..ปัจจุบัน..ย่อมไม่มีอยู่..
หากให้ค่าในมิติของเวลา หรือจิตสังขาร
ด้วยเวลาและจิตสังขารเคลื่อนไปเสมอ
..ปัจจุบันที่แท้..เป็นอกาลิโก..
ในขณะของสติหรือจิตประภัสสร
<..รู้..>ไม่มีตัว เหมือนตัวริ้นตัวไร
ไม่ต้องไปฆ่าไปทำลาย..
..เหตุที่..รู้..มีตัวตนขึ้นมาเพราะจิตไปคิด
ปากไปพูด หรือมือไปเขียน..
..เรียกว่า เอาสมมุติไปบัญญัติสภาวะ..
<..รู้..> เป็นสภาวะของจิตปภัสสร..
..ที่รู้ด้วยจิตปภัสสรเท่านั้น..
( ที่เขียนนี่ก็เอาจิตคิดปรุงบัญญัติขึ้นแล้ว
จึงเป็นแค่สมมุติ แต่ก็เขียนเพื่อให้เข้าใจสภาวะของจิต)
"วิธีเอาชนะกามราคะ"
ถาม : จะเอาชนะกามราคะที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกปฏิบัติได้อย่างไร
" .. "กามราคะจะบรรเทาลงได้ด้วยการเพ่งพิจารณาถึงความน่าเกลียดโสโครก" (อสุภ) การยึดติดอยู่กับรูปร่างกายเป็นสุดโต่งข้างหนึ่ง ซึ่งเราต้องมองในทางตรงข้าม
"จงพิจารณาร่างกายเหมือนซากศพและเห็นการเปลี่ยนแปลงเน่าเปื่อย" หรือพิจารณาอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ปอด ม้าม ไขมัน อุจจาระและอื่น ๆ "จำอันนี้ไว้และพิจารณาให้เห็นจริงถึงความน่าเกลียดโสโครกของร่างกายเมื่อมีกามราคะเกิดขึ้น ก็จะช่วยให้ท่านเอาชนะกามราคะได้" .. "
หลวงปู่ชา สุภัทโท
..หลายคนบ่น เหนื่อยกายเหนื่อยใจ
ในการดำเนินชีวิต..ติดขัดในการงาน
เงินทองไม่คล่องตัว..มีปัญหาอุปสรรค
ความรักไม่สมหวัง..ยังอีกมากมาย ฯลฯ
..พระพุทธองค์ ตรัสว่า..
"การเกิดคือความทุกข์"
..เพราะชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์
นี้มันไม่สัมบูรณ์ ต้องอาศัยธาตุสี่..
ที่พร่องที่เสื่อมไปตลอดเวลา
มาเป็นที่อาศัย..
..จึงต้องดิ้นรนแสวงหาธาตุมาบำรุงกาย
วันละสามเวลา แค่นี้ก็เหนื่อยยากแล้ว
..ยังไม่พอ..ต้องแสวงหาบำรุงใจ..
ให้พอใจ..สมความอยาก..ความปราถนา
ซึ่งการบำรุงใจนี้..ไม่มีที่สิ้นสุด..
..เพราะทุกๆเรื่อง เอาอารมณ์..
ความรู้สึก นึก คิด..เป็นตัวตัดสิน..
ซึ่งความรู้สึกนึกคิดนี้..
มันมุ่งเน้นเอาตัวตนเป็นหลักยึด
ทั้งตัวตนแห่งความเป็นจิตและเป็นกาย
และด้วยความหลงผิดว่าตัวตนในความคิด
ในธาตุสี่นี้เป็นของมั่นคงถาวร
เป็นสิ่งที่ต้องสมบูรณ์สมปราถนา
พร้อมเห็นว่าวัตถุสิ่งของภายนอก
ก็ต้องมั่นคงสมบูรณ์ด้วยเสมอ
..แต่ความเป็นจริง..
สรรพสิ่งในโลกนี้ แม้ชีวิตที่เกิดมา
ไม่มีอะไรมั่นคง..ยั่งยืน..สมบูรณ์..
มีความแปรปรวน..เปลี่ยนแปลง
ความเสื่อม ความดับ ไปเป็นปกติ..
..หากตั้งใจด้วยความเป็นตัวตน..
ให้สมอยากสมปราถนาให้สมบูรณ์
..ก็เท่ากับขัดขืนความเป็นธรรมชาติ..
