ตอนที่ 222 **เนวสัญญานาสัญญายตนะ แบบที่ ๑**
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว
จึงได้เข้าเฝ้าทูลถาม พระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า…
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. เจ้าขา
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 40 ในแบบที่ 1 หนะเจ้าค่ะ
ในกรรมฐานกองที่ 40 นี้ ได้บัญญัติไว้ว่า.. ให้เราทำความรู้สึกตัวเสมือนว่า
ทั้งที่มีสัญญาอยู่ ก็เหมือนไม่มี ไม่ได้รับอารมณ์ใดๆ จะหนาวจะร้อนก็รู้สึก
แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย ปล่อยตามเรื่อง
ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นผ่านไป เหมือนกับว่าไม่มีอะไร
จนจิตของเรา เป็นอุเบกขา อารมณ์.. อย่างนั้นหน่ะเจ้าค่ะ
เราจะมีวิธีฝึกตนยังไงบ้างล่ะเจ้าคะ ? ในกรรมฐานกองนี้หน่ะเจ้าค่ะ “
ตอนที่ 223 **เนวสัญญานาสัญญายตนะ แบบที่ ๒**
พุทธธรรมสำหรับนักบวช ในเช้าวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม
เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเข้าเฝ้าทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 40 แบบที่ 2
การทรงอารมณ์ไว้ในความมีกับไม่มี ให้ทำเสมอเหมือนกัน
ไม่รู้สึกวิ่งวุ่น สุขทุกข์ตามสิ่งที่มี หรือไม่มี
ไม่ยึดในสิ่งที่มี หรือไม่มีนั้น น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ
นำไปปฏิบัติตามด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
พระยาธรรมเอย.. กรรมฐานกองที่ 40 แบบที่ 2 การทำความรู้สึกตัวเสมอว่า..
ทั้งที่มีสัญญา และไม่มีสัญญา - ก็ให้ทำเสมอเหมือนกัน
สิ่งที่เรารู้สึกว่า มี กับไม่มี ก็ให้ทำเหมือนกัน
พระยาธรรมเอ๋ย.. ในกรรมฐานกองที่ 40 แบบที่ 2 นี้ ให้ลูกลองพิจารณาตามนี้ดูนะ
สิ่งทั้งหลายที่มันมีขึ้นมา ก็เพราะว่า.. มันเป็นสิ่งสมมุติ
สมมุติก่อเกิด ตามอำนาจแห่งกรรม ซึ่งมีกิเลสและตัณหา คือหัวหน้าใหญ่
ที่สั่งให้สร้างกรรม
มีจิต มีตัว มีตน ของจิต ก็เลยทำให้กิเลสและตัณหาครอบงำได้
ด้วยความมีตัวมีตน จึงลุ่มหลงในตัวในตนของตน
เมื่อเกิดความลุ่มหลง เชื้อแห่งกิเลสจึงครอบงำให้สร้างกรรม..
และให้ก่อเกิดทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา
และสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มันก่อตัว เกิดขึ้นมานั้น มันก็อยู่ใต้กฎของธรรมชาติ
คือ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..
จึงเปรียบเสมือน อยู่ในโลกสมมุติ..
สมมุติขึ้นตามกรรม ดับไปตามกรรม
ทั้งเรื่องที่ดี และเรื่องที่ร้าย
ทั้งสิ่งที่ดี และสิ่งที่ไม่ดี
ทุกอย่าง จึงต้องเป็นไปตาม * กฎของกรรม *
เมื่อทำกรรมดี - ก็ก่อเรื่องที่ดีขึ้น
ทำกรรมชั่ว - ก็ก่อเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้น
แต่สิ่งทั้งหลาย.. ก็ล้วนแล้วแต่ เป็นสิ่งสมมุติ ที่มันไม่เที่ยงแท้
มันสมมุติเกิดเราขึ้น มีตัวมีตนของเรา
สมมุติมีเรื่องมีราว ที่มันเกี่ยวข้องกับเราขึ้นมา
แต่ทุกอย่างมันเป็นสิ่งสมมุติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
เมื่อก่อนมันไม่มี ถึงเหตุมันก็มี
พอหมดเหตุ มันก็ดับไป
และตัวของเรา ดวงจิตของเรา ที่ยึดตัว ยึดตนเรา นั้น
ก็วิ่งวุ่นไปเกิดเป็นสิ่งนั้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง..
เกิดเป็นกายของเทวดา ก็ลุ่มหลงในกายของเทวดาว่าเป็นเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา
มีทิพย์สมบัติ วิมานแก้ว วิมานทอง..
ก็ไปลุ่มหลงยึดติดว่า.. สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เป็นตัวเป็นตนของเรา เป็นสิ่งของของเรา..
อย่างนั้นแต่เมื่อถึงเวลา.. ทุกอย่างนั้น ก็ต้องเสื่อมสลายไป !
