"จิต"นั่นเอง ! ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม ทำให้เกิดทุกข์ทรมาน
"จงเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิต ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ..ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มี"ตัวเรา" คือนึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ ไม่ต้องมี"ตัวเรา"สำหรับจะเอานั่น เอานี่ ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่า"ตัวตน"เท่าที่มีอยู่จริงๆในเวลานี้ ก็ทนไม่ไหวแล้ว. เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว.
จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่ว่า เมื่อดูกันเข้าจริงๆก็เห็นมีแต่ "จิต".นั่นเอง ที่กำลังถูกอะไรห่อหุ้ม ทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น.
ถ้าเอาสิ่งที่ครอบงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก็ไม่มีที่จิตอีกต่อไป. ไม่ต้องมี"ตัวเรา"อะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์."
พุทธทาสภิกขุ
ทึ่มา : ปาฐกถาธรรม "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๙๑ ที่ "พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย"
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา
ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ
ภารหาโร จ ปุคฺคโล
บุคคลแหละ เป็นผู้แบกของหนักพาไป
ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก
การแบกถือของหนัก เป็นความทุกข์ในโลก
ภารนิกฺเขปนํ สุขํ
การสลัดทิ้งของหนักลงเสียเป็นความสุข
ภารสุตฺตคาถา
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ก็ในเมื่อ "ตัวเรา" ไม่มี แล้ว..ใครทุกข์? ใครสุข?
“พระพุทธองค์ตรัสว่า “เมื่อกล่าวสรุปให้สั้นที่สุดแล้ว เบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน เป็นตัวทุกข์” ( สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา ) เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดความสงสัยว่า ถ้าขันธ์เป็นทุกข์ ก็ช่างมันเป็นไร เราอย่าทุกข์ก็แล้วกัน มิใช่หรือ?
บาลีแห่งอื่นก็มีอีกว่า “ตัวทุกข์นั้นมีอยู่แท้ แต่บุคคลผู้เป็นทุกข์หามีไม่” ( ทุกฺขเมว หิ น โกจิ ทุกฺขิโต การโก น, กิริยา ว วิชฺชติ ) นี่ก็เช่นกันอีก แสดงว่า“ตัวตน”ของเราไม่มี. ทุกข์อยู่ที่รูปและนาม. นี้ก็ก่อให้เกิดคำถามว่า เราจะพยายามทำที่สุดทุกข์ไปทำไม เมื่อเราผู้เป็นเจ้าทุกข์ก็ไม่มีเสียแล้ว, พยายามให้ใคร. ใครจะเป็นผู้รับสุข ทำบุญกุศลเพื่ออะไรกัน?
เพื่อขบปัญหานี้ให้แตกหัก โดยตนเองทุกๆคน ( เพราะธรรมะเป็นของเฉพาะตน ). ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดสั้นๆ แต่กว้างขวางออกไป แด่ท่านทั้งหลายสำหรับจะได้นำไปคิดไปตรองจนแจ่มแจ้งในใจด้วยปัญญาของตนเองแล้วและบำบัดความหนักใจหม่นหมองใจ อันเกิดแต่ความสงสัยและลังเลในการประพฤติธรรมของตน ให้เบาบางไปได้บ้าง ดังต่อไปนี้ :-
ร่างกายและจิตใจสองอย่างนี้รวมกันเข้าเรียกว่า “นามรูป”, หรือเรียกว่า “เบญจขันธ์” เมื่อแยกให้เป็น ๕ ส่วน.
ในร่างกายและจิตใจนี้ ถ้ายังมีอุปาทาน กล่าวคือ ความยึดถือว่า "ของฉัน" ว่า "ฉัน" อยู่เพียงใดแล้ว ความทุกข์นานัปการ ตั้งต้นแต่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จนถึงความหม่นหมองร้ายแรงอย่างอื่น เช่น อยากแล้วไม่ได้สมอยาก เป็นต้น ก็ยังมีอยู่ และออกฤทธิ์แผดเผาทรมานร่างกายและจิตใจอันนั้นเอง.
แต่เมื่อใดอุปาทานอันนี้หมดไปจากจิต ผู้นั้นไม่มีความสำคัญตนหรือรู้สึกตนว่า “ฉันมี”, “นี่เป็นของฉัน" เป็นต้นแล้ว ทุกข์ทั้งมวลดังกล่าวก็ตกไปจากจิตอย่างไม่มีเหลือ เพราะเราอาจที่จะไม่รับเอาว่าร่างกายและจิตใจนี้เป็นของเรา และสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มันว่าเป็นของเราได้จริงๆ.
แต่พึงทราบว่า เมื่ออวิชชา (ความโง่หลง) ยังมีอยู่ในสันดานเพียงใดแล้ว ความสำคัญว่าเรา หรือของเรา มันก็สิงอยู่ในสันดานเรา โดยเราไม่ต้องรู้สึก เพราะฉะนั้น เราจึงรับเอาความทุกข์ทั้งมวลเข้ามาเป็นของเรา โดยเราไม่รู้สึกตัว; จึงกล่าวได้ว่า ตัวตนของเรา มีอยู่ในขณะที่เรายังมีอวิชชาหรืออุปาทาน เพราะสิ่งที่เป็นตัวตน (ตามที่เรารู้สึกและยึดถือไว้ในสันดานนั้น) เป็นสิ่งที่ถูกสร้างให้เกิดขึ้นโดยอวิชชานั่นเอง. ตัวตนไม่มีในเมื่อหมดอวิชชา.
เมื่อใดหมดอวิชชา หรือความโง่หลง เมื่อนั้น "ตัวตน" ก็ทำลายไปตาม; ความรู้สึกว่า "เรา" ก็ไม่มีในสันดานเรา; ไม่มีใครเป็นผู้ทำ หรือรับผลของอะไร จึงไม่มีทุกข์, ความจริงนั้นมีแต่นามรูปซึ่งเกิดขึ้น, แปรปรวน, ดับไปตามธรรมดาของมัน เรียกว่า มันเป็นทุกข์.
เมื่ออวิชชาในสันดานเรา (หรือในนามรูปนั้นเอง) ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า "นามรูปคือตัวเรา" แล้ว "เรา" ก็เกิดขึ้นสำหรับเป็นทุกข์, หรือรับทุกข์ทั้งมวลของนามรูปอันเป็นอยู่ตามธรรมชาตินั้น.
เห็นได้ว่า "เราที่แท้จริง" นั้นไม่มี มีแต่เราที่สร้างขึ้นโดยอวิชชา. ท่านจึงกล่าวว่า ความทุกข์นั้นมีจริง แต่ผู้ทุกข์หามีไม่, หรือเบญจขันธ์ที่ยังมีอุปาทาน เป็นตัวทุกข์.
ที่เรารู้สึกว่า มีผู้ทุกข์ และได้แก่ตัวเรานี่เองนั้น เป็นเพราะความโง่ของเรา สร้างตัวเราขึ้นมาด้วยความโง่นั้นเอง, ตัวเราจึงมีอยู่ได้แต่ในที่ๆความโง่มีอยู่. ยอดปรัชญาของพุทธศาสนา จึงได้แสดงถึงความจริงในเรื่องนี้ ด้วยการคิดให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งประจักษ์ชัดว่า "ตัวเราไม่มี" จริงๆ.
อาจมีผู้ถามว่า ก็เมื่อความจริงนั้น ตัวเราไม่มีแล้ว เราจะขวนขวายประพฤติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ทำไมเล่า? นี่ก็ตอบได้ด้วยคำที่กล่าวมาแล้วข้างต้นอีกนั่นเอง, คือว่าในขณะนี้ เราหาอาจมีความรู้ได้ไม่ว่า "ตัวเราไม่มี". เรายังโง่เหมือนคนบ้าที่ยังไม่หายบ้า ก็ไม่รู้สึกเลยว่าตนบ้า.
เหตุนี้เอง "ตัวเรา" ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความโง่ นั่นแหละมันมีอยู่, มันเป็นเจ้าทุกข์, และเป็นตัวที่เราเข้ายึดเอามาเป็นตัวเรา หรือของเราไว้โดยไม่รู้สึก. เราจึงต้องทำตามคำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อหายโง่ หายยึดถือ หมดทุกข์ แล้วเราก็จะรู้ได้เองทีเดียวว่า อ้อ! ตัวเรานั้น ที่แท้ไม่มีจริงๆ!! นามรูปมันพยายามดิ้นรนเพื่อตัวมันเองตลอดเวลา มันสร้าง "เรา" ขึ้นใส่ตัวมันเองด้วยความโง่ของมัน; เราที่มันสร้างขึ้น ก็คือเราที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่นี่แหล่ะ !
ความทุกข์ ความสุขมีจริง. แต่ตัวผู้ทุกข์ หรือผู้สุขที่เป็น "เราจริงๆ" หามีไม่, มีแต่ "เรา" ที่สร้างขึ้นจากความไม่รู้ โดยความไม่รู้. ดับเราเสียได้ ก็พ้นทุกข์และสุข, สภาพเช่นนี้เรียกว่า นิพพาน.
