การจะพิจารณาให้เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จะพิจารณาแบบไหน อย่างไร ขอพระพุทธองค์ช่วยชี้ทาง แสดงธรรมให้ได้รับฟัง
พุทธธรรมคลายทุกข์ ตอนที่ ๑๑๐ พิจารณาถอดถอนร่างกาย เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๐
พุทธธรรมนำทางพ้นทุกข์ ตอนที่ ๑๐๔ พิจารณากายไม่ใช่เรา
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๒
พุทธธรรมไขปัญหาคาใจ ตอนที่ ๖๗ จิตว่างแบบพุทธะ เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๑
คิดว่า ว่าง ว่าง ว่าง ทุกอย่างนิพพานอยู่แล้ว จะถึงพระนิพพานได้ไหม ได้ แต่ถึงแค่คิดเอา นั่งสมาธิให้ถึงความว่าง จะให้ถึงพระนิพพานได้ไหม ได้ แค่นิพพานพรหม ผ้าหม่ยังไม่ซัก บอกว่าให้หายเหม็น คงเป็นไปไม่ได้ การว่างอย่างพุทธะ ไม่ใช่ว่างอย่างคิดเอา ปรารถนาที่จะรู้เป็นยังไง ควรไปฟังเอา
พุทธธรรมนำทางพ้นทุกข์ ตอนที่ ๑๐๓ จิตที่กำลังจะรู้แจ้ง
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๒
ดวงจิตที่ฝึกฝนตน จนเป็นผู้รู้แจ้ง จะมีสภาวธรรมเช่นใด มีความรู้ความเข้าใจแบบไหน พระยาธรรมิกราชได้ทูลขอฟังธรรมจากพระพุทธองค์
พุทธธรรมไขปัญหาคาใจ ตอนที่ ๖๘ จิตของผู้รู้แจ้งโลก
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๖๑
การที่ดวงจิตใด ได้สร้างความดี จนถึงที่สุดของความดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เข้าใจในโลก เข้าใจในวัฏสงสาร แต่เขารู้แบบไหน เขาเห็นแบบไหน อันนี้ มีรายละเอียดเป็นยังไง พระพุทธองค์จะไขปัญหา ให้ได้ฟังกัน
#เอกะธัมโม #จิตหนึ่ง “เอก” ไง เอกแต่เรียงพยางค์ว่า “เอกะ” จิตหนึ่งเท่านั้นน่ะ ที่ไม่กระดุกกระดิก ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ไม่กระดุกกระดิกได้ ที่เป็น “วิสังขาร” เป็น “อสังขตธาตุ” เป็น “อสังขตธรรม” เป็น “นิพพานธาตุ” เป็น “สุญญตาธาตุ”
หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่กระดุกกระดิกได้ ที่กระดุกกระดิกได้มากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน
คือ ความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ทุกชนิด ผู้รู้ ผู้จ้อง ผู้เพ่ง ผู้เห็น ผู้เข้าใจ รวมทั้ง สติ สมาธิ ปัญญา ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวกระดุ๊กกระดิ๊ก รู้อะไรเป็นอะไรหมด
พ้นจากสังขาร… หนึ่งเดียวเท่านั้น คือ “วิสังขาร” อันนั้นน่ะมันเป็นธรรมชาติที่รู้ แต่มันไม่เคยเปิดเผยตัวตน มันไม่กระดุ๊กกระดิ๊กเลย มันไม่เอ๊ะอ๊ะ อุ๊อิ๊ อะไรได้เลย มันเป็นธรรมชาติที่รู้อยู่ในตัวของมันเอง
