การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก
การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม
จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ
ควรบำรุงรักษาด้วยดี
ได้ใจแล้วคือได้ธรรม
เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม
รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล ถึงใจตนแล้ว
คือถึงพระนิพพาน ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า
จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป
คนพลาดใจคือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจดวงวิเศษในร่างนี้
แม้จะเกิดสักร้อยชาติพันชาติก็คือผู้เกิดผิดพลาดอยู่นั่นเอง
ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ
___________________________
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
...............
ตัวเราเองนั้นมีใจเราเป็นเพื่อนอยู่แล้ว ที่ติดไปไหนมาไหนตลอดภพชาติ ไม่ใช่ผู้อื่นใดเลย หันมาดูใจ เห็นใจ รู้ใจ สิ่งที่เห็นจะเห็นว่า เราคุยกับใจเราได้ เพราะใจหรือจิตนั้นไม่ใช่เรา ยิ่งเห็นชัดก็จะรู้เลยว่าที่ผ่านมา เราหลงตามใจใจ ไม่ได้ทําเพื่อตัวเองเลย เราไปหลงว่าทําเพื่อตัวเองแท้ๆทั้งที่ทําเพื่อใจตามใจ
Trader Hunter พบธรรม
San Nirvana
รู้กลับมาที่ใจ อย่ารู้ออกไปภายนอก เห็นใจเราเอง
เห็นว่าเกิด รัก โลภ โกรธ หลง เห็นมาที่ใจเรา ตอนที่ใจเราเกิด รัก โลภ โกรธ หลง อย่าเข้าไปอยู่กับอารมณ์ที่เกิด รัก โลภ โกรธ หลง ล้วนเป็นอารมณ์ความคิด เป็นของชั่วคราว ใจไม่ยึด ก็ไม่มี
หากเข้าไปยึด ก็จะไปลากเอาสัญญาเก่าๆออกมาเต็มไปหมด ( ตรงนี้หล่ะ ถึงบอกว่าอย่าไปพิจารณาอารมณ์
ความคิดที่เกิด ให้"แค่รู้" แบบ"รับรู้"พอ หากไปพิจารณาต่อ มักจะข้ามไปอยู่กับความคิด ) เกิดเป็นความคิดลูกความคิดหลาน เป็นเหตุผลมาสนับสนุนใจเราเอง สุดท้ายก็แพ้ใจตนเอง หลงตามใจในที่สุด
แต่หาก รู้กลับมาที่ใจ จะหลุดออกจากอารมณ์ความคิด เห็นอารมณ์ความคิด หรือ รัก โลภ โกรธ หลง แยกออกไป โดยเฉพาะในผู้ที่แยกขันธ์ได้แล้ว ตรงนี้จะยิ่งเห็นชัด เห็นมันแยกออกไป ก็ไม่ต้องไปดึงความคิดกลับมาอีก อยู่กับความรู้สึกตัวที่ปรากฏ โดยเฉพาะความรู้สึกตัวกับกาย เอากายเป็นที่อยู่ของใจ
การว่างจากอารมณ์ความคิด คือการไม่เข้าไปยึดถืออารมณ์ความคิดจนกลายเป็นภพ แต่ยังรับรู้อารมณ์ความคิดแบบ แค่ รับรู้ แต่ไม่ยึดถือ
Trader Hunter พบธรรม
1038. บุรุษ ไร้ใจ
มีภาชนะชนิดหนึ่ง ที่มีอำนาจมาก สามารถกักเก็บ ความสุข ความทุกข์ กักเก็บภพชาติ กักเก็บวิญญาณ เรียกภาขนะนั้นว่า “ใจ” บางท่านเรียกว่า”จิต” นั่นเอง
ในนั้นมีทุกอย่าง ทุกอย่าง ส่งผลกระทบ กับเรา ทำให้เรา .เจ็บปวด เกิดความสุข ความทุกข์ ดีใจ เสียใจ เฉยๆ.
“..มโน ปุพฺพงฺคมาธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมายา” ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ"
.. เพราะเรา มีใจ เราจึงรับรู้ เกิดอารมภ์ปรุงแต่ง ไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบ เราจึงสะสม “เชื้อปรุงแต่ง” วิญญาณปรุงแต่ง.ให้ไหลเวียนในภพชาติ สังสารวัฏ นับอสงไขยไม่ถ้วน
มีวิธีเดียว จะดับความทุกข์ ดับเชื้อวิญญาณ สังสารวัฏ คือ ต้อง ทำลายภาชนะ..ทำลายใจ.. ทำลายต่อมภพชาติ ให้สลายไป .อย่าให้มีภาชนะ”ใจ” หลงเหลืออยู่..
.. เมื่อภาชนะนี้ แตกซะแล้ว ไม่มีใจแล้ว เป็นคน”ไร้ใจ” ทุกอย่างก็ว่างเปล่า ความทุกข์ ก็หาไม่เห็น ต่อมภพชาติก็หายไป ทุกข์นั้นก็ไม่เกิด ทุกข์นั้นก็ไม่มี ก็เพราะ..ไม่มีใจนี้เอง "
...สำหรับ ผู้ที่ทิ้งใจได้แล้ว ข้าพเจ้าขอเรียกว่า “บุรุษที่ไร้ใจ” เมื่อไร้ จึงว่าง เมื่อว่าง จึง เบาสบาย อะไร เข้ามา ก็ออกไปไม่มีกระทบกระทั่งสิ่งใด ไม่มีใจให้กระทบอีกแล้ว
... การไร้ใจ คือการ ทิ้งใจ คือการ..ปล่อยวางใจ ..ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าใจเป็นเรา ใจเป็นของของเรา และใจเป็นตัวตนของเรา ..และการปล่อยใจที่แท้จริง เราไม่ได้ปล่อยเอง แต่ตัวปัญญาในใจ มันจะแจ้งเอง เบื่อหน่ายในกายในใจเอง และจะ วางกาย วางใจ ด้วยตัวมันเอง..
.....สติปัญญา จะทวนย้อนมาในใจ หรือ ในจิต แล้ว จิตจะวางจิต รู้จะวางรู้ เมื่อวางทั้งหมด มันจะบริสุทธิ์ โดยที่ไม่มีใคร เป็นเจ้าของความบริสุทธิ์นั้น..
... ใจมีกิเลสก็ย่อมเชื่อกิเลสง่าย ...
.. พระพุทธเจ้ากล่าวไว้กับกิเลส กล่าวไว้นั้นเป็นอย่างไร
“ใจ”ของเรา เป็นใจที่เต็มไปด้วย"กิเลส"อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ..จึงเชื่อได้ง่ายในอุบาย
วิธีการเสี้ยมสอนของกิเลส มันไม่ว่า จะสัมผัสสัมพันธ์
.. ทางตา.. ทางหู.. ทางจมูก.. ทางลิ้น.. ทางกาย
ครุ่นคิดให้เป็นธรรมารมณ์ ..ทางใจ
เป็นสิ่งที่ ชอบ...เป็นสิ่งที่ อ้อยอิ่ง
เป็นสิ่งที่ ไม่มีความจืดจางได้เลย
ติดพันกันได้ทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีคำว่าอิ่มพอแล้ว นี่คือ ..“ความติด”
เพราะ อำนาจความกระซิบกระซาบ หรือจะเรียกว่า ..
“คำพูดของกิเลสเสี้ยมสอนเราก็ได้”
.. เมื่อเทียบกับ คำพูดของพระพุทธเจ้าว่า ..
.. พูดสั่งสอน.. ผู้สั่งสอนโลก
.. กิเลสสั่งสอนโลก.. ธรรมของพระพุทธเจ้าสั่งสอนโลก
มีน้ำหนักต่างกันอย่างไรในความรู้สึกของเรา
.. ในขณะที่”จิต”ยังมีความหนาแน่น ด้วยเรื่องของ”กิเลสภายในจิตใจ”อยู่แล้ว อะไรกระดิกออกมาจะต้องเชื่อ ..
และ จะต้องเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด และ เชื่อดะไปเลยโดยไม่มีความสำนึก เลยว่า ..
.. นี้เป็นความผิดหรือความถูก ..เพราะ เคยชินอย่างนั้นมานานแสนนาน เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่
.. เข้าแทรก.. เข้าซ้อน.. เข้าเป็นคู่แข่ง.. เข้าเป็นคู่เทียบเคียง
และ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตาม ตำรับตำราก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย
คำว่า ..เรื่องธรรมดานี้ก็เป็นเรื่องของ”กิเลส”
ไม่ใช่เรื่องธรรมดาของ”ธรรม”จนทำให้เชื่อยาก
ระหว่าง”คำพูดของพระพุทธเจ้า”กับ“คำพูดของกิเลส”
ระหว่าง”การอบรมสั่งสอนของพระพุทธเจ้า”
กับ “การเสี้ยมสอนของกิเลส”
“ใจ”จึงมักไหลลงสู่ทางกิเลสเสมอ
หรือ .. ไหลลงอยู่ตลอดเวลา
📚📚📚
พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
วางเหตุได้ ใจสงบ เป็นกลาง
ปล่อยวาง คือไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่าทัน เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันถึงจะสงบ จิตมันถึงจะมีความสุขความสบาย จิตไม่ดิ้นรน จิตสงบนั่นแหละ
ให้รู้ว่าจิตเราสงบ จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่านิโรธะ
ปล่อยวางอันนี้ ความทะเยอทะยานหรือสมุทัย วางอันนี้ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง
Tanapol Jintapracha
จิตเป็นแค่ตัวรู้ จะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปรุงแต่งจิต
ปรุงแต่งในทางกุศล เป็น บุญ
ปรุงแต่งในทางอกุศล เป็น บาป
สุดท้ายหยุดปรุงแต่ง ก็ถึงนิพพาน
🎗️สิ้นตัวตนของผู้หลงยึดถือ🎗️
👤โยม : กราบนมัสการองค์หลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพสูงสุด
ตอนนี้ศิษย์ควรพิจารณากาย ม้างกายต่อไป และ/หรือ สักแต่ว่ารู้ รู้เรา ควรทำควบคู่กันไปหรืออย่างไรเจ้าคะ
วันนี้ศิษย์พิจารณากาย+ม้างกาย + รู้เราหรือสักแต่ว่ารู้ (ไม่มีเรารู้ )
กราบขอความเมตตาชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ
☀️หลวงตา : ธรรมทั้งการพิจารณากาย พิจารณาจิต พิจารณาผู้รู้ เพื่อให้รู้แจ้งถึงใจว่าสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะได้สิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา....
