" ข้อวัตรปฏิบัติ พระธรรมกรรมฐานนั้น
มีรากฐานอยู่ที่...
การกระทำศีล ให้สมบูรณ์บริบูรณ์
พร้อม ๆไปกับ การเจริญสมาธิภาวนา
เพื่อ...
จะทำจิตให้สงบระงับ จาก...อารมณ์ทั้งปวง
เพราะ...
ความที่จิตปลอดจากอกุศล ว่างเว้นจากอารมณ์
อันเกิดมาจาก...
การสัมผัสทางอายตนะ คือตา ที่กระทบกับรูป
หู ที่กระทบกับเสียง จมูก กระทบกับกลิ่น
ลิ้น กระทบกับรส กาย ที่กระทบกับสิ่งสัมผัส
ทางกาย
และใจ ที่กระทบกับอารมณ์ในภายใน
ที่ทำให้เกิดเวทนา ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์
รู้ดี รู้ชั่ว รู้สวย รู้ไม่สวย รู้น่ารัก รู้ไม่น่ารัก
ทั้งหลายแล้ว
จิตใจ ก็ย่อมจะตั้งมั่น อยู่...ในอารมณ์อันเดียวอารมณ์นั้น ก็ได้แก่...พระกรรมฐาน
หมายถึงการ เอาพระกรรมฐานเข้ามาตั้งไว้ในใจ
ความตั้งมั่นของจิต
ในลักษณะการ เช่นนี้ ย่อม จะทำจิตให้สงบอย่างเดียว เป็นความสงบที่สะอาด และบริสุทธิ์ผ่องใส
หลังจากนั้นแล้ว
จึงหันมาพิจารณาธาตุทั้ง ๔ อันได้แก่ ธาตุดิน
ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
และพิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่รูป เวทนา สัญญาสังขาร และวิญญาณ
ให้รู้ว่า...
ธาตุ-ขันธ์ และรูป-นาม ทั้งหลาย แท้จริง คือ...
บ่อเกิดของความทุกข์ โศก ร่ำไร รำพัน นานาประการเหล่านี้ นั่นเอง
เหตุที่สิ่งทั้งหลาย เหล่านี้
เป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ก็เพราะ...
อวิชชา ความไม่รู้แจ้ง ในความเป็นของไม่เที่ยง
ในความเป็นของเสื่อมโทรม ของธาตุขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเหตุ
และเพราะความไม่รู้จักสิ่งทั้งหลาย ตามเป็นจริง
ว่า...มัน มิใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ไม่รู้จัก ความไม่เที่ยง
ไม่รู้จัก ความเป็นทุกข์ และ...
ไม่รู้จัก ความเป็นอนัตตา
คือ ไม่ใช่ตัวตน ตามเป็นจริงแล้ว อาสวะกิเลส
คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ย่อมครอบงำ
จิตใจ ของคน คนนั้น...
ให้มืดมัว เร่าร้อน และเป็นทุกข์ได้ ใน...ที่สุด
ดังนั้น....
การประพฤติปฏิบัติธรรม จึงมีรากฐานสำคัญ
อยู่ที่การปฏิบัติ คือ...
ศีล เป็นเบื้องต้น
และ ทำสมาธิในท่ามกลาง
เพื่อ...จะให้เกิดปัญญา
ความรู้แจ้งแทงตลอด ในธาตุ-ขันธ์ ทั้งหลาย
เหล่านั้นได้ ในที่สุด
และเพื่อจะให้รู้จักพิจารณา ว่า...ร่างกายของเรา
ที่ปั้นปรุงขึ้นมาจากธาตุทั้ง ๔ นี้ประกอบอยู่ด้วย
นามธาตุ อีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๔ อย่าง ได้แก่...
เวทนา
คือ ความรู้สุข รู้ทุกข์ และไม่สุข ไม่ทุกข์
สัญญา
คือ ความจำได้หมายรู้ ในอายตนะทั้งหลาย
ที่มากระทบแล้ว รู้สึกแล้ว
สังขาร
คือ ความไหลเวียน ปรุงเปลี่ยน ไม่หยุดอยู่
ของนามธาตุนั้น
และวิญญาณ
คือ ความรู้สึกได้ รวมเป็น ๔ อย่างด้วยกัน
เรียกว่าขันธ์
เมื่อรวมเข้ากับธาตุทั้ง ๔ คือรูปขันธ์ด้วยแล้ว
จึงเป็นขันธ์ ๔ รวมย่อแล้ว ก็ว่า...กาย กับใจ
นี้ ! เป็นสิ่งที่ไม่ยืนยง คงที่
ไม่เที่ยงแท้ แน่นอน อะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ก็คือ...ร่างกาย เนื้อ หนัง ของเรานี้
เป็นของไม่สวย ไม่งาม สกปรก โสโครก นับวัน
แต่จะเน่าเปื่อย ผุพัง ดับสลายไป เท่านั้น
จะหาความเป็นแก่นสาร ไม่ได้ โดยประการทั้งปวง
การภาวนา
ที่ถูกต้อง จะต้องเป็นไปในลักษณะนี้
นักภาวนา
เมื่อรู้เห็นซึ่งสภาพตามที่เป็นจริง อย่างนี้แล้ว
จะย่อม เกิดธรรมสังเวช
มีความสะดุ้งกลัวต่อภัย และความเป็นโทษทุกข์
ของสังขาร
เมื่อเล็งเห็นโทษ และความไม่เป็นเเก่นสาร
ของสังขาร ทั้งหลายแล้ว
จิตนักปฏิบัติ
ก็ย่อมจะเบื่อหน่าย อยากจะหลีกหนีไปให้พ้น
จากสังขาร และโทษทุกข์ ของสังขาร ไม่อยาก
ประสบพบเห็น กับความทุกข์ทรมานอีกแล้ว
เมื่อนั้น จิต...
ก็ย่อม จะคลายจากความกำหนัด ยินดี ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์
ย่อม คลายความกำหนดรักใคร่ ชอบใจ ในสิ่ง
อันเป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่ ชอบใจ
เมื่อจิต...
มีความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด เช่นนี้แล้ว
ทุกข์ทั้งปวง ก็ย่อม จะดับลงได้โดยแท้
ข้อที่ว่า...
ทุกข์ ทั้งปวง ดับ ลงนี้ เป็นเพราะ...
รู้เท่าทันอวิชชา คือ...ความไม่รู้ตามเป็นจริง
ในธรรม ดับ ไปนั่นเอง
จึงเป็นเหตุให้ความรู้ ความเห็นในธรรม
ที่เรียกว่า...
ปัญญานั้น เจริญถึงที่สุด ผลที่ได้รับ...
ก็คือ...
ปัญญา อันสงบระงับ และแจ่มแจ้ง."
____________________________________________
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต