ต้องถือความสัมผัสและความกระเพื่อมของจิต
เป็นเป้าหมายของการพิจารณา
จิตจะแสดงตัวขึ้นมาอย่างไร
เช่นแสดงเป็นความเสียใจและเศร้าหมองขึ้นมา
อย่าตื่นเต้นตกใจไปตามอาการที่แสดงนั้น ๆ
จงพิจารณาให้รู้โดยทั่วถึง ตามหลักสติปัญญา
ของผู้ต้องการทราบต้นเหตุแห่งเรื่องทั้งปวง
ไม่ให้มีจุดบกพร่องต่อการพิจารณา
ความเสียใจและเศร้าหมองเป็นสาเหตุ
มาจากสมุทัย ความดีใจและผ่องใสเป็นสาเหตุ
มาจากมรรค คือข้อปฏิบัติทั้งสองประเภทนี้
จงถือเป็นทางเดินของสติปัญญาต่อไป
อย่าไปยึดเอาความเศร้าหมองและผ่องใสนั้น
มาเป็นตน สติปัญญาจะหาทางเดินต่อไปไม่ได้
เนื่องจากความเศร้าหมองและความผ่องใส
จะกลายเป็นเราขึ้นมาในระยะที่ไปยึดเขา
เรากับเขาจะแก้กันไม่ตก เพราะความผ่องใส
เราก็เสียดายและรักสงวน ส่วนความเศร้าหมอง
เราก็เกลียดชัง ความเกลียดชังก็เป็นเรื่องของเรา
แม้เราไม่ชอบความเศร้าหมอง แต่เรากลับชอบ
ความเกลียดชัง จึงถือความเกลียดชังขึ้นมา
เป็นตัวโดยไม่รู้สึก กิเลสกับเราจึงมีโอกาส
คละเคล้ากันได้อย่างนี้
เรื่องมารยาของใจที่มีกิเลส มันแสดงอาการ
หลอกลวงเรา ได้ร้อยแปดพันประการ
เพื่อการดำเนินไปด้วยความสะดวกและราบรื่น
จงถือเอาเรื่องดี เรื่องชั่ว และความเศร้าหมอง
ผ่องใสเป็นต้น เป็นทางเดินของสติปัญญา
จิตจะแสดงอาการอย่างใดขึ้นมาจงทราบ
และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาทันที
อย่าไปทำความเข้าใจเอาเองว่า สิ่งที่ปรากฏ
ขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ควรไว้วางใจ และควรถือ
เป็นหลักยึดของใจ จะกลายเป็นความพลั้งเผลอ
และหลงยึดเอาสิ่งนั้น แล้วกลายเป็นสมมุติ
จุดหนึ่งขึ้นมาให้เป็นเครื่องกดถ่วงใจโดยไม่รู้สึก
เมื่อสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งถูกกับใจสลายตัวลงไป
และสิ่งที่ไม่ชอบใจเข้ามากีดขวาง
ใจก็จะแสดงความเสียใจขึ้นมา
นั่นเป็นเรื่องเสริมสมุทัยให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีก
ดังนั้น เพื่อความรอบคอบต่อทางดำเนินของตน
จงทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านั้นด้วยดีว่า
เมื่อยังมีอารมณ์ดี ชั่ว และสุข ทุกข์
ปรากฏในวงปฏิบัติของจิต ก็แสดงว่าทางเดิน
ของเรายังมีอยู่ ยังไม่ถึงที่สุดซึ่งควรจะหยุด
การเดิน และจำต้องเดินตามสิ่งที่ปรากฏ
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาเฉพาะหน้าไม่ว่าดีว่าชั่ว
และไม่ว่าจิตจะแสดงอาการใดๆ ออกมา
ต้องตามรู้ตามเห็นด้วยการพิจารณา
และถือจุดหรืออาการนั้น ๆ เป็นทางเดิน
ของสติปัญญาโดยพิจารณาให้ถี่ถ้วน
อย่าได้นอนใจกับสิ่งใด ๆ เมื่อสิ่งที่กล่าวมา
ยังปรากฏอยู่กับใจมากน้อย ให้ถือว่าสิ่งที่
ปรากฏนี้แล กำลังเป็นทางเดินของจิตและ
สติปัญญาอยู่เวลานี้ เรายังมีทางเดินต่อไปอีก
ยังไม่สิ้นสุดทางเดินของเรา จนกว่าสติปัญญา
จะรู้รอบคอบ และสิ่งทั้งหลายที่เคยปรากฏกับใจ
ก็สลายตัวลงไป พร้อมทั้งรากฐานของมัน
ที่เป็นจุดของสมมุติอันสำคัญ
เมื่อทุกสิ่งที่เคยเป็นข้าศึกของใจสลายตัว
ลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว นั่นแลการเดินทางของจิต
มีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เป็นเพื่อนสอง
ย่อมยุติลงเพียงเท่านั้น นั่นชื่อว่าหมดทางเดินจริง ๆ การหมดทางเดินจากสมมุติ ดี ชั่ว นั้นแล
#ท่านเรียกว่าวิมุตติ เราจะไปหาวิมุตติที่ไหนกัน นอกจากจะทำลายสมมุติออกจากใจหมดแล้ว
ก็เป็นวิมุตติขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีที่ไหนเป็นวิมุตติตามความคาดหมายของใจ ซึ่งเป็นเจ้าอารมณ์
____________________
หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เพราะใจไม่มีหลักเป็นเครื่องอยู่
จึงไหลออกไปสู่กระแสของตัณหา
ความต้องการและไม่ต้องการจึงตามมา
เลยตกอยู่ใต้อำนาจของเวลาและอารมณ์
ถ้าใจได้หลักเป็นเครื่องอยู่ จะนิ่งอยู่ รู้อยู่ สิ้นกังขา
เห็นอริยสัจ 4 ตามสติปัญญา จึงหยุดตามล่าหาพระอาจารย์
ผู้ที่รู้เข้าใจอริยสัจ 4 แล้วย่อมไม่ตามล่าหาพระอาจารย์ ก็คือรู้ที่มาของเหตุให้ทุกข์เกิด ว่าเกิดจากอะไร เวลามันดับเพราะอะไร รู้ทางดำเนินแล้วว่า ทุกข์เกิดจากตัณหา ความอยากต้องการให้โลกเขาเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่เป็นตามใจอยากและอะไรจะเกิดตามมา... หงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ ก็เพราะใจยังไม่มีหลักจึงได้หลุดไหลไปตามกระแสของ อวิชชา ปัจจยาสังขารา ถูกมันหลอกให้ออกไปปรุง วิตก วิจารณ์ ความต้องการและไม่ต้องการก็เข้ามาครอบจิตโดยอัตโนมัติก็เป็นอย่างที่โลกเขาเป็นกัน
แต่ถ้าใจได้หลักแล้วจะอยู่กับปัจจุบันขณะ มีสติเป็นเครื่องระลึกรู้อยู่ทุกขณะเวลา กระทบผัสสะอายตนะทั้ง 6 จิตรู้เท่าทัน ไม่ส่งออกนอก ตัณหาก็ไม่มีโอกาสเข้ามาครอบงำได้ ก็อยู่เป็นปกติในปัจจุบันธรรมนี้เอง...! ทิฎฐิวิสุทธิ-กังขาวิตรณวิสุทธิ
จากหนังสือ ปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม
พระอาจารย์เรวัติ สุปภาโต
สำนักสงฆ์พุทธเจดีย์คีรีเขต
ถาม: ทางแก้ของสมุทัยคือให้เลิกยึดมั่นใช่หรือไม่
ตอบ: คำว่าเลิกยึดมั่นเป็นผล เหตุแห่งการเลิกยึดมั่น คือการที่เราเห็นความจริงของสิ่งนั้น เมื่อเราเห็นความจริงของสิ่งนั้น ความปล่อยวางมันอยู่ในตัวของตรงนั้น
เหมือนมืด โยมลองปิดไฟให้หมดนี่ มืดไหม พอโยมเปิดไฟปั๊บนี่ ความมืดมันจะหาย
พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ 'ปัญญา โลกัสมิ ปัชโชโต ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก' เพราะฉะนั้นปัญญาน่ะเปรียบเสมือนแสงสว่าง เมื่อแสงสว่างเกิด ณ จุดนั้น ความมืดมันไม่มี เราไม่ต้องไปลบความมืดเข้าใจไหม
ถ้าโยมจะไปละอุปาทานนะ โยมจะไปละความมืด ที่พูดว่าละอุปาทานนี่ พูดโดยสมมติโดยความเข้าใจ
แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ ไม่ใช่ไปละอุปาทาน การทำความจริงตรงนั้น ณ จุดนั้นให้ปรากฏ คือปัญญาให้เห็นแจ้งความจริงตรงนั้น เมื่อเห็นแจ้งความจริงตรงนั้น ความว่าอุปาทานมันเลยละในตัวของมัน อุปาทานมันเป็นความมืด
เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นกายไม่สวยงาม ความยินดีในความสวยงามของกายก็ไม่มีไง ถูกไหม
เมื่อเราเห็นกายว่าไม่เที่ยง ความยินดี ความหลงว่ามันเที่ยง จะให้มันอยู่ตลอดมันก็ไม่มีไง