จะเกิดไปเป็นมนุษย์ ก็ลุ่มหลงในกายมนุษย์ และสิ่งของข้าวของต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกายนั้นทั้งตัวบุคคลด้วย
พอเกิดไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เช่น สุนัข หรือว่าปลา หรือว่าเต่า ว่าไก่
หรือว่าจะเป็นเป็ด เป็นนก.. เป็นอะไรก็ตาม
เราก็จะไปยึดถือในความเป็นนั้น แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์กับมัน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระยาธรรมเอย..
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เป็นเพียงแค่สิ่งที่สมมุติขึ้นมาทั้งนั้นเลย
ทีนี้ เราโยกจิตของเรา ออกจากโลกสมมุตินั้น..
โยกออก ด้วยความคิด
โยกออก ด้วยสติ ด้วยปัญญา
โยกออก ให้เราเห็นสภาวธรรมความเป็นจริง..
ร่างกายของเรานี้ ประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มันจึงก่อตัวขึ้นมาได้
ธรรมชาติ ให้มันเกิดขึ้นมา
และที่จิตมาครองกายนี้ ก็เพราะว่ามันมีผลของกรรม ที่ทำมาเป็นแบบกายนี้
.. ส่งผลให้มีรูปร่าง รูปลักษณ์แบบนี้
แต่ในความเป็นจริง.. ก่อนหน้านี้ กายนี้ก็ไม่มี และก็ไม่เป็นอย่างนี้
ต่อไปมันก็จะไม่มี และจะไม่เป็นอย่างนี้ !
อย่าว่าแต่ตั้งแต่ยังไม่ก่อเกิดเลย แค่ไล่ไป พิจารณาตาม..
ดูตั้งแต่เราเกิด เราโต จนเราอายุขัยครึ่งคนแล้ว มันก็มีสภาพแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
ความเที่ยงแท้ และมีอยู่ของมัน ยังหายไปอยู่
ความเที่ยงแท้ และมีอยู่ของมัน ยังไม่เห็นจะจีรังยั่งยืน อยู่ในกายนี้เลย…
และต่อไป อีก10 ปี หรือว่า 5 ปี แค่นั้นละนะ ร่างกายของเราอาจจะแปรเปลี่ยนสภาพ
ไปมากกว่านี้ หรืออาจจะหายไปเลยก็ได้
อย่างนี้ ลองพิจารณาเช่นนี้.. พระยาธรรม
เห็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มันเกิดตามเหตุ และดับตามเหตุ
เห็นกายแห่งตน ที่มันไม่มีความเที่ยงแท้อะไรเลย..
มันมีแต่วิ่งตามกาลเวลา และเสื่อมสลายตามกาลเวลา
เมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญปฏิบัติ จนรู้แจ้งเห็นชัดเช่นนี้แล้ว..
ทีนี้ เราก็เกิดความไม่ยึดถือ ไม่ยึดติดในร่างในกายนี้.. จนจิตของเรา เบา สบาย
ไม่หนัก ไม่เหนื่อย ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน
ไม่สนใจอะไรสักสิ่งสักอย่างแล้ว..
ไม่หลงในโลก ไม่ติดในโลก
ไม่หลงในตัวในตน สิ่งของของตน
ไม่หลงในลาภ ในยศ ในสรรเสริญต่างๆ…
จิตของเราหลุดออกจากกายนี้ไป.. เข้าสู่ฌานสมาธิระดับสูง
จิตเราสามารถเข้าสู่ สภาวธรรมที่เงียบสงบ
มีแต่คลื่นพลังงานที่ดี
.. จนเราสามารถเข้าไปทรงฌาน และดับอยู่ในฌานนั้นได้
แต่กาลเวลาของเรา ที่จะครอบครองกายนี้ มันยังไม่หมด ไม่จบ ไม่สิ้น
เมื่อเราเข้าฌานไป เราก็สบายดี
แต่เมื่อเรากลับออกมาอยู่ที่กาย.. เรายังสบายดีอยู่หรือเปล่า ?
สิ่งนี้ คือ สิ่งสำคัญของกรรมฐานกองนี้ ที่เราจะต้องทำให้ข้ามขั้นตอน ของการ
ติดอยู่ในอารมณ์ฌาน ของการไม่มีสติปัญญา
เมื่อกลับมาอยู่กับกายเนื้อแล้ว ก็เลยไม่สามารถประคองกายที่มีอยู่ ที่ต้องครอบครองอยู่
- เรื่องราวปัญหาต่างๆ
- สิ่งทั้งหลายที่เราต้องดำเนินต่อไป
- สิ่งทั้งหลายที่เราจะต้องเผชิญผ่านพ้นต่อไป..