ที่กล่าวว่า พระนิพพานเป็นยอดสุขนั้น ไม่ถึงเข้าใจว่าเป็นสุขทำนองที่เราเข้าใจกัน, ต้องเป็นสุขเกิดจากการที่ "เรา" ดับไป และการที่พ้นจากสุขและทุกข์ ชนิดที่เราเคยรู้จักมันดีมาแต่ก่อน. แต่พระนิพพานจะมีรสชาติเป็นอย่างไรนั้น ท่านจะทราบได้เองเมื่อท่านลุถึง. มันอยู่นอกวิสัยที่จะบอกกันเข้าใจ ดังท่านเรียกกันว่าเป็น “ปัจจัตตัง” หรือ “สันทิฏฐิโก”
ในพระนิพพาน ไม่มีผู้รู้, ไม่มีผู้เสวยรสชาติแห่งความสุข; เพราะอยู่เลยนั้น หรือนอกนั้นออกไป; ถ้ายังมีผู้รู้ หรือผู้เสวย ยังยินดีในรสนั้นอยู่ นั่นยังหาใช่ พระนิพพานอันเป็นที่สุดทุกข์จริงๆไม่ แม้จะเป็นความสุขอย่างมากและน่าปรารถนาเพียงไรก็ตาม มันเป็นเพียง "ประตูของพระนิพพาน" เท่านั้น. แต่เมื่อเราถึงสถานะนั่นแล้ว เราก็แน่แท้ต่อพระนิพพานอยู่เอง.
เมื่อนามรูปยังมีอยู่ และทำหน้าที่เสวยรสเยือกเย็นอันหลั่งไหลออกมาจากการลุถึงพระนิพพานได้ ในเมื่อมันไม่เป็นที่ตั้งอาศัยแห่งอุปาทาน หรืออวิชชาอีกต่อไป. เราเรียกกันว่า นั่นเป็นภาวะแห่งนิพพาน. เมื่อรูปนามนั้น ดับไปอย่างไม่มีเชื้อเหลืออยู่อีก นั่นก็คือ ปรินิพพาน
ดังนี้ ท่านตัดสินเอาตามความพอใจของท่านเองเถิดว่า ใครเล่าเป็นผู้ทุกข์? ใครเล่าเป็นผู้สุข? แต่พึงรู้ตัวได้ว่า ตัวเราที่กำลังจับกระดาษแผ่นนี้อ่านอยู่นั้น ก็ยังเป็นตัวเราของอวิชชาอยู่ !
พุทธทาสภิกขุ
๑ สิงห์ ๗๙
ที่มา : จากหนังสือ “ชุมนุมเรื่องสั้น พุทธทาสภิกขุ”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "ตายก่อน ก่อนตาย ชีวิตที่ชนะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย"
----------------------------------
ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
ปรัศนี: มีผู้กล่าวว่า ท่านอาจารย์สอนว่า ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย นั้นเป็นมิจฉาทิฎฐิ ดังนี้ ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไรครับ?
พุทธทาส: เฮ้ย! เล่นไม่ซื่อ เล่นสกปรกแล้ว เราไม่ได้ว่าโว้ย! พระพุทธเจ้าว่านะ พระพุทธเจ้าท่านว่านะ อย่าไปพูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด มันไม่มีใครเกิด มันมีแต่สังขารการปรุงแต่งตามกฎของธรรมชาติ
ทีนี้ เขาไปสมมติให้ไปเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตาย เป็นเกิด มันเป็นกิริยาปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลงของสังขาร ธาตุ ขันธ์ อะไรนี้ ไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นอย่างนั้นๆ แล้วชาวบ้านนั้นก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก เขาไปสมมติว่า กิริยาอย่างนี้เรียกว่าเกิด กิริยาอย่างนี้เรียกว่าตาย ทีนี้ เขามีความยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน มีตัวมีตนมาก่อนแล้ว ก็เรียกว่า ตนมันเกิด ตนมันตาย เป็นความเกิดความตายของตน
ทีนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนี้แล้ว ก็สอนว่านั้นมันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติล้วนๆ สุทฺธัมฺมา ปวตฺตนฺติ ธรรมชาติล้วนๆเท่านั้นมันเป็นไป อ้ายธรรมชาติล้วนๆนี้ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน. ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มันเป็นไปคือมันเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของกฏอิทัปปัจจยตา เป็นต้น ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แล้วมันก็ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด
รู้พุทธศาสนาอย่างเด็กๆก็จะรู้ว่ามีคนตายมีคนเกิด ถ้ารู้พุทธศาสนาอย่างเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว ก็จะเห็นตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า มันไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันก็ไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด มีแต่กิริยาแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังขารที่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย
ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดก็ไม่ใช่คนนะ เป็นสังขารที่กำลังดำรงอยู่ตามเหตุตามปัจจัย ที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่คน มันอยู่อย่างอาการที่ว่ามันปรุงแต่งกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ จึงนั่งอยู่อย่างนี้ ถ้ามันจะปรุงแต่งในลักษณะที่ตาย มันก็เป็นการปรุงแต่งอยู่นั่นแหละ ไม่ใช่มีคนอยู่ที่นี่ หรือมีคนตาย หรือมีคนเกิด นี่คือหลักของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ.
การที่บอกว่ามีแต่สังขาร ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จึงถือว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย นั่นนะไม่ใช่มิจฉาทิฎฐิ นั่นแหละ คือสัมมาทิฏฐิ"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ "ดอกโมกข์" ฉบับพิเศษ พุทธทาสวจนา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๙
-----------------------------------------
สุญญตา โลกว่าง จิตว่าง"
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น "ตัวตน" หรือ "ของตน" เป็น"ตัวเรา" หรือ "ของเรา"....
จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน ของตน หรือกำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็น "ตัวตน-ของตน" นี้ ขอเรียกว่า "จิตว่าง" เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
มีคำอธิบายใน "ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑" ว่า
"ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต"
(แปลว่า) ชื่อว่า "สุญญตา" เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า "จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ" เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน"โสฬสปัญหา" ว่า...
"สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป" เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วย"อุปาทาน" ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า "สุญฺญตา"
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า"โลกนี้ว่าง" เพราะว่างจาก "ตัวตน" "ของตน" ได้ใจความถัดมาว่า "จิตว่าง" เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า "สุญญตา"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา"
-----------------------------------
สุญญตา
"คำว่า "สุญญตา" ที่หมายความถึง "ความว่าง" อันเป็นลักษณะเฉพาะของปรากฏการณ์ทั้งปวงนั้น มีที่มาในคำว่า "อตฺตสุญฺญตา, อตฺตนิยสุญฺญตา, นิจฺจภาวสุญฺญตา" ดังนี้ เป็นต้น
หมายถึง ความว่างจาก"ตัวตน", ความว่างจาก"ของของตน", ความว่างจากภาวะที่เที่ยงแท้ถาวร, อันเป็นความว่างซึ่งส่ออยู่ที่สิ่งทุกสิ่งอันมีปรากฏการณ์ต่อสัตว์โลก."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยาย "สุญญตา" บรรยายในพรรษาประจำปี ๒๕๐๓
------------------------------------
ความว่าง สุญญตา
"พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้วิธีหนึ่งว่า ให้พิจารณาแยกสิ่งทั้งปวงออกเป็นธาตุต่างๆ เมื่อแยกออกได้จริงๆก็จะเห็นว่า ไม่มีสิ่งอะไรซึ่งเป็นอย่างนั้นอย่างนี้จริงๆเลย เหมือนอย่างต้นไม้ซึ่งเป็นสิ่งรวมอย่างหนึ่ง เมื่อดูลงไปว่าต้นไม้อยู่ที่ไหน ดูแยกออกไปๆ ก็จะไม่พบว่าอะไรเป็นต้นไม้ มีแต่สิ่งที่แยกทั้งนั้น ยิ่งแยกออกไปก็ยิ่งไม่พบอะไร กลายเป็น“ความว่าง”(สุญญตา) ได้ตรัสสอนมณนพผู้หนึ่ง(โมฆราช) ไว้ว่า
“สุญญโต โลกํ อเวกฺขสฺส โมฆราช สทา สโต ”
ดูก่อน! โมฆราช เธอจงมีสติ พิจารณาเห็นโลก เป็นของว่าง ทุกเมื่อเถิด”
สมเด็จพระญาณสังวร
ที่มา : พระนิพนธ์ เรื่อง “โลกและชีวิต ในพุทธธรรม”
--------------------------------------
ความสำคัญของ “สุญญตา” คือเล็งถึงนิพพานโดยตรง
“ลักษณะของ“สุญญตา” คือ ลักษณะแห่งความว่างจาก“ตัวตน” อันเป็นลักษณะของสิ่งทั้งปวง ซึ่งเมื่อผู้ใดรู้แล้ว เห็นแล้ว จะทำให้ถอนความยึดถือว่า.."ตัวตน" หรือ "ของตน"
ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้...