ถ้าเราเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวตน มันเกิดไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ของเรา ความถือมั่นว่าเป็นของเรามันก็ไม่มี เมื่อไม่มี ผลที่ตามมาจากความถือมั่นมันก็ไม่มีไง ถูกไหม เมื่อมันเห็นความจริงตรงนี้ ความปล่อยวางมันมี
เพราะฉะนั้นหลักสำคัญจริง ๆ ก็คือ เราต้องมาพิจารณากาย หลวงตามหาบัวจึงให้พิจารณาตั้งแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร ถึงวิญญาณใช่ไหม พิจารณาไปหมด จึงต้องพิจารณาตามความจริง ไม่ใช่ไม่พิจารณา เมื่อพิจารณาเห็นความจริงของสิ่งใด มันวางโดยอัตโนมัติ
เพราะนั้นเราให้เข้าใจความจริง ต้องแกะเหตุผลก่อน ถ้ารู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นของกลาง ตั้งแต่เราพิจารณารูปขึ้นมา รูปก็เป็นของกลาง พอมาแสดงตัวเป็นอวิชชา ความรู้สึกขณะนั้นเป็นตัวกูขึ้นมา พอมันกูเต็มที่ สติระลึกลงตรงนี้ทันที ไอ้กูนี้มันอาศัยขันธ์ ๕ เกิดนี่หว่า มันก็เป็นอวิชชาธาตุ มันก็เป็นของกลางเท่านั้น มันก็วางมันวางโดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่ไปตั้งใจวางมัน พอตั้งใจวางมัน ไอ้ที่พยายามวางมัน มันเลยเป็นตัวไง ตัวตั้งใจจะวางมันซ้อนอยู่ในนี้อีกทีหนึ่ง มันเลยวางไม่ได้ มันเลยยิ่งหนักกว่าเก่าไง โยมก็เลยเครียดไง มันหนักไง
จริง ๆ มันไม่หนัก ฟังแบบไม่หนัก มันไม่หนัก แต่ฟังจะเอามันเป็นตัวเข้าไป มันเลยหนัก จริง ๆ ฟังจะเอาก็ไม่ใช่ตัวเราอีก ถูกไหม มันเล่นกลทุกจุดน่ะ ทีนี้สติไม่ทันมันต่างหาก สัมปชัญญะไม่เท่าทันมัน สติสัมปชัญญะไม่เท่าทัน
แล้วพระพุทธเจ้าจึงตรัสบอก “เหตุแห่งการไม่บรรลุธรรม เพราะไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับคำชี้แนะธรรมของสัตบุรุษ”
เมื่อเราได้ยินได้ฟังเหล่านี้ไป เราเอาไปใช้ ไประลึกไง ให้ทันปัจจุบันเท่านั้น ระลึกเพื่อให้เข้าใจความจริงมันนะ
ไม่ใช่ระลึกเพื่ออยากให้มันหายเพราะมันทุกข์ ถ้าอยากให้มันหายเพราะมันทุกข์ ไอ้ความอยากให้มันหายเพราะมันทุกข์นั่นก็คือหลงมีตัวเข้าไปแล้ว เข้าใจรึยัง นั้นน่ะมันซ่อนอยู่ มันซ่อนอยู่ทุกขณะ โยมให้เข้าใจตรงนี้ ถ้าเข้าใจตรงนี้มันง่าย ไม่ใช่ยาก เพียงแต่ไม่ใช่วันนี้บรรลุธรรม ต้องใช้เวลา"
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
“...อัน ‘ความรู้สึกตัว’ นั้น
เราเรียกว่า‘สัญญา ความหมายรู้จำได้’
เราว่าอย่างนั้น
คำว่า‘สัญญา’ (อย่างที่)เราไปเรียนหนังสือ(แล้วจำได้)
หรือว่ามีสิ่งของอะไรวางไว้ที่ไหน (มี)สัญญาจำได้
อันนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่เป็นสัญญาวิปัสสนา
แต่ว่าคนส่วนมากเห็นสิ่งนั้นแหละ เป็นสัญญาของวิปัสสนา
คำว่า‘สัญญา’คำเดียวนี่ (ความหมาย)มันมาก
คำว่า*‘สัญญา(วิปัสสนา)’ หมายถึง‘การเคลื่อนไหว-รู้สึกตัว’*
นี่...หลวงพ่อว่าอย่างนี้
แล้วก็จำได้
เอียงซ้าย-เอียงขวา รู้สึกตัว
เรียกว่า'สัญญาอันนี้' (สัญญาวิปัสสนา)
(กะ)พริบตาลืมขึ้น-หลับลง ให้รู้สึก
อันนี้เรียกว่า'สัญญาอันนี้' (สัญญาวิปัสสนา)
ตามันเหลือบซ้าย-แลขวา ให้รู้จัก
อันนี้เรียกว่า'สัญญาอันนี้' (สัญญาวิปัสสนา)
บัดนี้จิตใจมันนึกมันคิด ให้รู้จัก
(นี่ก็เรียกว่า)'สัญญาอันนี้' (สัญญาวิปัสสนา)
*เรียกว่า'รู้เท่า-รู้ทัน รู้จักกัน-รู้จักแก้
รู้จักเอาชนะความคิดตัวเองได้'*
อันนี้เป็นเบื้องแรก
เมื่อรู้อย่างนี้ รู้มากเข้า-รู้มากเข้า
เหมือนกับเราเอาน้ำเทใส่ขวดแก้ว
บ้านหลวงพ่อเรียกว่า ‘น้ำใส่ขวดแก้ว’
เอาน้ำเทใส่แล้ว มันเต็มแล้ว
น้ำมันล้นแก้ว มันไหลออกไป
เมื่อน้ำไหลออกไป-มันถูกดิน ดินมันก็ชุ่มก็เย็น
เมื่อดินชุ่ม-ดินเย็นแล้ว
รากไม้อยู่ใกล้ ๆ น่ะ มันก็เข้ามาดูดซึมเอาไป
เรียกว่าเป็นการบำบัด หรือว่าบำรุง
ให้ฝุ่น-ให้ปุ๋ย ให้น้ำ
ต้นไม้ก็งาม
ดังนั้น อันนี้ก็เช่นเดียวกัน
*เมื่อมันรู้สึกตัวทุกสิ่ง-ทุกอย่างพร้อมแล้ว
เรียกว่า (มี)สัญญาอย่างสมบูรณ์
เมื่อสัญญาจำได้ (ก็)เกิดญาณปัญญา*
*‘ญาณ’ จึงว่า'เข้าไปรู้ สัมผัสแนบแน่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น'
เรียกว่า‘ญาณของปัญญา’
ปัญญาก็รอบรู้
รู้อะไร ? รู้ตัวเรา*
'สัมมาทิฏฐิ' กับ 'มิจฉาทิฏฐิ' มันอยู่ที่ตรงนี้ ...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
“เคารพธรรม”
...การทำงานคือการปฏิบัติธรรม อันนั้นพูดโดยสมมติ ถ้าพูดโดยความจริงการปฏิบัติธรรมไม่ใช่การทำงาน พูดอีกนัยหนึ่งการทำงานคือการปฏิบัติธรรมมันพูดโดยสมมติ
การที่เราตื่นมาตั้งแต่ตื่นจนถึงลงนอน เรามีสติสัมปชัญญะตามมือตามเท้าตามใจ ตามทุกอย่าง ดูมันตลอด ให้รู้เหตุรู้ผล ทำไปเพื่อพยายามละโลภโกรธหลงในใจ มันจะคิดนึกปรุงแต่งมันไปเพื่อโลภโกรธหลงไหม มันทำไปมันขาดสติไหม มันทำไปเพื่อโลภโกรธหลงไหม
ถ้าเราตามระมัดระวังอยู่นั้นตั้งแต่ตื่นนอนถึงลงนอน นั้นล่ะคือปฏิบัติธรรม เขาเรียกอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถบรรพในกายานุปัสสนา ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวสติสัมปชัญญะตามไป เขาเรียกว่าสัมปชัญญะบรรพ คืออิริยาบถย่อยในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน นั้นท่านจึงเรียกว่า “เอกายนมัคโค ทางสายเอก” ไง
ทางสายเอก หมายความว่า สติสัมปชัญญะต้องเข้ามาสู่กายเวทนาจิตธรรม ไม่ส่งออกข้างนอกเป็นทางเดียว
เหมือนทางกรุงเทพฯ มาเมืองพล ถ้ามันมีเส้นทางเดียวแล้วเส้นอื่น ๆ มันไปที่อื่น มันไม่มีเชื่อมมาเมืองพล ก็เรียกว่าทางที่มาเมืองพลเป็นทางสายเอก อันนี้เหมือนกัน
สติปัฏฐาน ๔ กายเวทนาจิตธรรม เป็นเอกายนมัคโค ทางสายเอกทางแห่งผู้เดียว หมายถึงสติสัมปชัญญะระลึกอยู่ในกายเวทนาจิตธรรมนั่นเอง
วิจัยอยู่ในกายเวทนาจิตธรรม คือตนเองโดยสมมติ มันจะเห็นความไม่มีตัวตนไง มันไม่มีเรื่องคนอื่น
เมื่อเอากายเวทนาจิตธรรมเป็นอารมณ์ มันไม่มีเรื่องคนอื่น มันมีแต่รูปนามนั่นเองถ้าพูดโดยสมมติบัญญัติ อย่างปริยัติเขาพูดถึงเอารูปนามเป็นอารมณ์
เมื่อมีสติสัมปชัญญะอยู่ในกายเวทนาจิตธรรมไม่ส่งนอก เขาเรียกว่ารูปนามนั่นเอง จึงเป็นทางสายเอก ทางแห่งผู้เดียว หมายถึงว่าไม่มีคนอื่น
แต่ยังมีตัวตนนะ วิจัยจนมันเห็นแจ้งว่าสติปัฏฐาน ๔ ไม่มีอะไรเป็นของเรา วางหมด มันจึงจะหมดคำว่าตัว ตัวก็เลยแค่สมมติเรียกรูปเรียกนามเฉย ๆ มันจึงเป็นอย่างนั้น ผู้เดียวก็ไม่มีอีก มีแต่ความว่าง...
