ชีวิตที่เกิดมาได้ร่างกาย เหมือนได้บ้านเรือนมาอยู่อาศัย
ผ่านกาลเวลาล่วงไป มีแก่ เจ็บตาย ผุผัง เสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วต้องตาย
ไม่ว่าจะเป็นโลกใดในวัฏสงสาร ย่อมเป็นเช่นนั้น
จึงไม่ควรลุ่มหลงยึดติดกับโลก หาทางดับการเกิดกันดีกว่า จะได้ไม่ต้องตายอีกต่อไป
พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 23 กันยายน 2560
ตอนที่ 185 **มรณานุสติ แบบที่ ๓**
+ +
ในเช้าของวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560 ณ พุทธอุทยานภูสวรรค์
ข้าพระพุทธเจ้า ได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านเพื่อเฝ้าฟังธรรม เมื่อข้าพระพุทธเจ้าได้กราบนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ท่านแล้ว จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอทูลถาม ถึงกรรมฐานกองที่ 27 แบบที่ 3* - การพิจารณาความตายเป็นอารมณ์ น่ะเจ้าค่ะ
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟังด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ ”
- - - -
พระยาธรรมเอ๋ย..
สายน้ำที่มันไหลไปแล้ว.. มันจะไม่มีวันไหลกลับคืน
พระอาทิตย์ ที่มันขึ้น แล้วก็ตกดินไป.. มันก็จะไม่มีวันหวนกลับมา เป็นวันเก่า
ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นใหม่ ในวันพรุ่งนี้.. มันก็จะเป็นของวันพรุ่งนี้
สรรพสิ่งทั้งหลาย.. ล้วนแล้วแต่ - เป็นไปตามกาลเวลา เปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปเรื่อยๆ
ตัวของเรา ก็เหมือนกัน อาศัยกิเลส และตัณหา
เกิดมาชาตินี้
เกิดมาชาติหน้า
เกิดมาในหลายแสนภพชาติ ที่ผ่านมา
...วนเวียนอยู่เช่นนี้ ตามกาลเวลา ไม่จบไม่สิ้น ..
พระยาธรรมเอ๋ย.. เราก็เหมือนกัน กับดวงอาทิตย์นั่นแหละลูก
ที่มันโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า.. เมื่อครบเวลา 1 วัน - มันก็ต้องลับขอบฟ้าไป
เราเองก็เหมือนกัน.. เมื่อถึงเวลา ก็ต้องดับคืนกลับไป
และเมื่อโผล่ขึ้นมาแล้ว.. ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเอง ตามเหตุที่ตนนั้นมี / ที่ตนนั้นควรจะทำ
บางคน ก็ทำความชั่ว - เพราะเหตุแห่งเชื้อกิเลสและตัณหานั้น.. สั่งให้ทำ
บางคน ก็ทำความดี - เพราะว่าสามารถเอาตน อยู่ห่างจากเชื้อกิเลสตัณหาได้มาบ้าง
ก็เลยทำดีไป / ทำชั่วไป
ผลของดีและชั่วนั้น.. ก็เลยส่งผล..
- ให้เกิดแล้วตาย.. ตายแล้วเกิด
- ทำให้เรานี้ เวียนวนอยู่ในวัฏสงสารนี้.. ไม่รู้จบ
ลูกเอ๋ย.. ดวงอาทิตย์ที่มันต้องส่องสว่าง ที่มันต้องเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ในทุกวันๆ
หากว่า มันมีชีวิตเหมือนกันกับเรา
... มันก็คงจะเหนื่อย เบื่อหน่ายกับหน้าที่ที่มันต้องทำ ..
ดวงจันทร์ และดวงดาว มันก็จะต้องทำหน้าที่ ในช่วงเวลาข้ามคืน / ในช่วงเวลาแห่งความมืดมิด
มันก็ต้องทำหน้าที่ของมัน -ในความมืดมิดนั้น
ต้องทำอยู่อย่างนั้น เป็นประจำๆ..
... ถ้าเกิดว่า มันมีชีวิตเหมือนเรา - มันก็คงเหน็ดเหนื่อย เหมือนกัน !