สุญญตา เล็งถึงนิพพานโดยตรง เพราะนิพพานเป็นของว่างจาก"ตัวตน" หรือ เมื่อจิตลุถึงนิพพานนั้น หมายถึง เมื่อจิตลุถึง ความว่างจาก "ตัวตน" นั่นเอง.”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายหัวข้อ “ความสำคัญของเรื่องสุญญตา” เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๓
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.
ฉะนั้น "ความตายจึงไม่มี" สำหรับจิตที่มองเห็นสุญญตาอย่างถูกต้อง.
การเห็นสุญญตาทำให้ไม่มีตัวคนเรา หรือตัวตนของใครเลย มีแต่ " สุทฺทธมฺมา ปวตฺตนฺติ : ธรรมชาติล้วนๆไหลไป "
จิตไม่มีความรู้สึกยึดว่า เราเกิดขึ้น เรามีอยู่ เราดับไป
การเห็นสุญญตา กล่าวคือ การเห็น นาม และ รูป หรือสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของ"ว่างจากตัวตน"โดยสิ้นเชิง จะทำให้เห็นความ"ไม่มีการเกิด"ของอะไรๆทั้งสิ้น ไม่มีใครเกิดมาเสียตั้งแต่แรก แล้วจะมีใครตายได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความตายจึงไม่มี
การเห็นอนัตตาของกายและใจ จะทำให้เห็นความ"ไม่มีตัวตน"ที่ถาวร
มีแต่"นามธรรม"(=จิตใจ) อันเป็นธรรมชาติคู่กับ"รูปธรรม"(=ร่างกาย) ซึ่งก็ไม่มีตัวตนอันแท้จริงเหมือนกัน ชีวิตจึงเป็นเพียงกระแสของธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่ไหลเรื่อยไป จนกว่าจะหมดเหตุหมดปัจจัย.
ฉะนั้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ "สัมมาทิฏฐิ" ชั้นที่เป็นโลกุตตรปัญญา ที่สามารถมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ " สุญญตา " ( ความว่าง ) ได้อย่างชัดแจ้ง
"สิ่งที่สามารถทำจิตให้ไม่กลัวความตายเด็ดขาดจริงๆนั้น ต้องเป็นเรื่อง สัจจธรรม หรือ ปรมัตถธรรม โดยตรง และถึงขั้นที่สุดด้วย
การเห็น “สุญญตา” ความตายจะไม่มี
มีแต่..สังขาร..การปรุงแต่ง ตามกฎของธรรมชาติ
การควบคุม "ปฏิจจสมุปบาท"
"พูดอย่างวิชาหรืออย่างปรัชญามันก็พูดอย่างหนึ่ง พอถึงปฏิบัติมันก็กลายเป็นอีกอย่างหนึ่ง คำพูดไม่เหมือนกัน จะยกตัวอย่างเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ยืดยาว ที่เราสวดกันยาวๆนั่นนะ อวิชชาเกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณตลอดสายนั้นน่ะ มันเป็นรูปแบบของปรัชญา ให้รู้ว่าอย่างนั้นเป็นปรัชญาที่มีเหตุผล ที่พอจะเห็นแจ้งได้ พอที่จะทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้...
ทีนี้พอมาถึงคราวปฏิบัติ มันมีเพียงแต่ว่า มีสติในเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น พูดสั้นๆก็ว่ามีสติเมื่ออายตนะทำงาน สั้นๆเท่านี้ มีแค่นี้ก็พอ
ปฏิจจสมุปบาทสำหรับรู้ยาวเฟื้อย พอปฏิจจสมุปบาทสำหรับปฏิบัติ คือมีสติเมื่ออายตนะทำงาน ก็คือควบคุมได้ที่ผัสสะ เป็นผัสสะแห่งวิชชาไว้เสมอ ก็คือปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทสำเร็จประโยชน์ทั้งสาย ทุกข์ไม่เกิด มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำงาน นั่นแหละคือปฏิบัติ เรียกว่าปฏิบัติปฏิจจสมุปบาท
ตัวปฏิจจสมุปบาทตั้งสิบสองอาการ สิบเอ็ดอาการนั่นน่ะ ยาวเฟื้อย และก็มีเรื่องมาก แล้วก็มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่จะเป็นไปอย่างนั้นตามธรรมชาติ เมื่อเราจะควบคุมมัน เรื่องเหลือนิดเดียว ให้มีสติเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ทำหน้าที่เท่านั้นแหละ ก็ควบคุมปฏิจจสมุปบาททั้งหมดได้"
"การเห็นแจ้ง" หรือ "การรู้แจ้ง" หรือ "การเห็นธรรม" จะต้องขนาดไหน? อย่างไร?
"การคำนึงคำนวณตามหลักแห่งเหตุผลนั้น ไม่ใช่ "การเห็นแจ้ง" อย่างที่เรียกว่า "เห็นธรรม" การคำนวณตามเหตุผลนั้นต้องอาศัยอยู่กับเหตุผล เมื่อเหตุผลเปลี่ยนแปลง เพราะความไม่เที่ยง เป็นต้น สิ่งนั้นก็พลอยเลือนไปด้วย เลือนไปตามเหตุผล หรือโยกเยกไปตามอำนาจแห่งเหตุผล
"การเห็นธรรม" จึงไม่อาจจะเห็นได้ด้วยการคำนวณตามเหตุผล แต่ต้องเห็นแจ้งด้วยความรู้สึกในใจแท้จริง คือ เห็นด้วยใจจริงๆ
ขอยกตัวอย่าง เช่น บุคคลที่พิจารณาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำความเจ็บปวดให้แก่ตนผู้เข้าไปหลงรักอย่างสาสมกันแล้ว ดังนี้ เป็นต้น นี้เห็นได้ว่า เป็นการเห็นที่ไม่ต้องอาศัยเหตุผล แต่อาศัยการที่ได้กระทบกันจริงๆ และได้เกิดผลเป็นความรู้สึกแก่จิตใจขึ้นมาจริงๆ จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความสลดสังเวช ขึ้นมาจริงๆ อย่างนี้จึงเรียกว่า "เห็นธรรม" หรือ "เห็นแจ้ง"
การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายถึงการเห็นโดยวิธีนี้"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "ไตรลักษณ์" เมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๔๙๙ ณ ห้องบรรยายของเนติบัณฑิตยสภา
------------------------------
ความรู้ ความเข้าใจ “ความรู้แจ้ง” หรือ “ความเห็นแจ้ง” ในธรรม หมายถึงอย่างไร?
"สิ่งที่เรียกว่า "ความรู้" "ความเข้าใจ" และ "ความเห็นแจ้ง" ทั้ง ๓ อย่างนี้ ไม่ใช่เป็นของอย่างเดียวกัน
อย่างแรก อาศัยการได้ยินได้ฟังก็พอแล้ว อาศัยความจำได้เป็นส่วนใหญ่
ส่วนอย่างที่ ๒ ต้องอาศัยการทบทวนด้วยเหตุผล หรือการใช้เหตุผลขจัดปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้หมดเสียก่อน
ส่วนอย่างหลังนั้น หมายถึงความรู้สึกอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดมาจากการที่ได้ผ่านสิ่งเหล่านั้นมาแล้วจริงๆ มีความรู้แจ้งในสิ่งเหล่านี้ด้วยใจของตนเอง ซึ่งยิ่งไปกว่าลำพังความรู้ หรือเพียงแต่ความเข้าใจไปตามเหตุผล อย่างที่กล่าวแล้วนั้น.
เมื่อผู้ศึกษาได้ทราบถึงความตื้นลึกของการจำแนกธรรม ว่ามีอยู่เป็นชั้นๆ ดังนี้แล้ว ก็ควรพยายามอย่างยิ่งที่จะให้การศึกษาของตนดำเนินไปจนถึงขั้นสุดท้าย โดยการ"เพ่งพิจารณาอรรถะแห่งธรรมะ"นั้นๆให้ลึกเข้าไป จนเกินระดับแห่ง"ความรู้"และ"ความเข้าใจ" คือให้ถึงระดับแห่ง "ความเห็นแจ้ง" ให้จนได้.
ความสำเร็จประโยชน์อันแท้จริงของธรรมะนั้น ย่อมขึ้นอยู่ในขั้นที่มีการเห็นแจ้งเท่านั้น ส่วนที่เราจะได้รับๆกันอยู่นั้น เป็นเพียงความรู้ ความเข้าใจ เท่านั้น จึงสำเร็จประโยชน์แต่เพียงในแง่ของ"ปริยัติ" คือ ได้แต่ พูดๆ สอนๆ ฟังๆ ทุ่มเถียง วิพากษ์วิจารณ์ กันไปตามเรื่อง อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้น"
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมบรรยายเรื่อง"ว่าด้วยการจำแนกธรรม สำหรับศึกษาและปฏิบัติ"
เมื่อ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๐๐
--------------------------------
“นักปฏิบัติควรจะสังเกตให้ดีๆ ว่า “ความรู้” มีอยู่ต่างกันเป็น ๓ ชั้น(ระดับ) คือ...