จึงจะเข้าถึงธรรมชาติรู้ที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม) ซึ่งไม่เกิดดับ ไม่มีการไป การมา การหยุดนิ่งอยู่
ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ใช่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ไม่ใช่อากาศ (ความว่าง)
ไม่ใช่ความว่างในอรูปฌาน
ไม่ใช่อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ (อาการของจิตหรือของใจ) จึงไม่อาจถูกรู้ได้ได้ทางอายตนะภายใน และไม่ใช่อายตนะภายใน
ไม่ใช่ขันธ์ห้า
ไม่อาจถูกทำลายได้
เป็นอมตธาตุ อมตธรรม
มีชื่อสมมติว่า “จิตบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ นิพพาน”... ซึ่งไม่ได้เป็นของเรา
แต่ผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อปล่อยวางกาย จิต ผู้รู้ (ตัวปลอม) แล้ว จะมาหลงยึดถือจิตบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ นิพพาน
เมื่อรู้เท่าทันความหลงมีตัวตน มีเรา ตัวเรา มาหลงยึดถือความบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน.... จึงจะสิ้นตัวตนของผู้หลงยึดถือ มีแต่ความบริสุทธิ์เท่านั้น เรียกว่า “นิพพาน”
ดังนั้น การพิจารณาธรรมใดชัดเจนในปัจจุบัน ก็ให้น้อมนำธรรมนั้นมาพิจารณากัดติดจดจ่อ เพราะมีความพอใจ (ฉันทะ) ความเพียร จิตตะ (เอาใจใส่จดจ่ออย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย) วิมังสา (ตริตรองในเหตุผลในอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) จนเห็นสัจธรรม ความจริงของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
มีโพชฌงค์ 7 ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ .....
***** สำคัญที่ต้องมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
จึงจะพ้นจากทุกข์ได้
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ธาตุรู้
" ใจ" หรือ "ธาตุรู้"ตามธรรมชาติแท้ๆ
ที่ไม่ใช่เป็นวิญญาณขันธ์ เป็น "วิญญาณธาตุ" วิญญาณธาตุกับวิญญาณขันธ์ไม่เหมือนกัน
วิญญาณธาตุเป็นธาตุรู้แท้ ๆ หรือเรียกว่า "ใจ" นั้นน่ะ มันเป็นธาตุที่ว่างเปล่า ไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่างไม่มีอะไรปรากฏเลยแต่มี "ความรู้" อยู่ในธาตุของเค้าเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด
แล้วเค้าก็มาประกอบกับธาตุดิน ซึ่งเป็นผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูก ตับไตไส้น้อยไส้ใหญ่ ม้ามตับปอดหัวใจ ที่เรากินซากพืชซากสัตว์ผสมเป็นธาตุดิน เข้าไปเติม มาผสมกับธาตุน้ำ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำปัสสาวะ
มาผสมกับธาตุลมหายใจเข้าออก ลมเรอ ลมตด
มาผสมกับธาตุไฟ เป็นความร้อนความอบอุ่น
มาผสมกับ "ธาตุอากาศ"ซึ่งเป็นความว่าง
แล้วก็ธาตุรู้ก็มาแทรกซึม
"ธาตุอากาศ" และ "ธาตุรู้" จะแทรกซึมอยู่ภายในทุกธาตุ เพราะว่าเค้าเป็นความไม่มีตัวตนไม่มีอะไร เป็นความว่างเปล่า จึงแทรกซึมอยู่ในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และแทรกซึมอยู่ในธาตุอากาศนั้นเอง
"ธาตุรู้" จึงอยู่ในทุกที่ อยู่ในทั้งธรรมชาติภายนอกและทั้งธรรมชาติภายใน
เมื่อตายแล้ว "ขันธ์ห้า"แตกดับแล้ว "ธาตุรู้" ก็ไปอยู่ในทุกที่อยู่ในทุกธรรมชาติ อยู่ในทุกธาตุ อยู่ในทุกที่เลย
ดังนั้นในหนังพระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกตอนจบ ตอนที่พระอานนท์ไปเดินอยู่ที่ชายหาดแล้วก็เสียใจอยู่ เศร้าเสียใจ
ก็มีเสียงพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
อานนท์เธออย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลย ตถาคตไม่ได้เกิดไม่ได้ตาย ที่มีรูปร่างเกิดตายเพียงแต่เป็นสิ่งที่ปรากฏและเปลี่ยนร่างไปเรื่อย
☀️แต่ตถาคตที่แท้จริง คือ ธาตุรู้ที่แท้จริง
☀️ไม่เคยเกิดไม่เคยตาย
☀️ไม่เคยแตกดับทำลาย
☀️อยู่ในทุกที่ อยู่ในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
☀️อยู่ในทรายที่เจ้าเดิน
☀️อยู่ในแสงแดดอยู่ในอากาศ
☀️อยู่ในลมที่พัดโดนตัวเจ้า
☀️อยู่ในใบไม้ที่เจ้าถือ
☀️อยู่ในร่างกายจิตใจของเจ้า
☀️อยู่ในร่างกายจิตใจของทุกคนของทุกชีวิต
"ธาตุรู้" นั้นเป็นอมตะและก็มีอยู่แล้วในพระพุทธเจ้า มีอยู่แล้วในพระอรหันต์ทั้งหลายพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย มีอยู่แล้วในปุถุชน มีอยู่แล้วในสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ธาตุรู้นี้มันมีธาตุเป็นธาตุประจำที่อยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว ผสมกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ แล้วเปลี่ยนรูปร่างไป แต่ธาตุรู้เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เขามีอยู่แล้วแต่รู้ไม่ทัน "ขันธ์บังธรรม"
เอาขันธ์ห้าเนี่ยมาบัง ทำให้มองไม่เห็นเขา ไม่รับรู้เขา...แต่เขามีอยู่แล้ว
ไม่ใช่พอเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ธาตุรู้เพิ่งจะมีธาตุรู้สร้างขึ้นมา เป็นพระอรหันต์แล้ว ธาตุรู้เพิ่งจะสร้างขึ้นมา
ธาตุรู้นั้นมีอยู่แล้ว แต่ความไม่รู้เท่าทันเป็น "อวิชชา" เอาขันธ์ห้ามาบัง บังธรรมหมด
"ใจ" เป็นธาตุรู้ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่เคยเกิดดับ ไม่เคยแตกทำลาย มีอยู่แล้วในร่างกายในจิตใจนี้ มันมีอยู่แทรกซึมอยู่ในทุกธาตุ ไม่ได้เป็นของที่ไปหาขึ้นมาใหม่ไม่ได้เป็นของที่สร้างขึ้นมาใหม่
แต่ "ขันธ์ห้า" รูป เวทนา สัญญา สังขาร โดยเฉพาะวิญญาณขันธ์ ซึ่งมันเกิดดับ ที่ไปรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ แล้วเอาเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร เอามาพูดเอามาพากษ์อยู่ในใจ ทำให้ไม่พบใจเลย... มันบังหมด
🎧ฟังจากยูทูป :
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
☀️"อกิริยา" คือที่สุดแห่งทุกข์ ☀️
ถ้าท่านยังเลือกทางที่จะดิ้นรนทะยานอยาก
เลือกทางที่จะเอา อยากรู้ อยากเห็น อยากได้ อยากเป็น ท่านก็เดินอยู่ในทางของ "ทุกข์ "
แต่ถ้าท่าน "ปล่อยวาง" ไม่เอาอะไรไม่ยึดถืออะไร เห็นอยู่ รู้อยู่ สัมผัสอยู่... ทุกอย่างก็มีอยู่
แต่เค้าก็มีอยู่เก้อ ๆ อย่างงั้นแหละ มันไม่ได้เอามาไว้ในใจที่ สงบ เงียบสงัด ที่ว่างเปล่า
มันรู้แก่ใจว่าไม่ยึดถือใด ๆ เลย ไม่มีผู้ยึดถือใด ๆ ไม่ยึดถือแม้แต่ใจที่สงบ และว่างเปล่านั้น
มันไม่ยึดถือใด ๆ เลยทั้งหมด
อันนั้นแหละ.. มันเหนือสุขเหนือทุกข์
เหนือบุญเหนือบาป เหนือกุศลอกุศลใด ๆ ทั้งหมด... แล้วมันพ้นไปจากทุกสิ่ง
และมันก็ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ อีก เพราะมันเป็นปัจจัตตัง เจ้าตัวจะรู้ได้ถึงใจ... เป็น "ปัจจัตตัง"
ถ้างั้นก็อยู่ที่ท่านทั้งหลายแหละ
ท่านจะเลือกเดินใน"ทางปรุงแต่งยึดถือ ดิ้นรนทะยานอยาก" หรือ เลือกใน"ทางที่ ปล่อยวาง"
ถ้าท่านเลือกในทางที่ปรุงแต่งยึดถือดิ้นรนทะยานอยาก ท่านก็เลือกเดินทางในทางที่เป็นกิเลสและความทุกข์ เป็น "สมุทัย" และ "ทุกข์ "
ท่านเลือกเดินทางปล่อยวาง ท่านก็เลือกเดินทางของ "มรรค"และ "นิโรธ "
ที่สุดก็ "จบลงที่ใจ" ที่ไม่มีทั้งความหลง
และ ไม่มีทั้งความพยายาม
ไม่มีทั้งความหลงไปกับความปรุงแต่ง ที่เป็นสมุทัยและทุกข์
และไม่มีความพยายาม ที่จะรู้เท่าทันสมุทัยและทุกข์ ที่เป็นมรรคและนิโรธ
มันพ้นไปจาก "อริยสัจ 4 " มันเป็นใจที่สงบและว่างเปล่า มันพ้นไปจากอริยสัจ 4 พ้นไปจากสมมุติบัญญัติใด ๆ ทั้งมวล
มันไม่มีพูดแล้วว่า อันนี้มันอย่างไร ไม่มีสมมุติบัญญัติ ไม่มีภาษาพูด มันพ้นจากกิริยา
ท่านว่า ... มันเป็น "อกิริยา "
"อกิริยา" นั้นแหละมันเป็น... ที่สุดแห่งทุกข์
🎧ฟังจากยูทูป :
ที่มา : โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง 190212B-3 อกิริยานั้นแหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์ หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย 12 มีนาคม 2562,
🎗ธรรมะซีรีส์ชุด วิญญาณธาตุ กับ วิญญาณขันธ์ ตอนที่ 1/4 🎗
♡"ใจ" ไม่ใช่วิญญาณขันธ์
☀️หลวงตา : การรู้อะไรถ้ารู้ได้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันรู้ด้วย "วิญญาณขันธ์" เพราะว่าการรู้จะรู้เกินกว่าตาหูจมูกลิ้นกายใจไม่ได้
🧑โยม 1 : ครับหลวงตา ขณะที่วิญญาณขันธ์รับรู้ ตัว "วิญญาณธาตุ" หรือ "ธาตุรู้" ก็รู้ไปพร้อมกันหรือเปล่าครับ?