โดยท่านพระอาจารย์วิชัย กัมมสุทโธ
มรรค8 ในเชิงของจิตใจนั้น สัมมาต่างๆในมรรคทั้ง 8 ต่างมีส่วนผลัดกันสนับสนุนซึ่งกันและกัน
หลักที่สําคัญคือสัมมาทิฐิ คือการเห็นถูก เมื่อเห็นถูกเห็นความจริง จะทําให้สัมมาต่างๆการปฏิบัติต่างๆถูกตัองไปด้วย ที่นี้จะเห็นถูกได้เห็นความจริงได้ ต้องเข้าไปเห็นในระดับจิตใจ ไม่ใช่เพียงแค่การอ่านหรือความคิด(แต่ก็ต้องใช้ความคิด เพื่อเข้าสู่หนทางปฏิบัติ เพื่อเข้าไปเจริญวิปัสสนา สู่สภาวะที่ไร้คิด)
จะเห็นความจริงได้ก็ต้องเจริญ สัมมาสติและสัมมาสมาธิ เพราะ สติเป็นตัวกํากับใจ ทําให้เกิดสมาธิ สมาธิที่เข้าถึงความว่างจะเจริญวิปัสสนา เข้าไปถึงความรู้ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน เป็นธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาล เมื่อเข้าไปเห็นความจริงตรงนี้ เป็นการรู้แจ้งในวิชชา จิตเราจึงไปละอวิชชาได้ตรงนี้ เป็นการละขั้นสูงสุด ละด้วยปัญญาหรือวิปัสสนาญาณนั้นเอง
การเจริญสัมมาสติกับสัมมาสมาธิ จะทําให้ เกิดสัมมาทิฐิเป็นการเห็นความจริงที่ถูกต้อง (ไม่ใช่ไปอ่านหนังสือแล้วจะละได้ ไม่อย่างงั้นคนเรียนเก่งละได้หมดแล้ว ยิ่งคิดยิ่งไม่เห็น วิปัสสนาไม่เกิด)
เมื่อเกิดสัมมาทิฐิ เห็นถูก สัมมาต่างๆที่เหลือในมรรคจะค่อยๆครบองค์ไปเรื่อยๆ เป็นการเจริญในมรรค เพื่อให้ได้ผล หรือนิพพาน
Trader Hunter พบธรรม
ปัจจุบันอารมณ์ เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง
< ภัทเทกะรัตตะคาถา >
หันทะ มะยัง ภัทเทกะรัตตะคาถาโย ภะณามะ เส
เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงผู้มีราตรีเดียวเจริญเถิด
.............................................
อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง
บุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ด้วยอาลัย และไม่พะวงถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง
ยะทะตีตัมปะหีนันตัง อัปปัตตัญจะ นาคะตัง
สิ่งเป็นอดีตก็ละไปแล้ว สิ่งเป็นอนาคตก็ยังไม่มา
ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ
อสังหิรัง อะสังกุปปัง ตัง วิทธา มะนุพรูหะเย
ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง
ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้
อัชเชวะกิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว
ความเพียรเป็นกิจที่ต้องทำวันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้พรุ่งนี้
นะ หิ โน สัคะรันเตะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา
เพราะความผัดเพี้ยนต่อมัจจุราชซึ่งมีเสนามาก ย่อมไม่มีสำหรับเรา
เอวัง วิหาริมาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตัง
ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต จิกขะเต มุนิ
มุนีผู้สงบ ย่อมกล่าวเรียก ผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น ไม่เกียจคร้าน
ทั้งกลางวัน กลางคืน ว่า “ผู้เป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียว ก็น่าชม”
"ผู้ใดเห็นธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆอย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"
คำแปลท่อนนี้มีความสำคัญต่อการปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาเป็นอย่างมาก เพราะถ้าใครสามารถเจริญความเพียร ปัญญาและสติอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีเพียงไร วิปัสสนาภาวนา หรือความเจริญก้าวหน้าในทางธรรมก็จะเกิดขึ้นกับเขาผู้นั้นยิ่งๆขึ้นไปจนถึงความหลุดพ้น
ปัจจุบันอารมณ์ เป็นจุดเดียวที่เป็นความจริงของชีวิต เราสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ตรงนี้ ถ้าเป็นอนาคต หรือ อดีต เราจะแก้ไขอะไรไม่ได้เลย
ปัจจุบันอารมณ์จึงเป็นที่ตั้งของการทำวิปัสสนาภาวนา การเจริญมรรค 8 การเจริญสติปัฏฐาน 4
การเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ
ปัจจุบันอารมณ์คือสิ่งที่กำลังเกิดรู้ขึ้นมาในจิตใจเดี๋ยวนี้ หากผ่านเลยไปแล้วเรียกว่า "อดีตอารมณ์" หากยังมาไม่ถึงเรียกว่า "อนาคตอารมณ์"
ทุกท่านพึงทำความรู้ชัดใน ปัจจุบันอารมณ์ การเจริญวิปัสสนาภาวนาก็เพียงแต่ให้ทำหน้าที่อำนวยการหรือประคองธรรมชาติที่มีอยู่ในกายใจให้เขาได้ทำงานตามหน้าที่โดยอิสระเสรี ไม่มีสิ่งแทรกแซงใดๆ ธรรมชาติที่สำคัญ 3 อย่างตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าคือ...
อาตาปี ความเพียรเผากิเลส
สัมปชาโน ปัญญา ความรู้ตัวทั่วพร้อม
สติมา ความรู้ทัน ระลึกได้ ไม่ลืม
เอาทั้ง 3 อย่างนี้มารวมรู้ลงไปที่ปัจจุบันอารมณ์
วิปัสสนาปัญญา สติปัฏฐานทั้ง 4 หรือมรรคทั้ง 8 หรือโพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการก็จะเจริญไปเองตามธรรมชาติโดยอัตโนมัติ เพื่อทำให้เกิดความ
สมดุลย์ พอดี หรือลงสู่ปกติได้อย่างเป็นประจำตามธรรมชาติของกายและจิต
แต่ปัญหาของปุถุชนทั้งหมดก็คือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปแทรกแซงการทำงานตามธรรมชาติของกายและใจจนทำให้ชีวิตและกายใจนี้ ขาดสมดุลย์ ไม่เป็นปกติอยู่ตลอดเวลา จึงเกิดเป็นภาระ ความทุกข์ยากกับกายใจไม่รู้จักหยุดยั้งหรือจบสิ้น
สิ่งแปลกปลอมที่ว่านี้คือ ความเห็นผิด ความยึดผิด ว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวตน ตัวกู ของกู อันเป็นเหตุให้เกิด ตัณหา กิเลส อาสวะ กรรม และวิบากคือผลของกรรมให้ต้องรับและเสวยผลหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงสั่งสมพอกพูนไปไม่รู้จบสะสมข้ามภพข้ามชาติไปไม่รู้หมดสิ้น
ต่อเมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกทรงค้นพบวิธีการค้นหาและถอดถอนหรือสลายความเห็นผิดยึดผิดนี้ได้แล้วนำมาถ่ายทอดสอนต่อแก่ชาวโลก จึงจะสามารถพ้นโศก ความทุกข์ยากเข็ญเหล่านี้ไปสู่ชีวิตที่เป็นอิสระเป็นไทอย่างแท้จริง
พ้นจากอำนาจของสิ่งแปลกปลอมคือความเห็นผิด ยึดผิด อวิชชา นี้เสียได้ จนถึงอมตะสุขคือ นิพพาน
วิธีทำตนให้หลุดพ้นจากความเห็นผิดยึดผิดท่านเรียกว่า "วิชาวิปัสสนาภาวนา" หรือการเจริญมรรค 8 หรือการเจริญสติปัฏฐาน 4 หรือการเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประการนั่นเอง
เทคนิคการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา ส่วนรายละเอียดวิธีปฏิบัติ คงต้องมาสนทนาธรรมถามกันจึงจะรู้ชัดและละเอียดลึกซึ้งครับ สาธุ
อโศกะ
30/6/61/07.10
"พบจิตประภัสสรได้ในขณะใด"
"ฉะนั้นถ้าจะรู้พระพุทธศาสนาให้ง่ายและให้เร็ว จงพยายามสังเกตให้รู้จักจิตของตัวเอง ว่ามีเวลาไหนบ้างที่ไม่เศร้าหมอง คือไม่มีกิเลสครอบงำ, ดูเหมือนจะหาได้ยาก และยากที่จะรู้สึก ยากที่จะรู้จัก : พอรู้สึกเข้า มันรู้สึกสบาย ก็พอใจเสีย ก็กลายเป็นกิเลสไปอีกอันหนึ่งแล้ว!
ถ้าสมมติว่าพบจิตที่ไม่เศร้าหมองไม่มีกิเลส รู้สึกสบาย รู้สึกพอใจ : มันก็เกิดความพอใจ ยึดมั่นถือมั่นในความสบาย ความรู้สึกสบายนั้นเสียอีก, มันก็กลับเศร้าหมองเสียอีก : เลยระยะเวลาที่เหลืออยู่เป็นประภัสสรล้วนๆนั้นมันหายาก แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันก็มีอยู่ ขอให้ช่วยตั้งต้นศึกษาให้รู้จักจิต : บางเวลาบางโอกาสไม่ได้เศร้าหมอง, ให้รู้จักจิตชนิดนี้ไว้เป็นเดิมพัน แล้วมันก็จะชอบพระนิพานได้ง่ายขึ้น เพราะพระนิพพานก็คือสิ่งที่จิตรู้สึก. เมื่อจิตไม่เศร้าหมองด้วยประการทั้งปวง เรียกว่าจิตอยู่กับภาวะนิพพาน"
พุทธทาสภิกขุ
จิตส่งออกนอก เป็น สมุทัย
ผลอันเกิดจากที่ จิตส่งออกนอก เป็น ทุกข์
จิตเห็นจิต อย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจาก จิตเห็นจิต อย่างแจ่มแจ้ง เป็น นิโรธ
..
อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต
ย่อมส่งออกนอก เพื่อรับอารมณ์นั้น ๆ โดยธรรมชาติของมันเอง
ก็แต่ว่า ถ้าจิตส่งออกนอก ได้รับอารมณ์แล้ว
จิตเกิดหวั่นไหวหรือกระเพื่อมตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจาก จิตหวั่นไหวหรือกระเพื่อม ไปตามอารมณ์นั้น ๆ เป็นทุกข์
ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว
แต่ไม่หวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น ๆ มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือ ไม่กระเพื่อม เพราะมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ
พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีจิตไม่ส่งออกนอก จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม
จบอริยสัจ ๔ ..
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ขั้นอบรมสติยังไม่ถึงปัญญาวิปัสสนา
สติที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว พระไตรลักษณญาณจะเกิดขึ้นเอง
รวมเรียกว่าขันธ์5ลงสู่พระไตรลักษณ์โดยอัตโนมัติ...
ยามที่พิจารณาไม่ชัด อย่าได้ท้อแท้ ท้อถอยแต่ให้เข้าใจว่า....