ความทุกข์ก็ปรากฏขึ้นครองใจทันที..
..แต่ผู้หลง ย่อมไม่รู้..
ใจจึงดิ้นรนไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่มี
ให้มีมา เติมเต็มตัณหา..
..นี้ล่ะหนา จึงเหนื่อยกายเหนื่อยใจ..
เมื่อหลงผิดว่า..
สัญญาขันธ์..มี..เป็นจริง เป็นจัง..
ตัวเธอจึงมีขึ้นในขณะสังขารขันธ์ทำงาน
แล้วยึดถือมั่นหมายเรื่องราวต่างๆ
ที่สังขารขันธ์ปรุงแต่งแสดง
ว่ามีอยู่เป็นจริงเป็นจังอยู่
วงจรทุกข์ก็สมบูรณ์ในขณะจิตนั้น
(สัญญา=ความจำได้หมายรู้)
(สังขาร=ความคิดปรุงแต่ง)
* การดับสัญญา..
มิใช่การลืมทุกสิ่งทุกอย่าง
จนจิตว่างจากสัญญา..
..แต่เป็นเพียง..การเพิกเฉย..
ต่อสัญญาที่ผุดขึ้นในจิตขณะนั้น
..ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง
แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเสมอ
ตั้งอยู่ทนอยู่นานไม่ได้ แตกดับได้ง่าย
..ไม่เป็นตัวตนแท้จริง ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่เขา เป็นการประชุมของธาตุ
ดิน น้ำ ลม ไฟ..มโนธาตุ..
..ด้วยเหตุของ กิเลส กรรม วิบาก
จึงก่อเกิดเป็นร่างกายนี้ขึ้นมา
..เมื่อมีร่างกายแล้วก็อย่าไปหลงยึดว่าดีว่างาม และอย่าไปเบียดเบียนละเลยดูแล
ควรบำรุงดูแลให้เหมาะสมตามอัตภาพ
..เพื่อนำร่างกายมาใช้ประโยชน์
ในการทำงาน การดำเนินชีวิต..
..และที่สำคัญ..ใช้ร่างกายนี้เป็นครู..
ในการพิจารณา ให้เกิดปัญญาทางธรรม
ให้เห็นแจ้งสัจจธรรมความจริงของ..
รูปธรรมนามธรรม..อันเป็นร่างกาย
และจิตใจ..ว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยงเป็นทุกข์
เป็นอนัตตา..
..เป็นของชั่วคราว..สมมุติปรุงแต่งขึ้น
ด้วยความหลง..
..เมื่อหลงจึงยึดถือ จึงถูกกักขังอยู่ใน
วัฏฏทุกข์..หลุดพ้นไปไม่ได้..
เวียนว่ายตายๆๆๆๆๆเกิดๆๆๆๆๆ..
..ไม่จบ ไม่สิ้น..
ตอนที่ ๑๕๖ วิธีฝึกจิตไม่ให้ยึดติดในกาย
จิตที่ยึดติดกับรูปกายของตน รูปกายของบุคคลผู้อื่น จะมีวิธีใดที่จะทำให้จิตคลายความยึดติดในกาย ขอพระพุทธองค์ช่วยแก้ไข แสดงธรรมให้ได้รู้วิธี
...ตอนที่ ๑๕๕ จิตที่อยู่นอกกาย
ดวงจิตที่ถูกอำนาจของกายครอบงำ ให้เจ็บให้ป่วย ให้ปรุงแต่ง หวั่นไหวไปตามกิเลสตัณหา ให้ทุกข์ตามเหตุที่ร่างกายเป็นไป แต่เมื่อจิตแยกออกจากกาย จึงมีความสว่างไสว มีพลังพุทธบารมีมากมาย เหตุใดจึงมีสภาวธรรมเช่นนั้น พระยาธรรมิกราชสงสัย และได้ทูลถามต่อพระพุทธองค์(ความรู้สึก)
ตอนที่ ๒๔๑ รู้เท่าทันกิเลสตัณหา
บุคคลผู้มีปัญญารู้แจ้งในธรรมแล้วนั้น ก็คือ ผู้ที่รู้และเข้าใจในธรรมชาติ เหตุที่เกิด เหตุที่ ดับ ดวงจิตเหล่านั้นย่อมรู้เท่าทันสิ่งต่างๆทั้ง หลายที่เกิดและดับอยู่ในตัวของเราและผู้อื่น(ธรรมะจัดสรร)