☀️หลวงตา : ตัววิญญาณธาตุใช่มั้ย?
มันมีอวิชชาหรือไม่มีอวิชชา ถ้ามันมีอวิชชาอยู่ มันคือไปยึดในสิ่งที่วิญญาณขันธ์ไปรู้
🧑โยม 1 : ถ้าสมมุติมันไม่มีอวิชชา
☀️หลวงตา : ถ้าไม่มีอวิชชา มันก็คือว่าวิญญาณขันธ์น่ะรู้ แต่ไอ้เนี่ยมันรู้แก่ใจ มันได้แต่รู้แก่ใจว่ามันไม่ได้ยึด มันเป็นธาตุรู้ที่ว่างเปล่า เงียบ สงบ สงัด มันไม่ปรุงแต่ง ไม่กระเพื่อม ไม่ไหวตัว
มันรู้จักตัวมันเองแค่นั้นแหละ... มันรู้จักตัวมันเอง
"วิญญาณขันธ์" คือมันรู้ตามทวาร ตาหูจมูกลิ้นกายใจ แต่ "วิญญาณธาตุ" ที่ไม่มีอวิชชา คือมันหายโง่ มันฉลาด มันเป็นความรู้ฉลาด ฉลาดไม่ได้หมายถึงว่า ฉลาดเล่าเรียนเขียนอ่าน แต่ฉลาดคือรู้จักตัวของตัวเอง รู้จักใจว่าเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ภพนี้เป็นภพสุดท้าย ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพชาติหน้าใหม่ไม่มี การยึดถือไม่มี
งั้นการรับรู้อะไรทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันจะไม่ยึดถือ มันรู้ว่า สิ้นการยึดถือแล้ว
มันเป็นความรู้ที่เป็นปัญญา เป็น "ปัญญาวิมุตติ"
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : ครับ เรียนถามหลวงตาอย่างนี้ครับว่า ในขณะที่เรารู้เนี่ยครับ ตัววิญญาณขันธ์เขารับรู้ ขณะเดียวกันวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้ก็รับรู้
แล้วตัวธาตุรู้นี่ก็รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เขา
☀️หลวงตา : สังขารไม่ใช่เขา... ถ้าไม่มีอวิชชานะ! ถ้ามีอวิชชาความรู้ตรงนี้มันไม่มีหรอก มันยึดไปเลย มันยึดพร้อมไปกับการรู้เลย
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : ครับ แต่ความรู้ที่รู้ คือตัววิญญาณธาตุเองก็รับรู้สิ่งที่วิญญาณขันธ์รับรู้ด้วยมั้ยครับ?
☀️หลวงตา : ไม่... รู้ตามทวารนี่มันเป็นวิญญาณขันธ์รู้ แต่ธาตุรู้เวลาไม่มีอวิชชา... มันรู้ว่ามันไม่ได้ยึด
สมมุติว่า… เห็นหลวงตา ตาเห็นหลวงตา คือตาก็เห็น วิญญาณขันธ์รู้ แล้วเจตสิก (เวทนา สัญญา สังขาร ) ก็จำได้ว่านี่คือหลวงตา แต่ใจน่ะมันรู้แก่ใจว่าไม่ได้ยึดหลวงตา "ยึด" หรือ "ไม่ยึด" มันรู้แค่นั้นเอง
ที่รู้หลวงตา คือวิญญาณขันธ์รู้หลวงตา "เจตสิก" จำได้ว่าหลวงตาเป็นใคร แต่ "วิญญาณธาตุ" คือมันได้แต่รู้แก่ใจ รู้ออกมาจากใจ ว่าไม่ได้ยึดอะไรไม่ได้ยึดหลวงตา แต่ถ้ายึดมันก็คือยึดเลย ส่วนรู้ก็รู้ว่านี่หลวงตา แต่ "วิญญาณธาตุที่มันบวกอวิชชา" มันยึดเลย มันทำหน้าที่ยึดอย่างเดียว
เราเข้าใจว่ามันทำงานซ้อน ซ้อนวิญญาณขันธ์ มันไม่ได้ทำงานซ้อน มันมีแต่ยึดหรือไม่ยึด มันรู้แจ้งว่ามันยึดหรือไม่ยึด ถ้ามันยึดก็คือยึดเลย
ถ้าไม่ยึดมันก็เหมือนพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย "ได้แต่รู้ แต่ไม่มีผู้ยึด"
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : ถ้ามันยึดเลย ธาตุรู้ก็เป็นวิญญาณขันธ์ไปเลยหรือเปล่าครับ?
☀️หลวงตา : มันเป็นวิญญาณขันธ์ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ก็มีขันธ์แต่ไม่มียึด คือขันธ์ห้าก็ทำงานไป แต่ใจน่ะไม่ยึดทั้งสังขารแล้วไม่ยึดใจด้วย นั่นคือ "ธาตุรู้ที่ไม่มีอวิชชา" คือไม่ยึดทั้งสังขาร ไม่ยึดทั้งใจที่เป็นวิสังขาร
งั้นจะบอกว่าถ้าไม่ยึดแล้ว รู้นี้มันไปทำงานร่วมกับวิญญาณขันธ์ แต่วิญญาณขันธ์เนี่ยพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ที่ท่านไม่มีอวิชชาแล้ว ท่านไปรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ถ้ามันไปทำงานร่วมกัน คือว่าการรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันดับ มันเกิดดับ พอเวลาพอสิ้นอายุขัยไอ้เนี่ยดับ แต่รู้นี้ (ธาตุรู้)ไม่ดับนะ มันเป็นอิสระต่อกัน
รู้นี่คือมันรู้ว่าการรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจจะดับแล้ว ๆ ๆ มันแค่รู้ว่าจะดับแล้ว การรับรู้นี่จะดับ เพราะว่าตอนจะตาย ลมหายใจที่ปรุงแต่งกายจะดับ แล้วก็จิตที่มีความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ความรู้สึกตัวจะดับแล้ว การรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ บัดนี้จะดับแล้ว ๆ
"ความรู้" ว่าทุกส่วนจะดับแล้วแต่ไม่ยึดถืออะไร รู้ว่าไม่ยึดถือไม่กังวล ความรู้นี้เป็นอมตะ แต่ไม่ใช่ไปรับรู้โดยไม่ยึดแต่ไปทำหน้าที่รับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไอ้ที่รับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจอันนั้นดับนะ อันนั้นเป็นธาตุเกิดดับ
เมื่อก่อนหลวงตาก็เคยเข้าใจอย่างโยม เข้าใจว่าพอวิญญาณมารวมกับดินน้ำลมไฟแล้วเกิดเป็นขันธ์ห้า แล้วมันทำงานซ้อนกับวิญญาณขันธ์ หลวงตาเคยเข้าใจแบบโยม พอมาเกิดขึ้นที่ใจว่า… เมื่อใจไม่ยึดแล้ว ขันธ์ห้ายังทำงานตามปกติ แต่ใจมันไม่ได้ส่งออกไปรับรู้ทางอายตนะ
มันรู้ว่าการรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ คือวิญญาณขันธ์ แต่ใจมันเหนือขึ้นไป คือมันรู้ว่าการรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจในปัจจุบันขณะ... ไม่มีผู้ยึดถือ มันเป็นความรู้คนละอันกัน แต่ไม่ใช่ว่าไปรู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส แต่มันรู้ว่าการรู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส ที่มันรู้โดย "วิญญาณขันธ์" มันไม่ยึดถือ
มันไม่ยึดถือสิ่งที่ถูกรู้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ที่ถูกรู้ มันไม่ยึดถือผู้รู้... ผู้รู้นี้มันจึงไม่ใช่ผู้รู้แจ้ง เพราะฉะนั้น "ใจ" มันเป็นผู้รู้แจ้งที่สิ้นอวิชชา... ความรู้ที่สิ้นอวิชชา
มันรู้แจ้งว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อายตนะภายนอกเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีคนยึด ผู้รู้มันก็ไม่ยึดอีก งั้นผู้รู้นี้มันเป็นผู้รู้ ผู้พากษ์ ผู้รู้ผู้พูดผู้พากษ์ มันเป็นวิญญาณขันธ์ทำงานร่วมกับเจตสิก
แต่ธาตุรู้ที่ไม่มีอวิชชา มันรู้ว่าอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ทั้งผู้รู้...ไม่มีคนยึด มันรู้แต่เพียงอันนี้ว่ายึดหรือไม่ยึด
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : แต่ไม่ได้รับรู้สิ่งที่วิญญาณขันธ์รับรู้ใช่มั้ยครับหลวงตา?
