หนักด้วยการ บำรุงรักษา
หนักด้วย ภาระหน้าที่
หนักด้วย ความทุกข์แห่งกาย ที่ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องตายไป..
พระอนาคามี จะเห็นความเน่าเหม็น เสื่อมสลายแห่งกายอย่างชัดเจน จนไม่ยึดติดในร่างกายนี้ว่า เป็นตน / เป็นของตน
เมื่อไม่ยึดติดร่างกายของตนแล้ว..
ย่อมไม่มีการยึดติด ในร่างกายของบุคคลผู้อื่น / หรือสิ่งอื่นด้วย
พระอนาคามี จึงทรงอารมณ์ของจิต อยู่ที่การไม่ยึดว่า กายเป็นตน / เป็นของตน
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือ สังโยชน์ข้อที่ 1 ที่พระอนาคามี ทรงอารมณ์อยู่เหนือ และไม่มีความรู้สึกเหล่านี้
ต่อไป.. พระอนาคามี จะไม่มีความลังเลสงสัย ว่า..องค์พระพุทธเจ้า องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์ หรือสิ่งที่เป็นความดี คือ กุศลธรรมทั้งหลาย.. สิ่งเหล่านั้นดี / ไม่ดี
แล้วมัวแต่ไม่มั่นใจ เลยไม่ยอมรับนับถืออย่างจริงจัง
พระอนาคามี จะไม่มีอารมณ์เหล่านี้ / จะอยู่เหนืออารมณ์เหล่านี้..
/ จิตนั้นจะจดจ่อ ตั้งมั่นอยู่กับการเคารพศรัทธา ต่อองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
ต่อการประพฤติ ปฏิบัติ ทำความดี กุศลธรรมทั้งหลาย - โดยไม่มีความลังเลสงสัย
/ จิตจะตั้งมั่นอยู่กับการทำความดี -โดยไม่คิดไปทางอื่นใด
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือ สังโยชน์ตัวที่ 2 ที่พระอนาคามีทั้งหลาย สามารถที่จะละได้ ละความลังเลสงสัย -ในกุศลธรรม / สิ่งที่ดีงามทั้งหลาย.. ทิ้งไปได้
ทรงอารมณ์อยู่บนความดี คือ นอบน้อมเคารพต่อ องค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
ต่อกุศลธรรม ความดีทั้งหลาย..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม คือ สิ่งที่พระอริยเจ้าในระดับที่ 3 เขาทำกัน
ต่อไป สังโยชน์ตัวที่ 3 ที่พระอนาคามี สามารถที่จะละได้ คือ ไม่มีอารมณ์เหล่านั้น / อยู่เหนืออารมณ์เหล่านั้น..
พระอนาคามี จะเข้าใจในการรักษาศีลเป็นอย่างดี จะไม่มีการรักษาศีล แบบเล่นๆไป คือ ไม่รักษาศีลจริงจัง / รักษาศีลแบบผู้ที่สักว่าสมาทานเข้าไว้
พระอนาคามี จะทรงอารมณ์จิต อารมณ์ธรรมของตนเอง อารมณ์ความสงบของตน ไว้อยู่ในกรอบของศีล - ที่ตนได้สมาทานเอาไว้ ด้วยกาย วาจาใจ อย่างบริสุทธิ์
จะรักษาศีล อย่างจริงจัง ทำความดีในเรื่องของการรักษาศีล อย่างสม่ำเสมอ และบริสุทธิ์
เช่นนี้ละ พระยาธรรม..
พระอนาคามีนั้น มีศีลบริสุทธิ์ ตั้งแต่ ศีล 8 ขึ้นไป
พระอนาคามี จะรักษาศีลพรหมจรรย์ รักษาศีลอย่างบริสุทธิ์
จิตตั้งมั่นอยู่ในกรอบของศีล เช่นนี้ละ.. พระธรรม
สิ่งที่พระอนาคามีไม่อาจทำได้ คือ ผิดศีล ไม่รักษาศีลตามที่ตนสมาทาน
ทรงอารมณ์ไว้ อยู่ในการรักษาศีล ให้บริสุทธิ์ ด้วยกาย วาจา และใจ *
ต่อไป.. สังโยชน์ข้อที่ 4 ที่พระอนาคามีนั้นทำได้ / มีอารมณ์อยู่เหนือสิ่งที่จะกล่าวมานี้..