ตรงนั้น …มันไม่มีคำพูดกันแล้วพอถึงตรงนั้น ถ้าไปถึงใจที่ไม่กระดุ๊กกระดิ๊ก ที่มันเป็นธรรมธาตุที่เป็นนิพพานธาตุเป็นสุญญตาธาตุ มันไม่มองเห็นความคิด ความรู้สึก ว่าเป็นเราเนี่ยเป็นเรื่องสาระสำคัญเลย
มันเห็นเป็นเรื่องไร้แก่นสาร ไม่มีสาระสำคัญอะไรเลย
แล้วมันก็อยู่กับผู้รู้ ที่ไม่อาจเป็นสังขารได้ มันไม่มีความอะไรเคลื่อนไหวเลย แต่มันมีความรู้ที่เป็น “พุทธะ” รู้สัจธรรมความจริงว่าอะไรเป็นสังขาร
สิ่งใดเป็นสังขารสิ่งนั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วผู้รู้ที่แท้จริงมันก็จะรู้ว่า ตัวเราที่พูดได้ ที่ปรุงแต่งได้ ที่เป็นผู้รู้ที่เป็นตัวเราเนี่ย มันสารพัดจะบ่นจะพูด จะอยาก ดิ้นรนกระเสือกกระสนพยายามจะไขว่คว้ายึดถืออะไรไว้ให้ได้ ตัวนี้เป็น “ ตัวปลอม “ มันเป็นตัวสังขารเป็นตัวปรุงแต่ง
ไม่ใช่ "เอโกธัมโม" หรือ "เอกะธัมโม" มันไม่สนใจให้ค่าให้ความสำคัญเลย
มันรู้อยู่ … แต่มันเห็นว่าไม่มีสาระ
เป็นสิ่งไม่มีสาระแก่นสารเพราะว่าเดี๋ยวก็ดับหมด เกิดแล้วก็ดับไปหมดสิ้น
ใจมันเลยเป็น "เอโกธัมโม" ," เอกะธัมโม" อย่างเป็นอมตะตลอดกาล แม้แต่สังขารที่เป็นขันธ์ห้าทั้งหมดดับหมดสิ้นแล้ว แต่เอโกธัมโม เอกะธัมโม ซึ่งไม่เปิดเผยตัวตนไม่เคยดับเลย เป็น อมตะธาตุ อมตะธรรม เป็นธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมธาตุ กับธรรมชาติตลอดกาลเลย เป็นสิ่งที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตนไม่ปรากฏอะไรเลย
ถ้าอย่างนั้นเนี่ย ถึงตรงนั้นแล้วมันไม่หาอะไรแล้ว เพราะถ้าหาอะไร มันเป็นสังขารหมดเลย มันกระดุ๊ก
กระดิ๊ก เอ๊ะอ๊ะ อุ๊อิ๊ มันเป็นทุกข์หมดเลย
ถึงตรงนั้นเนี่ยมันไม่มีแล้วในนั้น มันไม่มีการปรุงแต่งว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา
มันพ้นจากขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่ได้เข้าไปมีปัญหากับมัน สิ่งใด ๆ ไม่เข้าไปมีปัญหากับมัน เพราะสิ่งที่มีปัญหากับมันได้ **สิ่งนั้นเป็นสังขารหมด**
แต่มันน่ะพ้นจากสังขารทั้งมวลแล้ว สังขารใดๆ ในโลก สังขารใดๆ ในร่างกายจิตใจเข้าไม่ถึงมัน เวทนาทั้งหมดก็เข้าไม่ถึงมัน มันไม่มีความทุกข์กับอะไร เพราะมันไม่ยึดถืออะไรได้ มันไม่อาจยึดถืออะไรได้
พวกเรามันพลาดตรงที่ว่า… มันเอา “ตัวเรา” เป็นผู้รู้ แล้วเราก็ไปยึดถือในสิ่งที่เราชอบใจไว้ เช่น เอาตัวเราไปรู้ความว่าง แล้วเราก็ยึดถือความว่างซึ่งเราหมายมันว่า คือ “ นิพพาน” แต่เรากลับไม่เห็นตัวเรา!!