๑. รู้ตามที่ได้ยินได้ฟัง (เรียกว่ารู้อย่าง..ปริยัติ)
๒. รู้อย่างเจนจัดด้วยใจ จากการปฏิบัติ
๓. ครั้นต่อมา เห็นผลเกิดขึ้นจากการที่ละกิเลสได้สำเร็จ จึงรู้จักความมีขึ้นแห่งกิเลสและความสิ้นไปแห่งกิเลสจากใจตนเองล้วนๆ (รู้อย่าง..ปฏิเวธ) เป็นความรู้แจ้งแทงตลอด
“วิชชา” หรือ การรู้ “อริยสัจ” มุ่งหมายอย่างนี้”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ “วิธีปฏิบัติธรรมทางลัด” บทที่ ๖ หัวข้อ “วิธีลดอัตตา”
----------------------------
“ สันทิฏฐิโก ” เห็นได้ด้วยตนเอง
.....พุทธทาสภิกขุ...
“ สันทิฏฐิโก ” มีความหมายว่า “อันบุคคลเห็นได้ด้วยตนเอง” เป็นคุณบทของพระธรรม ถ้าไม่มีความเป็นสันทิฏฐิโก พระธรรมที่แท้จริงก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น...
เรามาทำความเข้าใจเรื่อง "สันทิฏฐิโก" กันให้ถึงที่สุด สันทิฏฐิโก แม้ว่าจะแปลว่า "เห็นได้ด้วยตนเอง" คำว่า “เห็น” ในที่นี้ มันใช้แทนคำพูดอื่นๆ เช่นคำว่า “รู้สึก” ธรรมที่รู้สึกอยู่กับใจนั่นแหละ เรียกว่าเห็น หรือเห็นเอง รู้สึกอยู่เอง ก็เรียกว่า "เห็นเอง"
เพราะว่าธรรมะในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เห็นด้วยตา หรือดูด้วยตาธรรมดา แต่ดูด้วยตาธรรมะ ธรรมจักษุ ดู เห็น นั่นคือ "รู้สึกด้วยใจ" ปัญญาจักษุ ธรรมจักษุ ญาณทัสสนะ อะไรนี้ มันดู แล้วก็เห็น แล้วก็รู้สึก
ฉะนั้น คำว่า "สันทิฏฐิโก" คือ " รู้สึก-อย่างแท้จริง-อย่างเต็มที่ " ราวกับว่า เราเห็นด้วยตา พอใครพูด หรือออกชื่อสิ่งนั้น ก็รู้จักได้ดี เหมือนกับเราพูดว่า "เกลือ" คนที่ไม่เคยเห็นเกลือ มันก็ไม่มีทางที่จะนึกไปได้ว่า เกลือเป็นอย่างไร? นี้ดีแต่ว่าทุกคนเคยเห็นเกลือ เคยกินเกลือ พอพูดว่าเกลือ ก็รู้ว่าเกลือเป็นอย่างไร แต่ถ้าไปพูดกับคนที่ไม่เคยเห็นเกลือ เขาก็ฟังไม่ถูกว่าเกลือนั้นคืออะไร ทีนี้ คนที่เคยกินเกลือแล้ว รู้จักเกลือดี พอพูดว่าเกลือ ก็รู้จักเกลือมากกว่าพวกที่"เพียงแต่เคยเห็น - แต่ไม่เคยกินเกลือ"
ธรรมะนี้ก็เหมือนกัน ที่จะพูดว่าเป็น มรรค ผล นิพพาน หรือเป็นอะไรที่ล้วนแต่จะดับทุกข์ได้นั้น ก็ไม่เป็นที่เข้าใจ เพราะไม่เคยแม้แต่เห็น อย่าพูดถึงว่าจะได้เคยชิมรส นี่ขอให้เอาตัวอย่างนี้ ไปจับดู เป็นเครื่องเทียบเคียงว่า คำว่า "เห็นเอง" มันมีความหมายอย่างไร...
ทีนี้ จะพูดฝ่ายตรงกันข้าม ที่มันเป็นอันตราย เช่น "เสือ" สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นเสือ เราจะพูดว่า "เสือ" เขาก็ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร เพราะไม่รู้ว่าอะไร แต่ถ้าเราพูดกับคนที่เคยเห็นเสือ ก็พอจะนึกออกและรู้สึกกลัว แต่ถ้าเราพูดกับคนที่ "เคยถูกเสือกัดมาก่อนแล้ว" ล่ะก็ ยิ่งดีมาก เขาจะรู้จักความหมายของคำว่าเสือถึงที่สุดได้...”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง " สันทิฏฐิโก " เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๒๔
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ รวบรวม. ##
ตัณหา กาม ภพ
กาม เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือว่า "ของเรา"
ภพ เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือว่า "ตัวเรา"
“ในตัณหาทั้ง ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา นั้น ตัณหาประการแรก มีกามเป็นอารมณ์ และตัณหา ๒ ประการข้างหลังนั้น หาได้มีกามเป็นอารมณ์ไม่ เราจึงอาจจะแยกตัณหาออกเป็น ๒ ประเภท คือ ตัณหาที่เนื่องด้วยกาม และไม่ได้เนื่องด้วยกาม ทำให้กล่าวได้ว่า ศัตรูหรืออันตรายของมนุษย์เรา สำหรับในทางฝ่ายจิตแล้ว ก็มีอยู่ ๒ อย่างนี้ และนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "กาม" และ "ภพ" ซึ่งเป็นคำบัญญัติขึ้นเฉพาะที่พวกโยคีหรือมุนีใช้พูดกันว่า "สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวก็คือ กาม หรือ ภพ" เขาจึงออกแสวงหาหนทางรอดพ้น ด้วยการทำความเพียรอย่างยิ่ง ส่วนคนในปัจจุบันนี้แทบจะไม่รู้จักสิ่งทั้ง ๒ นี้ว่าเป็นอะไร และไม่สนใจที่จะรู้จัก มีแต่บากบั่นพยายามเพื่อจะให้ได้กามและภพตามความต้องการ และไม่มองเห็นว่าเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างที่เรียกว่า "เห็นงูเป็นปลา" แล้วก็เก็บเอามากอดรัดยึดถือไว้ด้วยอุปาทาน คือ ความรู้สึกเป็น "ตัวเรา-ของเรา" ทั้งนี้ โดยไม่รู้ว่าตนกำลังหลงรักสิ่งที่เป็นอันตราย เพราะเราควรจะอยู่โดยไม่ต้องมีความหลงรักในสิ่งใดเลย คือ อยู่ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความรู้สึกว่า "เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา" ในสิ่งใด และสามารถปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ไปได้ด้วยจิตที่บริสุทธิ์
สำหรับสิ่งที่เราเรียกว่า กาม และ ภพ นั้น เมื่อเรารู้จักมันดีแล้ว เราจะเห็นได้เองว่า กามเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือว่า "ของเรา" ส่วนภพนั้น เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือว่า "ตัวเรา" แต่เราต้องไม่ลืมหลักที่มีอยู่ว่า ถ้ามีความรู้สึกว่า"ของเรา"เมื่อใด ก็ต้องมีความรู้สึกว่าเป็น"ตัวเรา"ซ่อนลึกอยู่ในนั้นด้วย มนุษย์ตกเป็นเหยื่อ เป็นทาสของความหลอกลวง ของสิ่งที่เรียกว่า "ตัวเรา-ของเรา" นั้น โดยไม่มีความรู้สึกตัวแม้แต่น้อย นี่แหละ คือข้อที่ถือกันเป็นหลักในหมู่ผู้รู้ว่าซาตานหรือพญามารนั้น จะต้องมาหรือมีอยู่ในลักษณะที่ไม่มีใครรู้จักตัวเสมอไป หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ รู้ผิด เห็นเป็นไม่ใช่พญามารหรือศัตรู แต่เห็นเป็น "ตัวเรา" เสียเอง พญามารจึงทำอันตรายเราได้ตามชอบใจ เป็นความเสียหายเหลือที่จะพรรณนาได้ แต่พอเกิดรู้จักเข้าเท่านั้น พญามารก็จะหายหน้าไปทันที หรือที่ชอบพูดเป็นสำนวนปุคคลาธิษฐานว่า "พญามารจะขาดใจตาย หรือปักหัวหักคอตัวเองตายลงทันที" นี่แหละ คือ อวิชชา ที่คิดว่าเป็น "ตัวเรา" ถ้าว่างจาก "ตัวเรา" ก็คือ จิตที่บริสุทธิ์ แต่ชาวโลกไม่มีประสีประสาต่อสิ่งที่เรียกว่าพญามารนี้เลย จึงมี "ตัวเรา" ที่ทำความเผาลนให้แก่ตัวเองด้วยความสนุกสนาน หรือด้วยความสมัครใจอย่างเป็นกิจประจำวัน คือซ้ำซากไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งหนักเข้าๆ ตัวเองก็ตอบไม่ได้ว่า นี่จะทำไปทำไมกัน ทั้งหมดนี้เป็นโทษของการที่ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า กาม และ ภพ หรือ "ตัวเรา-ของเรา" อย่างเดียวเท่านั้น