☀️หลวงตา : ไม่ได้รับรู้หรอก การรับรู้นั้นน่ะพอตายแล้วดับหมด การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอตายแล้วดับ แต่ธาตุรู้นี้ไม่ดับนะ มันคนละตัวกัน เพราะธาตุรู้ไม่เกิดไม่ดับ มันเป็นอมตะ
~~~~~~~~~~~~~~~
👩🦳โยม 2 : ในตัวเรา สิ่งที่จะรับรู้การทำงานของวิญญาณขันธ์ทำโน่นทำนี่ได้ คือใช้ธาตุรู้ตัวที่เป็นผู้รู้ตัวปลอม ส่วนธาตุรู้ หรือผู้รู้ตัวจริง มันจะทำหน้าที่แค่รู้ว่ายึดหรือไม่ยึดในการทำงานนี้แค่นั้น แต่มันไม่มีหน้าที่มารู้ว่าร่างกายนี้มันปรุงว่ายังไงใช่มั้ยคะ?
☀️หลวงตา : ใช่ ๆ คือถ้าอย่างของพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวนี่ชัดเจนมากเลย บอกว่าสิ้นยึดขันธ์ห้าแล้วไม่มีอวิชชาแล้วนะ สิ้นยึดขันธ์ห้าแล้วก็จะเป็นใจ ท่านว่าใจไม่ใช่ขันธ์ห้าขันธ์ห้าไม่ใช่ใจ… นี่ชัดมาก
เพราะว่าพอสิ้นยึดขันธ์ห้าแล้วเหลือแต่ใจ แล้วก็ท่านยังบอกว่าใจที่สิ้นยึดขันธ์ห้าแล้วมันยังไม่จบ แม้แต่สิ้นยึดขันธ์ห้า แล้วเป็นใจ จะเห็นว่าใจน่ะหมายถึง “จิตเดิมแท้” หรือธาตุรู้เนี่ยก็ยังไม่บริสุทธิ์ เพราะใจหรือจิตเดิมแท้หรือธาตุรู้ ยังมีอวิชชาอยู่ ก็จะหลงยึดถือใจเสียเอง ยึดถือว่าเป็นใจเรา หรือใจของเราบริสุทธิ์ จะยังสงวนรักษาใจ
เพราะว่าท่านบอกว่าในทางปฏิบัติยังไม่บริสุทธิ์ แต่ในทางพระสูตรเขาจบแค่นี้ แต่ท่านบอกปฏิบัติจริง ๆ พอสิ้นยึดขันธ์ห้ายังไม่นิพพาน... อันนี้ชัดมากเลย
จะเห็นว่าใจ หรือธาตุรู้ หรือจิตเดิมแท้ไม่ใช่ขันธ์ห้า พอสิ้นอวิชชาปุ๊บ ไม่ใช่ขันธ์ห้า แต่ถ้ามีอวิชชาอยู่มันจะไปทำงานร่วมกับขันธ์ห้า คือ มันทั้งรู้ทั้งยึดไปในตัวเอง แต่พอสิ้นยึดปุ๊บ! มันกลายเป็นใจไม่ใช่ขันธ์ห้า
เพราะงั้นวิญญาณขันธ์ ก็คือวิญญาณขันธ์
แต่ "ใจ" ... ไม่ใช่ขันธ์ห้า
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
🎗วิญญาณธาตุ กับ วิญญาณขันธ์ ตอนที่ 3 ใจย่อมรู้แจ้งแก่ใจ🎗
👩โยม 2 : หลวงตาคะ... ธาตุรู้ นอกจากรู้ว่าสังขารไม่ใช่มัน ตัวมันไม่ใช่สังขาร มันรู้อย่างอื่นอีกมั้ยคะ?
☀️หลวงตา : มันไม่ไปรู้ตามทวารก็แล้วกัน ไม่ไปรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
แต่มันรู้เบ็ดเสร็จสรุปไปในขณะจิตเดียวเลยว่า... นี่สังขาร... นี่ใจที่ไม่สังขาร... สังขารไม่ใช่ใจที่ไม่สังขาร แล้วก็มันไม่มีคนยึดทั้งสังขาร ไม่มีคนยึดทั้งวิสังขาร แต่ความรู้ เวลามันรู้เบ็ดเสร็จก็คือว่า... มันไม่ยึดอะไร มันสรุปจบไปเลย คือ ทุกปัจจุบันขณะไม่ยึดอะไร
แล้วมันก็รู้แจ้งแก่ใจว่าความไม่ยึดอะไรเนี่ย อันเนี้ยภพชาติใหม่ไม่มี เพราะว่าที่จะไปเกิดได้ มันต้องเป็นสังขารเท่านั้น... ต้องมีผู้ยึดเท่านั้น ถ้าไม่มีผู้ยึด การเกิดใหม่การเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่มี มันก็จบลงแค่นี้
แล้วก็ขันธ์ห้าที่สังขารได้ ขันธ์ห้าแม้แต่สังขารรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็จะดับลง อย่าว่าแต่สังขารที่กระดุกกระดิกนะ "สังขารที่ไปรู้" ทุกปัจจุบันขณะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ต้องดับลงหมด และการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะดับลง
เพราะว่าอะไร? ตาก็เน่า หูก็เน่า จมูกก็เน่า ลิ้นก็เน่า กายก็เน่า แล้วก็ประตูใจก็เน่าหมด เพราะฉะนั้นการรับรู้ไม่มีประตูผ่านแล้ว เน่าหมด ดับหมด เพราะการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ดับหมด
แต่สิ่งที่รู้แจ้งแก่ใจว่า... ไม่มีผู้ยึดถืออะไรเลย ไม่มีผู้ยึดถืออะไรสักอย่างเดียว ไม่มีตัวตนของผู้ไปเอาอะไร ไม่มีตัวตนของผู้ที่จะไปเป็นอะไร แล้วก็ไม่มีความรู้สึกว่าเราเนี่ยได้อะไร เราถึงอะไร หรือเราสูญเสียอะไร เราไม่ได้อะไร เราไม่เป็นอะไร
มันรู้แก่ใจว่าไม่ยึดอะไรสักอย่างหนึ่ง... ไม่เป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง... ไม่ได้อะไรสักอย่าง... แล้วก็ไม่ได้สูญเสียอะไรสักอย่าง คือมันรู้แก่ใจว่าไม่ยึดอะไรเลย
👩โยม 2 : ถ้างั้นก็แสดงว่าความรู้มันก็ไม่ใช่ความรู้เดียวสิคะ คือหนูกำลังงงว่า... เมื่อกี๊หลวงตาบอกว่า "วิสังขาร" เนี่ยตัวมันน่ะรู้ว่ามันยึดหรือไม่ยึดสังขาร แล้วพี่เค้าก็บอกว่าตัวมันน่ะรู้ว่า สังขารไม่ใช่มัน มันไม่ใช่เรา
มันก็เหมือนเป็นอีกอันหนึ่ง คือมันเหมือนกับมันไม่ใช่ความรู้แค่ว่ายึด หรือไม่ยึด
☀️หลวงตา : มันจะยึดหรือไม่ยึด มันก็ต้องรู้ว่าอะไรเป็นสังขาร อะไรไม่สังขาร มันถึงไม่ยึดไง
มันไม่ใช่ว่า... ไม่ยึด รู้เอ๋อ!... รู้เอ๋อเฉย ๆ ไว้อย่างเนี้ย ไม่ยึด เพราะมันเข้าใจเบ็ดเสร็จ เหมือนกับโยมนี่รู้จักหลวงตา คือขันธ์ห้าทำงานรู้จักหลวงตา แต่โยมไม่ยึดหลวงตา โยมก็รู้แก่ใจว่าไม่ยึดหลวงตา แต่มันไม่ต้องคิดเป็นสเต็ป (step) ยาวแบบนี้ คือมันรู้เบ็ดเสร็จไปจากใจเลย รู้อะไรก็ไม่ยึดเลยในทุกปัจจุบันขณะ
👩โยม 2 : แล้วอย่างนี้ความรู้ที่มันงอกมาทีหลังว่าตอนนี้มันไม่ยึดอะไรอีกแล้วเนี่ยค่ะ คือหนูรู้ว่ามันเป็นความรู้เดียวกัน แต่ว่าเหมือนคอนเทนต์ (content) ที่อยู่ในธาตุรู้เนี่ย มันแตกอะไรออกไปได้บ้าง?