-- เราจะต้องข้ามอารมณ์เหล่านี้ ให้ได้ด้วย
โดยไปทรงอารมณ์ไว้อยู่ตรงที่ว่า.. มี ก็เหมือน ไม่มี ไม่มี ก็เหมือน มี
มี กับ ไม่มี เสมอเหมือนกัน.. อย่างนั้น
เป็นอารมณ์สูงสุดแห่งกรรมฐานทั้งหลาย แห่งกรรมฐานทุกกอง
เป็นกองสุดท้าย ที่จะตีกรอบกลับมา ทำให้ทุกคนไม่หลงอยู่ในอารมณ์ของฌาน
พระยาธรรมเอย .. กรรมฐานกองที่ 40 แบบที่ 1 ก็คือ
การให้เราฝึกจิตของเรา ให้อยู่กับสิ่ง ที่มี เสมือนว่า ไม่มี
ความจำ ความรู้สึก สัญญา ที่ได้รับ กระทบผ่านหู ผ่านตา
มันมี ก็ให้ทำเหมือนไม่มี
จะมีเหตุ มีเรื่องมีราว มีอะไรก็ตาม.. ให้เรา ทำเสมือนว่า มันไม่มี
คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง มีอยู่ แต่เราทำเหมือน ไม่มี
และ มี กับ ไม่มี ก็เสมอเหมือนกัน อยู่อย่างนั้น
ให้เราฝึกจิตไว้เช่นนี้
พระยาธรรมเอย.. ฉะนั้น จงตั้งใจฟังให้ดีลูก จะได้ทำความเข้าใจ
ปรับจิตของตน ให้เข้าถึงความรู้สึกในอารมณ์ตรงนี้..
และหมั่นฝึกบ่อยๆบ่อยๆ จนเราทรงอารมณ์เช่นนี้ ไว้กับจิตของเรา อยู่เสมอ..
พระยาธรรมเอย .. ในแบบที่ 1 ของกรรมฐานกองที่ 40 ให้ทำเช่นนี้ นะลูก
เมื่อเรานั้น เห็นอะไรสักสิ่งหนึ่ง เช่น รถสักคันหนึ่ง เราก็มองให้เห็น..
ก่อนนี้ที่มันยังไม่มี ตอนนี้ที่มันมีอยู่ แต่อีกหน่อย มันก็จะไม่มี
ความที่มันมี เพราะว่า.. มันสมมุติว่ามีขึ้นมา
สิ่งที่เราคิดว่ามันมี.. เพราะความยึดติดในความสมมุตินั้น
ก็เลยทำให้สัญญาในกาย ในตัวของเรา.. จดจำรู้สึกว่ามันมี
แต่ในความเป็นจริงมันสมมุติมีขึ้นมา.. และวันหนึ่งมันก็จะดับไป
ฉะนั้น.. เราจะข้ามสมมุติ ข้ามสิ่งที่สมมุติว่ามี
เอาต้นชนปลาย ต้นก็ไม่มี ปลายก็ไม่มี
สรุปแล้ว ** มีขึ้นมา.. ก็แค่สมมุติว่ามี **
จิตเราไม่ต้องไปยึดถือกับมัน - ปล่อยจิตปล่อยใจ ให้มันเป็นกลาง ๆ
มีก็ได้ ไม่มีก็ได้..
มีกับไม่มี เสมอเหมือนกัน..
ไม่ยึดถือ ไม่ติด ไม่ลุ่มหลงอะไร ในตัวของรถคันนั้น
ทำเช่นนี้หละ พระยาธรรม..
เราก็จะสามารถทรงอยู่ในอารมณ์ ของความมีกับไม่มี เสมอเหมือนกัน
เมื่อเรานั้น หยิบยกสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ขึ้นมาพิจารณา
เราก็พิจารณาลักษณะคล้ายกัน เช่นนี้หละ
ของทุกสิ่งบนโลกนี้ มันมี ก็สมมุติว่ามี
ถึงเวลาที่มันจะต้องเสื่อมไป มันก็จะเสื่อมสลายไป กลายเป็นไม่มี
มันมีอายุขัย มีกาลเวลา ของตัวของมัน ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
เมื่อก่อนยังไม่เกิด ตอนนี้เกิด ก็สมมุติว่าเกิด
อีกหน่อยมันก็จะ ดับไป หายไป ตามสมมุตินั้น
ฉะนั้น.. ทุกสิ่งและทุกอย่าง จึงมีกับไม่มี เสมอเหมือนกัน
สิ่งที่เรารู้สึกว่ามันไม่เหมือนกัน ก็เพราะว่า
*เราไปติด ไปหลง ไปยึด* อยู่กับของสิ่งนั้น.. ก็เลยทำให้เรานั้นยึดว่ามีเฉยๆ
แต่การยึดติด ลุ่มหลง ในสิ่งของข้าวของต่างๆบนโลกนี้ มันเป็นเหตุของทุกข์
เพราะสิ่งทั้งหลายสมมุติเกิด และจะดับตามสมมุติ
***สุดท้ายแล้ว.. มีกับไม่มี ก็เหมือนกัน***
สิ่งที่เราต้องเจ็บปวด ก็เหลือเพียงแต่ การหลงไปตามสิ่งที่สมมุตินี้..