ที่หลวงตาพยายามบอกว่า เราไปเห็นแต่สิ่งที่เราชอบ ที่เราหมายเอาไว้ คือ นิพพาน คือ ความว่าง คือ ความสงบ แต่เราไม่เห็นว่าในความว่าง ความสงบ มีตัวเราเนี่ยพูดไม่หยุด ไอ้ตัวเราที่กระดุ๊กกระดิ๊กได้
แต่ถ้าเราสังเกตดีๆ เราจะเห็นว่า ไอ้ตัวที่กระดุ๊กกระดิ๊กได้ มันกระดุ๊กกระดิ๊กได้อยู่ในความที่ไม่กระดุ๊กกระดิ๊ก มันเป็นธรรมชาติคู่กัน
“ สิ่งใดที่มันเกิดดับได้กระดุ๊กกระดิ๊กได้เคลื่อนไหวได้ มันย่อมเคลื่อนไหวอยู่ในสิ่งที่ไม่เคลื่อนไหว”
มันเป็นธรรมชาติคู่กัน ท่านสังเกตให้ดีๆ มันไม่ได้อยู่กันคนละที่ แล้วมันไม่ใช่ว่าพอมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นมา ปุ๊บ! แล้วไอ้ความไม่เคลื่อนไหวหายไป
***ตัวนี้สำคัญมากนะ***
ไม่ใช่ว่าพอมีความเคลื่อนไหวกระดุ๊กกระดิ๊กอะไรขึ้นมาแล้ว ความไม่เคลื่อนไหวหายไป … ไม่ใช่นะ!
คือต่อให้มีความเคลื่อนไหว แต่ความเคลื่อนไหว ก็เกิดดับอยู่ในความไม่เคลื่อนไหว
“ สังขาร” มันมี กายสังขาร วาจาสังขาร จิตสังขาร สังขารมี 3
เนี่ย “กายสังขาร” หลวงตายกมือขึ้นมาเนี่ย กายสังขาร นี่กายสังขาร ยกมือขึ้นมา แล้วหลวงตาโบกมือไป
มือนี่มันโบกได้เพราะว่ารอบมือหลวงตาเป็นอะไร…? … “ เป็นความว่าง” … มันเป็นความว่าง
ความเคลื่อนไหว จะเคลื่อนไหวได้ต้องมีความว่าง มีความว่างให้มือเนี่ยมันสามารถเคลื่อนไหวได้ ถ้าเอามือเนี่ยสมมุติว่าเอามือไปยัดใส่เสา เสาตึกเนี่ยถ้าสามารถเอามือไปยัดใส่ในเสาตึกได้
มันจะเคลื่อนไหวได้มั้ย …? … “ ไม่ได้ ” เพราะอะไร…?... “ มันไม่มีความว่าง”
เพราะฉะนั้น ความว่างหรือความไม่เคลื่อนไหวเนี่ย มันก็อยู่ตรงความเคลื่อนไหว ถ้าสิ่งใดเคลื่อนไหวได้มันต้องมีความว่างคือความไม่เคลื่อนไหวรองรับ
นี่คือ “กายสังขาร” ร่างกายเราหันไปมาได้ ภายใน
ร่างกายเนี่ยมีระบบทำงานในร่างกายเราเคลื่อนไหวได้เพราะว่าในร่างกายเรามีอะไร…?... “ มีความว่าง” กระแสเลือดจึงไหลเวียนได้ ถ้าในร่างกายเราไม่มีความว่างนะ ลมหายใจก็เคลื่อนไหวไม่ได้ ติดๆ ขัดๆ หมด เลือดลมก็เคลื่อนไหวไม่ได้ เราตายเลย
มันต้องมีความว่างคือ ธรรมชาติต้องสร้างความว่างขึ้นมา เป็นธาตุว่างธาตุอากาศ เป็นความว่าง และ “ ธาตุรู้” มันเป็นคุณสมบัติเหมือนความว่าง มันเหมือนความว่างเลย แต่ความว่างของอากาศเนี่ย มันไม่มี “ความรู้”
แต่ธาตุรู้เนี่ยมันเป็นความว่างเหมือนอากาศ แต่มันมีความรู้ มันอยู่รวมกับความว่างของธรรมชาตินี่แหละ
เลยมันกลายเป็นว่าในธรรมชาติ
มันมีทั้งความว่างที่มีความรู้
กับความว่างที่ไม่มีความรู้
ดังนั้นไอ้ความว่างที่มีความรู้เนี่ย มันก็เลยเป็นความว่างที่มันไม่ขยับตัว
สิ่งใดขยับตัวได้ มันก็ขยับตัวอยู่ในความว่าง
สิ่งใดที่เคลื่อนไหว…สังขารทั้งหมดเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหว เกิดดับได้ มันเคลื่อนไหวเกิดดับอยู่ในความว่าง มันเคลื่อนไหวเกิดดับอยู่ในความว่างของธรรมชาติ ความว่างของอากาศ และความว่างของ “ธาตุรู้ ” ซึ่งไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดังนั้น ถ้าท่านสังเกตให้ดีว่า มือเนี่ยมันเคลื่อนไหวได้ มันต้องมีความว่างรองรับ นี่เรียกว่า “กายสังขาร” ในร่างกายเราเคลื่อนไหวหันซ้ายหันขวา ในร่างกายเลือดลมเดินได้ เพราะมันมีความว่างรองรับ คือ ความไม่เคลื่อนไหว
ทีนี้ “วาจาสังขาร” ปากที่พูดเนี่ย ปากที่พูดถ้าเอาอะไรมาปิดมันหมดเลยไม่ให้มีความว่าง ปากจะพูดได้มั้ย …?.. “ ไม่ได้” ปากมันก็พูดไม่ได้
ปากมันพูดได้จ๋อย จ๋อยๆ เนี่ยเพราะอะไร..?