☀️หลวงตา : มันแตกได้ยังไง “มันไม่เกิดไม่ดับ” มันไม่สังขาร มันไม่มีอะไรเลย
👩โยม 2 : หมายถึงว่า คือมันเหมือนไม่ใช่แค่รู้ว่ายึดหรือไม่ยึด แต่ว่าในขณะที่มันรู้ว่ายึดหรือไม่ยึดเนี่ย มันก็รู้ว่ามันไม่ยึดเพราะอะไร แล้วก็ขณะเดียวกันมันก็รู้ว่า พอมันไม่ยึดแล้ว ก็รู้ว่าชาตินี้สิ้นยึดแล้ว
คือหนูอยากรู้ว่ามันคือสิ่งเดียวกัน?
☀️หลวงตา : มันคือสิ่งเดียวกัน คือเหตุและผลมันจบอยู่ในขณะจิตเดียวกัน
~~~~~~~~~~~~~~~
👩🦳โยม 3 : อย่างนี้มันก็ไม่เป็น "แค่รู้" สิคะหลวงตา ถ้าหลวงตาบอกว่ามันจะรู้ว่ามันไม่ยึดอยู่แล้วอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่แค่รู้ซื่อ ๆ สิคะ คือหลวงตาบอกว่าโยมเค้ารู้ว่านี่คือหลวงตา แล้วก็รู้อยู่ในตัวเลยว่าไม่ยึดหลวงตา อันนี้มันไม่ซื่อแล้ว มันไม่แค่รู้เฉย ๆ แล้ว
☀️หลวงตา : รู้เฉย ๆ ของโยมคือยังไง? เดี๋ยว ๆ ๆ ตรงนี้สำคัญมากเลย!!... ถ้ารู้เฉย ๆ?
👩🦳โยม 3 : ค่ะ ก็คือรู้ว่าหลวงตา ก็แค่นั้นเอง
☀️หลวงตา : อ้าว… ก็รู้ว่าหลวงตา มันก็ต้องรู้ด้วยว่าไม่ยึดหลวงตา
👩🦳โยม 3 : อันนี้มันไม่ได้ปรุงไปแล้วเหรอคะหลวงตา อันนี้มันไม่มีการปรุงไปแล้วเหรอคะ?
☀️หลวงตา : มันก็รู้ตัวที่มันไม่ยึดอะไรมันก็ "รู้แก่ใจ " จะปรุงยังไง?
มันก็รู้แก่ใจไปเลยว่าไม่ยึดอะไร ไม่ใช่ว่าเราไม่ยึดอะไร แต่มัน "ได้แต่รู้" ได้แต่รู้ ๆ
👩🦳โยม 3 : อย่างนี้เปรียบเทียบอันอื่น สมมุติว่าเค้านึกถึงลูกแต่เค้าก็รู้ว่าลูก
☀️หลวงตา : ที่รู้ว่านี่ลูกคือ "ขันธ์ห้า"
👩🦳โยม 3 : เค้าก็ต้องนึกแล้วว่าลูกคนนี้ฉันห่วง ลูกคนนี้ฉันไม่ห่วง
☀️หลวงตา : อ่อ อันนี้ คือขันธ์ห้ามันปรุง
👩🦳โยม 3 : แต่มันก็รู้ไปในตัว ว่ามันรู้ว่าขันธ์ห้าปรุง
☀️หลวงตา : อ้าว... มันก็รู้สิ ขันธ์ห้ามันก็รู้ตัวมันเอง ปรุงอะไรมันก็รู้ตัวมันเอง สติ สมาธิ ปัญญา มันก็รู้จักตัวมันเอง แต่ใจมันรู้แต่เพียงว่าไม่ได้ยึด... ไม่ได้ยึดสิ่งที่ปรุง หรือยึดผู้ที่ปรุง
แต่เวลาปรุงอะไรรู้เรื่องว่าอะไรเนี่ย มันคือธรรมชาติของขันธ์ห้า มันต้องรู้เรื่องที่คิดที่ปรุง ที่รู้ที่เห็น มันเป็นเรื่องธรรมชาติของขันธ์ห้า ก็คือว่าเจตสิกมันประกอบรู้
เพราะฉะนั้นมันจะรู้เอ๋อ! ไม่ได้หรอก มันเลยต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร นี่คือเจตสิกมันประกอบ นี่คือกระบวนการทำงานของขันธ์ห้า คือขันธ์ทั้งหมดเลย แต่ใจมัน"รู้"ได้อย่างเดียว... ว่า"ยึดหรือไม่ยึด"
☀️โยม 3 : หลวงตาพูดว่าใจมันรู้อย่างเดียวว่ามันยึดหรือไม่ยึด แต่ใจมัน "แค่รู้" ไม่ใช่เหรอคะ?
☀️หลวงตา : ก็แค่รู้ ก็มันรู้ว่าไม่ยึดไง "ถ้ายึด" ใจมันก็บวกอวิชชา คือ "ยึด" มันก็มีตัวสังขารก็คือขันธ์ห้า หรือว่าอายตนะภายนอก "บวกเรา"
ทีนี้ถ้ารู้ขันธ์ห้าหรืออายตนะภายนอก... ไม่บวกเรา ใจมันก็รู้ว่าอายตนะภายนอก อายตนะภายในไม่บวกเรา แล้วอะไรจะรู้ล่ะก็ต้อง "ใจ" น่ะรู้
👩🦳โยม 3 : แล้วมันจะรู้แค่ยึดกับไม่ยึดเหรอคะ ใจน่ะค่ะ?
☀️หลวงตา : ก็ไม่บวกเราก็คือไม่ยึด
👩🦳โยม 3 : อันนี้คือเราตั้งค่าของเราเอง ว่ายึดหรือไม่ยึด?
☀️หลวงตา : เดี๋ยว ๆ ๆ เราจะตั้งค่าได้ยังไงล่ะ?
👩🦳โยม 3 : อย่างหนูเห็นน้ำเนี่ย ก็เห็นน้ำ ไม่ยึดก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ยึดน้ำ แต่ทีนี้กลับกลายเป็นว่าสมมุติว่าเห็นลูกก็รู้ทันทีเลยว่าเห็นลูกแล้วต้องยึดลูก... อย่างนี้เหรอคะ?
☀️หลวงตา : เธอยึดลูกมั้ยล่ะ? เธอเห็นลูกปุ๊บเธอยึดลูกหรือไม่ยึดลูก ถ้ายึด... เธอก็ต้องทุกข์เองแหละไม่ยึดมันก็ไม่ทุกข์
👩🦳โยม 3 : ก็คือยึดก็รู้ว่ายึด
☀️หลวงตา : ยึดมันก็รู้ว่าทุกข์เองไง พอเรายึดมันก็รู้เองว่ายึด ไม่ยึดก็รู้ว่าไม่ยึด งั้นเวลายึดเนี่ยมันก็รู้อยู่ว่า ลูกแล้วก็ "บวกเรา ของเรา... บวกทุกข์" อย่างเนี้ย มันก็มีอาการไปเรื่อย ๆ ๆ
แล้วไอ้ตัววิญญาณขันธ์มันก็ไปรู้ต่อไป... ลูกบวกเรา เราทุกข์ เราอะไรก็ต่อไปเรื่อยยาวไป ก็ทุกข์ไปก็ทุกข์เลย อันนี้ก็คือทุกข์จมไปกับสิ่งนั้น...ไม่รู้แล้ว
แต่ถ้ามันบริสุทธิ์แล้ว มันไม่มีอวิชชา มันก็คือลูก ก็ลูกน่ะ คุยกับลูกแต่ใจไม่ทุกข์ไม่ไปยึดลูก แค่นั้นแหละ มันรู้อย่างเดียวว่า "สิ้นยึด"
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : มันเหมือนอย่างนี้มั้ยครับหลวงตา มันเหมือนละไว้ในฐานที่เข้าใจว่ามันยึดไม่ได้ อย่างนั้นหรือเปล่า?
☀️หลวงตา : มันไม่ยึดก็เพราะว่ามันยึดไม่ได้ มันก็คือละไว้ในฐานที่เข้าใจ ก็คือว่ามันเหตุผลเดียว "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" ไม่ใช่เป็นเราเป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเราจริง ๆ
คือต้องอันนี้อันเดียวที่จะสิ้นยึด "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" คือมันละไว้ในใจ มันละไว้ในฐานที่เข้าใจ แต่พอใจมันสิ้นยึด มันไม่พูดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา... มันยังไม่ใช่ใจที่สิ้นยึด
เพราะว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ว่ามันเป็นบันไดสามขั้น แต่สิ้นยึดเนี่ยมันคือชานเรือน พอถึงชานเรือนแล้ว มันไม่พูดถึงบันไดสามขั้น แต่มันจะถึงชานเรือนได้มันต้องผ่านบันไดสามขั้นที่ใจ
แต่คล้าย ๆ ว่ามันรวดเดียว คือไม่ต้องช้า ๆ ทีละสเต็ป (step) บันไดขั้นที่หนึ่ง... "อนิจจัง" บันไดขั้นที่สอง... "ทุกขัง" บันไดขั้นที่สาม... "อนัตตา"
มันก็พรวด... มันก็ถึงชานเรือนเลย แต่มันจะถึงชานเรือนได้มันต้องผ่านบันไดสามขั้น แต่มันไม่ใช่มันช้า ๆ ทีละขั้น
พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ชา ท่านก็บอกว่าเหมือนทุกข์เนี่ย มันก็ไม่ได้ว่าตกมาทีละขั้นว่ายึดต้องเป็นทุกข์อะไรอย่างนี้ ไม่ได้ตกทีละขั้น
"ปฏิจจสมุปบาท" ไม่ใช่ทีละตัวสิบสองตัว ท่านบอกว่าเราตกต้นไม้ก็ถึงโคนเลย
ที่มา : โอวาทธรรมจากไฟล์เสียง 200309A-1 วิญญาณธาตุกับวิญญาณขันธ์ ตอนที่ 1 หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย9 มีนาคม 2563,
ใจที่อยู่กับขณะปัจจุบัน ย่อมไม่มีกาลเวลาอีกต่อไป แม้แต่เวลาปัจจุบันก็ไม่มี เวลาที่ไม่มีเวลา มีแต่รู้ รู้ที่เป็นอนันต์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดแห่งรู้ รู้ได้ทั่วทั้งจักรวาล ดังเราเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล พลังของจิตมีอํานาจยิ่งใหญ่มากนัก ถ้าควบคุมจิตตนเองได้ ก็สามารถควบคุมสิ่งที่เข้ามากระทบเราได้ทั่วทั้งจักรวาล...
