พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 5 พฤษภาคม 2561
ตอนที่ 332 **พระอรหันต์ละความไม่รู้**
+ +
ในเช้าของวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้รวมพลังพุทธบารมี เพื่อที่จะน้อมจิตขึ้นเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่าน เพื่อที่จะเฝ้าฟังธรรม ถึงสังโยชน์ตัวสุดท้ายขององค์พระอรหันต์ ที่สามารถละได้
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อรวมพลังจนเต็มสู่ศูนย์กลางกายแล้ว จึงได้ให้จิตของตน ค่อยๆลอยออกจากกาย ไปสู่ดินแดนแห่งความสงบสุข ในสถานที่ ที่องค์พระอรหันต์ และองค์พระโพธิสัตว์ ท่านประทับอยู่
ซึ่งในที่นั้น.. ก็มีเหล่าเทวดา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ และสามารถเข้าถึงการเป็นพระอริยเจ้าในระดับที่สูงแล้ว.. เพียงแต่ไปติดอยู่ในโลกที่ละเอียด เช่น เทวโลก หรือพรหมโลก ไปติดอยู่ในโลกเหล่านั้น เขาเหล่านั้น..ต่างก็มาฟังธรรมกัน เพื่อที่จะอาศัยธรรมที่จะหมุนธรรมจักรต่อไปนี้ ให้จิตเหล่านั้น.. ส่วนหนึ่งได้เข้าสู่พระนิพพานได้
เพราะองค์พระอริยเจ้าเหล่านั้น ท่านก็รอคอยการมา ในคราวครั้งนี้ของพระยาธรรมิกราช ที่จะกล่าวธรรม เรื่องของการละสังโยชน์ข้อที่ 10*นี้ ซึ่งจะทำให้องค์พระอริยเจ้าเหล่านั้น สามารถน้อมธรรมนี้ - เพื่อเข้าสู่พระนิพพานได้ **
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไปถึงในที่นั้นแล้ว.. องค์พระพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงประทับนั่ง อยู่บนบัลลังก์บัวที่เป็นแก้ว และมีพระวรกายที่ใส สว่างไสว.. ประทับสูงเหนือทุกดวงจิต..
ส่วนองค์พระอรหันต์ ก็เป็นกายแก้วสว่างไสว.. นั่งรอบพระพุทธองค์ท่าน
ส่วนองค์พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย.. ก็นั่งรองลงมาอีกจุดหนึ่งทางฝั่งซ้าย
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ที่ได้มีโอกาสเข้าถึงพระนิพพาน บนโลกทิพย์นั้น.. ต่างก็มามาฟังธรรมกันอยู่ทางด้านขวา และเทวดาทั้งหลาย ในชั้นสวรรค์ต่างๆ ต่างก็มาเฝ้าฟังธรรมในฝั่งขวา - ในฝั่งซ้าย ที่ต่ำลงมา
องค์พระพุทธเจ้าอยู่สูงสุด
ข้าพระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงแทบเท้าของพระองค์ ทางด้านซ้าย
ส่วนองค์พระอรหันต์ ก็อยู่รอบข้างพระองค์ท่าน
พระอริยเจ้า และพระโพธิสัตว์ ก็อยู่ชั้นต่ำลงมา เป็นขั้นๆลงมา
โลกนี้ก็เปิดสว่างไสว ทุกสิ่งถูกเปิดออก ทุกคนเหมือนจะหลุดออกไปอยู่นอกวัฏสงสาร มองกลับมา เห็นวัฏสงสารนี้ เป็นเพียงโลกกลมๆโลกหนึ่ง เป็นเพียงดินแดนแห่งหนึ่ง เป็นเพียงสถานที่หนึ่งเท่านั้น.. ซึ่งทุกดวงจิตโยกออก อยู่นอกจักรวาล วัฏสงสาร
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ลงแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าฟังธรรม ถึงการละสังโยชน์ ว่า..ท่านนั้นละสังโยชน์ข้อที่ 10*ได้ คือการละอะไร
และสังโยชน์ข้อนี้ มีความสำคัญยังไงต่อดวงจิตทั้งหลาย ผู้ประพฤติปฏิบัติ จนเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์ หรือว่าใกล้จะเป็นองค์พระอรหันต์ ล่ะเจ้าคะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิดเจ้าค่ะ “
- - - -
ดีแล้วละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ถ้าอย่างนั้น ก็จงพากันตั้งใจฟังธรรมนี้ให้ดี
พระยาธรรมเอ๋ย.. ดวงจิตที่สามารถประพฤติปฏิบัติตน จนเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์ได้แล้วนั้น.. / ย่อมเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
/ เป็นอยู่เหนือวัฏสงสารแล้ว อย่างแท้จริง
- ไม่ว่าจะยังอยู่ในนั้นอยู่.. ก็ไม่ติดอยู่ในนั้นแล้ว
เป็นผู้ที่สามารถ เอาม่านบังตาตนออกได้แล้ว อย่างแท้จริง
จึงมองเห็นว่า วัฏสงสารนี้.. แท้ที่จริงแล้ว เป็นเช่นไร !
มองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว.. จนรู้แจ้งวัฏสงสาร ในทุกที่ ทุกแห่งหน
การที่เรานั้น ยังเวียนวน เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในที่ที่มันเป็นทะเลทุกข์อยู่..
ต่อให้เราจะอยู่ในมุมใดของทะเลแห่งนั้น - ก็ย่อมเป็นทุกข์ +
การที่เราถูกคุมขังไว้อยู่ในที่ที่เป็นเพลิงไฟ
ต่อให้อยู่ในมุมไหนของเพลิงไฟนั้น - ก็ย่อมเร่าร้อน +
ฉะนั้น.. องค์พระอรหันต์ จึงสามารถละสังโยชน์ข้อที่ 10* ได้
คือ การถอดถอนจิตของตนอย่างแท้จริง ออกจากความเห็นว่า..
การเกิดในมนุษย์โลก หรือเทวโลก พรหมโลก ในที่ต่างๆ ที่สมมุติว่ามีอยู่ในวัฏสงสารนั้น - เป็นเรื่องที่ไม่มี !
เพราะที่เหล่านั้น ก็คือ ที่ที่หลอกให้เราไปหลงอยู่ ติดอยู่ ทุกข์อยู่ - เป็นกิเลสที่ละเอียด +
หลอกจิตทั้งหลายให้ยังคงรู้สึกว่าดีอยู่ เห็นว่ามันยังน่าปรารถนาอยู่..
เลยเวียนวน เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร
- เพราะถูกสภาวธรรมเหล่านี้ หลอกไว้ ++
องค์พระอรหันต์ เป็นผู้รู้แจ้งแล้ว.. จึงอยู่เหนือการถูกหลอกทั้งปวง
รู้ดีว่า.. ต่อให้เกิดไปอยู่ในสวรรค์ชั้นใด หรือในพรหม
เกิดเป็นพรหม หรือเป็นเทพ.. ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่พ้นจากความทุกข์
เพราะถูกความเป็นพรหม หรือเป็นเทพนั้น ครอบงำให้ต้องติดอยู่ในวัฏสงสารนี้
- ความทุกข์ มันก็ยังมีอยู่ !
เกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีอะไรดี - เกิดมาเพื่อชำระกิเลสแห่งตนเท่านั้น..
-- หากไม่รู้การชำระกิเลส.. ก็จมอยู่ในกองทุกข์ทั้งปวง ++
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จึงเป็นที่ที่องค์พระอรหันต์ มองเห็นทะลุแจ่มแจ้ง อย่างแท้จริง
- ไม่กลับไปอีก
- ไม่ปรารถนาอีก
- ไม่เห็นว่ามันดีอยู่
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์ รู้แจ้งแค่ว่า..