...พุทธธรรมวาระพิเศษ วันอัฏฐมีบูชา 2562
พระยาธรรมิกราช ขอเข้าเฝ้าฟังธรรม จากพระพุทธองค์ ในวาระครบรอบการถวายพระเพลิง พระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน จึงได้ฟังธรรมเกี่ยวกับการละสังขาร ขอท่านทั้งหลายติดตามรับฟัง
...ตอนที่ ๑๕๔ ความดีอันบริสุทธิ์
ทำความดีตามกำลังของตน ทำจากจิตที่สงบ ทำอย่างไม่ยึดติด ยึดถือ ปล่อยวาง ทำอย่างไม่ลังเลสงสัยในสิ่งที่ทำ ทำอยู่ในทางสายกลาง เป็นการทำความดีที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์
...ตอนที่ ๑๕๓ สิ่งที่ทำให้ความดีไม่ดับสูญ
ความดีที่ทำไปแล้ว เกิดผลแห่งความดี มาค้ำหนุนดวงจิตให้เกิดสุขขึ้นมา แต่ท้ายที่สุดก็หมดไป ต้องสร้างต้องทำความดีใหม่ จะมีวิธีการใด ที่ทำความดีแล้ว จึงจะไม่หมดไป พระยาธรรมิกราชถาม พระพุทธองค์เป็นผู้ตอบ เราทั้งหลายเป็นผู้ฟัง
..จงมีสติสัมปชัญญะ ตื่นพร้อม
รู้ กาย อารมณ์ ความคิด รู้ทำหน้าที่
..สุข ทุกข์..มิได้มีอยู่..
ไม่มีรัก..ไม่มีโกรธเกลียด แค้นเคือง
ไม่มีอาฆาทพยายาท..ไม่มีอภัย..
เธออย่าหลงในสมมุติ..
ขณะจิตที่คิดปรุงแต่งให้ค่า
ไม่มีราคาความหมายอะไร
ที่มีอยู่ทุกเรื่องราว..
เพราะหลงยึดถือใน อารมณ์
ความคิด..จิตปรุงแต่ง..
หลงเข้าไปเป็นตัวละครในความคิด
จงมีสติรู้ทัน..อย่าโง่ และอย่าโง!!
..ปัญญา..
เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง
ที่อยู่เหนือสัญชาตญาณ
ปัญญามีสามสภาวะ
สภาวะหนึ่ง> ความรู้รอบ
ปัญญาเกิดจาก
การศึกษาเรียนรู้ด้วยการ
ฟัง พูด อ่าน เขียน
ปัญญานี้นำมาใช้เพื่อดำรงชีวิต
เพื่อความเข้าใจ แยกเหตุแยกผล
ดี ชั่ว คุณโทษ แยกประโยชน์
มิใช่ประโยชน์ รู้จัดสรร จัดการ
ดำเนินการ ทำให้บรรลุผล
ล่วงพ้นปัญหาต่างๆ
บาลีเรียกว่า"สุตมยปัญญา"
ปัญญานี้อยู่ในประเภท"สัญญา"
สภาวะที่สอง> ความรู้คิด
ซึ่งมีฐานมาจากสุตมยปัญญา
เป็นปัญญาเกิดจากความคิดพิจารณา
จินตนาการ จุดประกายความคิด
ความคิดสร้างสรรค์ โยนิโสมนสิการ
จนเกิดปัญญาขึ้นในตน
ปัญญานี้ใช้ได้ทั้งทางโลก เช่น
การคิดสร้างนวตกรรมใหม่ๆขึ้นในโลก
ของนักคิด นักวิทยาศาสตร์ต่างๆ
และใช้ในทางธรรม เช่น
การโยนิโส ให้รอบรู้ในกองสังขาร
และมองเห็นตามความเป็นจริง
หยั่งรู้ลงไปเห็นเหตุปัจจัย
ของความทุกข์ทั้งปวง
บาลีเรียก"จินตมยปัญญา"
ปัญญานี้อยู่ในประเภท"สังขาร"
สภาวะที่สาม> ความรู้แจ้ง
ปัญญานี้แปลสภาพจาก"จินตมยปัญา"
เป็น"ญาณทัศนะ" รู้แจ้งในสภาวะธรรม
ที่เป็นสังขารและวิสังขาร
คือสภาวะที่ปรุงแต่งและสภาวะเหนือ
การปรุงแต่ง กระทั่งหลุดพ้นด้วยปัญญา
และปัญญาเองนั้นก็สลายตัวไป
เหลือเพียงสภาวะนิพพาน..