ที่ไม่ชัด เพราะสติ สมาธิเราอ่อนไป
ให้ปล่อยวางการพิจารณานั้นเสียแล้วให้มาอบรม สติ สมาธิให้มีกำลังมากขึ้น
อย่าอยากให้รู้ชัดโดยลืมนึกไปถึงสติ-สมาธิของตน...
ทางเดียวที่จะถอนอุปทานเสียได้ มีแต่พิจารณาในขันธ์5
เมื่ออำนาจสติมีกำลังเพียงพอ อุปทานก็ปล่อยวางแล้วทุกข์จะมาจากไหน
วิปัสสนา ต้องพิจารณาลงที่ขันธ์5
เมื่อเกิดก็เกิดจากธาตุ4 แตกสลายก็ลงที่ธาตุ4
กลับไปกลับมาตามสภาพของมันเป็นอยู่อย่างนั้น
ไม่มีตัวตน เค้าเรา หาแก่นสาระอันใดไม่ได้...
สติ สมาธิ ปัญญา สมดุลย์กันโดยอัตโนมัติ ปัญญาย่อมก่อเกิด คือไม่ว่าจะเห็น
จะรู้ อะไรทางอายตนะทั้ง6 พระไตรลักษณ์จะเกิดขึ้นพร้อมทั้ง3...
คำว่า..สติสมบูรณ์
สติที่สมบูรณ์ไม่ต้องควบคุม รักษา แต่มันจะมีสติพอดีกับอารมณ์
ที่จะมาปรากฏขึ้นที่จิตแล้วรู้เท่าทันเพราะเหตุมาจากการที่เราได้อบรมมาดีแล้ว
ไม่มีส่งจิตออกนอกไปจากอารมณ์ที่ปรากฏขึ้น
จิตนั้นรู้แล้วก็วางเฉย บางทีก็เกิดสังเวชในเรื่องนั้นๆ
เราไม่ต้องเอาสติไปควบคุมจิต
สติกับจิตมันได้สัดส่วนกันมันคุมกันเอง นี่เรียกว่า สติสมบูรณ์...
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี...
#วางจิตตามสภาพแห่งจิต วางรู้ตามสภาพแห่งรู้
ถ้าจะสรุปให้สั้นเข้าแล้ว หลักในการปฏิบัติก็มีดังนี้ คือ
๑. กำจัดอารมณ์ที่ชั่วออกจากจิตให้หมด
๒. ทำจิตให้อยู่ในอารมณ์ที่ดี
๓. อารมณ์ที่ดีต่างๆ ให้ต้อนเข้าไปรวมอยู่ใน "จุดอันเดียว" ที่เรียกว่า "เอกัคคตารมณ์"
๔. พิจารณา "อารมณ์หนึ่ง" นั้นให้เป็น "อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นอนัตตา" ไม่ใช่ตัวตน สัตว์บุคคล "ว่างเปล่า"
๕. วาง "อารมณ์" ที่ดีและอารมณ์ชั่วไปตามสภาพของอารมณ์
เพราะ "ดีและชั่ว" ย่อมอยู่ด้วยกัน มีสภาพ "เสมอกัน"
วาง "จิต" ไว้ตาม สภาพของจิต .. "รู้ " ไว้ตาม สภาพแห่งรู้
รู้นั้น .. "ไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักดับ" นั้นแล คือ "สันติธรรม"
ดีก็รู้ ... ดีไม่ใช่รู้ รู้ไม่ใช่ดี
ชั่วก็รู้ ... รู้ไม่ใช่ชั่ว ชั่วไม่ใช่รู้
คือ รู้ไม่ติดความรู้ รู้ไม่ติดสิ่งที่รู้
นั่นแหละคือ "ธรรมชาติ" "ธาตุแท้อันบริสุทธิ์" ผุดผ่องเหมือน "น้ำที่อยู่ในใบบัว"
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
สติปัฏฐาน ๔ แบบง่ายๆ
การภาวนา เท่าที่ได้ข้อมูลมานี่ง่ายสุด ไม่ต้องไปนึกอะไร
อย่างดีก็ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ จบ
แล้วทำสติกำหนดรู้จิตเฉยอยู่ พอจิตว่างอยู่ ปล่อยให้ว่าง
ถ้าจิตคิด ปล่อยให้คิด เอาสติตามรู้ ทีนี้
ถ้าหากว่าจิตยังไม่มีพลัง พอคิดปั๊บ เรากำหนดรู้ เขาจะหยุดคิด
มันก็เป็นความว่าง ว่างแล้วเราก็รู้อยู่ที่จิต
- การรู้อยู่ที่จิต เป็น "จิตตานุปัสสนา"
- เมื่อจิตคิดขึ้นมา เรากำหนดรู้ ก็ "ธัมมานุปัสสนา"
- พร้อมๆกันนั้น สุขทุกข์เกิดขึ้น
จิตของเราก็รู้เองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เป็น "เวทนานุปัสสนา"
- กิริยาอาการที่กำหนดหมายรู้สิ่งต่างๆได้
มันเกิดจากประสาทสมอง ก็เป็นเรื่องของ "กายานุปัสสนา"
พอนั่งพั๊บลงไป เราก็รู้ว่าเรามีกาย
นั่งไปนั่งมา
* มีสุข มีทุกข์ เราก็รู้ จิตว่างเราก็รู้
จิตคิดเราก็รู้ เวลาจิตว่าง
เป็นจิตตานุปัสสนา
* ถ้าจิตคิด เป็นธัมมานุปัสสนา
* เมื่อจิตว่างอยู่เฉยๆ พอรู้อยู่ที่ความว่าง
คือมันไม่มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้น
จิตรู้อยู่ที่จิต ก็เป็นจิตตานุปัสสนา
* แต่ถ้ามันคิดขึ้นมาปั๊บ
เรื่องที่คิดเป็น ธัมมานุปัสสนา
กำหนดหมายเอาอย่างนี้ง่ายดี
ถ้าเรายังอยู่ในความคิดอันนั้น
ก็เป็นธัมมานุปัสสนาเรื่อยไป
(ถึงแม้เรื่องที่คิดจะไม่เกี่ยวกับธรรมะ) ...
อันนี้นักธรรมะเราคงจะเข้าใจผิดว่า
ความคิดเรื่องราวต่างๆ
เรื่องโลก เรื่องธรรม
เรื่องอะไรจิปาถะ
ถ้านอกจากคัมภีร์แล้ว ถือว่าไม่ใช่ธรรมะ
แต่ความจริง สิ่งที่เป็นอารมณ์จิตทั้งหมดที่เรารู้ด้วย
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทั้งหมด ทั้งเรื่องธรรมะ
ทั้งเรื่องวิชาการทางโลก
ทั้งธรรมศาสตร์ รัฐศาสตร์
วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมะทั้งนั้น
ธรรมะทั้งหลายเหล่านี้
เป็นสิ่งระลึกของจิต
สิ่งระลึกของสติ
เพราะฉะนั้น
จิตของเราจะคิดถึงเรื่องอะไรก็ตาม
เป็นเรื่องของธรรมะทั้งนั้น
คิดเรื่องบาป ก็เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คิดเรื่องบุญ ก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คิดเรื่อง นรก สวรรค์ นิพพาน
ก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
คิดเรื่องครอบครัว
ก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เมื่อจิตคิดไป
ไม่ต้องบังคับให้จิตกลับมาบริกรรมพุทโธ
ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
แต่เอาสติจ่อเอาไว้
ทีนี้มันสังเกตง่าย
ถ้าจิตของเรายังไม่มีพลังเพียงพอ
พอคิดขึ้นมา เรากำหนดรู้
เขาจะว่าง นี่แสดงว่าจิตยังไม่มีพลัง
พอจิตมีพลัง เราฝึกไปเรื่อยๆ เขาคิดขึ้นมา
เรากำหนดรู้ เขาไม่ยอมหยุด
จะให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด
อันนี้เรียกว่า จิตมีพลังงาน
#มันจะเป็นไปทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว
#จิตจะปรุงแต่ง_ดีชั่ว_บาปบุญ
#ไม่สำคัญ อย่าไปสนใจ
เพียงแต่รู้อย่างเดียวเท่านั้น
#สิ่งใดที่จิตเราแต่งขึ้นมาเอง
#เราไม่ได้เจตนาที่จะแต่งขึ้นมา
#มันไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป
#มันเป็นกลางๆ
#บุญบาปนี่ต้องมีเจตนา
#ถ้าเจตนาไม่พร้อม_คิดปรุงแต่งอย่างไร
#ก็ไม่มีบาปไม่มีบุญ
+++++
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
สมถะ-วิปัสสนา
เป็นชื่อแห่งวิธีการเท่านั้น
ในเมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ
สุข เอกัคคตา ก็เป็นปฐมฌาน
ปฐมฌานนี่การเดินจิตในสมาธิขั้นวิปัสสนา
ซึ่งมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
นักปฏิบัติปัจจุบันนี้เข้าใจว่า สมถะ กับ วิปัสสนา
เป็นคนละอย่าง
การเข้าฌาน ถ้าเป็นปฐมฌาน จิตก็เดินวิปัสสนาได้
ถ้าทุติยฌาน วิตก วิจาร หายไป เดินวิปัสสนาไม่ได้
กลายเป็นฌานสมาบัติ
ฌานสมาบัติเริ่มตั้งแต่ทุติยฌานเป็นต้นไป
แต่ลักขณูปนิชฌาน (ฌานในอริยมรรค)
หมายถึง ปฐมฌาน ฌานที่ ๑
ในเมื่อเข้าสมาธิลึกลงไปแล้ว ถอนจิตออกมาเจริญวิปัสสนา เป็นไปไม่ได้ นอกจากจิตจะถอนเอง
ที่ว่าถอนจิตออกมาเจริญวิปัสสนานี่ เป็นโวหารเท่านั้น
แต่แท้ที่จริง จิตเข้าไปอยู่ในฌานสมาบัติแล้วถอนออกมาเอง
พอถอนออกมาแล้ว มาถึงระยะที่รู้สึกว่า
มีร่างกายตัวตน มาสัมพันธ์กับประสาททางสมอง
จิตจะเกิดความคิดขึ้นมาเอง
ในช่วงนี้ พอจิตเกิดความคิดขึ้นมา เราปล่อยให้มันคิดไป
เอาสติตัวเดียวตามรู้ๆๆๆ ก็เป็นการเจริญวิปัสสนา
ที่เข้าใจกันโดยทั่วๆไป
เราเดินวิปัสสนา หมายถึง พิจารณาพระไตรลักษณ์
ยกเอา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอารมณ์
ทีนี้เมื่อเราพิจารณา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา...นี่เป็นภาคปฏิบัติ