ตัวของเรานี้ ก็โผล่ขึ้นมา.. ทำหน้าที่ - ดับกลับไปตามเหตุ
แล้วก็โผล่ขึ้นมาใหม่.. มาทำหน้าที่ - หน้าที่อะไรก็ไม่รู้ !
ทำแล้วได้ประโยชน์อะไร หรือว่าทำเพื่ออะไร ?
เราก็ไม่รู้.. รู้แต่ว่าต้องเวียนต้องวน อยู่อย่างนั้น !
บางที ก็เกิดมาในวงศ์ตระกูลที่ดี ในร่างกายที่ดี
บางยุค บางสมัย.. ก็เกิดมาในวงศ์ตระกูลที่ยากจน ทุกข์ยากลำบาก อดอยาก ไม่มีกิน
บางชาติ หากว่าได้ทำกรรมไม่ดีไว้มาก.. ก็ต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในชนิดต่างๆ
ก็เป็นอยู่อย่างนั้น เวียนอยู่อย่างนั้น.. นั่นหรือ ที่เรียกว่า ชีวิต
ชีวิตให้อะไรกับเรา.. ลูกเอ๋ย
ชีวิตเขา ให้อะไรกับเราบ้าง
... เหตุใดเล่า เราจึงต้องวนต้องเวียนไป อยู่กับคำว่า “ชีวิต” อย่างไม่จบไม่สิ้น..
ลูกเอ๋ย.. ลองพิจารณาตาม เช่นนี้เถิดว่า..
ร่างกายของเรา ก็คือ อีกส่วนหนึ่ง
จิตของเรา ก็คือ อีกส่วนหนึ่ง
เช่น ร่างกายนี้ก็คือ บ้านหลังหนึ่ง
จิตของเราก็คือ ตัวเรา ผู้ขอเข้าไปอยู่ และอาศัย
ส่วนกิเลสและตัณหานั้น - มันก็คือ *กฎกติกา* หรือว่า
คือ กฎที่ต้องทำตาม - เมื่อเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้น
เหมือนเราไปยืมบ้านใครอยู่ และเราก็ต้องทำประโยชน์ให้เขา
เราต้องเป็นไปตามที่เขาสั่ง /
... เราจะไม่มีสิทธิ์เป็นอย่างที่เราจะทำเลย..
กายของเรา ก็สมมุติ เหมือนบ้านที่ยืมมา ยืมของธรรมชาติมาอยู่เพียงชั่วคราว
เมื่อกาลเวลาผ่านไป.. เราต้องทิ้งบ้านหลังนี้ไว้ - แล้วเดินจากไป..
ไปยืมบ้านหลังใหม่อยู่ต่อไป
แล้วก็ไปเป็นไปตามกติกา ของบ้านหลังใหม่..
เมื่อกาลเวลาผ่านไป เราก็ต้องเดินต่อไปอีก ไปยืมบ้านหลังใหม่อยู่ต่อไปอีก
แล้วก็ต้องเป็นไปกฎ ตามกติกา ของบ้านใหม่นั้น..
* เขาสั่งให้เราหลง ยึดตัวยึดตน ยึดร่างกายนั้น ยึดชีวิต ภาระหน้าที่ของร่างกายนั้น
.. เราก็ต้องเป็นอย่างนั้น
* เขาสั่งให้เราดิ้นรนขวนขวาย ทำทุกอย่างเพื่อบ้านหลังนั้น.. เราก็ทำอย่างนั้น
* เขาสั่งให้ เราโลภ เรารัก เราโกรธ เราหลง ยังไง
.. เราก็ต้องเป็นไปตามกติกา ของบ้านหลังนั้น
เพื่อที่จะขวนขวาย ดิ้นรน ทุกสิ่งทุกอย่าง - ให้เป็นไปตามกติกาของบ้านหลังนั้น..