บาลีเรียกปัญญานี้ว่า"ภาวนามยปัญญา"
หรือ"ปัญญาวิมุตติ"
"ทั้งหมดนี้เป็นเพียงสมมุติ"
อาจารย์ ปู่
ลองทำดูคราวนี้มันจะถูกไหม
ให้พิจารณาอานาปานสติกำหนดลมหายใจ เข้า ออก
ดูที่ลม หายใจ เข้า ออก อยู่อย่างนั้นแหละ
จนมันนิ่งแน่วเป็นอารมณ์อันเดียว
แล้วพึงกำหนดเอาแต่ผู้รู้แต่ผู้เดียว
ลมพึงวางเสีย ไม่พึงกำหนดเอา
ก็จะเห็นจิตของตนชัดขึ้นมาว่า
อ๋อ จิตมันอย่างนี้หนอ
สิ่งที่พิจารณานั้นอย่างหนึ่ง
ผู้ไปพิจารณาอีกอย่างหนึ่ง
ให้หาตัวผู้ไปพิจารณาลมหายใจ
อุปมาเหมือนอย่างเรามองดูพระอาทิตย์หรือพระจันทร์
เราไม่ได้มองดูผู้ดู ซึ่งเป็นตัวผู้รู้
แต่เราไปมองดูพระอาทิตย์ พระจันทร์ จึงไม่เห็นตัวผู้รู้
ถ้าเราวางเสีย พระอาทิตย์พระจันทร์
แล้วหันเข้ามามองผู้รู้แต่อย่างเดียว
ก็จะเห็นตัวผู้รู้ทันที
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
สรรพสิ่งในโลก
เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ยึดเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยมิได้..
..ชอบใจ..ดีใจ..เสียใจ..
ในสภาวะของการได้เห็นได้ยิน
ได้สัมผัสรับรู้
เป็นอารมณ์ปรุงแต่งของจิตวูบหนึ่ง
หาสาระแก่นสารอะไรมิได้..
ทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงปรากฏการณ์
..ผ่านไปผ่านไป..
ไม่มีอะไรมีอยู่จริงแท้แน่นอน..
..เธอจงอย่าหลงยึดในชีวิต
และสรรพสิ่งในโลก..
ธาตุรู้ สู่พระนิพพาน
การที่จะไปเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนก็ต้องเข้าใจในสิ่งง่ายๆ ก่อน เมื่อเข้าใจไปจนถึงที่สุด แม้แต่ตัวตนก็ไม่มี เขาถึงเรียกว่าอนัตตา ในที่สุดจิตมันถอดถอนตัวเองออกมาจากความคิดหมดแล้ว จิตมันก็จะมาดูตัวมันเอง พอมาดูตัวเองแล้วจะรู้ว่าแม้แต่ตัวจิตเองก็ไม่มี
มันถอดถอนความเป็นเจ้าของจิตออกเมื่อไหร่ มันก็ไม่มีตัวตน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้เปล่าๆ ทีนี้ธาตุรู้ที่มันรู้ว่าจิตของเรา วิญญาณของเรา เพราะเราไปคิดว่ามันเป็นของของเรา ยังไปแสดงความเป็นเจ้าของนี้อยู่ ต่อเมื่อถึงที่สุด เราถอดความเป็นเจ้าของออก ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติของมัน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ต่อไปเราไม่เป็นเจ้าของนี้
เจ้าจิตของเรา วิญญาณของเรามันเริ่มไม่มีเจ้าของ มันเป็นจิตเฉยๆ มันก็กลับไปรวมกับมโนธาตุ มโนวิญญาณแบบเดิมๆ กรรมต่างๆ ที่จิตดวงนี้คิดว่าเป็นของตนก็หมดไปด้วย เพราะว่ามันไม่มีเจ้าของ มันกลายเป็นของกลางๆ เป็นมโนธาตุเฉยๆ สิ่งนี้จะซับซ้อน แต่ก็ไม่ถึงกับยาก
ภาวะพระนิพพานนั้น ถ้ารู้และเข้าใจธาตุรู้อย่างถ่องแท้แล้ว เกิดปัญญาจากธาตุรู้ และถอนความเป็นตัวตนเจ้าข้าวเจ้าของธาตุรู้ได้ ธาตุรู้นั้นก็สอนเราให้รู้จักพระนิพพาน เพราะในที่สุดเราได้คืนธาตุรู้นี้กลับไปสู่ความเป็นเดิมแท้ของมัน
