💟#ไปเถิด!!! ไปช่วยผู้อื่น!!!
แต่การช่วยผู้อื่นคือทำให้เขาเป็นตัวของเขาเอง
ท่านต้องแยกให้ออก ระหว่างการช่วยกับการเปลี่ยนแปลงเขา
ถ้าท่านช่วยเขา นั่นคือให้เขาเป็นตัวของตัวเอง
ถ้าท่านเปลี่ยนแปลงเขา
นั่นคือท่านมีรูปแบบและอุดมคติไว้แล้วสำหรับยัดเยียดเขา
การพยายามเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เป็นความก้าวร้าว ไม่ใช่ความรัก
ในโลกนี้ มีคนมากมายเหลือเกิน ที่ต้องการให้ผู้อื่นเปลี่ยนสภาวะ
ศาสนา พระเจ้า อุดมคติ มีไว้เพื่อ...มนุษย์
แต่...ไม่ใช่ต้องสังเวยมนุษย์ เพื่อสิ่งเหล่านี้
ท่านลองคิดดูสิ พุทธะอยู่ในตัวเขาเองใช่ใหม
แล้วทำไม จึงบังคับให้เขาเหมือนคนนั้นคนนี้
การพยายามเป็นแบบคนอื่น ก็ยิ่งไกลห่างออกจากพุทธะแห่งตนเอง
👉👉นั่น... คือการช่วยเหลือหรือ???
👉ใครก็ตามที่พยายามเป็นคนอื่น เขาจะห่างไกลบ้านภายในที่แท้จริง
👉เขาจะสวมหน้ากาก กลายเป็นของปลอม
📌มีบุคลิกภาพ
📌แต่ไม่มีจิตวิญญาน
📌ไม่มีการตระหนักรู้
🍁🍁🍁ดอกไม้แห่งพุทธภาวะนั้น มีอยู่ในตัวทุกคน และเรารู้ว่ามันจะเบ่งบานอย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง
จงช่วยให้มนุษย์เป็นตัวของตัวเอง โดยปราศจากเงื่อนไขทุกอย่าง
ด้วยการยอมรับสิ่งที่เขาเป็น
จงช่วยให้เขาอยู่กับปัจจุบันขณะ และเข้าใจภายในแห่งตน
โดย.............
ไม่มี ศิษย์ อาจารย์
ไม่มี ชื่อเสียง หรือการยอมรับ
ไม่มีอะไรตายตัว มีแต่เฉพาะตัว
จงเป็นตัวของตัวเอง!!!!!!!!
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ในฐานะที่เราเป็น "บุตรเอก" แห่งพระบิดาฯ
ผู้ที่พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมา
เพื่อฉุดช่วยท่านทั้งหลายให้หลุดพ้นออกไป
จากโลกและอนันตจักรวาลหรือ "เอกภพ"
ในบริบทของการ "นิพพานที่แท้จริง"
มิใช่การนิพพานแบบ #เทียมเท็จ นั้น
เราขอชื่นชมและอนุโมทนาบุญกับท่านทั้งหลาย
ที่หมั่นปฏิบัติธรรมด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ด้วยการเพียรทำความดีละเว้นการทำชั่วทั้งปวง
อย่างจริงจังและตั้งใจกันตลอดมา
เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์บุตรของพระบิดาฯทุกคน
จักต้องปฏิบัติจนเป็นคุณสมบัติของตนเองให้ได้
ทั้งนี้เพราะว่า
การทำความดีละเว้นความชั่ว
เป็นหน้าที่หลักของมนุษย์ทุกคนจักต้องปฏิบัติ
มิเช่นนั้นท่านจะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณไม่ได้
จิตวิญญาณจะเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ
โดยตลอดภพชาตินี้ท่านก็จะเป็นได้แค่เพียงขยะ
ที่ปลิวว่อนไปปลิวว่อนมาอยู่บนโลกนี้
เพราะไม่มีประโยชน์อะไรต่อโลกที่ตนเหยียบยืน
หน้าที่ทางจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ที่มนุษย์ทุกคนจักต้องกระทำให้ลุล่วง คือ