… รอบปากมันมีความว่าง
ถ้าเราเห็นสังขารที่ไหน ความว่างต้องอยู่ที่นั่น ถ้าเห็นสังขารเกิดดับที่ไหนความว่างต้องอยู่ตรงนั้น
***ความไม่เกิดดับน่ะ อยู่ตรงที่เกิดดับ***
ผู้ใดสามารถเห็นความไม่เกิดดับได้ท่ามกลางความเกิดดับ ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ได้ แต่พวกเราเนี่ย เห็นแต่ความเกิดดับ เห็นแต่สังขารปรุงแต่ง แต่เราไม่เห็น “ความไม่ปรุงแต่ง” ในท่ามกลางความปรุงแต่ง
ไม่สามารถเห็นความว่าง ความไม่เกิดไม่ดับ ความไม่ปรุงแต่งในท่ามกลางความมี เราเห็นแต่ความมี ความปรุงแต่ง แต่เราไม่สังเกตให้ดีว่า ในท่ามกลางความมี ความปรุงแต่ง มันมีความไม่ปรุงแต่ง
ทีนี้พอกายสังขารแล้ว “วาจาสังขาร” กายสังขารก็เคลื่อนไหวอยู่ในความว่าง วาจาสังขารก็เคลื่อนไหวเกิดดับอยู่ในความว่าง จิตสังขารมันเคลื่อนไหว มันก็ต้องเคลื่อนไหวเกิดดับอยู่ในความว่าง
ถ้ามันไม่มีความว่างรองรับ “จิตสังขาร” เนี่ย แล้วจิตสังขารจะเคลื่อนไหวได้ยังไง มันเป็นธรรมชาติ ๆ ทั้งความว่างก็เป็นธรรมชาติ ความว่างที่ไม่เกิดไม่ดับก็เป็นธรรมชาติ จิตที่เคลื่อนไหวก็เป็นธรรมชาติ
มันเป็นธรรมชาติ 2 ประเภท ประเภทหนึ่งเป็นธรรมชาติที่เคลื่อนไหวเกิดดับได้ เปลี่ยนแปลงได้เรียกว่า “ สังขาร” เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไร ความไม่เกิดไม่ดับ ที่เป็นรองรับสังขารทั้งหมดเรียกว่า “วิสังขาร” หรือเรียกว่า “อสังขตธาตุ” คือ ธาตุเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจสังขารได้ “อสังขตธรรม” หรือเรียกว่า “ สุญญตา” คือ ความว่างเปล่า เรียกว่า “ นิพพาน” คือ ความไม่ทุกข์ เพราะมันไม่สามารถมีตัวตนไปยึดถืออะไรให้เป็นทุกข์ได้
เรียกว่า “ธรรมธาตุ” มันอยู่กับในที่สังขารนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นเนี่ย ผู้ใดสามารถเห็นความไม่เกิดไม่ดับ
ในท่ามกลางความเกิดดับ
เห็นความไม่มีอะไรปรากฏเลย ในท่ามกลางความปรากฏแล้วก็เกิดดับไปในท่ามกลางความไม่ปรากฏ
สิ่งปรากฏทั้งหมดย่อมปรากฏขึ้นมาจากความไม่มีอะไร เหมือนก้อนกระดาษทิชชูเนี่ย คือ “สังขาร”
แล้วก็ธรรมชาติที่ว่างเปล่าในสถานที่ปฏิบัติธรรมนี้เป็น “วิสังขาร” คือ ความไม่ปรากฏอะไร
แล้วอยู่ๆ ก็มีกระดาษทิชชูเนี่ยปรากฏลอยขึ้นมาในความว่างเปล่า สังขารทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาในความว่างเปล่า เมื่อมันเกิดขึ้นมาในความว่างเปล่าเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร มันย่อมดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร
*** นี่มันเป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ***
สังขารทั้งหมดจึงตกอยู่ใต้กฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความเกิดขึ้นมาจากความไม่มี อะไรย่อมดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร
พอรำพึงแค่นี้แหละ โกณทัญญะ ว่า “ อัญญาสิวตโภ โกณทัญโญ เลยพระพุทธเจ้าตรัสเลย โกณทัญญะ รู้แจ้งแล้วหนอ
โกณทัญญะ รำพึงขึ้นมาในใจ ว่า… โอ้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีความเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาสิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
"ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ"
สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
จากความไม่มีอะไรเหมือนกับว่า กระดาษทิชชูก้อนกระดาษทิชชูเนี่ยคือสังขารทั้งหมดที่มันกระดุกกระดิกได้ เคลื่อนไหวได้ แม้แต่เคลื่อนไหวได้แม้แต่ปรมาณูหนึ่ง น้อยหนึ่งนิดหนึ่งปรมาณูหนึ่ง ที่มันเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร มันย่อมดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร
ความไม่มีอะไรเนี่ย มันมีหนึ่งเดียวคือ " เอโกธัมโม" หรือ "เอกะธัมโม" มันเป็นหนึ่งเดียว
แต่ความมีอะไร คือ สังขารทั้งหมดเลย มันย่อมเกิดขึ้นมาในความไม่มีอะไร
เราสังเกตเห็นความไม่มีอะไร… ว่าสังขารทั้งหมดมันเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วมันดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร ความไม่มีอะไร คือความที่ไม่อาจกระดุ๊กกระดิ๊กได้
พอมันถึงความไม่มีอะไรแล้วเนี่ย เราก็สังเกตว่าในความไม่มีอะไรมันมีความกระดุ๊กกระดิ๊กได้ตลอดเวลา
คือ มันเป็นธรรมชาติต้องคู่กัน คือ ความกระดุ๊กกระดิ๊ก กับความไม่กระดุ๊กกระดิ๊ก มันต้องอยู่คู่กันตลอด
เราสังเกตให้ดีเมื่อถึงใจที่ไปถึงความไม่มีอะไรแล้วเนี่ย ความไม่ปรากฏอะไร สังเกตดีๆ มันอยู่ในที่เดียวกับที่มันมีอะไร คือมีความสังขารกระดุ๊กกระดิ๊กขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาไหวตัวขึ้นมา
แต่ความปรากฏขึ้นมาไหวตัวขึ้นมา มันไหวตัวขึ้นมาในความไม่มีอะไร แม้แต่ใจไปถึงซึ่งความไม่มีอะไรแล้ว แต่สังขารมันยังกระดุ๊กกกระดิ๊กอยู่
คือ ขันธ์ห้านี่ยังพูดยังพากษ์ตลอดเวลาจนกว่าจะตาย แต่มันพูดพากษ์อยู่ในความไม่มีอะไร
แต่ใจกลายเป็นความไม่มีอะไรที่เป็น “วิสังขาร” เป็นสุญญตาไปแล้ว
เนี่ยเรียกว่า “อยู่กับผู้รู้” ผู้รู้ที่เป็นผู้รู้ที่เป็น “ธรรมธาตุ” เป็น “นิพพานธาตุ” เป็น “สุญญตาธาตุ” ไม่ได้ไปอยู่กับสังขาร
แต่ไม่ใช่ว่ามีตัวเราเนี่ยไปอยู่กับผู้รู้!!