การที่มนุษย์เป็นทุกข์กันอยู่ในโลกกระทั่งถึงวันนี้ ก็มีมูลมาจากกามและภพ เป็นมาไม่รู้กี่แสนกี่ล้านปีแล้ว ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีแก่สิ่งที่เรียกว่า กาม และ ภพ แต่มีอยู่ที่วัตถุหรือสิ่งที่เป็นอารมณ์ภายนอก
โลกแห่งปัจจุบันนี้เป็นโลกของวัตถุนิยมยิ่งขึ้นทุกที เป็นโลกของกามขึ้นทุกที แม้จะทำให้ละเอียดประณีตสุขุมเพียงไร ก็หาได้ปลอดภัยจากโทษของกามไม่ มีแต่จะกลายเป็นโทษของกามอย่างประณีตละเอียดสุขุมยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ เป็นเพราะความไม่ประสีประสาต่อความรู้เรื่อง กาม และ ภพ
ความตกเป็นทาสของกาม หรือวัตถุ มีแต่ขยายตัวกว้างออกไป สามารถรุกล้ำเข้าไปได้แม้ในเขตวัดวาอารามของพุทธศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นป้อมค่ายที่มั่นคงที่จะใช้ต่อต้านกามหรือวัตถุนิยม แต่ป้อมค่ายก็พังทลายไป ดังจะสังเกตได้ว่า นักบวชสมัยนี้ตกเป็นทาสของกามของวัตถุเพียงใด ลุ่มหลงแต่กามหรือติดในวัตถุกันไปแล้วแค่ไหน ไม่ผิดแผกไปจากชาวบ้านเลย นี้เรียกว่า การขยายตัวของวัตถุนิยม ซึ่งเคยเรียกกันครั้งกระโน้นว่ากาม เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ใครจะเป็นที่พึ่งให้แก่ใคร ในการที่จะทำตนให้ปลอดภัยจากอันตรายของวัตถุนิยม หรือสิ่งที่เรียกว่ากาม
เมื่อใครตกอยู่ในอิทธิพลของกามแล้ว ย่อมต้องตกอยู่ในอำนาจของภพโดยไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะมันเป็นของเนื่องกันอย่างสนิท เมื่อมีกามแล้วก็ประกาศตนเป็นเจ้าของของกามนั้น ซึ่งมีความหมายเป็นภพ ครั้นมีผู้แข่งขันหรือแย่งชิง "ตัวเรา" ที่เป็นภพ ก็มีกำลังแก่กล้าหรือเข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีก "ตัวเรา" ก็เปลี่ยนจากกามหรือราคะ มาเป็นโทสะ และเป็นโทสะยิ่งขึ้นจนถึงขนาดที่เรียกว่าลืมตัว คือมึนเมาใน "ตัวตน" จัดเกินไป จึงทำอะไรตามอำนาจของโทสะ ซึ่งเรียกกันว่าจะต้อง "รักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต" ความไม่ยอมกันและกัน ยิ่งมีมากขึ้น ในหมู่มนุษย์ที่มึนเมาในตัวตน โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกผิด เพราะไปมัวหลงคำนึงแต่เรื่องเสียหน้าไม่เสียหน้า ซึ่งเป็นเรื่องของภพอย่างเดียวเท่านั้น อันนี้แหละเป็นมูลเหตุที่ทำให้คนเราเหมือนสัตว์ที่กัดกันจนตาย โดยไม่คำนึงถึงว่าจะได้อะไรมา เพราะอำนาจของ"ตัวตน"ได้ครอบงำหรือปิดบังดังกล่าวแล้ว แม้จะเอาสิ่งที่เป็นกามมายั่วมากล่อมมาขู่อย่างไร ก็หาได้เป็นที่สนใจในขณะนี้ ลำพังกามอย่างเดียวคนเราก็ฆ่ากันได้ พอเปลี่ยนไปเป็นรูปของภพ ก็ฆ่ากันได้ง่ายขึ้นไปอีก นี้คืออาการที่กามและภพกำลังครอบงำจิตใจคนเราอยู่ ฉะนั้น หน้าที่ของพวกเราก็คือ การสกัดกั้นกระแสแห่งกาม ไม่ให้ครอบงำจิตใจชั้นหนึ่งก่อน ถ้าเมื่อมันครอบงำจิตแล้ว ก็สกัดกั้นไม่ให้เป็นภพ ซึ่งเป็นเหตุให้คนทำอะไรลงไปตามชอบใจตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงอารยธรรม วัฒนธรรม หรือแม้แต่ศาสนา นี้คืออันตรายของเรื่องกามและภพที่เนื่องมาจากกาม
ถึงแม้ว่ามนุษย์เกือบทุกคน มักจะตกอยู่ใต้อำนาจของกาม หรือภพอันเนื่องจากกาม แต่ก็มีบุคคลบางจำพวกมองเห็นโทษของกามโดยประจักษ์ ไม่ว่าจะเป็นโดยการได้ผ่านกามมาแล้วอย่างโชกโชน หรือ ด้วยการศึกษาอบรมจิตใจ เพื่อให้มองเห็นอย่างนั้นก็ตาม ย่อมมองเห็นกามว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ จึงจัดกามไว้เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา หรือแม้แต่บุญกุศลซึ่งคนบูชากันนักนั้น ก็พลอยถูกรังเกียจไปด้วยฐานะที่เป็นปัจจัยของกาม ทั้งอย่างที่เป็นของมนุษย์และเป็นของสวรรค์ จึงทำให้เขาชะเง้อมองหาสิ่งอื่นซึ่งเป็นกุศลอันแท้จริง ที่อาจจะตัดความเยื่อใยในกามให้ขาดออกไปได้ ในที่สุด เขาก็ค้นพบภาวะทางจิตใจอย่างใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับกามเลย ซึ่งแท้จริงก็เป็นสิ่งที่มีตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่มนุษย์ธรรมดาสามัญ ได้มองข้ามมันไปเสีย เช่น บางขณะจิตของคนเราผละไปจากกาม ไปพอใจอยู่ในความว่างจากกามเป็นครั้งเป็นคราว แต่เขาก็ไม่สนใจ และไม่ถือว่าเป็นการพักผ่อนเสียด้วยซ้ำไป เว้นแต่จะเป็นบุคคลพิเศษซึ่งเห็นกามเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง ถ้าใครเผอิญมาเป็นดังนี้ เราก็ต้องยอมรับว่า เขาเป็นบุคคลที่ผิดไปจากพวกคนธรรมดา นั่นแหละคือมูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของพวกพรหม และภูมิทั้ง ๒ นี้เอง คือ ภูมิหรือภพที่ไม่เนื่องด้วยกาม แม้จะยังมีความรู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา-ของเรา"เหลืออยู่เต็มที่ แต่ก็ถือว่าเป็นเส้นเขตแดนปักปันกันระหว่าง “โลกุตตรภูมิ” ซึ่งเป็นที่มุ่งหมายของพุทธศาสนา กับ“โลกียภูมิ” ซึ่งไม่เป็นที่มุ่งหมายของพุทธศาสนาแต่ประการใด
ดังนั้น ทุกคนจะต้องมองให้เห็นอย่างชัดว่า หลักพุทธศาสนานั้นเป็นไปเพื่อโลกุตตรภูมิ หาใช่เพื่อ กามาวจรภูมิ, รูปาวจรภูมิ และ อรูปาวจรภูมิ แต่ประการใดไม่ ถ้าจะมีพูดถึงเรื่องหลังเหล่านี้บ้าง ก็ขอให้เข้าใจไว้เถิดว่า พูดเพื่อเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า นี่แหละคือ ตัวอุปสรรคของการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ และเป็นสิ่งที่เราต้องก้าวให้พ้นไปทั้งกามและภพ จนกระทั่งไม่เป็นภพในลักษณะไหนหมด นั่นแหละ คือข้อยืนยันที่ว่า โลกุตตรภูมิ หรือ นิพพาน นั้น จะเป็นภพชนิดไหนไปไม่ได้เลย เพราะเป็นสิ่งที่ปราศจาก "ตัวตน-ของตน" โดยแท้จริง เราต้องก้าวขึ้นมาถึงขั้นนี้จริงๆ เท่านั้นจึงจะพบกับตัวแท้ของพุทธศาสนา ไม่หลงเอาโลกียภูมิมาเป็นพุทธศาสนา แล้วยังมายืนยันทุ่มเถียงกันคอเป็นเอ็น หรือสอนให้ผู้อื่นให้เข้าใจผิด ซึ่งนับว่าเป็นการทำบาปอย่างยิ่ง
สรุปความสั้นๆ ว่าถึงเป็นพรหมแล้ว แม้จะปราศจากกามโดยสิ้นเชิง ก็ยังไม่หลุดพ้นจากอุปาทานที่ยึดถือว่า "ตัวตน-ของตน" และยังถูกจัดว่าเป็นโลกียภูมิ เป็นวัฏฏสงสารเพราะเขายังมี "ตัวตน-ของตน" อย่างเต็มที่ ยังเป็นปุถุชนไม่ใช่อริยบุคคลอยู่นั่นเอง...”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง "การเกิดขึ้นแห่งอัตตา"
ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นเพียงธรรมชาติ ปรุงแต่งกันตามธรรมชาติ แล้วจะไปยึดถือว่า "ตัวตน" ได้อย่างไรกัน?