1.ท่านต้อง "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์"
การคนตนเองให้เป็นมนุษย์คือการหมุนธรรมจักร
การหมุนธรรมจักรคือเมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใด
ด้วยกลไกอายตนะทั้งหกของตนเองแล้ว
จิตจะต้องสั่นสะเทือนทางด้านบวกเท่านั้น
ไม่ว่าสิ่งที่ท่านเกิดผัสสะนั้นท่านจะชอบใจหรือไม่
ท่านก็จะต้องรักให้ได้ ให้อภัยให้เป็นเสมอ
จักต้องอดทน อดกลั้นและมีเมตตาต่อสิ่งเร้านั้น
2.ท่านต้อง "ใช้ปัญญา" ขับเคลื่อนพฤติกรรม
เพราะว่าท่านมาเกิดเป็น "มนุษย์"
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
จึงมีความแตกต่างจากสัตว์ประจำโลก
สัตว์เวลาเดินหรือเคลื่อนที่ไป
เขาก็จะเอาศีรษะยื่นไปข้างหน้า
เอาลำตัวยาวๆของเขาขนานไปกับพื้น
เพราะพวกเขาไม่ต้องทำสามเหลี่ยมกับพระเจ้า
พระเจ้าที่เป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของพวกเขา
เนื่องจากพวกเขาอาสามาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลก
สัตว์ประจำโลก คือ ตายแล้วเกิดใหม่อยู่บนโลกนี้
ไม่มีหน้าที่ต้องหลุดพ้นนิพพานเหมือนมนุษย์
ขณะที่พระบิดาฯให้จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อทำภารกิจทางจิตวิญญาณให้ลุล่วง
โดยมีเวลาโลกให้ใช้นานร่วม 6 หมื่นปีเต็ม
ซึ่งจะเวียนว่ายตายเกิดสักกี่ภพชาติก็ไม่ว่า
แต่เมื่อถึงเวลาสิ้นยุคหกหมื่นปีโลกก็ต้องกลับบ้าน
เพราะว่าจิตวิญญาณมีหน้าที่ต้องกลับบ้านนี่แหละ
จึงเป็นเหตุผลหนึ่งซึ่งพระองค์ทรงต้องกำหนดให้
รูปธรรมมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เอาศีรษะชี้ขึ้นฟ้า
หรือกำหนดให้เอาลำตัวตั้งฉากกับพื้นระนาบ
การเอาศีรษะชี้ขึ้นฟ้า
ก็เพื่อจะได้ทำสามเหลี่ยมยึดโยงกับพระองค์ไว้
เมื่อสิ้นอายุขัยตายไปจากโลกนี้เมื่อไหร่
สุดปลายทางที่จิตวิญญาณจะดีดตัวเองออกไป
ก็คือการเดินทางไปหาพระบิดาฯซึ่งทรงประทับอยู่
ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของดาวเหนือ
จิตวิญญาณจะหลุดพ้นออกไปได้
แม้ท่านจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ถือศีลกินเจประพฤติธรรมนั่งกรรมฐาน
สวดมนต์ให้ทานแม้จะเคร่งครัดอย่างไร
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี
ท่านจึงต้องกำหนดจิตไว้ว่าตายแล้วจะไปไหน
จิตวิญญาณของท่านเมื่อทิ้งกายสังขารแล้ว
ก็จะเหวี่ยงตนเองไปยังทิศทางเป้าหมายนั้นได้
ไม่ต่างจากการยิงธนูนั่นแหละท่าน
ถ้ายกธนูขึ้นมาพร้อมจะยิงแล้ว
ต่อให้ท่านมีพลังสูงฝีมือแม่นยำสักปานใด
มันก็จะไร้ประโยชน์และน่าเสียดายมาก
หากท่านไม่รู้ว่า "เป้า" หมายที่จะยิงนั้น
มันอยู่ตรงไหนและต้องเล็งไปยังทิศทางใดแน่
ดังนั้น
เมื่อท่านเป็นสัตว์เหมือนกันแต่เป็นสัตว์ชั้นสูง
คือ มีส่วนหัวหรือศีรษะอยู่สูงสุดของลำตัว