เกิดเป็นคน - ถ้าอยู่ในบ้านของความเป็นคน / อยู่ในร่างกายของคน นะลูก
- เป็นไปตามกติกา - กฎของความเป็นคน
แต่คนนั้น ก็ยังมีหลายระดับ หลายแบบ หลายสิ่ง - ให้เป็นไปตามเหตุ
เกิดเป็นสุนัข.. ก็ต้องเป็นไปตาม กติกาในบ้านของสุนัข
เกิดเป็นนก เป็นปลา.. ก็ล้วนแล้วแต่มี กติกาในบ้านหลังนั้นๆ ที่เราต้องไปเกิดอยู่
ลูกเอ๋ย.. เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ เข้าใจหรือยังลูก ว่าร่างกายของเรา.. ก็เหมือนบ้านแต่ละหลัง
ซึ่งมัน ก็ไม่ใช่บ้านของเราด้วยสินะ
เพียงแต่ชาตินี้ ขออาศัยในบ้านแบบนี้
หมดเวลาจากชาตินี้.. เราก็ไปขออาศัยอยู่ในบ้านแบบนั้น
หมดเวลาแล้ว.. เราก็ไปขออาศัยอยู่ในบ้านแบบโน้น..
เป็นอยู่อย่างนี้แหละลูก..
/ เป็นทาสของบ้านที่เราไปอาศัยอยู่
/ เป็นทาสของสิ่งที่เรานั้น เข้าไปยึดถือว่า.. เขาเป็นตัวเป็นตนของเรา
ทีนี้ เราเข้าใจแล้วสินะ ว่าในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของเรา เข้าไปยืมคนนั้นที คนนี้ที
-- ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา !
ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. เป็นธรรมดา
เราเข้าไปยืม กาลเวลาผ่านไป เราต้องละทิ้งบ้านนั้นไป
แม้ว่าเราจะผูกพันทุ่มเทมากกับบ้านหลังนั้นสักเพียงใด - เมื่อหมดเวลาแล้ว ก็ต้องจากไปอยู่ดี..
ทีนี้เรามาดูซิ.. เราก็คือ ดวงจิต
ถ้าอย่างนั้น.. ถ้าเราไม่ต้องไปอยู่ในบ้านหลังนั้น หลังโน้น
ไม่ต้องไปยืมบ้านใครอยู่ อีกต่อไป..
ไม่ต้องไปทำตามกติกาของใคร อีกต่อไป
ถ้าเราจะทำเช่นนั้นล่ะ - จะทำได้หรือเปล่า ?
เมื่อเราทบทวนถึงจุดตรงนี้.. เราก็ทบทวน นึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า ที่..
* ไม่ต้องไปยืมบ้านหลังไหนอยู่ อีกต่อไป
* ไม่ต้องไปอยู่ใต้อำนาจ ของใคร
* ไม่ต้องไปพบ -แล้วจาก เกิด -แล้วตาย.. อีกต่อไป
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สว่างไสว
-- เพราะไม่อยู่ใต้อำนาจแห่งกายนั้น / แห่งกติกานั้น อีกต่อไป --
เราก็จะเห็นองค์พระสว่างไสว
องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า องค์พระอรหันต์เจ้า.. ก็เหมือนกัน
ดวงจิตเหล่านั้น ของทุกๆพระองค์.. ต่างก็สว่างไสว ++
- ไม่ต้องมีบ้าน
- ไม่ต้องครอบครองสิ่งใด
- ไม่ต้องยึดถือ ยึดติดอะไรอีกต่อไป ..
สว่างไสว จิตนั้นปราศจาก กติกาใดๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น
เลยผ่องใส สว่างไสว.. เป็นสุขอย่างแท้จริง
และเป็นอิสระ อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายเหล่านั้น.. สว่างไสว ส่องพลังแสงพุทธบารมีลงมา ที่ตัวของเรา
เราเห็นแล้ว.. เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏขึ้นแล้ว
เราก็ดูรู้แล้วว่า.. กายที่มันหนักๆ กายที่มันเก่าๆนี้ - มันเป็นบ้านแห่งกิเลสตัณหา
ที่เราต้องมายืมมาอยู่กับมัน ต้องเป็นไปตามที่มันสั่งให้เป็น
เราจะไม่หลงในมันอีกต่อไป เราจะปล่อยให้มันเป็นไปตามเหตุของมัน
จะไม่รัก ไม่หลง ไม่โลภ ไม่โกรธ - เพื่อมัน อีกต่อไปแล้ว
เมื่อเราไม่หลงในมัน ..