มันเป็น "ความรู้แก่ใจ" ว่าอยู่กับผู้รู้ เป็นความรู้แก่ใจว่าอยู่กับผู้รู้ไม่ได้ไปอยู่กับสังขาร อยู่กับผู้รู้ที่ไม่สังขาร
“ความรู้แก่ใจ” นะ ไม่ใช่ว่ามี “ตัวเรา” เนี่ยไปอยู่กับผู้รู้ที่เป็นวิสังขาร ที่ไม่สังขาร
คือ มันรู้แก่ใจ ว่ามันไม่หลงไปเป็นสังขาร
เมื่อไม่หลงไปเป็นสังขารมันก็อยู่กับ “วิสังขาร” มันเป็นใจที่ไม่สังขาร ความทุกข์ก็ไม่มี
พอหลงไปเป็นสังขารมันย่อมเป็นทุกข์ เพราะมันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันย่อมเป็นทุกข์
พ้นจากทุกข์ได้ ต้องเอโกธัมโม, เอกะธัมโม ธรรมหนึ่งเดียวที่ไม่เกิดไม่ดับจึง พ้นจากทุกข์ได้ หนึ่งเดียวเท่านั้น
ถ้าท่านเข้าใจอย่างนี้ท่านจะไม่ถามหาว่าอะไรเป็นอะไร แล้วหนูจะเป็นยังไง ผมเป็นยังไง ทำยังไงหนูถึงจะถึงตรงนั้น ผมจะถึงตรงนั้น
เพราะอะไร ไอ้หนูหรือผมเป็นอะไร…?
….เป็นสังขารที่กระดุ๊กกระดิ๊กได้ ที่เกิดตายได้ทั้งหมด
*** อย่าไปอยู่กับสิ่งที่เกิดตาย อย่าไปเป็นสิ่งที่เกิดตาย ให้รู้แจ้งแก่ใจว่าอยู่กับสิ่งที่ไม่เกิดไม่ตาย***
และมันรู้ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เกิดตายสิ่งที่แตกดับได้ทั้งหมดไม่ใช่มัน เพราะมันรู้จักตัวมันเอง ว่ามันคือสิ่งที่ไม่เกิดไม่ตาย มีหนึ่งเดียวเท่านั้น สิ่งที่เกิดตายทั้งหมด ไม่ใช่มัน!
มันไม่ให้ความสำคัญให้ค่าให้ความสำคัญกับสิ่งใดเลย ตัวผู้ไปให้ค่าให้ความสำคัญเนี่ย มันก็เป็นสิ่งเกิดตาย ดังนั้นมันเพียงแค่รู้แก่ใจว่า มันอยู่กับ “รู้ที่ไม่เกิดไม่ตาย” ไม่กระดุ๊กกระดิ๊กได้เลย สิ่งที่กระดุ๊กกระดิ๊กได้ไม่ได้เข้าไปยึดถือเลย และมันไม่ให้ค่าให้ความสำคัญกับว่า สิ่งที่ไม่กระดุ๊กกระดิ๊ก
เพราอะไร …?