แล้วก็หลงยึดว่า เป็นเรา เป็นของเรา
และท้ายที่สุด.. เมื่อมันเสื่อมไปตามเหตุของมัน
เราก็หลงทุกข์ตามมัน ที่มันเสื่อมอีก
เราจะวิ่งตามมันเพื่ออะไร !
ก็ทำจิตของตน ให้สักแต่ว่าเห็นเป็นธรรมดา ในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
และอยู่กับสมมุตินั้น อย่างมีสติ
ก็มีเหตุดูแล ก็ดูแลไป
มีเหตุใช้งาน ก็ใช้ไป
มีเหตุได้มา ก็รับไว้
มีเหตุที่จะต้องเสียไป ก็รู้อยู่แล้วว่า มันต้องเสียไป
เราก็จะไม่ทุกข์กับมัน
จะมีสติปัญญามากพอ ที่จะนำสิ่งนั้นๆทำประโยชน์แก่เรา
โดยที่เราไม่ต้องไปทุกข์กับมัน
เพราะเราเห็นเป็นธรรมดาแล้วว่า.. มีกับไม่มี เสมอเหมือนกัน
พระยาธรรมเอย.. หมั่นพิจารณา ฝึกฝนอบรมจิตบ่อยๆ บ่อยๆให้เป็นเช่นนี้
ฝึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ.. จนเราเห็นทุกสิ่งและทุกอย่าง เป็นธรรมดา
เห็นมันไป - แล้วมันก็มา
เห็นมันมา - แล้วมันก็ไป
เห็นมันมี - แล้วมันก็ไม่มี
เห็นไม่มี - แล้วก็เห็นว่ามันมี
ฝึกฝนตนเช่นนี้ ไปเรื่อยๆ.. จนกว่าเราจะมองเห็นชัดเจน
และความรู้สึกนี้เกิดขึ้นชัดเจนแก่เราอยู่เสมอ
จนทำให้เราเห็นทุกอย่างบนโลก เป็นธรรมดา
และเรา ก็ไม่หลง ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย
ไม่หลง ไม่ยึด ไม่อะไร ทั้งหมดทั้งสิ้น…
เห็นก็สักแต่ว่า.. เห็นเป็นธรรมดา
เช่นนั้น อย่างนั้นหละ พระยาธรรมเอย..
เมื่อเราฝึกอย่างนี้ในทุกอิริยาบถ ที่เรานั้น เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ที่กระทบเข้ามา ก็มีปัญญารู้เท่าทัน เช่นนี้หละ.. พระยาธรรม
ทำอย่างนี้เรื่อยๆ จนเมื่อเรานั้นหลับตาลง.. เราก็เห็นแต่ความว่าง
มีกับไม่มี ก็เสมอเหมือนกัน
ความลุ่มหลง ไม่มีในเราแล้ว
มันว่าง มันเบา มันสบาย …
ความโลภที่จะไปโลภ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มาครอบครอง.. มันก็ไม่มีแล้ว
มันว่าง ปราศจากความโลภ
ความรัก ที่จะไปรักคนนั้นคนนี้
อยากที่จะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ มาครอบครอง
รักคนนั้นคนนี้
รักรถ คันนี้ คันนั้น รุ่นนั้น รุ่นนี้
ความวุ่นวายต่างๆเหล่านั้น.. ก็ปราศจากใจของเรา เราก็สงบซิลูก..
เห็นอะไร ก็ไม่มีอะไร ที่ทำให้เรา อยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากครอบครอง
ลุ่มหลง ยึดติด ในตัวของมัน
จิตใจของเราย่อมเบาสบาย.. เพราะว่าเราปราศจากกิเลสตัณหา ทั้งหลาย
เมื่อเราหลับตาไป เรื่องนั้น ที่ของสิ่งนั้น ที่เสียไป พลัดพรากจากเราไป
เราจะไปทุกข์ไปดิ้นรน ไปกระสับกระส่ายตามมัน ไม่มี !
ก็เราเห็นเป็นธรรมดา จิตของเราย่อมสงบนิ่ง
วางเฉย กับสิ่งที่มัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ไม่วิ่งสุข วิ่งทุกข์ วิ่งตาม วิ่งลุ่มหลง ยึดติด กับสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว …
เพราะว่าเรา มีปัญญารู้แจ้ง เข้าใจในสิ่งต่างๆทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว..
และเราเห็นมันเป็นธรรมดา ความมีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน
ก็เห็นแต่ความว่างเปล่า อยู่ในสิ่งทั้งหลาย
เลยไม่จำเป็นต้องไปยึดติด ไปลุ่มหลง กับอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น
ทีนี้ จิตเราก็เบาสบาย ดูเพียงแค่ ความนิ่ง ความโลภ ของจิต
ไม่มีความทุกข์ร้อนใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่ยึดติด ไม่ลุ่มหลง ไม่ดึงอะไรมาหาจิตอีกแล้ว…
ทีนี้ จิตของเรา ก็จะสว่าง สะอาด ไม่มืดมิด มัวหมอง
.. เพราะไม่มีเชื้อแห่งกิเลสมาปกคลุม ครอบงำ..