เพราะตอนแรกธาตุรู้ก็เป็นความเดิมแท้ แต่ต่อมาเกิดเป็นอวิชชาขึ้น เกิดมีเจ้าของขึ้นมา คิดว่าเป็นของของมัน ก็เลยเริ่มมีจิตของเรา วิญญาณของเรา หลังจากนั้นจิตวิญญาณของเราที่ไปครอบครองธาตุรู้ ก็เริ่มสะสมกรรมต่างๆ ต่อจิตเมื่อเท่าทันถึงที่สุด ก็จะรู้ว่าธาตุรู้นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
แต่เราเองที่หลงผิดคิดว่ามันเป็นของของเรา ต่อเมื่อความรู้สูงสุดตรงนี้ แล้วมันปล่อยวางธาตุรู้นี้ไป เพราะธาตุรู้ไม่ใช่ของมัน ไม่มีตัวตนจริง ไม่ใช่ของของมัน ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุรู้ ไม่มีเจ้าของ เมื่อปล่อยธาตุรู้อันนั้นไปซะ ความเป็นเจ้าของธาตุรู้ไม่มีเมื่อไหร่ ธาตุรู้นั้นก็เป็นปัญญาพระนิพพาน
การเจริญสติจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไรนั้น มาจากการเจริญสติจนมีกำลังสติมาก เรียกว่ามหาสติปัฏฐาน จะมีกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งมหาสติมันก็ดำเนินไปใน 4 อย่างนี้ กาย คือการรู้ทางกายทั้งหมด ถ้าสติแข็งแรงจนเป็นอภิมหาสติแล้วนอกจากกายหยาบแล้ว มันยังรู้ไปถึงกายละเอียดที่ละเอียดลงไปอีก เพราะเป็นการตั้งมั่นมาก มันก็จะรู้ลึกลงไปเกินกว่าที่กายปกติ คือจะไปรู้ถึงกายละเอียดด้วย
รู้ในเวทนานอกจากเป็นเวทนาที่จิตปกติจะรู้แล้ว พอจิตที่เป็นมหาสติมันก็จะรู้เวทนาที่ละเอียด เป็นเวทนาที่สูงขึ้นไปอีก และจิตก็เหมือนกัน จิตที่เป็นมหาสติก็เท่าทันจิตทุกอย่าง ก็เป็นจิตที่ละเอียดเข้าไปในจิตอันเป็นนามธรรม และข้อสำคัญที่สุดก็คือตอนที่มันเวียนไปเกิดความรู้ในธรรม มันจะไปรู้ธรรมที่สูงขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก คือธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันนี้ก็เป็นการเข้าถึงพระนิพพานด้วยการเจริญสติ อันเป็นสติปัฏฐาน 4
คือจะรู้ละเอียดลงไป คือนอกจากในธรรมที่เวียนไปเกิดความรู้ในธรรมแล้ว มันยังไปรู้ถึงว่ามันยังไม่มีรูป เรียกว่าธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันเป็นธรรมหลุดพ้น สามารถยึดจับสติเข้าไปถึงภูมิธรรมในแก่นของมันด้วยวิธีการนี้ก็ได้ เมื่อจิตตั้งมั่นสูงสุดแล้ว เพราะสติปัฏฐานสติมันจะเวียนไป 4 อย่าง เช่น รู้ว่าทำอะไร ยืน เดิน นั่ง นอน สติปัฏฐานจะรู้ในนี้ แต่พอมันเป็นมหาสติปัฏฐานขึ้นมา นอกจากกายที่รู้ในสิ่งที่กายกระทำ มันยังรู้ไปถึงกายละเอียด คือมันตั้งมั่นแล้วมันเลยไป
ทีนี้มันเวียนไปที่จิต มันก็จะไปรู้จิตในจิต ซึ่งมันก็สูงกว่าจิตปกติ พอไปธรรมมันก็ไปรู้ธรรมในธรรม คือนอกจากการพิจารณาธรรมนี้แล้ว มหาสติปัฏฐานยังไปรู้ธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรธรรม คือธรรมที่ไม่มีสมมติบัญญัติ มันก็เลยไปถึงแก่นของแก่นที่เป็นธรรมที่สูงสุดได้เช่นกัน วิธีนี้ก็ไปบรรจบกันกับการถอดความคิดออกเป็นส่วนๆ และจิตพรากออกจากความคิด จนเข้าสู่จิตเดิมแท้
ไม่ทราบผู้แต่งชัดเจนครับ
อยู่กับสมมุติ..ใช้สมสมุติ..