Trader Hunter พบธรรม
☝️"ใจ" รู้อะไร
🧑โยม 1 : คือจริง ๆ เมื่อก่อนก็เข้าใจที่หลวงตาสอนนะครับ พอเราดู ๆ ไป พิจารณาเข้าไปนะครับว่า เอ… สมมุติว่าตัวต้นจิตที่จะไปรับรู้ ถ้าพูดในแง่ว่าความสามารถในการรู้ ตัววิญญาณขันธ์ มันมีความสามารถในการรู้ ตัวธาตุรู้ก็มีความสามารถในการรู้
เพราะฉะนั้นในต้นจิตที่เกิดขึ้น ณ ขณะจิตแรก ตึ๊ง! ขึ้นมา วิญญาณขันธ์ต้องรับรู้ก่อน ขณะเดียวกันวิญญาณธาตุก็รับรู้ด้วย เราก็เคยรู้อย่างที่หลวงตาสอนนะครับว่า "วิญญาณธาตุ" เนี่ยมารู้วิญญาณขันธ์
แต่ในขณะจิตแรกที่เกิดเนี่ยครับ วิญญาณขันธ์รับรู้ ปุ๊บ!.......
☀️หลวงตา : "วิญญาณธาตุ" ไม่ใช่มารู้วิญญาณขันธ์นะ!!
วิญญาณธาตุนี่มันคือยึดหรือไม่ยึดแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่มารู้วิญญาณขันธ์ มันรู้ว่าทุกปัจจุบันขณะที่มันรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยึดหรือไม่ยึด
ถ้ายึดน่ะมันก็รวมเป็นสังขารไปเลย ถ้าไม่ยึดก็คือพ้นจากสังขารเลย แต่มันไม่ใช่ว่ามารู้วิญญาณขันธ์ เพราะว่าที่มารู้วิญญาณขันธ์มันก็คือ... วิญญาณขันธ์!... วิญญาณขันธ์!... วิญญาณขันธ์! ตัวต่อไปตลอดเวลา ไม่ใช่... วิญญาณธาตุ
เพราะงั้นพอรู้ปุ๊บ! มีเจตสิกเข้าผสม เพราะว่าเจตสิกกับวิญญาณมันทำงานร่วมกัน พอมันทำงานร่วมกัน มันเป็นอารมณ์เป็น "ธรรมมารมณ์" แล้วก็ตัวที่มารู้วิญญาณขันธ์ทำงานร่วมกับเจตสิก มันก็คือ วิญญาณขันธ์ ทำงานร่วมกับเจตสิก ตัวต่อไป ๆ ๆ .....
ถ้าเราว่าผู้รู้ (วิญญาณธาตุ) มารวมกับขันธ์ห้า เราก็จะแยกขันธ์ห้าไม่ได้ เราจะไม่สิ้นยึดขันธ์ห้า เพราะว่าเอา “ผู้รู้ที่เป็นพุทธะ” เอามารวมกับขันธ์ห้าทำงานร่วมกัน คือ วิญญาณขันธ์รู้อะไรผู้รู้ก็รู้อันนั้น จิตเดิมแท้ที่บริสุทธิ์ก็รู้อันนั้นด้วย
ถ้าทำงานร่วมกันอย่างนี้ เราจะปล่อยวางขันธ์ไม่ได้ เพราะว่ามันทำงานร่วมเป็นเนื้อเดียวกับขันธ์ห้าซะแล้ว คือปัจจุบันขณะวิญญาณขันธ์ไปรับรู้อะไรทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์มันก็ไปทำงานร่วมกัน มันก็รู้สิ่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้นมันจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปเลย เราจะปล่อยวางในสิ่งที่รู้ไม่ได้
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : หลวงตาครับมันเป็นไปได้มั้ยครับว่า ด้วยความเป็นอวิชชาเนี่ยครับ ทำให้ธาตุรู้กับวิญญาณขันธ์มันทำงานด้วยกันไป ในช่วงที่เรายังมีอวิชชา
☀️หลวงตา : คือมันรู้แล้วมันยึดไปเลยไง มันก็เลยทำงานร่วมกันตอนที่มันยึดนี่แหละ
มันยึดในสิ่งที่มันรู้ มันเป็นไปเลย คือมันเป็นไปกับขันธ์ห้าเลย คือรู้ปุ๊บ! เรารู้เลย... เราเห็น เราได้ยิน เราได้กลิ่น เรารู้รส เรารู้สัมผัส เจ็บปวดเมื่อยเป็นแผล รู้ทางใจ รู้อาการทางใจ คือมันรู้อะไรมันยึดเลย!! ว่านี่เป็นของเรา อย่างเช่นว่า “สบาย” พอมารู้ธรรมารมณ์มันก็ยึดเลยว่าใจเราสบาย ใจของเราสบาย พอไม่สบาย ใจของเราไม่สบาย คือมันเบ็ดเสร็จไปเลย มันยึดเป็นเราเป็นของเราไปเบ็ดเสร็จเลย
พูดง่าย ๆ ขันธ์ทำงานแต่บวกเรา "ธาตุรู้บวกอวิชชา" บวกว่าเรา กับของเรา เพราะฉะนั้นขันธ์เวลาทำงาน พอรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ คือขันธ์ทำงาน หรืออายตนะภายในอายตนะภายนอกทำงาน แต่ขันธ์ทำงาน..."บวกเรา"!
คือมันบวกกันมันไม่ได้เป็นอันเดียวกัน แต่มันรวมกันเรียกว่า… บวก มันบวกเลยเหมือนกับว่า น้ำแข็งเอาเป๊บซี่ (pepsi) มาเทใส่ไป บวกกันเลยเป็นน้ำเป็บซี่ มันออกมาเป็นน้ำเป็บซี่เลย คือมันบวกแล้ว
🧑โยม 1 : อันนี้เข้าใจครับหลวงตา ผมอาจจะคิดเยอะไป ก็คือในส่วนตรงจุดที่ต้นจิตน่ะครับ หมายความว่าในสภาวะที่เป็นต้นจิต คือ เรารู้อยู่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นวิญญาณขันธ์ก็รับรู้ ธาตุรู้ก็รับรู้ แต่ธาตุรู้ รู้ว่า... อันเนี้ยไม่ใช่เค้า ก็คือหมายความว่าไม่ได้ยึด
☀️หลวงตา : ก็ใช่... รู้สังขารนะ รู้ว่าสังขารไม่ใช่วิสังขาร คือธาตุรู้มันรู้แบบนี้
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : จริง ๆ แล้วมันรู้พร้อมกันด้วยซ้ำไปใช่มั้ยครับหลวงตา? ก็คือรู้พร้อมวิญญาณขันธ์ด้วยซ้ำไปธาตุรู้เนี่ย
☀️หลวงตา : ธาตุรู้ คือ “มันรู้แจ้งแก่ใจ” ไม่ใช่ไปรู้สังขารนะ
อย่างนี้…. โยมเห็นหลวงตาใช่มั้ย? โยมรู้หลวงตา
ที่โยมรู้หลวงตานี่คือวิญญาณขันธ์ทำงานร่วมกับเจตสิก โยมเลยรู้ว่าเนี่ยหลวงตา
แต่ความรู้แก่ใจละไว้ว่า…หลวงตาไม่ใช่โยม แต่มันไม่ได้ปรุงออกมานะ มันจึงเรียกว่า "วิสังขาร" "ธาตรู้มันไม่ได้ปรุงแต่ง มันไม่เป็นอวิชชา มันเป็นธาตุที่ไม่ปรุงแต่ง มันเป็นความรู้ที่ละเอาไว้ในใจว่าหลวงตาเนี่ยไม่ใช่โยม เพราะอะไร? โยมรู้จักหลวงตา
แต่ไม่ใช่ต้องท่องซ้ำอีกว่า นี่คือโยม นี่คือหลวงตา... อย่างนี้คือสังขาร แต่ความรู้แก่ใจมันไม่ต้องท่องซ้ำ ว่านี่คือโยมนี่คือหลวงตา คือมันรู้ว่าหลวงตาก็คือหลวงตา โยมก็คือโยม เพราะว่าโยมรู้จักโยม โยมก็ต้องรู้จักว่าโยมนี่มีหนึ่งเดียวในจักรวาล คนอื่นไม่ใช่โยมทั้งหมด
งั้นคนอื่นทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะ อดีต ปัจจุบัน อนาคต อยู่ไกลอยู่ใกล้… สังขารหมด! โยมมีชื่ออย่างเดียวคือ “ใจ” สมมติน่ะนะ หรือจิตเดิมแท้หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ มีหนึ่งเดียวในจักรวาล โยมก็เป็นความรู้แก่ใจที่ไม่สังขาร มันเป็นความรู้แก่ใจที่ไม่สังขาร โดยไม่ต้องรู้ซ้ำซ้อนเข้าไปอีกว่า เราไม่ใช่สังขาร
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : มันเกิดขณะจิตเดียวกันมั้ยครับ?
☀️หลวงตา : เอ้า… โยมรู้ว่านี่หลวงตา วิญญาณขันธ์ทำงานแล้วนี่หลวงตา แล้วโยมไม่ได้เข้าใจผิดเลยว่าหลวงตาเป็นโยม โยมเป็นหลวงตา ไม่ต้องบอก โยมต้องมีความรู้สึกว่าต้องมีความรู้อีกอันหนึ่งมั้ย?