เพราะมันรู้ว่าไอ้ผู้ที่พยายามมาให้ค่าให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่เกิดไม่ตาย กระดุ๊กกระดิ๊กได้
นั่นคือ “สังขาร” นั่นคือ “อวิชชา”
มันได้แต่รู้แก่ใจเฉยๆ แต่มันไม่ได้มาให้ค่าให้ความสำคัญสิ่งที่ไม่กระดุ๊กกระดิ๊ก แต่มันรู้แก่ใจว่า มันนั่นแหละเป็นหนึ่งเดียวกับความที่ไม่กระดุ๊กกระดิ๊กที่เป็นวิสังขาร และมันไม่ได้ไปยึดเอาวิสังขารที่ไม่กระดุ๊ก
กระดิ๊กว่า “เราเป็น” มาเป็นของเรา มันจึงไม่มีตัวเราไปอยู่กับใจที่ไม่สังขาร
มันได้แต่รู้แก่ใจว่า… บัดนี้เป็น “ใจ” ที่ไม่สังขาร
แต่ไม่ใช่ว่าเราไปเป็นเจ้าของใจที่ไม่สังขาร หรือเอาใจที่ไม่สังขารมาเป็นของๆเรา
เพราะไอ้ตัวเรา ความคิดตัวเรา มันเป็น..." สังขาร"
เมื่อมันพ้นจากสังขารเสียแล้ว มันเลยไม่อาจเอาสังขารมายึดถือใจได้อีก มันเลยเป็นใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ
เป็นใจที่บริสุทธิ์
นี่แหละ คือ “นิพพาน”
ที่ท่านว่าอภิธรรมที่ว่า รูป จิต เจตสิก นิพพาน นิพพานนี่ก็คือ “จิตบริสุทธิ์” นั่นเอง
หรือ ใจที่บริสุทธิ์ หรือ "เอโกธัมโม" นี่เอง
พ้นจากรูป พ้นจากจิต พ้นจากเจตสิกไปหมดสิ้น…
“ รู้แก่ใจ”
จึงไม่ต้องถามว่า เข้าใจที่หลวงตาพูดสอนหรือเปล่า
................
🍂หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย🍂
🔔ติดตามธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์ในปัจจุบันได้ทาง...
พุทธธรรมนำทางพ้นทุกข์ ตอนที่ ๑๐๕ เหมือนจะรู้แต่ไม่รู้ เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๒
เหมือนจะรู้แต่ยังไม่รู้ เหมือนจะจบแต่ยังไม่จบ มันเป็นเพราะเหตุอันใด จะทำยังไงต่อไป เพื่อให้รู้ ให้จบอย่างแท้จริง พระยาธรรมิกราช ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า เพื่อขอฟังธรรมในเรื่องนี้
พุทธธรรมนำทางพ้นทุกข์ ตอนที่ ๕๐ โปรดพระยาธรรมิกราช
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
พระยาธรรมิกราช ทำหน้าที่รับพระธรรมคำสอนมาเผยแผ่ พอมาถึงจุดหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยล้า ปรารถนาให้พระพุทธองค์ทรงชี้ทาง พระพุทธองค์ท่านจะทรงตรัสสอนอย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายไปฟังดู
ผู้รู้ตื่นเป็นแบบไหน อย่างไรเรียกว่ารู้ตื่น จะทำให้ถึงสภาวธรรมของการรู้ตื่นอย่างไร พระยาธรรมิกราชสงสัย เลยเข้าเฝ้าทูลถามต่อองค์พระพุทธบิดา
พุทธธรรมนำทางพ้นทุกข์ ตอนที่ ๙๓ ผู้รู้ตื่นเป็นแบบไหน เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒
ดวงจิตที่หลุดพ้น จากกิเลส ตัณหา ด้วยการกระทำตามศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา เมื่อรู้ตื่นแล้ว จิตจะไม่ใช่ตื่นด้วย อำนาจของศีล ธรรม สมาธิ ปัญญา แต่จะรู้ตื่น เบิกบาน ด้วยสภาวธรรมของจิตเอง ธรรมนี้ ละเอียดอ่อนยิ่งนัก พึงพิจารณาให้จงดี จะได้ไม่งง และหลงทาง
พุทธธรรมไขปัญหาคาใจ ตอนที่ ๖๙ แยกจิตออกจากกรรม
เผยแผ่ธรรมเช้าวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑
ร่างกายเปรียบได้ ดั่งเช่นบ้าน เปรียบเป็นเหมือนรถ เหมือนสิ่งทั้งหลาย ที่เราหยิบยืมมาใช้ชั่วคราว เพื่อสร้างความดี ท้ายที่สุด ต้องสลายคืนกลับสู่ธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใด ที่จะคงอยู่ตลอดไป จึงไม่ควรยึดติดในร่างกาย ที่ไม่เที่ยงให้เป็นทุกข์เลย
จิตว่างแบบมีชีวิต - Mental free - Living