..อย่าติดสมมุติ..
..เมื่อเธอ พอใจ ไม่พอใจ..
ในคำพูดที่ได้ยิน..ในคำเขียนที่ได้อ่าน..
นั่น..เธอหลงยึดสมมุติเข้าเต็มเปาแล้ว
..สมมุติสัญญา หมายถึง..
สิ่งที่ ตั้งขึ้น บัญญัติขึ้น ใช้ให้เข้าใจตรงกัน
ร่วมกันชั่วคราว ในสังคมหนึ่งๆของมนุษย์
เช่นภาษาที่สื่อสารกัน ในการใช้แทนค่า
สิ่งต่างๆ..
..สมมุติสัญญาในภาษา มีทั้งที่ใช้แทนค่า
ในสิ่งที่เป็น..รูปธรรม..และนามธรรม..
..รูปธรรมเช่น มะละกอ ส้ม ข้าวโพด
ถั่ว คน หมา แมว รถยนต์ ทุเรียน..
..นามธรรมเช่น รัก เกลียด โกรธ
โง่ ฉลาด เสียใจ เย็น ร้อน สั้น ยาว
สมมุติสัญญาภาษาเหล่านี้..
ทั้งคำพูด และคำเขียน มันเป็นของชั่วคราวในการใช้ครั้งหนึ่งครั้งหนึ่ง ในขณะคิด ในขณะฟัง ในขณะพูด ในขณะเขียน ในขณะอ่าน..
แล้วมันก็ดับไป..ไม่ได้มีอยู่จริงจัง..
ซึ่งเป็นคนละส่วนกับ..รูปารมณ์..
และธัมมารมณ์..ที่จิตรับรู้..
(รูปารมณ์และธัมมารมณ์ก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง)
เช่น..
จิตรับรู้สัมผัสในข้าวโพด
ทางตาหรือทางมือ..
**..มันเป็นเพียงสภาวะการรับรู้..**
อันนี้แหละเป็นการรู้แบบบริสุทธิ์
ซึ่งการรับรู้นั้นมันไม่ใช่ข้าวโพด
..แต่เมื่อจิตคิดปรุงในสัญญาภาษา
มันก็เป็นข้าวโพดทันที..
หากให้ค่า ดีชั่ว ชอบชัง ตัณหาก็เกิด
ขึ้นพร้อม
แม้กระทั่งพูดออกมาเป็นภาษาเสียง..
ทั้งคิดปรุงและเสียงนี้แหละ
เป็นสมมุติสัญญา..ซึ่งเป็นคนละ
ส่วนกับการรับรู้ของจิตแบบบริสุทธ์
ทางอายตนะ..
..และเธอก็เข้าไปหลงยึดในสมมุติ
สัญญาอันนี้เข้าเต็มๆแล้ว..
**เช่นนี้เรียกว่าหลงยึดในสมมุติ**
โพสต์นี้เพียงอ่านให้เข้าใจ
ด้วยโยนิโสมนสิการ..
อย่าจำอย่าชอบไม่ชอบ
เพราะเป็นเพียงนำสมมุติภาษามาพูด
แทนค่าสภาวะธรรม ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
..สรรพชีวิตที่เธอปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้น
ที่เธอคิดเอาว่าเป็น..ลูก..พ่อ..แม่..ผัวเมีย..
พี่น้อง..ญาติ..เพื่อน..
..แท้จริงแล้ว..มิได้เป็นคน สัตว์ บุคคล
ตัวตน เราเขา อะไร..
..เป็นเพียงสิ่งรู้ของจิต..
เป็นเพียง..รูป..ให้จิตได้รับรู้..
..รูป..เหล่านั้น..
มีสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ย่อมแปรปรวน เปลี่ยนแปลง ดับไปเสมอ
ไม่ยั่งยืน คงทน ถาวร..มิได้มีอยู่จริงจัง..
เธอจะไปบังคับบัญชา ให้เป็น ให้ไม่เป็น
อย่างใจเธอคิด ย่อมเป็นไปไม่ได้..