ทำให้เราต้องจมอยู่ใต้อำนาจ ของสิ่งเหล่านั้น
ใจของเรา จิตของเราก็เบา ว่าง..สว่างไสว
มีความสุข ปราศจากความทุกข์
.. และเป็นความสุข ที่สุขอย่างแท้จริง
เพราะว่าเป็นความสุข ที่เป็นของดวงจิตอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ความสุขแบบกิเลส แบบตัณหา ที่มันหลอกให้เราสุข แล้วก็หลอกให้เราทุกข์
เราสุขออกมาจากจิตจากใจ สุขแบบปิติยินดี สุขลึกออกมาจากข้างใน
เราก็เห็นแต่ความว่าง เห็นแต่แสงสว่าง จิตเราล่องลอยไปตามอารมณ์ สูงไป
เย็นสบาย ลอยสูงไป..
เห็นแต่แสงสว่าง เห็นแต่ที่ว่าง
เห็นแต่ที่ๆ มีความสุข เป็นอิสระ
ไม่มีใคร ทำให้เราทุกข์ ให้เรากังวลใจ จิตของเราย่อมเบาลอย สบาย
เมื่อไปถึงจุดหนึ่ง ที่เรารู้สึกว่าที่ตรงนั้นมีคลื่นพลัง ที่จะมีพลังของความดี
ของสิ่งที่เป็นพลังงานบริสุทธิ์ เราก็นั่งนิ่งๆตรงนั้นไป
เอาจิตของเรา ไปหยุดอยู่กับที่ตรงนั้นหละ
แล้วก็รับพลังที่เย็น..สบาย เติมพลังให้กับจิตของเรา
ชาร์จพลังให้จิตของเรานั้น น้อมรับพลังงานที่ดีให้มากที่สุด..อยู่อย่างนั้น..
ให้มีสติระลึกรู้ว่า.. การที่เรา ถอดถอน รู้แจ้งในทุกอย่าง..
เพื่อดับจิต ดับตัว ดับตน ดับอัตตา ดับกิเลส ดับตัณหาในตัว
ให้จิตนั้นสว่างเจิดจ้า ปราศจากตัวตน
แต่เราจะไม่ไปติดอยู่ตรงนั้น !
เราต้องสามารถถอดถอนจิตกลับมา อยู่กับกิเลส อยู่กับตัณหา
อยู่กับปัญหา อยู่กับร่างกาย
อยู่แบบมีสติ และมีปัญญา
- รู้เท่าทันกิเลส รู้เท่าทันปัญหา อยู่เหนือปัญหาทั้งหลาย
- อยู่อย่างไม่สุขไม่ทุกข์ กับสิ่งที่มันมีขึ้นมา และมันดับไป
- เห็นมีกับไม่มีเสมอเหมือนกัน.. เห็นเป็นธรรมดาเช่นนั้น อย่างนั้น
เราจึงเป็นผู้ถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว อย่างแท้จริงได้
อย่างนี้หละ พระยาธรรม.. ในแบบที่ 1 ก็คือ ให้หมั่นพิจารณา
พิจารณาบ่อยๆ จากการทั้งลืมตา - หลับตา
***จนเรานั้น สามารถเข้าสู่ความไม่มี
ทรงอารมณ์ในความมี กับไม่มีเสมอเหมือนกัน เห็นเป็นธรรมดา***
จนจิตของเรานั้นสามารถเข้าไปสงบ ในที่ที่ปราศจากสรรพสิ่งทั้งหลาย...
เช่นนี้ อย่างนี้หละ พระยาธรรมเอย..
จงตั้งใจนำไปประพฤติ ปฏิบัติตาม เถิดลูก
แล้วลูกนั้น ก็จะประสบพบกับความสุข ความสำเร็จ
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังเจ้าค่ะ
ลูกจะตั้งใจน้อมไปปฏิบัติ ฝึกหัดตนเอง
และเผยแผ่ให้กับญาติธรรมทั้งหลาย ได้ปฏิบัติตามด้วย.. เจ้าค่ะ
สาธุ
จนเห็นกายที่คลุมจิต เห็นรูปลักษณ์ของจิต กลายเป็นแก้วใส
แสงสว่าง..สว่างไสว ออกจากกายที่เป็นแก้วใสนั้น...
เราก็รับพลังเช่นนั้นไปเรื่อยๆ
เราอาจจะนิ่งอยู่อย่างนั้น.. จนเรารู้สึกเข้าไปในแสง สัมผัสในความรู้สึก
ความละเอียดอ่อนของแสง ที่พุ่งออกจากท้องของตน…
ทีนี้ เหมือนตัวเราสลาย ละลายเข้าไปในที่ที่มีพลังนั้น
ตัวที่ว่าเป็นโครงสร้างร่างกายที่เป็นแก้วนั้น.. ก็แตกสลายหายไป
นิ่งไป ดับไป.. เสมือนว่าไม่มีเราแล้ว
เราก็ดับไปแล้ว ดับไปกับอารมณ์ของฌาน...