รู้หลวงตาก็คือรู้หลวงตาไปเลย อันนี้จะบอกว่ามันเกิดพร้อมหรือเปล่าล่ะ?
คือมันไม่เกิด ไอ้ที่รู้แก่ใจมันไม่เกิดไง “มันไม่เกิดดับ” แต่ที่รู้หลวงตานี่มันเกิดดับ จะบอกว่ามันเกิดพร้อมก็ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่เกิดดับ เข้าใจมั้ย? มันไม่เกิดดับคือมันไม่แสดงอาการมาเกิดอีกหนหนึ่ง แล้วก็ซ้อนกันกับที่หลวงตา มันจึงเรียกว่าเกิดซ้อนไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นเนื้อเดียวกันไม่ได้
มันจะเกิดเป็นเนื้อเดียวกับ "รู้ทางอายตนะ" ก็ไม่ได้ เพราะว่ารู้อันนั้นมันเกิดดับไง แต่ "รู้แก่ใจ" นี่มันไม่เกิดดับ คือความที่โยมนี่รู้จักหลวงตา โยมก็ไม่ต้องมาเกิด การรู้จักหลวงตาไม่เกิดดับ
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : ครับหลวงตา ที่เข้าใจอย่างนี้ เคยครั้งหนึ่งหลวงตาเคยเปรียบเทียบว่าวิญญาณขันธ์ กับตัวธาตุรู้เหมือนเป็นคู่แฝดกัน มันเป็นคู่แฝดกันอยู่อย่างนี้
☀️หลวงตา : วิญญาณขันธ์ กับธาตุรู้เหมือนเป็นคู่แฝดกัน... ใช่ ๆ
🧑โยม 1 : คือเวลาเรามีอวิชชา เราก็มักจะยึด ธาตุรู้เนี่ยก็จะยึดวิญญาณขันธ์เป็นเราถูกมั้ยครับ?
☀️หลวงตา : คือมันไปเป็นคู่แฝดฝ่ายสังขาร
🧑โยม 1 : ทีนี้พอถึงจุดหนึ่ง เรารู้แล้วว่าตัวสังขารเนี่ยมันไม่ใช่เราไม่ใช่อีกตัวหนึ่ง ทีนี้จริง ๆ แล้วคู่แฝดเค้าเนี่ยคือเป็นอย่างเมื่อกี้ที่หลวงตาว่า จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เกิดดับเหมือนกับวิญญาณขันธ์ แต่มันเหมือนยืนพื้นคล้าย ๆ ว่ายืนพื้นรู้เลย ว่ามันไม่ใช่เค้า
ผมหมายถึง "ใจ" หรือธาตุรู้ที่ไม่มีอวิชชารู้อยู่แล้วว่าวิญญาณขันธ์ไม่ใช่เค้า คือยืนพื้น มันไม่ได้เกิดดับ คือจริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นคู่แฝดชนิดที่เกิดดับ
☀️หลวงตา : ตรงนี้เราสมมุติเฉย ๆ เราสมมุติว่ามันเหมือนคู่แฝด แต่เราบอกว่าแฝดตัวหนึ่ง “มีตัว” แฝดอีกอันหนึ่ง “ไม่มีตัว” มันจึงไม่มีตัวนี้ยืนพื้น ตัววิสังขารน่ะมันไม่มีตัวรู้ยืนพื้น
แต่เราเปรียบเทียบให้เห็นว่าอย่าไปหลง มันเนี่ยมีคู่แฝดมันคือ "รู้เรา" ไม่ใช่เรารู้ ถ้าเรารู้เนี่ยเราหลงไปเป็นแฝดอีกตัวหนึ่ง
แต่ธาตุรู้เนี่ยมันรู้เรา เรารู้อะไรน่ะมันจะรู้เราแต่ไม่ยึด ไอ้เนี่ยมันเลยเป็นคู่แฝดกัน
หลวงตาเพื่อต้องการแยกให้ออก เปรียบเทียบยกตัวอย่างให้เห็นว่า... "รู้เรา" กับ "เรารู้" เนี่ย
ถ้า "เรารู้" มันจะเป็นคู่แฝดฝ่ายที่เป็น "สังขาร"
แต่ถ้า "รู้เรา" มันจะเป็นคู่แฝดฝ่ายที่เป็น "วิสังขาร"
แต่ไอ้ที่รู้เราเนี่ยมันไม่มีตัวตนไม่มีตัวรู้ยืนพื้น คือมันเหมือนแฝดแต่อีกอันไม่มีตัว อีกอันมันมีตัว ถ้าเรารู้น่ะมันมีตัว แต่ถ้า "รู้เรา" มันไม่มีตัว
ที่โยมบอกว่ามีต้นจิตน่ะ หมายถึงเรานี่คือส่วนที่กระดุกกระดิก คือแฝดส่วนที่กระดุกกระดิก เรียกว่าสังขาร พอเราเริ่มกระดุกกระดิก ๆ ความรู้แก่ใจน่ะ "รู้เรา มันรู้แก่ใจ" ว่าที่กระดุกกระดิกก็คือเหมือนกับว่ารู้จักหลวงตา สังขารเนี่ยคือหลวงตา แต่มันก็รู้ว่าหลวงตาเนี่ยไม่ใช่โยม ไม่ใช่เรา มันรู้เบ็ดเสร็จในนั้น ว่าหลวงตาเนี่ยไม่ใช่เรา คือ สังขารมันไม่มีคนยึดถือ มันไม่มีคนยึดถือสังขาร
~~~~~~~~~~~~~~~
🧑โยม 1 : แล้วมันพูดอย่างนี้ได้มั้ยครับหลวงตา คือจริง ๆ แล้วเค้ารู้สังขาร แต่ว่ารู้ในลักษณะที่ว่า รู้ว่าเค้าไม่ใช่เรา คือ ไม่ใช่ธาตุรู้
คือรู้ไม่ใช่รู้เรื่องของสังขาร แต่รู้ว่าสังขารเนี่ยไม่ใช่เค้า พูดอย่างนั้นได้มั้ยครับ คือไม่ได้ไปรู้เรื่องของสังขารเพราะว่า ธาตุรู้ไม่รู้อยู่แล้วถูกมั้ยครับหลวงตา? คือมันจะสังขารยังไงธาตุรู้เค้าไม่รู้อยู่แล้ว แต่เค้ารู้ว่าสังขารเนี่ย... ไม่ใช่เค้า
☀️หลวงตา : มันก็รู้ว่าเป็นสังขาร
เพราะว่าอะไร? ก็มันรู้จักว่าสังขารไม่ใช่ธาตุรู้ มันก็เลยเท่ากับรู้จักสังขารนั่นแหละ เพราะว่ามันรู้ว่าสังขารไม่ใช่ใจ มันก็เท่ากับรู้จักสังขาร แต่ไม่ได้ไปรู้เรื่องของสังขาร แต่มันรู้จักว่า... นี่สังขาร
นี่คือ... ใจที่ไม่สังขาร มันรู้จักแบบนี้
🧑โยม 1 : รู้จักสังขารแต่ไม่รู้จัก "เรื่องที่สังขาร"
ผมอาจจะเข้าใจผิดว่า เรื่องจิตเวลาเรารู้เนี่ย คือ ธาตุรู้เขาก็รู้ เขาก็รู้สิ่งที่สังขารปรุงแต่งรู้ แต่ขณะเดียวกันนั้นเอง เค้ารู้ด้วยว่าไอ้เนี่ยไม่ใช่เค้า
งั้นถ้าหลวงตาพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าจริง ๆ แล้วในความสังขารเนี่ยธาตุรู้เขารู้แต่ว่ามันเป็นสังขาร โดยที่ไม่ได้สนใจรายละเอียดว่าจะสังขารยังไง ไม่ได้รับรู้เลย แต่รู้ว่าไอ้เนี่ยเป็นสังขาร สังขารเนี่ยไม่ใช่เค้า เท่านี้ใช่มั้ยครับหลวงตา?
☀️หลวงตา : เออ ใช่ ใช่ ๆ แต่มันไม่ได้ไปใส่รายละเอียดอย่างนี้นะ คือว่ามันไม่มีตัวเกิดมารู้อย่างนี้นะ
แต่หลวงตาพูดเพื่ออธิบายให้เข้าใจ เหมือนยืดยาวว่ารู้ว่า... นี่คือสังขาร... สังขารไม่ใช่วิสังขาร... สังขารนี่ยึดไม่ได้
แต่ใจน่ะมันเป็นวิสังขารที่ตัวตนไม่มี เวลามันรู้เบ็ดเสร็จน่ะ คือมันรู้ทีเดียวขึ้นมาเลย รู้จักว่าหลวงตาไม่ใช่โยม โยมไม่ใช่หลวงตา มันรู้เลย แต่ว่าเวลาอธิบายกันเนี่ย มันคล้าย ๆ ว่ามีคำอธิบายยืดยาว แต่เวลารู้ออกมาจากใจว่าที่รู้จักหลวงตา คือ วิญญาณขันธ์ ขันธ์ห้าทำงาน
แต่ที่โยมไม่ยึดถือหลวงตา เพราะโยมรู้ว่าหลวงตาไม่ใช่โยม โยมไม่ใช่หลวงตา โยมเลยไม่ยึดถือผิดตัวว่า เอ๊ะ ...หลวงตาใช่โยมหรือเปล่า... เข้าใจมั้ย?