"ถ้าเรารู้ว่าขันธ์นี้(ขันธ์ ๕ มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เป็นธรรมชาติแท้ๆ เกิดมาจากการปรุงแต่งทางอายตนะ( ตา+รูป, หู+เสียง, จมูก+กลิ่น, ลิ้น+รส, กาย+สัมผัส, ใจ+ธรรมารมณ์ ) เช่น ตากับรูป อาศัยกันเกิดจักษุวิญญาณ สามประการถึงกันเรียกว่า"ผัสสะ" ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ.
ทุกอันมันเป็นธรรมชาติ ปรุงแต่งอย่างธรรมชาติ โดยวิธีธรรมชาติ เกิดขึ้นอย่างนี้ แล้วจะไปยึดถือว่า"ตัวตน"ได้อย่างไรกัน
มันควรจะเห็นว่าเป็นเพียงธรรมชาติ ปรุงแต่งกันตามธรรมชาติ เกิดใหม่ขึ้นมาตามอำนาจของธรรมชาติ ไม่ยึดถือว่า "ตัวตน"
นี่เพราะความรู้เรื่องอายตนะถูกต้อง จึงมองเห็นว่าขันธ์ทั้งหลายเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งขึ้นตามธรรมชาติ เราไม่ไปยึดถือมันว่า"ตัวตน" มันก็ไม่เกิดอุปาทานขันธ์ มันก็ไม่เป็นทุกข์."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย"ความลับของอายตนะเป็นสิ่งที่ต้องเปิดเผย" เมื่อ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๒
--------------------------------
อ
----------------------------------
เกิด ขันธ์ ๕ ก็คือ..เกิด ทุกข์
"ภิกษุทั้งหลาย! ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งรูป นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ
ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งเวทนา...แห่งสัญญา...แห่งสังขาร...แห่งวิญญาณ นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่แห่งโรค เป็นความปรากฏแห่งชราและมรณะ
ภิกษุทั้งหลาย! ส่วนความดับ ความสงบระงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งรูป นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบระงับแห่งโรค เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ
ความดับ ความสงบระงับ ความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งเวทนา...แห่งสัญญา...แห่งสังขาร...แห่งวิญญาณ นี้เป็นความดับแห่งทุกข์ เป็นความสงบระงับแห่งโรค เป็นความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ"
อุปปาทสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย
สํ. ข. ๑๗/๓๐/๔๓-๔๔
-------------------------------
ความลับของชีวิต
“เคล็ดลับ” ของสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต”
สรุปอยู่ที่..ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทำผิดเป็น“นรก” ทำถูกเป็น“สวรรค์”
ทำได้ เหนือผิด เหนือถูก ก็เป็น “นิพพาน”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ“ความลับของชีวิต”
ยากรู้เรื่อง ความจริงแท้ของ "ชีวิต"
ต้องรู้เรื่อง "ขันธ์ ๕" ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ ไม่คงที่ เกิดดับเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา
"ชีวิตประกอบด้วยขันธ์ ๕ เท่านั้น
ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก นอกเหนือจากขันธ์ ๕
ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในขันธ์ ๕
หรือ อยู่ต่างหากจากขันธ์ ๕
ที่จะมาเป็นเจ้าของ หรือควบคุมขันธ์ ๕ ให้ชีวิตดำเนินไป
ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องชีวิต
เมื่อยกเอาขันธ์ ๕ ขึ้นเป็นตัวตั้งแล้ว
ก็เป็นอันครบถ้วนเพียงพอ
ขันธ์ ๕ เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่ง "ปฏิจจสมุปบาท" คือ มีอยู่ในรูปกระแสแห่งปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยสืบต่อกัน
ไม่มีส่วนใดในกระแสคงที่อยู่ได้ มีแต่การเกิดขึ้นแล้วสลายตัวไป พร้อมกับที่เป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นแล้วสลายตัวต่อๆ ไปอีก
ส่วนต่างๆ สัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลสัมพันธ์ และคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน
ในภาวะเช่นนี้ ขันธ์ ๕ หรือ ชีวิตจึงเป็นไปตามกฎแห่ง "ไตรลักษณ์" คือ อยู่ในภาวะแห่ง"อนิจจตา" ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดดับเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา
"อนัตตตา" ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัว จะเข้ายึดครองเป็นเจ้าของ บังคับบัญชา ให้เป็นไปตามความปรารถนาของตนจริงจังไม่ได้
"ทุกขตา" ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ได้เสมอ ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้(อวิชชา) และยึดติดถือมั่น
กระบวนการแห่งขันธ์ ๕ หรือชีวิต ซึ่งดำเนินไปพร้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกขณะ โดยไม่มีส่วนที่เป็นตัวเป็นตนคงที่อยู่นี้ ย่อมเป็นไปตามกระแสแห่ง เหตุ-ปัจจัย ที่สัมพันธ์แก่กันล้วนๆ ตามวิถีทางแห่งธรรมชาติของมัน"
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ "พุทธธรรม ฉบับเดิม" หน้า ๙๖
หยุดความทุกข์ ในกระแส"ปฏิจจสมุปบาท"
ความรู้สึกว่า "ตัวกู-ของกู" นี้ เรียกว่า "อุปาทาน" เกิดมาจากตัณหา ตัณหาปรุงเป็นอุปาทาน
ถ้าปฏิจจสมุปบาทได้ส่งทยอยกันมาจนถึงตัณหาอุปาทานแล้ว มันก็เป็นมูลเหตุของความทุกข์ได้โดยสมบูรณ์แล้ว นี้แปลว่า เดี๋ยวนี้เชื้อโรคฟักตัวเต็มที่แล้ว เชื้อโรคที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะของผัสสะหรือเวทนานั้น เมื่อมาถึงขั้นของตัณหาอุปาทานนี้ มันฟักตัวเต็มที่ถึงขนาดจะเป็นอาการของโรคโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะว่าหลังจากอุปาทานก็มีภพ "อุปาทานทำให้เกิดภพ"
"ภพ" แปลว่า ความมี-ความเป็น ความมี-ความเป็นของอะไร? ก็ของตัวกู และของกูนั่นเอง
"กรรมภพ" ก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิดตัวกูและของกู ถ้าเรียกว่า “ภพ” เฉยๆ ก็คือ ภาวะแห่งตัวกูเต็มที่ เป็นโรคเต็มที่
ภพให้เกิดชาติ ก็หมายความว่า ความเต็มที่นั้นมันแสดงออกมาเป็นชาติ คือ ความเกิด นี้ "ตัวกู"ได้เกิดออกมาแล้ว เป็นความทุกข์ เป็นความแก่ ความตาย โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส มากมายเหลือที่จะจาระไนอาการ แต่รวมเรียกว่า "เป็นทุกข์"
ขณะนี้ก็คืออาการที่เรากำลังเจ็บปวด ทุรนทุรายอยู่ด้วยผลของโรค นี้เรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ได้เป็นมา ได้ทยอยกันมา จนถึงกับเกิดโรค หรือ เกิดทุกข์
ในทางปฏิบัติ เราหยุดมันเสียให้ได้ ตรงที่ไม่ให้ผัสสะปรุงเวทนา หรือถ้าพลาดตรงนั้นก็ให้มาทำตรงที่ไม่ให้เวทนาปรุงเป็นตัณหา หลังจากนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราพยายามมีธรรมะกันให้ได้ตรงที่...ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่นนี้ โดยที่เราศึกษาอบรมกันอยู่เป็นประจำในข้อที่ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" แปลว่า คนธรรมดาเขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นี้ เป็นทางที่เดินกันจนเตียนโล่งไปหมด เดินง่ายที่สุด
แต่เราไม่เอาอย่างนั้น พอมีผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับเดินไปในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทาง "ตัวกู-ของกู" อย่างนี้ไม่มีทุกข์เลยทุกวันทุกคืนจะไม่มีทุกข์เลย แล้วถ้าทำได้เก่ง คือทำไปตามวิธีที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้ในตัวเอง
ถ้าเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้ากล่าว มันก็มีหลักง่ายๆ คือหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก ชื่อ "พาหิยะ" ว่า...