เราก็จะได้ไม่ต้องมาขอยืมมันอยู่
เราก็จะได้ไม่ต้องมา วนเวียนอยู่กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไปเหล่านี้
-- จิตของเราก็จะได้ สว่างไสว --
คนเรา เกิดมาแล้ว.. ก็ต้องตาย
สัตว์ทั้งหลาย เกิดแล้ว..ก็ต้องตาย
โลกแห่งจิตวิญญาณ.. ก็เป็นเช่นนั้น เกิดแล้ว..ก็ต้องตาย
โลกสวรรค์ โลกทิพย์ ที่ว่าสุขละเอียดประณีตกว่า.. ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เกิดแล้ว..ก็ต้องตายเหมือนกัน !
เพราะว่า มันเป็นเพียงแค่การยืมบ้าน หรือว่าการที่เราไปขออาศัยอยู่ ในบ้านหลังสวย - หลังไม่สวย
// หลังที่ดูว่าดี กับดูว่าไม่ดี
แต่แท้ที่จริง.. มันก็ไม่ใช่เรา / ไม่ใช่ของของเรา
และที่สำคัญ ก็คือ เราต้องเป็นไปตามที่เขาสั่งทุกอย่าง !
นั่นแหละ คือ การเป็นทุกข์ยิ่งนัก ++
เราจะพาจิตของเรา.. ขึ้นสู่ความบริสุทธิ์ ขึ้นไปในที่ที่ว่าง
* ว่างเว้นจาก “ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ”
* ว่างเว้นจาก การเกิด แล้วตาย
* ว่างเว้นจาก การเวียนว่ายตายเกิด
จะนำพาจิตแห่งตน.. ห่างออกจากกองทุกข์ เพลิงไฟทั้งหลาย
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราก็จงพิจารณาไปว่า..
สิ่งทั้งหลายในโลก ในจักรวาล วัฏสงสารนี้.. ล้วนแล้วแต่ “ไม่เที่ยงแท้”
เกิด.. แล้วตาย
คนก็เกิด.. แล้วตาย
สัตว์ชนิดไหน ก็เกิด..แล้วตาย
บ้านเรือน รถรา ก็เกิด..แล้วตาย
-- ต่อให้เป็นอะไร.. ก็ต้องดับสูญไปทั้งนั้น !
เรานี้ รู้แจ้งเห็นจริง เข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว..
- จากวันนี้ไป เราจะไม่วิ่งตามความหลง..
หลงในกายของตน
หลงในกายของบุคคลผู้อื่น
แล้วก็ไปดิ้นรนขวนขวาย เพื่อให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ลาภยศ สรรเสริญต่างๆ มาประกอบกายนี้
จะไม่ทำอีกแล้ว / จะวางทุกสิ่ง
เพราะนั่น..
คือ การก่อภพ ก่อชาติ
คือ การดึงจิตของตน เข้าไปลุ่มหลงในบ้านของผู้อื่น
ที่เรานั้นจะต้องตกเป็นทาสของเขา
... เรานั้นจะไม่ยุ่งเกี่ยว กับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอีกแล้ว..
ทีนี้ ก็มาบริกรรมของเราเอง บริกรรมในจิตของเรา - อยู่กับองค์พระที่สว่างไสว
/ อยู่กับที่ที่มีแต่ แสงพลังพุทธบารมี *
แล้วก็น้อมพลังที่เย็น ลงมาแตะอยู่ที่ฝ่ามือซ้าย ฝ่ามือขวาของตน
ท่องไปเรื่อยๆ..
* เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด *
* เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด *
ท่องอยู่อย่างนี้ ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ
จนเราเห็นความเป็นจริงของ การเกิด - การตาย ที่มันเป็นของคู่กัน
ที่มันคือ อันหนึ่งอันเดียวกัน.. จนเราเห็นละเอียดขึ้นไป..