แต่เมื่อพิจารณาไปแล้ว จิตสงบลงไป...บางทีมันไปนิ่งอยู่เฉยๆ
ผู้ปฏิบัติก็ว่าตัวได้ฌานการเจริญวิปัสสนามาแล้ว...แต่มันไม่ใช่
การพิจารณา...เป็นอุบายทำจิตให้สงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
บริกรรมภาวนา...ก็เป็นอุบายทำให้จิตสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
พอจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ...มันจะเกิดวิปัสสนา
มันจะเป็นเองโดยอัตโนมัติ
อย่างบางทีเราพิจารณาภูมิวิปัสสนาอยู่แทบเป็นแทบตาย พอจิตสงบลงแล้ว มันไปนิ่งอยู่เฉยๆ เป็นสมถะ
บางทีนึกว่าจะภาวนาพุทโธๆๆๆ พอมันสงบสบายๆ พอมันสงบแล้ว มันไม่หยุดแค่สบาย...มันกระโดดไปเล่นวิปัสสนา
เพราะฉะนั้น
สมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี จึงเป็นชื่อแห่งวิธีการเท่านั้น
การบริกรรมภาวนาก็ดี
การพิจารณาก็ดี
เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ
การปฏิบัติตามแบบวิปัสสนานี่ เราพิจารณามันเป็นแนวทาง
พอจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว...มันจะเกิดวิปัสสนาขึ้นมาเอง
ไม่ต้องไปน้อมนึกให้มันเป็น...มันเกิดเอง
บางทีพิจารณาเรื่องวิปัสสนา...พอสงบ มันก็สงบๆๆๆไป
จนกระทั่งรู้สึกว่าร่างกายตัวตนหาย
เหลือแต่จิตสว่างอยู่ดวงเดียว ทีนี้เมื่อถอนจากสมาธิขั้นนี้มา พอรู้สึกว่ามีกายปั๊บ...มันเกิดความคิดขึ้นมา...นี่เริ่มวิปัสสนาแล้ว
ในเมื่อจิตเป็นสมาธิตามธรรมชาติของสมาธิ
สารพัดที่จิตจะปรุงแต่งขึ้นมา มันไม่อยู่ในขอบเขตที่เรากำหนดไว้
เช่น อย่างผู้ที่เคยเรียนวิชาทางโลกมาศาสตร์ไหน มีธุรกิจเกี่ยวข้องอยู่ในเรื่องอะไร
เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิตามธรรมชาติแล้ว มันก็ไปหาวิชาความรู้และธุรกิจที่เคยคล่องตัวอยู่
ในลักษณะอย่างนี้ นักปฏิบัติทั้งหลายท่านว่าจิตมันฟุ้งซ่าน
แต่ความจริงไม่ใช่จิตฟุ้งซ่าน อะไรที่มันคล่องตัวอยู่ มันข้องอยู่ มันติดอยู่ มันจะไปวิจัยเรื่องนั้น
อย่างบางทีเราพิจารณาสมถะ พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น พระดูก เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก...เราตั้งใจพิจารณา
แต่เมื่อจิตสงบพั๊บลงไป มันไม่อยู่กับอารมณ์ที่พิจารณา
มันจะวิ่งไปหาวิชาที่เราเรียนมา ผู้ที่เรียนมาทางวิทยาศาสตร์ ครุศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ มันก็วิ่งไปหาวิชาที่เรียนมา แล้วมันจะไปวิจัย
แล้วในความเป็นไปของจิต ในขณะที่อยู่ในสมาธิตามธรรมชาตินี่ มันกระโดดไปกระโดดมา กระโดดไป กระโดดมา เมื่อเป็นเช่นนั้น มันเป็นวิปัสสนา เป็นปัญญาได้อย่างไร
มันเป็นได้ตรงที่สติไล่ตามทัน สติที่รู้ทันเหตุการณ์ในจิตนี่ เรียกว่า สมาธิปัญญา หรือวิปัสสนา
แล้วเวลามันไป มันไม่ได้ไปเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนพระเทศน์ให้โยมฟัง ประเดี๋ยวมันวิ่งไปโน่น ประเดี๋ยวมันวิ่งไปนี่ บางทีมันออกไปนอก บางทีมันวิ่งเข้าใน
แต่ผลงานของมัน ก็คือสติ ตัวที่รู้ทันเหตุการณ์นั้นๆ
มันจะไปไหน สติก็จ่อๆๆๆ ตามรู้
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ในธัมมจักกัปวัตตนสูตร อันเป็นพระปฐมเทศนา ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ว่า เทฺว เม ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายไม่ควรเสพสองฝั่ง คือความรักและความชัง ให้ปฏิบัติอยู่ในสายกลาง คือความไม่รักและไม่ชัง เพราะความรักความใคร่ ความชอบใจด้วยอำนาจแห่งความกำหนัด มันเป็นไฟตัวราคะ
เมื่อไฟราคะตัวนี้ติดขึ้นแล้วภายในจิตใจของผู้ใด ก็ย่อมแผดเผาจิตใจของผู้นั้นให้ได้รับความเดือดร้อน ดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ไม่เป็นสุข เถลไถลไปตามอำนาจแห่งความรัก จนไม่มีสติเป็นคนเสียสติ ไม่มีปัญญาอุบายเป็นเครื่องรักษาตัวเอง เสียความสำรวมระวัง
ไม่มีหิริ โอตตัปปะความละอายความเกรงกลัวในจิตใจ ให้ประพฤติความชั่วช้าที่เป็นกรรมอันลามก นำทุกข์นำโทษอันเป็นภัย นำความเดือดเนื้อร้อนใจมาสู่ตนของตน อันเป็นผลมาจากความรักและไฟราคะ นี่ภิกษุทั้งหลายอันพวกเธอทั้งหลายไม่ควรเสพสองฝั่ง อันเบ็นฝั่งฝ่ายแห่งความรัก และมันเป็นทุกข์เป็นโทษประกอบไปด้วยภัยมีประการต่าง ๆ อย่างนี้ ๑
ยังฝั่งอีกข้าง ๑ อันพวกเธอผู้เป็นบรรพชิตไม่ควรเสพ คือความชัง มันเป็นไฟตัวโทสะ เมื่อไฟคือโทสะตัวนี้ติดลุกขึ้นแล้ว ในจิตสันดานของบุคคลผู้ใด ย่อมแผดเผาบุคคลผู้นั้นให้มีจิตนั้นคิดประทุษร้าย กระทำสิ่งที่ลามก อันเป็นกรรมเลวทราม ไม่มีหิริและโอตตัปปะ อันเป็นความละอายต่อบาป เกรงกลัว ต่อบาป
ความชั่วที่ตนกระทำนั้นแหละ มันจะนำทุกข์นำโทษนำภัย ให้ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจมาสู่ตนของตน อันเป็นผลมาจากฝั่ง คือความที่ภิกษุทั้งหลายไม่ควรเสพ คือความชัง ส่วนอันความไม่รัก ความไม่ชัง นั้นแหละเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางสายกลางที่ภิกษุควรพากันดำเนินและประพฤติปฏิบัติตาม มัชฌิมาสายกลาง
ปฏิปทาอันเป็นข้อปฏิบัตินี้ เป็นทางที่ปราศจากภัยอันตราย อุปมาเหมือนเราเดินทางเราหลีกออกจากทางไปข้างซ้ายก็มีแต่ขวากแต่หนาม จะหลีกไปข้างขวาก็ไปโดนแต่หนามอีกนั่นแหละ หรือเปรียบเหมือนรถยนต์แล่นออกจากถนนไปหาฝั่งริมถนนข้างซ้ายก็ติด รถก็คว่ำ หรือแล่นออกไปหาฝั่งริมถนนข้างขวาก็ตก รถคว่ำ เป็นภัยอันตรายมีความเสียหายแก่ตัวของตัวเอง
ถ้าหากว่ารถวิ่งไปตรงตามทางไม่หลีกออกจากทางแล้ว ก็แล่นไปได้สะดวกสามารถไปให้ถึงที่จุดหมายปลายทางได้โดยปลอดภัย นี้ฉันใด อันภิกษุผู้ยินดีในความก้าวหน้าปรารถนาแต่ความสุขความเจริญแก่ตนเองแล้ว พึงเว้นการเสพสองฝั่งเสียให้เด็ดขาด พึงตั้งใจประกอบการประพฤติปฏิบัติในมัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นหนทางสายกลาง เว้นจากความรักและความชัง อันเป็นมูลเหตุให้เกิดอภิชฌาและโทมนัส
ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติตามหนทางสายกลางนั้น ต้องเป็นผู้สำรวมระวังจิต ย่อมรักษาจิตไม่ให้จิตเกิดอภิชฌา คือความยินดีในความรักใคร่ชอบใจ และโทมนัส คือความยินร้ายในอารมณ์ที่น่าเกลียดที่น่าชัง ต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตอันสมบูรณ์ บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ ตั้งมั่นอยู่ในท่ามกลางปริมณฑลแห่งศาสนา อยู่ตรงไหนปริมณฑลของศาสนา วัดจากไหนไปถึงไหน
ท่านบอกว่าปริมณฑลของศาสนานั้นส่วนกว้างศอกกำมา ยาววา หนาคืบ คือเบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงไปถึงสุดปลายเท้า ส่วนเบื้องบนก็ตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นไปจนถึงปลายผม ด้านข้างขวาก็ไปสุดปลายมือขวา ด้านซ้ายก็ไปสุดปลายมือซ้าย ด้านข้างหน้าก็ไปสุดที่กระดูกหน้าอก ด้านหลังก็ไปสุดที่กระดูกสันหลัง นี้เป็นปริมณฑลของศาสนามีอยู่เพียงเท่านี้ ไม่ใช่อยู่ที่อื่นที่ไกล
ศาสนาอยู่ในร่างกายของเรานี้ ที่เขาว่าศาสนาอยู่ที่เมืองลังกา ไม่ใช่เมืองลังกาโน้น อยู่ในเมืองคือร่างกายของเรานี้ ให้พวกเราภาวนาพิจารณากายอันนี้ จนให้เป็นกายปัสสัทธิจิตปัสสัทธิ คือสงบกายและสงบจิต ที่เรียกว่ากายวิเวก จิตวิเวก