“ดูกร พาหิยะ เมื่อใดเธอได้เห็นรูป สักว่าตาเห็น ได้ฟังเสียง สักว่าหูได้ยิน ได้ดมกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ชิม ได้สัมผัสผิวหนัง ก็สักแต่ว่า เป็นการกระทบทางผิวหนัง จะคิดนึกขึ้นมาในใจ ก็สักแต่ว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้นตัวเธอจักไม่มี (คือ ตัวกูไม่มี) เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้น หรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มี นั่นแหละคือที่ สิ้นสุดของความทุกข์ นั่นแหละคือนิพพาน”
พุทธทาสภิกขุ
จากธรรมบรรยาย "ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา"
"ทุกข์..เพราะยึดมั่น"
"การพูดว่า...ทุกข์เพราะยึดมั่น นั้นถูกกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า กว่าที่จะพูดว่า "ทุกข์เพราะตัณหา" เพราะยึดมั่นสิ่งใดก็หนักอกหนักใจเพราะสิ่งนั้น และตามกฏ "ปฏิจจสมุปบาท" ก็กล่าวว่า ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ-ชาติ-ทุกข์ นั่นคือ ตัณหาต้องปรุงเป็นอุปาทานเสียก่อน คือยึดมั่นถือมั่นเสียก่อน จึงจะเกิดความหนัก และเป็นทุกข์ได้ ในบทว่า "ภารา หะเว ปัญจักขันธา ภาราทานัง ทุกขังโลเก" ดังนี้."
พุทธทาสภิกขุ
จะดับ“ตัณหาหรืออุปาทาน” ด้วยใช้อะไรเป็นเครื่องมือ?
“ผลของการปฏิบัติที่เรียกว่า มรรค ผล นิพพาน นั่นแหละ คือตัวสภาพที่อยู่เหนือความยึดมั่นถือมั่น หรือว่าเป็นผลที่เกิดมาจากการทำลายความยึดมั่นถือมั่นได้โดยสิ้นเชิงแล้ว หรือว่าเหลืออยู่เพียงเอกเทศก็ตาม แต่ต้องมีความยึดมั่นถือมั่นบางส่วนที่ได้ดับไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นได้ว่า..บรรดาวิชาความรู้ทั้งหมด การปฏิบัติทั้งหมด และผลของการปฏิบัติทั้งหมดในพุทธศาสนานั้น สรุปรวมลงในประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” และจัดได้ว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนาจริงๆ
ดังนั้น ถ้าถูกถามว่าจะดับ“ตัณหาหรืออุปาทาน” ด้วยใช้อะไรเป็นเครื่องมือ? เราก็ตอบได้อย่างไม่ผิดว่า...“ฉันจะดับมันด้วยหัวใจของพุทธศาสนา” ดังนี้
พุทธทาสภิกขุ
จงทำจิต..ให้ว่างจากความยึดถือ
"ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา และ ไม่ควรยึดมั่น นี้เป็นหลักที่ตายตัวแล้วในพระพุทธศาสนา
(ส่วน)ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ที่เรียกว่าไตรสิกขานี้ เป็นเพียงยานพาหนะ มีไว้อาศัยเดินทาง ไม่ใช่สำหรับยึดถือหรือหาบหามเอาไว้ด้วยความหวงแหน
จงทำจิตให้ว่างจากความยึดถืออย่างเดียวเถิด หน้าที่ทั้งปวงก็จะหมดลงทันที ไม่ต้องมี(ตัวตนของ)ใครเป็นผู้ลุถึงนิพพาน นอกไปจาก "จิตซึ่งหมดความยึดถือว่าตัวมันเองเป็นตัวตน"อย่างเด็ดขาดแล้ว.
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวเป็นหลักไว้ว่า "การลุถึงนิพพานมีได้โดยไม่ต้องมีตัวใคร(ตัวตนของใคร)เป็นผู้บรรลุ. การเดินทางไปจนถึงที่สุดทุกข์ก็มีได้แล้วโดยไม่ต้องมีตัว(ตัวตน)ผู้เดิน ซึ่งเป็นคำที่ฟังยากๆอยู่สักหน่อย แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีๆก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า มีแต่"จิต" ซึ่งบัดนี้หมดความสำคัญผิดยึดถือตัวเองว่าเป็นตัวตนนั่นเอง, ที่เคยเป็นตัวประธานยืนโรงอยู่ตลอดเวลา.
เราจงมีความกล้าพอ"ที่จะปรารถนาความมีจิตชนิดนี้" ด้วยการถอนตัวเรา(ความยึดถือว่าเป็นตัวตนเรา)ออกเสีย ให้ยังคงเหลือแต่จิตทำนองนั้นล้วนๆเถิด"
พุทธทาสภิกขุ
อยู่เหนือโลก โลกุตตรธรรม โลกุตตรภูมิ และ สุญญตา
“ภูมิปัญญาของชาวพุทธ
คือ ภูมิปัญญาที่ช่วยให้“อยู่เหนือโลก”
แต่..คนโง่ไม่ชอบหรอก
อยู่เหนือโลกคิดว่าคงไม่สนุก
สู้มีอะไรกันขลุกขลักอยู่ในโลกนี้ไม่ได้
แต่ทางธรรมะ...
ต้องการจะ “อยู่เหนือโลก”
อยู่เหนืออำนาจของสิ่งทั้งปวง”
พุทธทาสภิกขุ
-------------------------
สัตว์ คือ ผู้ที่ข้องติดอยู่ในโลก
คำว่า “สัตว์” สัด-ตะ หรือ สัด-ตะ-วะ ก็ตาม ในภาษาบาลีออกมาเป็นภาษาไทยรูปสันสกฤต ก็เขียนเป็น สัด-ตะ-วะ คำว่า สัด-ตะ คำคำนี้ รากศัพท์ของมันแปลว่า ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องติด คำว่าสัตว์ก็คือ ผู้ที่ข้องติดอยู่ในโลก ข้องติดอยู่ในโลก ด้วยเครื่องเกี่ยวข้องนานาประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันก็คือสติปัญญามันไม่พอ มันไม่ได้อบรมสติปัญญา ถึงขนาดที่เรียกว่าเพียงพอ มันจึงไม่เห็นการข้อง การติด การทนทรมานอยู่ในโลกนี้ มันก็พอใจที่จะติดข้องอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าในโลกนี้มันมีอารมณ์เป็นที่รักเป็นที่พอใจ
ตั้งแต่เด็กๆ ไปมาพอเกิดมามันก็ไม่ต้องรู้เรื่องอื่นน่ะ มันรู้แต่สิ่งที่เป็นที่น่ารักน่าพอใจ ไอ้ที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจมันก็ไม่สนใจ แต่ชนิดไหนเป็นที่น่ารักน่าพอใจมันก็สนใจมากขึ้นมากขึ้น จนจิตใจมันข้องติดอยู่แต่ในสิ่งเหล่านั้น นี่เรียกว่าเขามีพื้นเพแห่งจิตใจ สำหรับจะข้องติดอยู่ในโลกนั้น เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยังเป็นอย่างนั้น บางทีกระทั่งเป็นคนแก่คนเฒ่าก็ยังเป็นอย่างนั้นนะ ไม่รู้เรื่องออกไปจากโลก นี่เป็นสัตว์สมบูรณ์
ทีนี้ แต่อีกพวกหนึ่งมันด้วยเหตุอะไรก็ตาม ด้วยการเจริญแห่งสติปัญญา หรืออะไรก็ตามนะ มันต้องการจะออกไปจากการข้อง จากสิ่งข้อง ออกไปเป็นอิสระ นี่มันก็เกิดขึ้นมาพวกหนึ่ง คือพวกที่จะอยู่เหนือโลก
ทีนี้เราก็ต้องเห็นใจ พวกที่มันยังออกไปไม่ได้ มันก็ต้องมีระบบประพฤติปฏิบัติให้เหมาะสมที่จะอยู่ในโลก ได้รับความสุขความสะดวก ความสบายตามสมควร ของสัตว์ที่ยังข้องติดอยู่ มันเปรียบเหมือนกับว่า สัตว์ชนิดที่มันถูกขังกรงโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ แล้วมันก็พอใจอยู่ในกรง ยิ่งเมื่อมีการเลี้ยงดูดี สัตว์เหล่านี้ก็ไม่อยากจะออกไปจากคอกหรือจากกรง มันก็เป็นระดับมาตรฐานอันหนึ่งของจิตใจคือว่าพอใจ
ทีนี้กรงที่จะขังจิตนั่นน่ะ มันก็คืออารมณ์นั่นเอง อารมณ์ แปลว่า เครื่องยึดหน่วงแห่งจิต ที่เป็นที่ยึดหน่วงแห่งจิต เขาก็เรียกว่าอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ๖ ประการนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่ง ความพอใจนั้นน่ะมันเป็นกรง ทีนี้เขาก็จะต้องทำชนิดที่ได้อยู่กับสิ่งเหล่านี้ ในโลกนี้ มันก็เป็นที่พอใจ แม้จะต้องมีความทุกข์ลำบากบ้างก็ไม่เห็นเป็นส่วนสำคัญ เอาแต่ให้ได้ส่วนที่พอใจตามความต้องการของความรู้สึกที่เรียกว่า “ความสุข”
พุทธทาสภิกขุ
อบรมพระนวกะในพรรษา ๒๕๒๗
------------------------------
โลกิยธรรม กับ โลกุตตรธรรม โลกุตตรภูมิ และ สุญญตา
“(คนทั่วไป)มักจะถือกันเป็นหลักตายตัวว่า โลกิยะ-อยู่ในโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก ส่วนโลกุตตระ-อยู่นอกโลก เหนือโลก อีกระบบหนึ่งต่างหาก อย่างนี้ไม่ถูก
โลกิยะ มันเป็นชั้นต้น เป็นของมีอยู่แล้วของบุคคลที่ยังไม่รู้อะไร อยู่ในวิสัยโลกอยู่แล้ว มีแต่จะเลื่อนไปหาโลกุตตระ ไม่ใช่หันหลังให้กันแล้วเดินไปคนละทิศคนละทาง
โลกิยะ ก็แปลว่ามันยังทำอะไรมากไม่ได้ ยังมีความรู้ต่ำ ยังมีตัวตน ยังมีของตน แต่แล้วมันก็ต้องค่อยๆไป ค่อยๆไปในทางของโลกุตตระ เพื่อไม่ให้มีตัวตน เพื่อจะอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง คือ เหนือโลก...