เกิด.. ตาย
เกิด.. ตาย
จนเราเห็นมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ เกิดหรือตาย นั้นมันเหมือนกัน ++
แล้วเราก็พิจารณาไปเรื่อยๆ.. จนเห็น “ความไม่มี”
ก็ถ้าไม่เกิด - ก็ไม่ตาย
เกิด หรือตาย ก็คือ ความไม่มี
แล้วไม่เกิด ไม่ตาย ก็คือไม่มี
สรุปแล้วทุกอย่าง -ว่างเปล่า ทุกอย่างไม่มีอยู่จริง
เกิด ก็สมมุติเกิด / ตาย ก็สมมุติตาย
ถ้าเรานี้ ไม่เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับการเกิด - เราก็จะไม่เกี่ยวกับการตาย
ไม่มีเกิด ไม่มีตาย.. ทุกอย่างก็ว่างเปล่า !
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข / ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย..
.. ทุกอย่างว่างเปล่า
ว่าง ข้างในว่าง.. ข้างนอกก็ว่าง
เกิดก็ว่าง.. ตายก็ว่าง
การเกิดไม่มี การตายก็ไม่มี
การเกิดนั้นไม่มี การตายนั้นก็ไม่มี
ไม่มีเรา - ก็ไม่มีสักสิ่งสักอย่างเลย
- ไม่ต้อง ตกทุกข์ได้ยาก
- ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย
- ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ลำบาก อยู่ในบ้านเก่าๆเหล่านี้อีกแล้ว
หลังนี้ที่เป็นบ้านแห่งคน - ก็หนักเหนื่อย ด้วยภาระหน้าที่
หลังนั้นที่เป็นสัตว์ - ก็เหน็ดเหนื่อยในภาระหน้าที่ ในรูปแบบของมัน
หลังโน้น.. ที่ดูจะสวยหน่อย มันก็ยังมีหน้าที่อยู่ดีนะ ในบ้านของเทวดา
-- ไม่ยืมใคร ไม่หลงในกายใด ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว --
จิตของเราจะสว่าง - ดุจดังแก้วมณี
จิตของเราจะสว่างไสว - ดุจดวงแก้วในนิพพาน
เรานั้นจะสลายตัว เราก็ทำได้
จะประกอบตัวขึ้นมา เราก็ทำได้
และไม่มีสุข ไม่มีทุกข์.. รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ไม่ต้องตกอยู่ใต้กติกาใดๆ ทั้งนั้น
-- สิ่งเหล่านี้ละ คือ สิ่งที่เราควรทำ ควรนำพาจิตของตน ให้เป็นอิสระเช่นนี้ ++
เราก็น้อมพลังไป ทรงสภาวจิตไว้เช่นนั้น
ให้เห็นการเกิด การตาย
ให้รู้ถึงการเกิด การเวียนวนในวัฏสงสาร
รู้ถึงการดับการเกิด
พาจิตของตน ออกจากบ้าน ที่มันขี้เหร่ทั้งหลาย
บ้านทุกหลัง ที่มันมีอำนาจควบคุมจิตของเรา ไม่ให้เป็นสุข ไม่ให้เป็นอิสระ
ทำเช่นนี้ อย่างนี้ละ.. พระยาธรรมเอ๋ย
พิจารณา ให้เห็นตามความเป็นจริง ไปเรื่อยๆ
ความเป็นจริงนั้น จะทำให้ลูกรู้แจ้ง เข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลาย..
แล้วลูกก็จะค่อยๆปล่อยวาง ทิ้งไปทีละสิ่งทีละอย่าง จนเหลือแต่ความว่างเปล่า
เมื่อนั้นละ พระยาธรรม.. ลูกก็จะเข้าสู่ความว่าง เข้าสู่ฌานได้
-- ฝึกทำบ่อยๆ จิตก็จะอยู่เหนือกิเลส และตัณหา ++
+ +
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณพระพุทธองค์ ที่ทรงเมตตาให้ลูก
- ได้เห็นกาย.. ว่ามันมีสภาวะเป็นแบบไหน
- ได้เข้าใจ ที่เราต้องมาทนทุกข์ทรมาน ในกายนี้
ลูกได้รู้ว่า อย่าลุ่มหลงในกาย.. เราจะได้เป็นอิสระ พ้นทุกข์
เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ
วันนี้ ลูกขอกราบลาก่อนนะเจ้าคะ
แล้วไว้ลูกจะมาเข้าเฝ้าทูลถามใหม่.. พระพุทธเจ้าค่ะ
สาธุ