เมื่อเราอบรมอยู่ในกายวิเวก จิตวิเวก ทำให้มากเจริญให้ยิ่งด้วยความไม่ประมาทในการประกอบกายวิเวกและจิตวิเวก เราก็จะได้ลุถึงซึ่งอุปธิวิเวกซึ่งเป็นความสงบอันยอดเยี่ยม เราควรปฏิบัติอย่างนี้ในหนทางอันเป็นมัชฌิมาปฏิบัติ คือปฏิบัติตามหนทางสายกลาง
จิตของเราจึงจะไม่หลงติดอยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ในภพทั้ง ๓ อันเป็นที่ท่องเที่ยวเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ที่ยังมีความหลงติดอยู่ในกามารมณ์ รูปารมณ์ และอรูปารมณ์ สัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวถือเอากำเนิดเกิดอยู่ในกามภพก็มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นกามารมณ์เป็นที่อยู่อาศัย สัตว์ทั้งหลายที่มีความประมาท เมาเพลิดเพลินหลงติดอยู่ในอารมณ์อันใด อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม
สัตว์เกิดอยู่ด้วยอันใด ความแก่ของสัตว์ทั้งหลายก็แก่ด้วยอารมณ์อันนั้น เจ็บก็เจ็บด้วยอารมณ์อันนั้น ตายก็ตายด้วยอารมณ์อันที่ตนหลงนั้น ถ้ากิเลสความหลงตัวนี้ยังมีอยู่ตราบใด ความเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย เวียนว่ายวนเวียน ไม่รู้แล้วสิ้นสุดลงได้
เมื่อความเกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วตายอีก ยังเป็นไปอยู่อย่างนี้ ทุกข์ทั้งหลายอันอาศัยความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วเกิดขึ้น ที่เรียกว่าชาติทุกข์ ชราทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณทุกข์ ก็ย่อมติดตามทรมานสัตว์ทั้งหลายไปทุกภพทุกชาติไม่มีที่จะสิ้นสุดลงได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเราทั้งหลายมามองเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ว่าความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีอยู่ในตัวของเรา อันตัวของเรานี้ตกอยู่ในกองทุกข์ ที่อาศัยความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ครอบงำเราแล้ว ควรแล้วหรือ เราจะมามัวหลงประมาทอยู่ ไม่รีบทำความเพียรในทางอันเป็นหนทางให้พ้นไปจากทุกข์ อันเป็นทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา เราควรประพฤติและปฏิบัติตามและพึงเว้น
อันที่ภิกษุไม่ควรเสพสองฝั่ง คือความรักและความชัง แล้วมาตั้งอยู่ในความวิเวก คือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ให้พากันทำให้มาก เจริญให้ยิ่งในความวิเวกเหล่านั้นโดยแยบคายในอุบายอันอาศัยความไม่ประมาท ปฏิบัติอย่างนี้อยู่ทุกวันทุกเวลา เราก็จะมีแต่ความสุขเกษมสันติตลอดกาลทุกเมื่อ ฯ
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
อย่าบังคับจิตให้หยุดนิ่ง
เมื่อก่อนหลวงพ่อก็บังคับจิตให้มันอยู่กับพุทโธเหมือนกัน
สามารถให้มันอยู่ได้เป็นหลายๆชั่วโมง
บางทีมันไปจนกระทั่งรู้สึกว่า
ร่างกายตัวตนหายหมด
แต่ภายหลังมันไม่เป็นอย่างนั้น
พอพุทโธ พุทโธ ๒-๓ ครั้ง
ความคิดมันฟุ้งๆ
ภายหลังมานี่ เอ๊ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ
จะพยายามบังคับให้มันหยุดนิ่งเหมือนอย่างเก่ามันไม่ยอมหยุด
หนักๆเข้ามันปวดหัวมัวเกล้าขึ้นมา
มันเกิดเครียด
ในที่สุดก็เลยตัดสิน เอ้า!
แกจะปรุงจะแต่งจะคิดไปถึงไหน
เชิญเลย
จะบ้าก็บ้าไป ดีก็ดีไป
พอปล่อยไปๆ ยิ่งคิดไปก็ยิ่งเบาไปๆๆๆ
ลงผลสุดท้าย กายค่อยจางหายไป
เหลือแต่จิตดวงเดียวนิ่งสว่างไสวอยู่
สภาวะที่เป็นความคิด
ก็ปรากฏให้เรารู้เห็น เกิด-ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับ จึงมาได้ความ
หลวงพ่อก็ใช้เวลานานเหมือนกันนะ
ตั้งแต่อายุ ๑๕ ปีย่าง
จนกระทั่งผมเป็นสองสีถึงเข้าใจ
ไม่ใช่ย่อยนะ
หนังสือคัมภีร์ต่างๆ
ที่เราเรียนมามันลืมหมด
เพราะเราไปติดคำว่า
“ต้องทำจิตให้หยุดนิ่งเป็นสมาธิ สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน”
ถ้าเราปล่อยให้จิตอยู่ว่างๆ
ถ้าหากว่ามันจะหดหู่หรือขี้เกียจ
ก็เอาพุทโธมาท่องๆ
กระตุ้นเตือนมันพุทโธๆ
ทีนี้มันทิ้ง พุทโธ ปั๊บ
มันเกิดความคิดขึ้นได้ ปล่อยไป
หลักฐานในคัมภีร์นี่ ในเมื่อเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว
ไปค้นดู มีถมเถไป
สมาธิหรือฌาน มีอยู่ ๒ อย่าง
จิตสงบนิ่ง สว่าง
รู้ ตื่น เบิกบาน
ไปจนกระทั่งร่างกายตัวตนหาย
แต่ไม่มีความรู้สึก อันนี้เรียกว่า " สมาธิในฌานสมาบัติ "
พอจิตสงบพั้บลงไป ไปว่างอยู่นิดหนึ่ง
บางครั้งมีความคิดโผล่ขึ้นมาๆอันนี้เรียกว่า
(สมาธิใน อริยมรรค)
สมาธิในฌานมันโง่
สมาธิในอริยมรรค มันฉลาด
#จิตสงบแล้วมันเกิดความรู้ความคิดขึ้นมา
#ท่านว่าสมาธิในอริยมรรค แต่แท้ที่จริง มันก็คือสมาธิมีวิตก วิจาร
เมื่อจิตสามารถดำรงตัวอยู่ในสภาพปกติ
วิตกคิดไป สติรู้ไปๆ ความดูดดื่มมันก็เกิดขึ้น
เกิดปีติ เกิดความสุข แล้วก็เกิดความเป็นหนึ่ง
สมาธิแบบนี้ จิตเป็นหนึ่งนั่นแหละ
รู้อยู่ที่จิตนั่นแหละ ความคิดมันจะผุดขึ้นๆ อย่างกับน้ำพุ
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
#ปุจฉา: การมีสติรู้ตัว กับ วิปัสสนาญาณ 16 มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
แล้วจะพัฒนาให้เกิดวิปัสสนาญาน 16 ได้อย่างไร?
#วิสัชนา: ตอบปัญหาธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระองค์จะไล่ลำดับอย่างนี้นะ
“สัมมาสติ” ก็คือ การระลึกรู้ที่ถูกต้อง
ก็คือ รู้สึกกาย รู้สึกใจ เป็นชั้นในสัมมาสติ คือ
จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น เป็นจิตที่ไหลไปกับอารมณ์อยู่
ก็ฝึกรู้เนื้อ รู้ตัวขึ้นมา
พอฝึกไปเรื่อย จนสติตั้งมั่น จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
“สัมมาสมาธิ” คือความตั้งมั่น ที่ถูกต้อง
สภาวะของสัมมาสมาธิ คือ จิตมันจะตั้งมั่นแล้ว
ไม่ส่งออก แล้วมันก็จะไต่ระดับสมาธิขึ้นไป
เกิดปิติ เกิดสุข เกิดอุเบกขา
จิตตั้งมั่นขึ้นมา
จากนั้น เมื่อเปลื้องจิตออก จะเข้าสู่วิปัสสนาญาณ
จากสัมมาสติ เกิด สัมมาสมาธิ
จาก สัมมาสมาธิ พลิกเป็น
“สัมมาญาณ หรือ วิปัสสนาญาณ”
คำว่า วิปัสสนาญาณ 16 นี่
พระ ครูบาอาจารย์ท่านขยายความอธิบาย รายละเอียดไว้ 16 ระดับ
แต่จริงๆ แล้ว มันรวมอยู่ในขั้นที่เรียกว่า วิปัสสนาญาณ นี่แหล่ะ
หรือ ยถาภูตญาณทัสสนะ การรู้เห็นตามความเป็นจริง
ซึ่งจะเกิด วิปัสสนาญาณได้ จะต้องมีสติที่ตั้งมั่นก่อน
ส่วนเรียบเรียงไว้ 16 ระดับ นี้คือ เป็นภาษาเรียบเรียง ก็คือ แจกแจงไว้
แต่ว่ารวมแล้ว ก็อยู่ในคำว่า วิปัสสนาญาณ หรือ เห็นตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น เราจะไม่พบ คำว่า ญาณ 16 ในพระสูตร
พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัสว่า ญาณ 16
แต่พระพุทธเจ้าจะพูดว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริง หรือ
ยถาภูตญาณทัสสนะ
ถ้าว่าโดยมรรค เนี่ย เราเคยได้ยิน มรรค 8 ใช่ไหม
มรรค 8
สัมมาสติ ข้อที่ 7
สัมมาสมาธิ ข้อที่ 8
โยมเคยได้ยิน มรรคที่ 8 ใช่ไหม
โยมว่ามันมีต่อไหม???