โลกิยธรรม มันตั้งต้นด้วยความมีตัวตน มีดี มีชั่ว มีบุญ มีบาป มีตัวมีตนที่จะทำบุญทำบาป เสวยสุข เสวยทุกข์ มันตั้งต้นด้วยตัวตนอย่างนี้ ก็เป็นโลกิยธรรม เอาข้างดีไว้
แต่พอเห็นว่า ชั่วก็ไม่ไหว ดีก็ไม่ไหว อยากจะพ้นชั่วพ้นดีเสียที ก็เดินต่อไป จะไปเป็น “โลกุตตรธรรม...
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระองค์ได้ทรงบัญญัติโลกุตตรธรรมสำหรับทุกคน
ก่อนนี้เขาเชื่อกันว่า..ป่วยการ เราปุถุชนคนธรรมดา อย่าไปสนใจเรื่องโลกุตตรธรรม มรรค ผล นิพพานเลย ไม่อยู่ในวิสัย แล้วก็สอนกันอย่างนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ก็สอนกันเสียอย่างนั้น แล้วก็ห้ามเด็กๆไม่ให้สนใจเรื่องโลกุตตรธรรม ว่ามันไม่จำเป็นบ้าง ว่ามันเกินไปแล้วบ้าง ไม่สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นเรื่องที่เรามอบให้สำหรับทุกคน เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำหรับทุกคนที่มีความทุกข์ ใครมีความทุกข์ก็ต้องมีโลกุตตรธรรม เพราะว่าสิ่งอื่นมันดับทุกข์ไม่ได้
ฉะนั้น ถ้าใครมีความทุกข์ คนนั้นต้องใช้โลกุตตรธรรม ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ โลกุตตรธรรม ให้เป็นสมบัติสำหรับทุกคน...”
พุทธทาสภิกขุ
-----------------------
โลกุตตรภูมิ
"สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" เป็นสิ่งที่อาจจะกล่าวได้ว่า หาได้ในโลก หรือมีอยู่ในโลก ทั้งที่เป็นเรื่องเหนือโลก นอกโลก พ้นโลก โดยประการทั้งปวง เพราะว่า ข้อนี้หมายถึงภูมิแห่งจิตใจ หรือสภาวะแห่งจิตใจของบุคคลที่มีความรู้สึกอยู่เหนือความครอบงำของโลก คือเหนืออิทธิพลของสิ่งที่มีอยู่ในโลกโดยประการทั้งปวง
จะจำแนกเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็ตาม(มักจะเรียกกันว่า กามคุณ ๕) จะจำแนกเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือ วิญญาณ ก็ตาม หรือ จะจำแนกเป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่รวมเรียกว่า "โลก" หรือสิ่งที่มีอยู่ในโลก
สิ่งเหล่านั้น จะไม่ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป จะไม่มีอะไรมาล่อให้เรายึดมั่นถือมั่นได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้น จิตใจจึงไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งเหล่านี้ นี่เรียกว่า..โลกไม่อาจจะครอบงำบุคคลนั้นได้อีกต่อไป
สิ่งที่เรียกว่า "โลกุตตรภูมิ" ในอันดับแรกเป็นพระโสดาบัน แล้วเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหันต์ ขึ้นไปตามลำดับ ชื่อเหล่านั้นไม่สำคัญ เราไม่ต้องเข้าใจก็ได้ เพราะว่าพระอริยเจ้าท่านไม่สนใจ และท่านไม่เคยสนใจเลยว่า ท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยัง เป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง ข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่สนใจจะทราบ และไม่อยากจะทราบ ไม่จำเป็นจะต้องทราบ
แต่สิ่งที่ท่านทราบแน่ๆทราบอย่างยิ่งนั้นก็คือ ภาวะแห่งจิตใจของท่านหรือความรู้สึกในจิตใจของท่าน ซึ่งท่านรู้ด้วยตนเองว่ามันเป็นอย่างไร คือเดี๋ยวนี้หลุดออกมาจากอำนาจของโลกแล้วหรือยัง หรือว่าหลุดมาแล้วเพียงเท่าไร ความร้อนหายไปอย่างไร ความเย็นเข้ามาแทนเท่าไร หรือว่าความทุกข์สิ้นไปเท่าไร ท่านรู้ดียิ่งกว่ารู้ นี่คือรู้ตัวธรรม หรือรู้ตัวโลกุตตรธรรมที่แท้จริงในใจของท่าน โดยไม่ต้องรู้ว่าธรรมนั้นเรียกชื่อเป็นบาลีว่าอะไร หรือท่านกำลังตั้งอยู่ในภูมิไหน ชั้นไหน เรียกชื่อว่าอย่างไร
ไม่เหมือนกับนักวิปัสสนาสมัยนี้ ที่ต้องให้เขาตั้งให้ว่าเป็นพระโสดาบันแล้วหรือยัง เป็นพระสกิทาคามีแล้วหรือยัง สิ่งที่ได้บรรลุ เป็นดวง เป็นแสง เรียกชื่อว่าอะไรเป็นภาษาบาลี"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมเทศนา เรื่อง "ความเป็นเจ้าโลก"
---------------------------------
“โลกุตตระ” กับ “สุญญตา”
“โลกุตฺตรา”เป็นเรื่องเหนือโลก คือ เป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์อยู่เหนือการครอบงำย่ำยีของโลก ถ้าถูกโลกครอบงำย่ำยี ก็หมายความว่า มีความทุกข์ ฉะนั้น เราจะอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก
เมื่อใดอยู่เหนืออำนาจครอบงำของโลก เมื่อนั้น เรียกว่าอยู่เหนือโลก หรือ “โลกุตตระ”แล้วเรื่องนี้ต้องเป็น “สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา” คือ เนื่องเฉพาะด้วยเรื่อง “สุญญตา” ต้องเป็นเรื่องที่เนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สุญญตา”
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย “สุญญตาหัวใจของพุทธศาสนา” เมื่อ ๙ มกราคม ๒๕๐๙
--------------------------
อธิบาย ความหมายของคำว่า "สุญญตา" "โลกว่าง" "จิตว่าง"
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'โลกนี้ว่าง เพราะไม่มีสิ่งใดที่ควรถือว่าเป็น "ตัวตน" หรือ "ของตน" เป็น"ตัวเรา" หรือ"ของเรา"...
จิตที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตน ของตน หรือกำลังไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นตัวตนของตนนี้ ขอเรียกว่า "จิตว่าง" เพราะไม่มีคำอื่นที่ดีกว่านี้
มีคำอธิบายใน "ธัมมัปปโชติกา ภาค ๑" ว่า
"ราคโทสโมเหหิ สุญฺญตตฺตา สุญฺญโต"
(แปลว่า) ชื่อว่า "สุญญตา" เพราะว่าว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ เพราะจิตในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาเห็นว่าโลกว่าง
ด้วยเหตุนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสสอนว่า "จงมองดูโลกนี้โดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ" เหมือนอย่างทรงสอนโมฆราช ใน "โสฬสปัญหา" ว่า...
"สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต = ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอไป" เมื่อเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง จิตก็ไม่มีความยึดถืออะไรด้วย"อุปาทาน" ความว่างอย่างนี้ของจิตเราเรียกว่า "สุญฺญตา"
ฉะนั้น เราได้ใจความครั้งแรกว่า"โลกนี้ว่าง" เพราะว่างจาก "ตัวตน" "ของตน" ได้ใจความถัดมาว่า "จิตว่าง" เพราะว่างจาก ราคะ โทสะ โมหะ โดยเหตุที่จิตนี้ได้มองเห็นว่าโลกนี้ว่าง ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือว่าตัวตนของตน นี่คือ ความหมายของคำว่า "สุญญตา"
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สุญฺญตา หัวใจของพุทธศาสนา"
## ท. ส. ปญฺญาวุฑฺโฒ ## รวบรวม.