อยู่ในที่ใดของวัฏสงสารนี้ ก็ตาม ย่อมไม่เป็นสุขอะไรเลย
อยู่ในที่ใดของวัฏสงสารนี้ ก็ตาม
/ ย่อมเป็นที่ ที่เป็นทาสแห่งความทุกข์ / เป็นทาสแห่งกิเลสตัณหา
/ ย่อมเป็นที่ ที่ไม่เที่ยงแท้ ถูกคุมด้วย*กฎแห่งกรรม*
/ ย่อมเป็นที่ ที่ไม่น่าอยู่ ไม่น่าอาศัยเลย
จิตทั้งหลาย.. ผู้ที่ยังเวียนวนอยู่ในนั้น ก็เป็นเพราะว่า.. ยังไม่รู้ / ยังไม่ตื่น / ยังไม่แจ้ง
เลยหลงวน ไปตามความไม่รู้
- เลยติดอยู่ในสิ่งที่โดนหลอก โดนครอบงำนั้น...
-- จิตทั้งหลาย.. เลยหลับใหลอยู่ในวัฏสงสาร ไม่รู้ตื่น++
จิตทั้งหลายในวัฏสงสารนั้น.. เป็นเพียงสิ่งที่สมมุติขึ้น และดับไป
จิตทั้งหลาย ผู้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร หาประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เลย !
มีแต่..
/ ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น
/ ทุกข์เท่านั้น ที่มีอยู่
/ ทุกข์เท่านั้น ที่มันดับไป
แล้วเกิดใหม่ ตามความไม่รู้ ตามความเป็นจริง ของดวงจิตทั้งหลายนั้น.. ที่เวียนว่ายตายเกิด
- ช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสารยิ่งนัก
- เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ
- เป็นเรื่องที่ควรแก่การช่วยเหลือ
และจิตผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้น ก็จะมองเห็นเพียงว่า.. โลกใบนี้ วัฏสงสารนี้
- เป็นที่ที่น่าสงสาร น่าช่วยเหลือ
- ไม่น่าเข้าไป
- จิตของตนออกจากที่นั่นแล้ว ไม่ควรวนกลับไปอีก.. เพราะไม่มีสิ่งใดดี
องค์พระอรหันต์.. รู้แจ้งเช่นนี้ล่ะลูก
อยู่เหนือจักรวาล วัฏสงสาร
อยู่เหนือโลก เหนือการเวียนวนทั้งปวง
มีแต่จิตที่เป็นเมตตา..
- เมตตา ที่เป็นอุเบกขา
- เมตตา ที่ตนไม่ทุกข์
และทรงพลังพุทธบารมี
ทรงพลังความดีที่บริสุทธิ์ ฉุดช่วยดวงจิตทั้งหลายให้ออกมา โดยไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากความตั้งใจช่วยเหลือ ด้วยใจที่บริสุทธิ์
- บริสุทธิ์แบบ ไม่ปรารถนาสิ่งใด ไม่สุขไม่ทุกข์ ในสิ่งที่ช่วยนั้น ++
พระยาธรรมเอ๋ย.. สังโยชน์ข้อที่ 10* นี้ มันเป็นกิเลสที่ละเอียดยิ่งนัก ซึ่งจิตทั้งหลาย ที่หลง..
ติดอยู่ในเทวโลก ก็ดี..
ติดอยู่ในพรหมโลก ก็ดี..
ติดอยู่ในพรหม ก็ดี..
.. ทุกดวงจิตเหล่านั้น ยังหลงติดสุข ติดสบาย ติดความดี ความละเอียดประณีตอยู่ จึงข้ามสังโยชน์ตัวนี้ไม่ได้ เมื่อข้ามตัวนี้ไม่ได้ ก็เลยติดอยู่แค่ตรงนั้น.. เพราะไม่รู้ ไม่เห็นตามความเป็นจริงว่า..
* วัฏสงสารนี้ เป็นที่แห่งทะเลทุกข์ *
อยู่ด้านบน หรือด้านล่างของทะเล.. ก็ย่อมทุกข์
ไปติดอยู่ในสิ่งหลอกล่อ ที่หลอกล่อให้จิตนั้นจมอยู่ ทรงอยู่ตรงนั้น
.. รอคอยศาสนาเสื่อมไป ศาสนาดับไป
หมดกำลังแห่งบุญ แห่งบารมี แห่งฌาน ที่ประพฤติปฏิบัติไว้ - ก็ร่วงลงมาเกิดใหม่..
ในที่ที่มันเป็นทุกข์ ในยุคที่มันทรมาน
อย่างนั้นละ.. พระยาธรรม
เป็นที่ที่องค์พระอรหันต์รู้แจ้งแล้วเช่นนี้..