🧑โยม 1 : เข้าใจครับ
~~~~~~~~~~~~~~~
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
เราทำถูกกิเลสเขา เขาก็ว่าเราดี
เราทำไม่ถูกกิเลสเขา เขาก็ว่าเราไม่ดี
เราจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่ใจเรา
มีความผ่องใสในภายในหรือไม่
ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นมาตัดสินเรา
อย่าหวั่นไหวไปกับโลกธรรมทั้งหลาย
ให้ใจแนบแน่นอยู่กับธรรมนะ...
สิ่งปกปิดที่กั้นไม่ให้จิตรู้เห็นตามจริงนั่นก็คือ
ความคิดปรุงแต่ง และการให้ค่า
รวมถึงการมีเจตนาเข้าไปกำหนดหมาย
การจะสอนจิตให้ฉลาดในการทะลวงฝ่าสิ่งปกปิด
ก็คือหมั่น รู้สึกตัว รู้สึกถึงความมีอยู่ของกายใจตามธรรมดา
และรู้เท่าความคิดปรุงแต่งและการให้ค่าชอบชังเฉยๆ
เมื่อรู้ได้อย่างนั้นจนจิตมีความตั้งมั่นเพียงพอ
เมื่อนั้นแม้ไม่ต้องมีเจตนา ย่อมสามารถรู้ตามจริงได้เอง
พระเจษฎา คุตฺตจิตฺโต
“…'นิพพาน' แปลว่า 'ใจที่ปกติ สงบเย็น
ไม่ไหลไปตามความพอใจและความไม่พอใจ'
คนที่มีจิตใจเช่นนี้ เรียกว่า'คนมีศีล-มีธรรม'
ศีล
ไม่ได้หมายถึง ศีล ๕ ข้อ ศีล ๒๒๗ ข้อ
เพราะนั่นเป็นศีลสังคม
ศีลในที่นี้มีเพียงข้อเดียว เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
ที่ต้องรักษากันจริง ๆ จัง ๆ
คือ*ให้รักษาใจ* เป็นศีลใจ
*ใครรักษาได้ ก็ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
มีจิตใจปกติ*
เพราะเมื่อจิตใจปกติแล้ว เราก็ไม่ไปฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์ ไม่อยากได้ของใคร
ไม่ผิดลูกเมียใคร
เมื่อ*ใจปกติ* กาย-วาจาก็พลอยปกติไปด้วย
คนเช่นนี้ เรียกว่า'คนมีศีลธรรม คนมีบุญ'
คนมีบุญจะไม่ฆ่า'สัจจ์'ของตัวเอง
เพราะสัจจ์นี้ เป็นธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระ
สัจธรรมนี้มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน
*ความเป็นพระที่แท้จริงนี้เป็นกันที่จิต*
มองไม่เห็น แต่*กำจัดกิเลสได้จริง*…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ภายใต้หนังกำพร้าของคนเรามีแต่ความโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน มีอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ไส้น้อย ไส้ใหญ่ กระเพาะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำดี อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อไคล ขังอยู่ภายในร่างกายโดยมีหนังกำพร่าห่อหุ้มอยู่
ถ้าลอกหนังออกจะเห็นร่างมีเลือดไหลโซมกาย เนื้อที่ปราศจากผิวหนังห่อหุ้มจะมองไม่เห็น ความสวยสดงดงามเลย มองแล้วอยากจะอาเจียนมากกว่าน่ารัก ที่พอจะมองเห็นว่าสวยงามก็ตรงผิวหนังห่อหุ้มเท่านั้น ผิวหนังนี้ก็ใช่ว่าจะเกลี้ยงเกลาเสมอไปไม่ คนเราต้องคอยอาบน้ำชำระล้างทุกวัน เพราะสิ่งโสโครกเหงื่อไคลภายในหลั่งไหลออกมาลบเลือนความผุดผ่องของผิวกายอยู่ตลอดวัน ถ้าไม่คอยชำระล้างก็จะสกปรกเหม็นสาบน่ารังเกียจ
ทางช่องทวารขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ก็หลั่งไหลออกมาตามกำหนดเวลาของมันทุกวัน น่ารังเกียจ เลอะเทอะโสมม ซึ่งเจ้าของไม่ปรารถนาจะแตะต้องทั้งๆ ที่เป็นของในกายของตัวเอง ยิ่งพิจารณาไปคนเราก็คือส้วมเคลื่อนที่ หรือป่าช้าที่บรรจุซากศพเคลื่อนที่ และเป็นผีเน่าที่เดินได้ดีๆ นี่เอง
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
สังเกตใจผู้รู้ผู้ดูอยู่ให้ออก ไปสังเกตที่ไหน?
จะไปค้นหาที่ไหนไม่เจอหรอก
เที่ยวค้นหาเที่ยวมองหาไม่เจอ
แต่ถ้าหยุดอยู่ รู้อยู่ เข้ามาที่จิตใจที่รู้ก็จะเจอ เจอใจ
เพียงไม่จดจ้อง ใจเมื่อไม่ติดตามค้นหาอะไร
ใจก็จะทวนกลับมารับรู้ใจ
.
ใจทวนกลับมารับรู้ใจเองจึงรู้สึกว่าใจเป็นสภาพรู้อยู่
ใจเป็นความรู้สึกอยู่
เจอความอิ่มใจ สุขใจ เบาใจ ผ่องใสในใจ
วิตกวิจารวิจัยในใจ หรือเฉย ๆ ก็มีสภาพรู้อยู่
เจอสภาพรู้นั้นหมดไป รู้แล้วก็หมดไป
รู้แล้วก็หมดไป ก็ยังขึ้นอยู่กับวิปัสสนาอยู่
.
ถ้าปล่อยให้จิตอยู่กับความว่าง ๆ
แล้วก็ไม่ดูใจผู้รู้ ไม่ดูใจที่รู้สึก
หนักเข้า ๆ จิตก็จะสร้างนิมิตขึ้นมาเอง จะเป็นนิมิต
.
นิมิตก็คือมโนภาพคือภาพทางใจเกิดขึ้น
แล้วแต่ว่าภาพนั้นจะเกิดขึ้น
ด้วยสัญญาความจำของจิตใจ
ความปรุงแต่งของจิตใจ ทัศนคติ
ความยึดความถืออย่างไรมันก็ไปปรุงในสภาพนั้น ๆ
เห็นเป็นภาพต่าง ๆ เป็นภาพสถานที่บ้าง
เป็นสภาพสีแสงต่าง ๆ แสงสว่าง
สีสันยิบยับเหมือนดวงดาวก็ตาม
เรียกว่าเกิดนิมิตขึ้น และเป็นสมมติ
นิมิตเหล่านี้เป็นสมมติ
.
แต่มีนิมิตบางอย่างก็เอามาเป็นกรรมฐานได้
ถ้าจะเจริญสมถะ เวลาเกิดนิมิตเป็นวงของดวงจันทร์
วงของดวงอาทิตย์ วงของแสงอะไรก็ตาม
ที่มันเป็นดวง ๆ เป็นนิมิต
ถ้าเพ่งอยู่ในนิมิตเหล่านั้น
นึกให้ใหญ่นึกให้เล็กตามความปรารถนา
ฝึกไปฝึกมาจิตก็สงบตัวเข้าไปสู่ฌานจิต ได้ฌาน
.
นิมิตบางอย่างก็เอามาพิจารณา
ให้เกิดความสังเวชความสลดใจได้
อย่างที่นิมิตเห็นเป็นร่างกาย เป็นซากศพ
บางทีก็เป็นร่างกายตนเองนี่แหละ
บางทีก็เห็นเป็นความแก่ชรา
ความเสื่อม ความตายลง ความเป็นซากศพ
แล้วก็เสื่อมสลายกลายไปเป็นดิน
.
พิจารณาถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสังขาร
โอ้ชีวิตเป็นอย่างนี้เอง
สิ้นลมหายใจก็เป็นซากศพขึ้นพองขึ้นอืด
แตกสลายกลายไปเป็นดิน
จิตก็เกิดความสังเวชเกิดความสลดใจมาก
จากนั้นจึงน้อมมากำหนดพิจารณาในกระแสจิต
จิตที่มีความสังเวชเป็นกุศล
ทำให้เกิดความหน่ายคลายกำหนัด
ทำให้เบื่อหน่ายในวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
จิตจะน้อมไปในทางการปฏิบัติเพื่อจะหลุดพ้น
เห็นภัยเห็นโทษของชีวิตของสังขารของอัตภาพ
.
ซึ่งเมื่อสลดสงบสังเวชอย่างนี้
ก็น้อมมาระลึกรู้ดูในกระแสจิต
ดูอาการของจิตที่มีความสังเวช
อาการของจิตที่มีความสงบ จิตที่มีความสงบ
จิตที่มีความสังเวช จิตที่มีสภาพรู้อยู่
จนเห็นว่าสังขารที่เกิดขึ้นในจิต
จะเป็นความสลด ความสังเวช ความสงบ
มีความเปลี่ยนแปลง มีความเสื่อมสลาย
มีเกิดมีดับ สภาพรู้อยู่ก็ดับอยู่ หมดไปสิ้นไป
ก็เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา
ก็เป็นวิปัสสนาขึ้นมาได้
.
บางทีก็อาจจะเห็นเป็นโครงกระดูก
เห็นร่างกายตัวเองเป็นโครงกระดูก
แล้วถ้าเพ่งอยู่นิ่ง ๆ มันก็จะมีความใส
โครงกระดูกมันก็ใสได้ นึกให้ใหญ่นึกให้เล็ก
ก็ทำให้ได้ฌานได้
แต่ถ้าเอามาพิจารณาถึงความไม่จีรังยั่งยืน
มันก็แสดงความเสื่อมสลายให้ดู
จิตสลดสังเวชก็น้อมมาระลึกรู้ที่จิตใจ
ก็มาสู่วิปัสสนาได้
.............................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)