มี
จริง ๆ แล้ว มีทั้งหมดกี่มรรค?
10 มรรค
ต่อข้อที่ 9 คือ อะไรรู้ไหม???
สัมมาญาณ
ก็คือ วิปัสสนาญาณ นี่แหล่ะ
แต่บางพระสูตร จะเรียก
สัมมาญาณ หรือ วิปัสสนาญาณ ตรงนี้ เป็น
สัมมาทิฏฐิ ในชั้น โลกุตตระ
เราเคยได้ยินว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นชั้นปัญญา
แต่จริงๆ แล้ว ชั้นสัมมาทิฏฐิ เบื้องต้น ยังไม่จัดเป็นปัญญา
แต่ชั้นสัมมาทิฏฐิ ที่จะเป็นปัญญา คือ ชั้นสัมมาทิฏฐิ อันเป็นโลกุตตระ
ก็คือ ชั้น สัมมาญาณ
เห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริง
สัมมาทิฏฐิ เบื้องต้นยังไม่เห็น
แค่เข้าใจ
เข้าใจถูกต้อง ว่า อะไรคือทุกข์
อะไร คือเหตุทำให้เกิดทุกข์
อะไร คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
อะไร คือข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
ยังเป็นสัญญาอยู่
แต่สัมมาญาณ หรือ สัมมาทิฏฐิ อันเป็นโลกุตตระข้อที่ 9
เป็นการเห็นตามความเป็นจริง อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ
เมื่อเกิด สัมมาญาณ ก็จะเกิดข้อสุดท้าย ที่เรียกว่า
“สัมมาวิมุตติ” การหลุดพ้นที่ถูกต้อง
.
แล้วจะพัฒนาให้เกิดวิปัสสนาญาน 16 ได้อย่างไร?
พระพุทธองค์ตรัสว่า
เธอจงเจริญ สัมมาสมาธิ เถิด
เมื่อสติตั้งมั่น ธรรมทั้งหลายก็จะปรากฏ ตามความเป็นจริง
ฝึก สติปัฏฐาน โยม จนสติตั้งมั่น แล้วก็เปลื้อง ยกจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ
ก็จะเกิด วิปัสสนาญาณได้นะ
การเห็นตามความเป็นจริง โดยที่สติไม่ตั้งมั่น ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
เพราะฉะนั้น..
ถ้าโยมอยากจะเดินวิปัสสนา โยมก็ต้องฝึก "สติปัฏฐาน" จนมีสติที่ตั้งมั่น
และจะเกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
...................................................................
ตอบปัญหาธรรมโดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
ณ ยุวพุทธ o๔ / ๒0 พ.ย. ๒๕๖๒
การปฏิบัติทั้งหลาย เริ่มด้วยการปรุงแต่งทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเริ่มนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็ตาม ล้วนมีความคิดการกระทําเข้าไปปรุงแต่งทั้งนั้น แต่เป็นการกระทําปฏิบัติเพื่อให้จิตนั้นตั้งมั่นทรงตัวเป็นผู้รู้ ที่หมดการปรุงแต่งหมดการเข้าไปยึดถืออารมณ์ความคิด เข้าถึงความว่างที่ไร้การปรุงแต่งแห่งใจ ใจที่หมดความยึดถือจิตตั้งมั่นนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ จึงถือว่าเป็นการเริ่มเจริญวิปัสสนาแท้จริงเมื่อนั้น ธรรมแท้จะเห็นด้วยใจ ณ.ปัจจุบัน ก็ตรงนี้ จะต่อเนื่องไปเห็นไตรลักษณ์
ส่วนการใช้ความคิดปรุงแต่งไปพิจารณาถึงอาการต่างๆ ก็เป็นการปฏิบัติรูปแบบหนึ่ง ที่ใช้การปรุงแต่ง เพื่อน้อมนําเข้าไปสู่ "การรู้ ที่หมดการปรุงแต่ง" เช่นกัน แต่ต้องเข้าใจว่า ใช้เพื่อแค่ให้จิตมันสงบนิ่งไปอยู่กับการพิจารณาอาการ32 หรือคิดพิจารณาไตรลักษณ์แบบความคิด ซึ่งก็คือแบบเดียวกับวิธีการใช้พุทโธนั้นหล่ะ พุทโธก็เป็นการปรุงแต่ง เวลาคิดพุทโธ มีความคิดใช่ไหม เวลาคิดถึงอาการ 32 หรือคิดถึงไตรลักษณ์ ก็มีความคิดใช่ไหม แต่เป็นกุศโลบายของท่านผู้สอน เพื่อให้จิตไม่วอกแวกนั้นเอง ให้จิตมาอยู่กับพุทโธหรืออาการ32หรือคิดถึงไตรลักษณ์ แต่พอเมื่อไหร่ที่จิตตั้งมั่นดีแล้ว คําบริกรรมว่าพุทโธจะหายไป การคิดนึกถึงอาการ32 หรือคิดถึงไตรลักษณ์ ก็จะหายไปเองเช่นกัน เมื่อสมาธิมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ก็อย่าพยายามไปคิดถึงพุทโธหรืออาการ32หรือไตรลักษณ์แบบคิดเอา อีกเป็นอันขาด
เพราะจิตที่สงบตั้งมั่นมันทิ้งขันธ์ ทิ้งอารมณ์หยาบไปแล้ว อย่าไปถือมันกลับขึ้นมาอีก ให้รู้อยู่กับความว่างนั้น โดยเห็นความรู้สึกที่เกิด ความรู้สึกที่เกิดใดๆก็ให้แค่รู้ ความรู้สึกเองนั้นก็ไม่เที่ยง สังเกตุดีดี ว่าใครเป็นคนไปรู้ จิตผู้รู้เราเป็นคนเข้าไปรู้ แยกออกจากสิ่งที่ไปถูกรู้นั้น หรือความรู้สึกนั้นๆ เมื่อเห็นแล้ว ให้รู้ถึงจิตผู้รู้ ให้จิตผู้รู้เราเด่นขึ้นมา ให้มีกําลังกล้าแข็ง
เพื่อให้การเจริญวิปัสสนานั้นทําได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้นในอนาคต นี้หล่ะหนทางในการใช้สัญญา มาล้างสัญญา เมื่อล้างแล้วก็ต้องละสัญญาทิ้งไป ไม่ใช่มาถือสัญญาที่ใช้วางเอาไว้ไม่ปล่อย อย่างนี้มันก็กลายเป็นปรุงแต่งไม่เลิก จะทําให้วิปัสสนาไม่เกิดเสียทีครับ
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
#แนะนำหลักในการนั่งสมาธิ(แนวทางขององค์ท่าน)
…จะแนะนำหลักในการนั่งสมาธิ
ของท่านผู้ที่มาใหม่ยังไม่เคยทำ
พอให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
๑. ให้ตั้งใจว่าเรื่องราวอะไรทั้งหมด
เราจะไม่เก็บมาคิดนึก จะนึกถึงแต่พุทธคุณอย่างเดียว คือ “#พุทโธ”
๒. ตั้งสติกำหนดนึกถึงลมหายใจเข้าว่า พุท
ออกว่า โธ หรือ จะนึก พุทโธๆ
อยู่ที่ใจอย่างเดียวก็ได้
๓. ทำจิตให้นิ่ง #แล้วทิ้งคำภาวนา “พุทโธ” เสีย
ให้สังเกตแต่ลมที่หายใจเข้าออกอย่างเดียว
เหมือนกับเรายืนเฝ้าดูวัวของเราอยู่ที่
หน้าประตูคอก ว่าวัวที่เดินเข้าไปและออกมานั้น
มันเป็นวัวสีอะไร สีดำ แดง ขาว ด่าง
วัวแก่หรือวัวหนุ่ม เป็นลูกวัวหรือวัวกลางๆ
แต่อย่าไปเดินตามวััวเข้าไปด้วย
เพราะมันจะเตะขาแข้งหักหรือขวิดตาย
ให้ยืนดูอยู่ตรงหน้าประตูแห่งเดียว
#หมายความว่า ให้จิตตั้งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ต้องเคลื่อนไหวไปกับลม
#ที่ว่าให้สังเกตลักษณะของวัวก็คือ
ให้รู้จักสังเกตว่า ลมเข้าสั้นออกสั้นดี
หรือลมเข้ายาวออกยาวดี ลมเข้ายาวออกสั้นดี
หรือลมเข้าสั้นออกยาวดี ให้รู้ลักษณะของลมว่าอย่างไหนเป็นที่สบาย ก็ทำไปอย่างนั้นเรื่อยไป
#ต้องทำให้ได้อย่างนี้ทั้ง ๓ เปราะ คือ เปราะแรกภาวนา พุทโธๆ ตั้งใจนึกด้วยสติหรือด้วยใจ
เปราะที่สอง ให้สติอยู่กับลมเข้า พุท ลมออก โธ
ไม่ลืมไม่เผลอ และเปราะที่สาม จิตนิ่ง #ทิ้ง พุทโธ เสีย สังเกตแต่ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
๔. เมื่อทำได้เช่นนี้ ใจของเราจะนิ่ง
ลมก็นิ่งเหมือนกับขันน้ำที่ลอยอยู่ในโอ่ง
น้ำก็นิ่งขันก็นิ่ง เพราะไม่มีใครไปกด
ไปเอียง ไปกระแทกมัน ขันนั้นก็จะลอยเฉย
เป็นปกติอยู่บนพื้นน้ำ เหมือนกับเราขึ้นไป
นั่งอยู่บนยอดเขาสูงๆ หรือขึ้นไปลอยอยู่
เหนือเมฆ ใจของเราก็จะได้รับแต่ความสุข
เยือกเย็น นี้ท่านเรียกว่าเป็น มหากุศล
คือเป็น ยอด แก่น หรือรากเง่า ของกุศลทั้งหลาย
เมื่อดวงจิตของเราสงบ #บุญต่างๆก็จะไหล
เข้ามารวมอยู่ในดวงจิตของเรา
คือความดีแล้วความดีในดวงจิตนั้น
ก็จะขยายตัวออกมาครอบทางกาย
ออกมาครอบทางวาจา ปากของเราก็จะหมด
จากบาป ทางกายกรรมคือตาที่เราเคยสร้างบาป
มา ทางหูที่เราเคยสร้างบาปมา
และมือที่เราเคยสร้างบาปมา ฯลฯ
ความดีที่เกิดจาการภาวนานี้มันจะขยายมาล้างตา
มาชำระหู มาล้างมือ กายที่บาปด้วยสัมผัส
บุญก็จะขยายมาล้าง ทีนี้กาย วาจา ตา หู
จมูก ปาก และส่วนอวัยวะน้อยใหญ่
ทั้งหลายของเรา ก็จะเป็นของสะอาดหมด…
ท่านพ่อลี ธัมมธโร
ขอบคุณที่มา:
https://m.facebook.com/groups/311161296447758/permalink/470247733872446/
10 ความน่าเสียดาย สำหรับผู้ไม่ฝึกฝนวิปัสสนา(อย่างสม่ำเสมอ)
1. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะไม่มีวันเห็นชีวิตตามความเป็นจริง เพราะระบบชีวิตตามความเป็นจริง หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ขันธ์ห้า ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งส่วนประกอบของชีวิตทั้งห้าส่วนนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการอ่าน การฟัง และไม่สามารถคิดนึกเอาเองได้ จำเป็นต้องฝึกสติโดยผ่านกระบวนการวิปัสสนาซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่พระพุทธเจ้าทรงคิดค้นขึ้น เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสรู้ความจริง เกี่ยวกับชีวิตของตนเอง
2. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา จะมีจิตที่เหมาะสมกับการเติบโตของความทุกข์เป็นปกติ คือไม่สามารถปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ แม้ปล่อยวางได้แล้ว แต่ความคิดปรุงแต่งก็จะวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ ชั่วชีวิต ขอให้สังเกตชีวิตของตนเองอย่างเป็นกลาง ว่ามีความทุกข์มากกว่าความสุขจริงหรือไม่ ในแต่ละวัน มีความขุ่นมัวหรือความเบิกบานใจมากกว่ากัน มีความฟุ้งซ่านหรือสงบนิ่งมากกว่ากัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากการที่สติอ่อนกำลัง ไม่เท่าทันความคิด นี่คือธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่น่าแปลกใจเลย ที่คนส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา
3. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา ย่อมไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริง ว่าชีวิตตามความเป็นจริงประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงได้แต่นึกเอาคิดเอาว่าชีวิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ความรู้ว่าชีวิตคืออะไร คือจุดเริ่มต้นที่จะทำอะไรๆ ในชีวิตให้ถูกต้อง
เมื่อไม่รู้จักสภาพชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ทุกอย่างในชีวิตย่อมมีแต่ความผิดพลาดไปทั้งหมด คือผิดก็คิดว่าถูก รวมความว่า "เป็นผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้" และ "เป็นผู้ไม่รู้แต่ดันไปคิดว่าตนเองรู้แล้ว" เป็นความไม่รู้แบบซ้ำซ้อนอันเกิดจากการที่ปลงใจเชื่อตนเองแบบไม่เฉลียวใจ ไม่ศึกษา เปรียบเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดที่เหลือก็ไม่มีวันถูกต้องไปได้
4. ผู้ไม่เคยฝึกวิปัสสนา แม้ตั้งเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ก็เป็นเพียงเป้าหมายแบบสมมุติบัญญัติ เป็นเป้าหมายที่อาจรู้สึกว่าถูกต้องในวันนี้ อาจเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามเสียมากมายในวันนี้ แต่สิ่งเดียวกันนี้ อาจกลายเป็นสิ่งไร้สาระในวันหน้า จากที่ชอบกลายเป็นไม่ชอบ จากที่เคยเทิดทูนบูชา กลายเป็นรู้สึกจืดชืดชินชา
เป้าหมายชีวิตของคนที่ไม่รู้จักชีวิตตามความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวันเวลา ตามวัย ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป้าหมายที่มั่นคงชัดเจนที่ใช้ได้ชั่วชีวิต เนื่องจากเป็นการตั้งเป้าหมายจากสิ่งที่ตนสมมุติขึ้นมาเองแต่แรก เมื่อสมมุติเปลี่ยน เป้าหมายย่อมเปลี่ยน ถึงวันหนึ่ง แม้ลาโลกไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร
5. พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมชาติของจิต เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ จิตใจที่ไม่ได้รับการฝึกฝนจะเป็นจิตใจที่มีความชั่วมากขึ้นเรื่อยๆ โดยธรรมชาติ หากไม่ต้องการให้จิตไหลลงต่ำ จิตก็จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ เราเรียนคณิตศาสตร์อย่างเป็นระบบ เรียนธุรกิจอย่างเป็นระบบ เราเรียนภาษาต่างๆ อย่างเป็นระบบ แต่จิตใจซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เรากลับปล่อยให้ตนเองเรียนรู้ไปตามยถากรรม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแก่บุคคลทั่วไป
6. ผู้ที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนา ย่อมมีสติในระดับที่ต่ำ มีสติอยู่ในระดับสัตว์โลก สติมีอยู่สามระดับ คือสติระลึกรู้ สติเห็นความคิด และมหาสติมหาปัญญา สติระดับแรก จะมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน แม้ในสัตว์บางชนิดก็มีสติเช่นนี้อยู่ในบางครั้ง แต่สติสองระดับหลัง จะมีอยู่ในผู้ที่ฝึกวิปัสสนาเท่านั้น
สติระดับแรก อาจใช้ทำมาหากินได้ ใช้สร้างความสุขแบบโลกๆ ได้ แต่ใช้ดับทุกข์ไม่ได้ ใช้ในการศึกษาความจริงของตนเองไม่ได้ ใช้ในการดับกิเลสก็ไม่ได้ แม้ผู้ใดมีกำลังสติเพียงระดับแรก ชีวิตนี้ก็มีอันต้องพบกับความสุขความทุกข์สลับกันไปมา และจะพลาดหนทางแห่งการเรียนรู้ความจริงของธรรมชาติไปโดยสิ้นเชิง
7. จิตที่ไม่เคยฝึกวิปัสสนาย่อมมีการปรุงแต่งสูงอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ปรุงแต่งเป็นความทุกข์ เป็นความท้อแท้ หดหู่ สิ้นหวัง เบื่อ ซึม เซ็ง ต่อเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ปรุงแต่งต่อไปเพื่อสร้างภพภูมิใหม่ เป็นจิตที่มีโอกาสสูงที่จะคิดนึกในเรื่องอกุศล หรือมีความขุ่นมัวในวินาทีสุดท้าย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์ที่ตายไปแล้วและได้เกิดมาเป็นคนอีก จะเหลือเพียงเศษดินปลายเล็บ จากดินทั้งหมดในมหาปฐพี หมายความว่า คนส่วนใหญ่เมื่อตายไปแล้ว ก็มีอบายภูมิเป็นที่ไป พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเสร็จในชาตินี้ก็ไปตกนรกต่อ และบุคคลผู้นั้นก็จะพบกับความทุกข์เจ็บปวดชนิดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เพราะเขาไม่มีกำลังสติในการควบคุมจิตสุดท้ายได้เท่านั้นเอง
8. ปกติแล้วมนุษย์จะมีกิเลสทุกชนิดอยู่ในตนเอง ถ้ามีเหตุปัจจัยไปก่อกวน กิเลสก็จะฟุ้งกระจายออกมา เกิดเป็นความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นอกุศล วิปัสสนานั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันกิเลสฟุ้งกระจายเท่านั้น แต่ยังสามารถสะสางกิเลสออกจากใจเป็นการถาวรได้ด้วย เราเรียกผู้ที่สามารถสำรอกกิเลสออกจากตนเองว่า พระโสดาบัน พระสกกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
9. เมื่อฝึกวิปัสสนาถึงระดับหนึ่ง จิตจะได้รับความสุขในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นความสุขแบบละเอียด เรียกว่าสุขจากสมาธิ และสุขจากวิมุติ ซึ่งเป็นความสุขชั้นสูงที่มีไว้เฉพาะผู้ฝึกจิตเท่านั้น ปกติคนเราจะได้รับความรู้อยู่เพียงระดับกามสุข คือมีโอกาสเข้าถึงแค่ความสุขชั้นตื้นอันเกิดจากสัมผัสรับรู้ต่างๆ แม้มนุษย์ผู้ใด สัมผัสเพียงความสุขระดับกามสุข มนุษย์ผู้นั้นก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
10. วิปัสสนา ทำให้คนไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทำให้คนพ้นไปจากกองทุกข์ทั้งปวง แท้จริงแล้ว วิปัสสนาคือวิถีชีวิตในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกผู้นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมของพระโสดาบันให้เกิดขึ้นในโลก สังคมของพระโสดาบันนี้ เป็นสังคมของผู้มีกิเลสน้อย เป็นสังคมแห่งสันติภาพ เป็นสังคมของคนเอาการเอางานแต่ไม่เอาชนะคะคาน เป็นสังคมแห่งความเมตตาอารีย์
ชาวพุทธทั้งหลาย จึงสมควรอย่างยิ่ง ที่จะทำการศึกษาวิชาวิปัสสนาอย่างจริงจัง ให้เข้าใจ ให้รู้จริง ให้ขึ้นใจ เพื่อจะนำไปปฏิบัติลงในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติลงในการยืน เดิน นั่ง นอน รู้คิด รู้หยุดความคิด รู้เท่าทันความคิด รู้จักอยู่เหนือความคิดอันนำไปสู่การอยู่เหนืออัตตาตัวตน เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็จะได้สร้างประโยชน์ให้ตนเองและผู้อื่น ต่อเมื่อลมหายใจสุดท้าย ก็มีโอกาสได้พบสุคติภูมิเป็นที่หมาย มีโอกาสไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แม้ไม่สนใจวิปัสสนาเลย โอกาสเป็นมนุษย์โดยสมบูณณ์ก็ยากยิ่ง โอกาสสู่สุคติภูมิก็ยากยิ่ง โอกาสยุติการเวียนว่ายก็เป็นไปไม่ได้ ต้องมีชีวิตสุขๆ ทุกข์ๆ แบบโลกๆ เช่นนี้ไปชั่วอนันตกาล!!!