แต่จิตที่ติดอยู่ในเทวโลก หรือโลกพรหม ติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น ที่เหล่านั้น..
/ เป็นผู้ที่ยังหลงอยู่มาก ก็มี +
/ จิตที่ปรารถนาจะถอดถอนออกจากที่นั่น ก็มี +
-- จิตเหล่านั้น ไม่รู้ตามความเป็นจริง - จึงติดอยู่ !
แต่องค์พระอรหันต์นั้น.. ก็รู้ ก็เห็น ก็เข้าใจว่า
ที่ตรงนั้น คือ กิเลสละเอียด
ที่ตรงนั้น คือ ที่ที่หลอกให้เราติดอยู่
องค์พระอรหันต์ จึงละสังโยชน์ข้อที่ 10* ได้
/ ไม่ลุ่มหลงในวัฏสงสารนี้ ว่า..มีที่ใดที่ดีเลย
/ ถอดถอนตนออกจากวัฏสงสารนี้แล้ว อย่างแท้จริง
/ ไม่เห็นว่าความดีในวัฏสงสารนั้น มันมีอยู่
จิตขององค์พระอรหันต์ทั้งหลาย.. ย่อมประพฤติได้เช่นนี้ ++
แม้อยู่ในกายหยาบ อารมณ์เช่นนี้ก็ยังมี เกิดขึ้นอยู่ในองค์พระอรหันต์
จึงสามารถเป็นพระอรหันต์ได้ลูก
ถ้าเกิดว่า เราทำความดี ปฏิบัติดี ดีจริง.. แต่ยังติดอยู่ในสังโยชน์ข้อนี้
เราก็อาจจะต้องไปติดอยู่ในพรหม หรือในเทวโลก หรือในที่ใดที่หนึ่ง ที่ละเอียด..
- จนไม่เข้าถึงพระนิพพานได้ นะลูก !
ฉะนั้น.. จงพากันประพฤติปฏิบัติ ฝึกฝนเรียนรู้ ถึงสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อให้ดี
สังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนี้ เปรียบเสมือนเป็นกำแพงขวางกั้น.. ไม่ให้ลูกทั้งหลายเข้าถึงพระนิพพาน
.. ทำให้ลูกทั้งหลายติดอยู่ในวัฏสงสารนี้
เราต้องข้ามกำแพง ทีละกำแพงๆ
ข้ามให้มันได้ ฝึกฝนตนให้มันได้
แม้แต่กำแพงสุดท้าย.. หากลูกข้ามผ่านไม่ได้ - ลูกก็จะถูกกำแพงนั้นคุมขังเอาไว้ในวัฏสงสาร / เข้าไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์
เช่นนี้ละ พระยาธรรม..
จงหมั่นตรึกตรอง ทบทวนดูให้ดี ว่า สังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนั้น..
มีอะไรบ้าง.. และตนต้องชำระล้างแบบไหน ?
พิจารณายังไง จึงละได้ ?
ละได้กี่ข้อ เหลือกี่ข้อ ?
ข้อที่เหลือ.. มันมากหรือน้อย ?
จุดมุ่งหมาย คือ การทำให้มันหมด.. แม้เพียงข้อเดียวก็ไม่ให้มีอยู่ในเรา ++
** ข้อสุดท้าย คือ การยังมองเห็นความดีในวัฏสงสารนี้ - ก็ให้มันหมดไป..
- จะได้เข้าสู่พระนิพพานอย่างแท้จริง นะลูก
- จะได้หลุดออกมานอกวัฏสงสาร เช่นดังวันนี้ ที่พากันมา
เอาละนะ ทีนี้ก็เข้าใจแล้ว..
ก็พากันกลับไป ประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่แห่งตน ที่มีอยู่ / ที่รู้อยู่
ควรปฏิบัติต่อไป ให้มันดี..
จงพากันถอดถอนความรู้สึกสุข - ที่มันเป็นสุขอันจอมปลอม !