สัญญาที่จำที่บันทึก ที่รู้สึกนึกคิด ว่ามีเรา.. ก็แตกสลายไป ไม่เหลืออะไร
จิตของเราเข้าไปสู่อารมณ์ของฌานที่วางเฉยกับทุกสิ่งทุกอย่าง
วางแม้กระทั่งความนึกคิด จดจำ สัญญาต่างๆ
วางรูปกายของกาย ที่เป็นกายแก้ว
วางพลังงานต่างๆ ทิ้งทุกสิ่ง
ทำเช่นนี้ละ พระยาธรรมเอ๋ย.. ก็จะทำให้เราเข้าสู่ฌานที่ลึก ในกรรมฐานนี้ได้
และทำให้เรา ถอดถอนกิเลสตัณหา ที่จะทำให้เราลุ่มหลงกับทุกสิ่งทุกอย่างไปได้
จะทำให้เราเบาและสบายได้.. พระยาธรรมเอ๋ย
พระยาธรรมเอย.. จิตของเราที่มันว้าวุ่น วุ่นวาย ก็เพราะว่าเราไม่รู้ตามความเป็นจริง
ไม่มีอารมณ์ของความเป็นจริง ปรากฏขึ้นชัดเจนแก่เรา..
ก็เลยยึดกับสิ่งทั้งหลายเอาไว้
เลยทำให้รุ่มร้อน มืดมิด สับสน วุ่นวาย .. หาทางออกทางไปให้กับจิตไม่เจอ
เพราะความยึดติดลุ่มหลงของเรา นั่นหละ
ถ้าเราฝึกกรรมฐานกองนี้บ่อยๆ บ่อยจนเรานั้นเห็นแจ้งในสรรพสิ่ง
*** เห็นเป็นธรรมดา มีกับไม่มี เสมอเหมือนกัน ***
ไม่ยึดในสิ่งใดๆบนโลกนี้.. เราก็จะเป็นผู้ปราศจากเชื้อ
จิตเราย่อมว่าง เบาสบาย
เราไม่จำเป็นต้องกำหนดสมาธิ สมาธิเราก็มีแล้ว..
เพราะว่ามันทรงอารมณ์ ของการปราศจากเชื้อกิเลสตัณหาแล้ว.. สมาธิย่อมเกิดขึ้น
สมาธิไม่มี - เพราะมีเชื้อ
ถ้าหมดเชื้อ - สมาธิย่อมมีอยู่เสมอ.. โดยไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องทำ
จึงสามารถเป็นทองแท้ เป็นเพชรที่เจียรนัยแล้ว
จึงสามารถที่จะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไปได้
จึงถือว่า จบกิจอันสูงสุดที่เราควรจะทำ และไม่มีกิจอันใดอีกแล้ว..ที่จะต้องทำต่อไป…
พระยาธรรมเอ๋ย.. กรรมฐานกองนี้ ก็ทำเพื่อที่เรานี้
จะได้กลับคืนสู่สภาวธรรม ของการมีสติ
อยู่ในทุกๆสิ่ง ทุกอย่างที่มี ที่ไม่มีอย่างนั้นหละ
เพื่อไม่ให้เราหลงในฌาน หลงไป ติดสุขไป
จนตนนั้นไม่สามารถอยู่กับสิ่งที่มี
พระยาธรรมเอ๋ย.. เริ่มแรกนั้น เราก็พิจารณาถอดถอน เพื่อพาจิตเราเข้าฌาน
ฌานที่สูงสุดให้ได้ และเมื่อเลยฌานสูงไปแล้ว..
เราต้องเอากำลังของฌานนั้น กลับมาพิจารณา และอยู่เหนือความเป็นอยู่
เช่น ถ้าเรามีกายเนื้ออยู่.. เราก็ต้องมีสติ ที่จะประคองกายเนื้อ
ให้ดำรงชีวิตอยู่ในความเป็นกายเนื้อให้ได้ ในแบบที่มีสติ มีปัญญา
รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ โดยที่ไม่สุขไม่ทุกข์อะไร !
เมื่อเจอปัญหา รู้แจ้งเข้าใจในทุกอย่างกับปัญหาที่เกิดขึ้น
จนทำเหมือนกับว่าเรานั้น.. เป็นผู้ที่มีพลังอยู่เหนือสรรพสิ่ง รู้แจ้งอย่างแท้จริงแล้ว
เรานั้นสามารถเห็นทุกอย่างที่ มี เหมือน ไม่มี
ไม่มี ก็เหมือน มี
มี กับ ไม่มี ก็เหมือนกัน …
อย่างนั้นละ พระยาธรรม..