..แต่เพราะเธอหลงยึดในสมมุติสัญญา
ว่านั่นลูกของเรา..นั้นผัวเมียของเรา..
นั่นพ่อแม่ของเรา..นั่นญาติของเรา..
นั่นเพื่อนของเรา..
..จึงอยากให้เป็น อย่างที่เราคิด..
..สัญญานั้นเป็นเพียงสมมุติ..
ตั้งค่าไว้ให้จิตได้รับรู้ใช้งานชั่วคราว
..ไม่ได้มีอยู่จริงจัง..
..เธอผู้ไม้รู้ความจริง..จึงหลงยึดถือ..
มั่นหมายเป็นจริงเป็นจัง..มีเขามีเราจริง
เป็นของของเราจริง..จึงสร้างภพสร้างชาติ..เวียนว่าย..ตายเกิด..มีทุกข์
มีสุข..ไม่รู้จบสิ้นในสังสารวัฏฏ์..
..พระพุทธองค์จึงตรัสว่า..
อวิชชา..ความโง่..ความไม่รู้..
เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์..เป็นต้นเหตุแห่ง
การเวียนเกิดเวียนตาย..
..เธอจงมาศึกษา..ให้รู้แจ้ง..ว่า
สรรพชีวิตทั้งหลาย..เป็นเพียงรูป..
..ให้จิตสัมผัสรับรู้..
เธอจงอย่าไปสนใจในรูปที่จิตได้รับรู้..
..เห็น สักแต่ว่าเห็น..
..ได้ยิน สักแต่ว่าได้ยิน..
..ได้กลิ่น สักแต่ว่าได้กลิ่น
..ได้รับรส สักแต่ว่าได้รับรส
..ได้สัมผัส สักแต่ว่าได้สัมผัส
..รู้สึก นึก คิด สักแต่ว่ารู้สึกนึกคิด
เช่นนี้..เธอจะพ้นไปจากทุกข์..
เธอผู้เดินตามทางพุทธะ
..ทาน ศีล ภาวนา..
ทำให้สม่ำเสมอ ทำให้เต็มกำลัง
แต่..ทำแล้วอย่าติดใน ทาน ศีล ภาวนา
มั่นหมายให้ค่าสิ่งใด..
..สิ่งนั้นมีขึ้นมาในใจทันที..
..หากไม่มั่นหมายให้ค่า..
สิ่งนั้นหนาเป็นเพียงสภาวะให้ใจรับรู้
มีอยู่..หรือไม่มีอยู่..ก็ไม่สำคัญ..
ขันธ์ 5 หรือ เบญจขันธ์ กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นชีวิต
ขันธ์ 5 หรือ เบญจขันธ์
กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นชีวิต
รูปขันธ์ กองรูป , ส่วนที่เป็นรูป , ร่างกาย , พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย , ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด , สิ่งที่เป็นร่างพร้อมทั้งคุณและอาการ
เวทนาขันธ์ กองเวทนา , ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์ , ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ
สัญญาขันธ์ กองสัญญา , ส่วนที่เป็นความกำหนดหมายให้จำอารมณ์นั้นๆได้ , ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ 6 เช่นว่า ขาว เขียว ดำ แดง เป็นต้น
สังขารขันธ์ กองสังขาร , ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง , สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลางๆ , คุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ , ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์ , ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง 6 มีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น ได้แก่ วิญญาณ 6
ขันธ์ 5 นี้ ย่อมลงมาเป็น 2 คือ นาม และ รูป ; รูปขันธ์จัดเป็นรูป , 4 ขันธ์นอกจากเป็นนามอีกอย่างหนึ่ง จัดเข้าในปรมัตถธรรม 4 : วิญญาณขันธ์เป็นจิต , เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ เป็น เจตสิก , รูปขันธ์ เป็น รูป , ส่วน นิพพาน เป็นขันธ์วินิมุต คือ พ้นจากขันธ์ 5
จิตตั้งมั่น ไม่ไหล ตามตัณหา
รู้กายา รู้จิต ที่เปลี่ยนผัน
สิ่งมงคล คือรู้ จิตสัมพันธ์
รู้ทิ้งขันธ์ สุดยอด แห่งมงคล
ทั่วทุกภพ มีเพียง รูปกับนาม
อย่าคอยตาม ยึดถือ ว่ามันแน่
แต่ให้รู้ รู้จริง ว่าผันแปร
สิ่งที่แน่ นั้นเพียง แค่นิพพาน