และในศีรษะก็มีทั้งจิตวิญญาณและสมอง
เป็นของสูงเป็นของสำคัญบรรจุอยู่ในนั้น
ท่านจึงต้องทำตัวให้ต่างไปจากสัตว์ประจำโลก
และต้องทำตัวให้เหนือกว่าสัตว์เหล่านั้นด้วย
คือต้องทำทุกสิ่งด้วยจิตวิญญาณ
และต้องใช้สติปัญญาดำเนินชีวิตให้ได้
มนุษย์จะทำตัวให้เหนือกว่าสัตว์ได้
ต้องมีความสามารถดังนี้ คือ
ไม่ใช้แต่ #สัญชาตญาณ ในการดำเนินชีวิต
ซึ่งสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน
เป็นการแสดงความต้องการของจิตวิญญาณ
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าที่เป็นเงื่อนไขใดๆ
ในอันที่จะทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมนั้นอยู่รอด
ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
เช่น มิให้พิการ บาดเจ็บ หรือ ต้องเสียชีวิต
ไม่ใช้ความก้าวร้าวกักขฬะขับเคลื่อนพฤติกรรม
เช่น โกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท
โมโหร้าย หวงแหน เป็นต้น
เพราะความก้าวร้าวดังกล่าวนี้
ขับเคลื่อนออกมาจากก้านสมองตรงท้ายทอย
ซึ่งทั้งในสัตว์ในคนก็มีก้านสมองเหมือนกัน
มนุษย์ที่มีสติปัญญาแล้วไม่รู้จักใช้
หันไปใช้อารมณ์ขยะรายวันแทน
ก็คือคนที่ใช้ความก้าวร้าวเจ้าอารมณ์
อันเกิดจากการสั่นสะเทือน "ก้านสมอง" เท่านั้น
เพราะมิอาจสั่นสะเทือน "ก้อนสมอง" ทั้งก้อนได้
ไม่ใช้สันดานในการดำเนินชีวิต
คำว่า "สันดาน" หมายถึง ความเคยตัว
ในการแสดงพฤติกรรมขยะที่คนอื่นไม่ชอบ
เพื่อสนองตอบเงื่อนไขใดๆก็ตามที่ตนนั้นไม่พอใจ
ด้วยการต่อสู้ ตอบโต้ หรือ ต่อต้านทันที
ทุกครั้งที่พบเจอเงื่อนไขด้านลบที่ตนไม่พอใจ
ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม
ท่านก็จะตอบสนองด้วยพฤติกรรมขยะ
ที่คนซึ่งถูกท่านกระทำตอบสนองนั้น "ไม่ชอบ" เสมอ
ถ้ามันเคยตัวมากๆจนเป็นสันดานแล้ว
พฤติกรรมที่ท่านกระทำโต้ตอบมันจะว่องไวมาก
ไวจนแทบไม่ต้องคิดเลยว่าควรหรือไม่ควรกระทำ
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ลักษณะนิสัยการดำเนินชีวิตทั้ง 3 ประการนี้
มันล้วนเป็นคุณสมบัติของสัตว์ประจำโลก
ถ้าท่านเป็นผู้ประพฤติธรรมที่ปรารถนานิพพาน
ปรารถนาการหลุดพ้นของจิตวิญญาณจริงๆ
ท่านต้องคนตนเองให้เป็นมนุษย์
ด้วยการไม่ประพฤติปฏิบัติ 3 ประการนี้ด้วย
3.ท่านต้องมีสภาวะจิตเป็น "สุญตา"
คำว่า "สุญตา" หมายถึง การมีอายตนะทั้ง 6
ครบสมบูรณ์ดีทุกประการ
แต่ในการดำเนินชีวิตนั้นแม้จะมีแต่เหมือนไม่มี
ตัวอย่างเช่น...
ท่านมีตาสองข้างครบถ้วนสมบูรณ์ดีอยู่
แต่การมีตาก็เหมือนไม่มีหมายความว่า
ท่านสามารถแลเห็นได้ทุกสิ่งตามปกติ
เมื่อแลเห็นแล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร
แต่จะ "ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับอะไรที่ท่านเห็นนั้น
ตัวอย่างเช่น...