เมื่อเราทรงอารมณ์เช่นนี้ได้แล้ว.. และมันเกิดขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา
มันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีทางจะห่างหายไปจากจิต
เราก็จึงจะ
เป็นผู้ที่มีปัญญา อย่างแท้จริง
เป็นผู้ที่เข้าถึงการดับการเกิด อย่างแท้จริง
บางคนเมื่อปฏิบัติเข้าสู่ฌานที่สูง
เมื่อเข้าสู่ฌาน 4 หรือว่า ฌาน 8 แล้ว.. อาจจะกลัวว่าจะไปติดหลงอยู่ในฌาน
ไม่ต้องกลัวหรอกลูก ถ้าเรานั้นไปให้ถึงกรรมฐานกองที่ 40 คือ
ทำ ความมี กับ ความไม่มี ให้เสมอเหมือนกัน
ถ้าทำกรรมฐานกองนี้สำเร็จ และทำได้ เราย่อม
ไม่ติดอยู่ในฌาน หรอกลูก
ไม่หลงขึ้นไปอยู่บนนิพพานพรหม หรอกลูก
เราย่อมเป็นผู้ชนะ และอยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือ ความมี และ ความไม่มี ได้
แต่ถ้าเกิดว่าเราฝึกโดยการ ไม่ได้ใช้ปัญญาตรึกตรองเลย
แค่เพ่งอากาศ เพ่งกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง ยึดเป็นอารมณ์
จนกว่าตนนั้นเข้าสู่ฌาน.. และก็ดับไปในฌานเฉยๆ
โดยที่ไม่เคย มาพิจารณาตรึกตรอง
ดูกิเลสเป็นยังไง ตัณหาเป็นยังไง
อยู่เหนือมันเป็นยังไง
เมื่อกลับออกจากฌานมาแล้ว พบเจอปัญหาต่างๆ รู้สึกยังไง
มาอยู่ในกายนี้แล้ว ตั้งสติได้หรือเปล่า ?
หรือว่าอยากจะเข้าไปอยู่แต่ในฌาน
ไม่อยากกลับมา.. ไม่อยากเจอความวุ่นวาย.. ไม่อยากเจอปัญหา
เรามีความรู้สึกเช่นนั้นหรือเปล่า ? อย่างนี้
ถ้าเกิดว่าเป็นอย่างนี้ เราก็อาจจะหลงไปอยู่ในนิพพานพรหมได้
หรือเป็นผู้ติดในฌาน หลงฌาน
เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ หมดกำลังของฌานก็ต้องกลับมา !
พระยาธรรมเอย.. กรรมฐานกองที่ 40 นี้ จึงเป็นกรรมฐานกองที่สำคัญยิ่งนัก **
ฝึก การมี กับ ไม่มี ให้เสมอเหมือนกัน
ฝึกเห็นความไม่เที่ยงแท้ เพื่อพาจิตเข้าไปชาร์จพลัง
ดึงพลังนั้นกลับมาค้ำหนุนจิต ให้จิตมีพลัง..
เห็นทุกอย่างเสมอเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน
เห็นโลกใบนี้ ว่างไปหมด สิ่งที่มี ก็เหมือนไม่มี
เห็นโลกใบนี้มี ก็รู้ว่ามันสมมุติมี
เราต้องอยู่กับสมมุตินั้นให้ได้ อย่างปรกติ
และเราก็สามารถดำรงชีวิตกิจการงาน ในสิ่งที่เราควรจะทำ อย่างปรกติ
ไม่ขาดหายไปในทิศทางใด
.. เรานั้นสามารถที่จะอยู่อย่างผู้มีสติมีปัญญา
อย่างนี้หละ พระยาธรรมเอย.. ถือว่าทรงอารมณ์ฌาน ของกรรมฐานกองที่ 40
ที่ มี กับไม่มี ให้ทำความรู้สึกเสมอเหมือนกัน
มีสัญญาก็ทำเหมือนไม่มี ไม่มี ก็ทำเหมือน มี
มี กับ ไม่มี ก็เหมือนกันนั่นละ
มันก็เป็นธรรมดาของมัน อย่างนั้นนั่นหละ
เราก็เลยสามารถคุมได้ทั้งสิ่งที่รู้ ที่เห็น ที่รู้แจ้ง บรรลุเข้าใจแล้ว
ให้อยู่เป็นธรรมดาของมัน เราก็สามารถเข้าใจสิ่งที่มันยังสมมุติเป็นอยู่ ได้อย่างชัดเจน
และทำสมมุตินั้นให้มันสมบูรณ์ ไม่ไปติดอยู่กับภาวะของจิตที่สูงแล้ว
และคืนกลับสู่ภาวะของสิ่งสมมุติ ที่ยังคงต้องประคองต่อไปไม่ได้
ไม่ไปติดอยู่ตรงนั้น แล้วก็ไม่ติดอยู่กับโลกด้วย
ไม่ติด ไม่ยึด ไม่ลุ่มหลง ในสิ่งต่างๆที่มันมีอยู่ ไม่ยึดมัน
เรียกว่า สภาวะที่ดี แล้ว ก็ไม่ยึด
สภาวะที่สมมุติอยู่ ก็ไม่ยึด แต่สามารถดำรงชีวิตอยู่
บนทั้งสองอย่างที่มันมีอยู่ได้อย่างมีสติ และมีปัญญามากพอ..