จงพากันถอดถอน สิ่งที่มันละเอียดประณีต และคิดว่าดีแล้วทั้งหลาย
เช่น
เครื่องประดับประดาต่างๆตามร่างกาย
ที่อยู่ที่อาศัย
ที่ที่คิดว่า สุขที่สุด สบายที่สุด เหล่านั้นน่ะลูก
สิ่งเหล่านั้น.. ล้วนแต่เป็น สิ่งที่หลอกให้ลูกติดอยู่ หลงอยู่ ยึดอยู่ทั้งนั้นละ..
- กลับไปแล้ว ก็สลายไปเสีย !
พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ในสิ่งที่ครอบครองอยู่ / มีอยู่เหล่านั้น.. ให้เห็นตามความเป็นจริง
ถอดถอนจิต ที่ไปติดอยู่ในความสุขละเอียดประณีต
การเห็นว่า.. ในวัฏสงสารนี้ ที่ใดที่หนึ่งยังดีอยู่
- ย่อมเป็นเหตุเกาะเกี่ยวตนไว้ในวัฏสงสาร.. ลูกเอ๋ย +
จงคลายสิ่งที่จะทำให้ตนนั้นโดนเกาะเอาไว้ในวัฏสงสารนี้ - ให้มันหลุดจากตนเสียเถิด !
พิจารณาเห็นแต่.. ความว่าง ความไม่มี ความดับ ความเสื่อมไป..
ทำอยู่อย่างนี้กันบ่อยๆนะ แล้วก็จะสามารถออกจากวัฏสงสารได้
ก็พากันติดอยู่ในนี้มาตั้งนานแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่า จะต้องถอนยังไง..
เมื่อเราสามารถปฏิบัติ ทำความดี มาจนถึงจุดนี้แล้ว..
-- เราก็ต้องข้ามตัวนี้ให้ได้ !
อย่าไปติดอยู่ในมัน อย่าไปถืออยู่ในมัน
- ไม่มีอะไรดีหรอกลูก..
สิ่งที่มันยังพาให้เราจมอยู่ในความทุกข์
เห็นมั้ยเล่า แม้แต่วันนี้ ที่ลูกทรงอยู่บนความสุข ที่ลูกคิดว่า สุขที่สุดกันแล้ว
เกิดเป็นมนุษย์ นั้นสุข
เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม นั้นสุข
.. มันสุขยังไงเล่า !
* แม้แต่พระโพธิสัตว์ - ก็ยังมีภาระหน้าที่มากมาย
มีสิ่งที่ต้องทำ ต้องเป็นต้องไป - ก็ยังทุกข์อยู่ดี *
จงสลายเถิดลูก สลายสิ่งที่เป็นสุข
- คิดว่าสุขเหล่านั้นละ คือ ตัวยึดเราเอาไว้..
เมื่อไรก็ตามที่เรายังเห็นว่าดีอยู่ สุขอยู่ / ดีแล้ว สุขแล้ว
- นั่นละ.. เราจะหลงอยู่ในวัฏสงสาร.. ไม่รู้จบ ++
จงถอดถอนความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ ทิ้งไปเถิดหนา
จงเอาจิตเอาใจของตน ชำระล้าง.. ด้วยการพิจารณาถึง “ความไม่มี”
.. จนกว่าจิตของลูก จะใสเป็นแก้วประกายพรึก
.. จนกว่าจิตของลูก จะปราศจาก “ความมี และความไม่มี”
-- ทรงอารมณ์อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง.. ถือว่า ใช้ได้ ++
อย่างนี้ละ พระยาธรรม.. พากันน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติตาม
ทุกชั้น ทุกที่ ทุกแห่งหน ทุกภพทุกภูมิ
-- เมื่อฟังธรรมแล้ว ก็ตั้งใจปฏิบัติตาม --
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้พวกลูกได้ฟัง
ลูกทั้งหลาย ยินดีน้อมธรรมนี้ ไปชำระกิเลส ประพฤติปฏิบัติตาม
- เพื่อดับการเกิดแห่งตน ให้ได้อย่างแท้จริง.. เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกทั้งหลาย.. กราบขอลาพระพุทธองค์ก่อนนะเจ้าคะ
ไว้ลูกจะมาเฝ้าฟังธรรมใหม่ เจ้าค่ะ..
สาธุ