ท่านมีหูสองข้างครบถ้วนสมบูรณ์ดีอยู่
แต่การมีหูก็เหมือนไม่มีหมายความว่า
ท่านสามารถได้ยินได้ฟังทุกสิ่งได้ตามปกติ
เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร
แต่จะ "ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับอะไรที่ได้ยินนั้น
ตัวอย่างเช่น...
ท่านมีรูจมูกสองรูครบถ้วนสมบูรณ์ดีอยู่
แต่การมีรูจมูกก็เหมือนไม่มีหมายความว่า
ท่านสามารถหายใจได้สัมผัสกลิ่นได้ตามปกติ
เมื่อได้กลิ่นแล้วก็แค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างไร
ก็จะ "ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับอะไรที่ได้กลิ่นนั้น
ตัวอย่างเช่น...
ท่านมีลิ้นหนึ่งลิ้นที่สมบูรณ์ดีอยู่
แต่การมีลิ้นก็เหมือนไม่มีหมายความว่า
ท่านสามารถใช้ลิ้นรับรู้รสชาติอาหารได้ตามปกติ
เมื่อรับรู้รสชาติแล้วก็แค่รู้ว่าเปรี้ยวหวานมันเค็ม
แต่จะ "ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับรสชาติอะไรที่รู้ได้นั้น
ตัวอย่างเช่น...
ท่านมีผิวกายทั่วสรรพางค์ยังสมบูรณ์ดีอยู่
แต่การมีผิวกายก็เหมือนไม่มีหมายความว่า
ท่านสามารถใช้กายสัมผัสร้อนหนาวได้ตามปกติ
เมื่อรับรู้ร้อนหนาวจากสัมผัสกายได้แล้ว
ก็จะ "ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับรสสัมผัสกายนั้น
ตัวอย่างเช่น...
ท่านมีจิตเอาไว้นึกที่เป็นปกติดีอยู่
แต่การมีจิตก็เหมือนไม่มีหมายความว่า
ท่านจะสามารถใช้จิตนึกนั่นโน่นนี่ได้สาระพัด
เมื่อท่านนึกอะไรขึ้นมาได้แล้ว
ก็จะ "ไม่รู้สึกรู้สาอะไร" กับสิ่งที่นึกได้นั้น
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การสัมผัสรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นของอายตนะ
แล้วไม่ไปรู้สึกรู้สาอะไรกับมัน
ก็เพื่อให้จิตนำสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นนั้น
เข้าสู่กระบวนการคิดพิจารณาของสมอง
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ขั้นสูง
แล้วตัดสินใจกระทำ "ตอบสนอง"
ในลักษณะของการคิดตรึกตรองก่อนจะพูด
และการคิดตรึกตรองให้ดีก่อนที่จะทำนั่นเอง
หากจะกล่าวโดยย่อก็คือ
การไม่รู้สึกรู้สาหมายถึงมีสภาวะจิตเป็นอุเบกขา
ไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุเย้ายวนใดๆทั้งสิ้น
ถ้าทำได้จนเป็นนิสัยกลายเป็นคุณสมบัติของตน
ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น คือ สภาวะสุญตา
ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญข้อหนึ่งที่จะถึงนิพพานได้
ดังนั้น
ถ้าท่านเป็นคนดีหมั่นทำความดี
โดยมีเป้าหมายคือหลุดพ้นนิพพาน
ท่านจะถือศีลครองธรรมเพราะท่องจำทำตาม
คนนำทางที่เขาสอนท่านแค่นั้นยังไม่พอนะ
ท่านจะขาดพร่องในสิ่งที่เรากล่าวมานี้ไม่ได้
หนึ่งทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาฯไว้
ตายเมื่อไหร่จิตวิญญาณจะเหวี่ยงตนเอง
กลับไปหาพระองค์ในทันที
แต่ถ้าทำความดีโดยไม่มีเป้าหมายชัดเจน
ตายเมื่อไหร่ก็ไปไหนไม่ได้
วนเวียนอยู่ในสามภพนี่แหละ
สองฝึกจิตให้เป็นสุญตา
ด้วยการยกระดับจิตให้เป็นอุเบกขา
ในขณะที่กลไกอายตนะทั้งหมดยังตื่นอยู่ดีอยู่
มิใช่แกล้งทำให้ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้
กลายเป็นคนพิการไปเสียดื้อๆ
ต้องฝึกฝนจากชีวิตจริงในสังคม
เพื่อเรียนรู้การเป็นอุเบกขาแล้วพัฒนาสู่สุญตา
จึงจะเป็นวิถีแห่งธรรมชาติที่แท้จริง
กราบพระบาทพระบิดาฯที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19/04/2020
ชีวิตนี้ไม่เคยเป็นของเรา มันเป็นชีวิตที่ธรรมชาติให้มา ..โลกมนุษย์ก็มีกฎของโลกมนุษย์ ธรรมชาติก็มีกฎของธรรมชาติเช่นกัน..