ที่จะทำให้มันดำเนินไปตามเหตุของมัน
จนกว่าเราดับจากกายเนื้อแล้ว เราถึงเสร็จภารกิจของทางโลก หรือว่าในโลกสมมุติ
เราถึงค่อยไปอยู่ในโลกของสิ่งที่เป็นจริง ที่ที่มันจีรังยั่งยืน
ไม่มีเกิด มีดับ
และความรู้สึกของเรา.. จึงสามารถทรงไว้ในที่ที่บริสุทธิ์เช่นนั้น.. ตลอดไป
ไม่มีวันดับ วันหาย
องค์พระอรหันต์ หรือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
ผู้อยู่นิพพาน ก็มีสภาวธรรมเช่นนี้แหละ.. จึงสามารถทำลายอัตตาตัวตนได้ **
มีจิต ก็เหมือนไม่มี
ไม่มี ก็เหมือนมี
มี กับ ไม่มี.. เสมอเหมือนกัน อย่างนี้
การที่จะช่วยเหลือดวงจิตต่างๆทั้งหลาย.. ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้
ช่วย กับไม่ช่วย ก็เสมอเหมือนกัน - ไม่สุขไม่ทุกข์กับมัน
ช่วยก็ได้ ไม่ช่วยก็ได้ ได้ทั้งนั้น
ไม่สุขไม่ทุกข์กับช่วยหรือไม่ช่วย
อย่างนั้น.. เห็นเป็นแค่ธรรมดา
สภาวะจิตของผู้ถึงนิพพาน ทรงอารมณ์ฌานเท่านี้หละลูก
อยู่ท่ามกลาง ระหว่าง ดี กับ ชั่ว / ดี ไม่เอา - ชั่ว ไม่เอา
อยู่ท่ามกลาง ระหว่าง มี กับ ไม่มี / มี ก็ไม่ใช่ - ไม่มี ก็ไม่ใช่
อยู่เฉยๆ..
เมตตา มีเมตตาก็เหมือน ไม่มี - ไม่มี ก็เหมือน มี มี ก็ได้ ไม่มี ก็ได้
อยู่เฉยๆ ตามเหตุนั้น..
จิตจึงไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งเกาะสิ่งยึดของกิเลสตัณหา..จิตนั้น
จึงไม่มีการดับสูญ หรือว่าไม่ดับสูญ
จึงไม่มีสุข มีทุกข์ใดๆทั้งหมดทั้งสิ้น
อยู่เหนือความมี และไม่มีนั่นหละลูก
ฉะนั้น.. กรรมฐานกองนี้สำคัญยิ่งนัก *
เป็นสิ่งที่จะช่วยขัดเกลาความลุ่มหลง ที่ตัวที่เรานั้น จะไปหลงอยู่ในฌานใดฌานหนึ่ง
หลงอยู่ในกรรมฐาน กองใด กองหนึ่ง
จะสามารช่วยถอดถอน ความติด ในอรูปฌาน ความติดหลงไปในนิพพานพรม
จะถอดถอนกิเลสอย่างละเอียดอ่อน จนเข้าถึงพระนิพพาน
อย่างนี้หละ พระยาธรรมเอย.. คนที่เขานั้นสามารถเข้าถึงนิพพานพรหมได้
ถ้าเขาก้าวเข้าไปอีก 1 ขั้น
คือ การถอยกลับคืนสู่สามัญ และอยู่กับทุกสิ่งอย่างมีปัญญา เขาก็จะสามารถเข้าถึง
นิพพานที่แท้จริงได้ หน่ะลูก
ลองนำไปพิจารณาตรึกตรอง ทำความเข้าใจให้ลึก ให้ดี ให้ละเอียดอ่อน
แล้วลูกก็จะสามารถเข้าใจได้ว่า กรรมฐานกองนี้..
ส่วนสำคัญที่สุดของมัน ก็คือ การถอนจิตกลับออกมา จากการติดในฌาน
และการมีปัญญา มีสติ มีกำลังของสมาธิ..
*** ที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ..........ทั้งที่ยังอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง ***
ลูกจะเข้าใจเช่นนี้นะ ลองดูเถิด.. พระยาธรรม
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกก็พอเข้าใจบ้างแล้วหละ เจ้าค่ะ
ฟังไป ฟังมา เหมือนจะสับสน
แต่ฟังไปฟังมา.. ก็เข้าใจอยู่บ้าง เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ให้ลูกได้ทำความเข้าใจ
ในกรรมฐานกองที่40 นี้เจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกกราบขอลาพระพุทธองค์ก่อนนะเจ้าคะ
แล้วไว้ลูกจะเฝ้าฟังธรรมใหม่ ในโอกาสหน้า.. เจ้าค่ะ
สาธุ