พระอนาคามี ไม่มีความลุ่มหลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ต่างๆ
พระอนาคามี สามารถประพฤติ ปฏิบัติตน จนมองเห็นชัด ในทุกสิ่ง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ
มองเห็นการเกิด และการดับ การมี และการไม่มี
ความสวยงาม และความไม่สวยงาม - อยู่ในสิ่งเดียวกัน
จนพระอนาคามี ถอดถอนจิตของตน อยู่เหนืออารมณ์เหล่านั้น
ไม่พัวพัน มัวเมา ลุ่มหลง อยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสต่างๆ..
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. คือ สังโยชน์ตัวที่ 4* ที่พระอนาคามี สามารถที่จะละได้ ++
ต่อไป.. สังโยชน์ตัวที่ 5* ที่พระอนาคามีละได้
คือ การละอารมณ์ - ความไม่พอใจ ความขัดเคืองใจ ความคับแค้นใจ ผูกโกรธ ผูกอาฆาตไว้ในใจ
- อารมณ์เหล่านี้ พระอนาคามี ไม่มีอีกแล้วในดวงจิตของตน..
-- มีแต่ อารมณ์ที่ทรงเหนืออารมณ์เหล่านี้ ++
เขาจะรู้เห็นทุกอย่าง ตามเหตุปัจจัย ที่มันเกิด - และดับ
เขาจะเห็นความเป็นธรรมดาของทุกสิ่ง
ไม่มีความถูกใจ ไม่ถูกใจ
ไม่มีความไม่พอใจ หรือพอใจ
ไม่มีการผูกโกรธ อาฆาตแค้น
.. ไม่มีอารมณ์เหล่านี้..
-- พระอนาคามี เป็นผู้ทรงอารมณ์เหนืออารมณ์เหล่านี้ --
เช่นนี้ละ พระยาธรรม คือ อารมณ์ของพระอนาคามี ที่สามารถฝึกฝนตน จนละสังโยชน์ 5 ประการนี้ ได้ลูก
พระอนาคามี จะเหลือเพียงแค่กิเลสเล็กน้อย ซึ่งเป็นกิเลสละเอียดอ่อน คือ สังโยชน์อีก 5 ข้อ ซึ่งละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้ใจพิจารณาให้ลึก
พระอนาคามี ทรงอารมณ์มีสติตั้งมั่น อยู่เหนือ สังโยชน์ทั้ง 5 ข้อ ที่กล่าวมานี้ละลูก
นี่ละ คือ อารมณ์แห่งพระอนาคามี
พระอนาคามี คือ
* ผู้มีสุขมาก มีทุกข์น้อย
* ไม่หลงในโลก เข้าสู่ทางธรรม
* เป็นผู้ทำความดี เพื่อเตรียมละกิเลสเล็กน้อยที่เหลืออยู่
พระอนาคามี คือ ผู้ทรงฌาน ทรงสมาธิ ถึงฌาน 4 จนรู้แจ้ง เข้าใจในสิ่งทั้งหลาย.. จนสามารถ
ถอดถอน การลุ่มหลงในตน
ถอดถอน ความลังเลสงสัย คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง
ถอดถอน การที่จะทำความดีแบบเล่นๆไป จนรักษาศีลได้อย่างบริสุทธิ์
สามารถถอดถอนตนให้ ไม่ลุ่มหลงใน รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสต่างๆ
ถอดถอนตน ไม่ให้จิตนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับความไม่พอใจ ความรำคาญใจ ขัดเคืองใจ ความโกรธทั้งหลาย และทรงอารมณ์เช่นนี้.. อยู่ตลอดเวลา
พระอนาคามี เป็นผู้ที่ถึงซึ่งกระแสแห่งพระนิพพานแล้ว อย่างแท้จริง
จะไม่กลับมาเกิดอีก
สามารถบรรลุธรรมได้ ทั้งบนโลกมนุษย์ และโลกทิพย์
อย่างนี้ละ พระยาธรรม คือ *อารมณ์แห่งพระอนาคามี*
จงน้อมไป ประพฤติ ปฏิบัติ ฝึกฝนจิตแห่งตน ให้เข้าถึงอารมณ์เช่นนี้
** แล้วลูกก็จะสามารถ ปิดภพชาติการเกิดของลูกได้ **
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ฟัง
ลูกพอจะเข้าใจอารมณ์แห่งพระอนาคามี บ้างแล้วละเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกขอกราบลาก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในโอกาสหน้า เจ้าค่ะ…
สาธุ