ขโมยของผู้อื่นยังต้องติดคุก แล้วการขโมยชีวิตธรรมชาติมาเป็นของตน ..มีโทษคือ ติดคุกสังสารวัฏ..
วัชระ อุตพุธ
การกลับมาเห็นคุณค่าของตัวเอง กลับมารักและศรัทธากับชีวิต การสลายอัตตาและขัดเกลาตัวเองจะ
ทำให้เห็นเนื้อแท้แห่งชีวิตและเข้าถึงความดีงามที่สถิตอยู่ในดวงวิญญาณของเรา
การค้นพบอำนาจและจิตวิญญาณอันสูงส่งนี้ เรียกว่า จิตวิญญาณแห่งจักรพรรดิ จิตวิญญาณนี้ทำให้เราทุกคนสามารถยอมรับตัวเองได้อย่างหมดหัวใจ
จิตวิญญาณในสภาวะการรับรู้นี้ คือการค้นพบที่เต็มไปด้วยสติปัญญาลึกซึ้ง....ซึ่งทำให้เราได้ค้นพบ กฏแห่งจักรวาลมากมายที่เต็มไปด้วยความจริงอันลึกซึ้ง
กฎแห่งการสลายอัตตา เพื่อค้นพบตัวตนที่สูงส่ง
เมื่อเราค้นพบตัวตนที่สูงส่งเราจะสลายความมีอยู่ของเราในระดับความคิด ความรู้สึกและอารมณ์ เข้าไปถึงจิตวิญญาณล้ำเลิศที่เป็นอิสระจากความมีอยู่
"ท่ามกลางตัวตน แต่กลับไร้ตัวตน ท่ามกลางความมีอยู่ แต่กลับเป็นอิสระจากความมีอยู่"
พลังงานความรับรู้ที่มีอยู่จริง
ภูมิจิตสัตตบุรุษ
เป็นจิตที่มีคุณภาพด้วยปัญญาอันสงบเย็น
เป็นภูมิจิตที่ห่างไกลจากมนุษย์สามัญชนทั่วไปปานฟ้าดิน...
ผู้ทำจิตให้อยู่เหนือกว่าโลก เหนือกว่าอารมณ์
เหนือกว่าราคะ ตัณหา ความโกรธ โลภหลง
ผู้ที่มีภูมิจิต ภูมิธรรมที่เหนือกว่า...
จึงมีสภาพไม่สะดุ้งหวั่นไหวมากกว่าคนปกติธรรมดา...
ผู้เป็นคนดีที่แท้จริง...
จึงเป็นคนสงบดี พร้อมมูลด้วยสติปัญญาอันงดงามดี
จึงมีจิตใจแข็งแรง มีจิตคุณภาพ มีอินทรีย์อันสำรวมด้วยคุณธรรม
จึงเป็นผู้ไม่ปรึกษา...สงบวิเวกเฉพาะตน
ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ ไม่เบียดเบียนตนหรือใครๆ
เป็นผู้มีความเห็นชอบอันงดงาม
เป็นผู้มีทานอันอ่อนน้อมด้วยมารยาทที่ควรเคารพ.
จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ
ถ้าเราภาวนาเป็น...เราจะเห็นจิตที่ไหลไป...แล้วรู้ทัน
จิตไหลไปแล้วรู้ทันนี่ไม่ใช่ได้แค่สมาธิ
ตรงที่จิตไหลไป เรารู้ทันปุ๊บเราได้สมาธิแล้วได้จิตผู้รู้ขึ้นมา จิตตั้งมั่นแล้วแล้วเราไม่รักษา ตรงที่ไม่ได้รักษา
ให้มันตั้งตลอดเวลานี่ ตัวรู้มันก็ดับ กลายเป็นตัวคิด ตัวหลงขึ้นมาใหม่
เราก็จะเห็นว่าตัวรู้ก็ไม่เที่ยง...ตัวหลงก็ไม่เที่ยง
เราจะเห็นว่าทั้งวันจิตมีอยู่ ๒ ชนิดเท่านั้นเอง
คือ จิตหลง กับ จิตรู้
จิตหลงเรารู้ทัน จิตหลงก็ดับ
จิตรู้..รู้ทัน อยู่ได้ชั่วคราว เราไม่ได้รักษาไว้ มันก็ดับ
มีแต่ สิ่งใดเกิด...สิ่งนั้นดับ สิ่งใดเกิด...สิ่งนั้นดับ
กราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
กราบหลวงพ่อปราโมทย์ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
การที่เรามี สติสัมปชัญญะ
เข้ามากำหนดดูใจ ใจเป็นอย่างไร
ใจคิดนึก ใจเกิดอาการความรู้สึก
ขุ่นมัวหรือผ่องใส
ใจสบาย ไม่สบาย เป็นสภาวธรรม
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ
มากำหนดดู บ่อยๆ เนืองๆ
ด้วยความปล่อยวาง
เมื่อสติเราสะสมมากขึ้นๆ
ก็จะเกิดปัญญา
ทำให้ประจักษ์แจ้งในสภาพธรรม
ในสังขาร ร่างกายตัวเอง
สังขารชีวิตนี้ เป็นธาตุธรรมชาติหนอ
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
เคยรู้สึกว่า ใจนี่คือเรา ใจนี่เป็นของเรา
ก็พบว่าจิตใจ เป็นธาตุธรรมชาติชนิดหนึ่ง
มันมีความเกิด ความดับ ความหมดไป
ไม่ใช่ตัวตนของเรา
สรีระร่างกายก็เหมือนกัน
ธรรมชาติทางกาย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ก็ดับไปเท่านั้นเอง
เห็นความดับไป สิ้นไป
จิตใจก็ละวาง จิตใจก็ยอมรับ
สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง ก็คือ ความไม่เที่ยง
สิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์
สิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ก็ไม่ใช่ตัวตน
จิตที่วางลงไป ก็ไม่ทุกข์
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
16 Signs That You Have Hidden Healing Powers
Everyone has the potential to influence people in the world in any manner they desire. There is no doubt that each of us have a certain characteristic which has been nurtured significantly more than others. Whether this has been done on purpose or subconsciously, it’s very important that we are able to diagnose our strong points and attend to our flaws.
Healers are always present in every culture and they are never really looked for until circumstances push us to find them. Because of this lack of focus, most healers are in a status of non recognition. Whatever way you look at it we need healers more than ever. Below is a list of characters very common with healers. Examine your own traits and see if you have these hidden healing powers.
1. People say how soothing it is to be around you.
2. People in close physical proximity of you rarely get sick.
3. You are always thinking of how to improve other people’s lives.
4. You could be diagnosed with anxiety, panic or mood disorders.
5. You are very much empathic.
6. You have a family history of healers.
7. You have butterflies in your stomach when you are in public places.
8. You have a deep connection with animals. They are happy to see you.
9. Strangers tell you their life story.
10. You are great at massages, even though you had no training for it.
11. You have neck and shoulder pains.
12. You love being outside.
13. You are attracted to crystals and their Meta physics properties.
14. You are interested in spiritual sciences like energy healing, shamanism, acupuncture, and others.
15. Because you have high level of awareness means you are sensitive to certain foods and drinks.
16. Sometimes you get random chills, warmth radiating from your core, or your palms tingle.
The core elements of a healer are high sensitivity on many wave lengths, their ability to manifest energy; they are highly empathic and have a desire to help others. There isn’t any theory or agreed path for you to take to develop these feelings. You will need to determine where you are in life. Thankfully it doesn’t take much to get the ball rolling in terms of healing. Everything in the universe wants to be healthy and happy; we just need to remind our self more often.