เรื่อง “ปริยัติ”
.
….. “ เรื่องปริยัตินี้…ถ้าเป็นเรื่องพุทธศาสนาโดยเฉพาะ มันก็เท่ากับพระพุทธเจ้าตรัสกับคนคนหนึ่ง ให้เหมาะกับเหตุการณ์ และนิสัยของคนๆนั้น แล้วก็บรรลุธรรมที่นั่น นั้นเอง ไม่กี่คํา, แล้วใจความมันอยู่แต่เรื่อง ดับความยึดถือ เรื่อง..“ตัวกู - ของกู” ทั้งนั้น ใช้คําว่า อัตตา อนัตตา โดยมาก. ถึงจะพูดโดยชื่ออื่น อย่างอื่น ใจความมันก็อยู่แค่นี้ อยู่แค่ “อนัตตา” แค่..“ไม่มีตัวตน” นี้ ทุกเรื่อง...”
สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
ปรัชญา คือการรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิม ซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือจิตและวัตถุเป็นสิ่งๆ เดียวกัน นั่นแหละ จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคำพูดและโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง
สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกความว่างนั้นได้อย่างไร
โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพทธะ
ประเด็นที่สําคัญที่สุด ให้รู้จักความรู้สึกตัวแท้ๆ ให้ได้ก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อ รู้ได้ว่าอะไรเป็นความรู้สึกตัวแท้ๆแล้ว เพียงแค่หมั่นสังเกตุเห็นความรู้สึกตัว จะเห็นในอริยาบทใดก็ได้
" ความรู้สึกตัวแท้ๆ คือ ความรู้สึกที่เกิดแว๊บแรกเวลาเรา โดนสัมผัส เช่น โดนลมพัดผ่านกาย เรารู้สึกถึง ตรงที่รู้สึก นี้หล่ะคือความรู้สึกตัวแท้ๆ
การขยับกาย ช่วยให้เราเห็นความรู้สึกตัวได้ชัด แต่การขยับกายไม่ใช่ความรู้สึกตัว
การหายใจ แล้วเรา รู้สึกถึงลม ตรงที่รู้สึก เป็นการเจริญสติปัฏฐานสี่ หรือ อานาปานสติ แล้ว
" แค่ หมั่น รู้สึกตัว "
ลองหายใจดู แล้ว สังเกตุดูนะ รู้สึกไหม ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ คือความรู้สึกตัว
แค่ รู้สึก อย่าไปปรุงแต่ง ไม่ไปดักรู้ ไม่ไปกําหนดรู้ มันจะเป็นการไปปรุงแต่งความรู้สึกเทียมๆขึ้นมา กลายเป็นคิดรู้สึก
แค่ รู้สึก สบายๆ
อย่าไปให้ความหมายมันด้วย แค่รู้สึก มันจะไม่มีความหมาย ที่มีความหมายเป็นคําพูดขึ้นมา เช่น ร้อนเย็น ยาวสั้น ตรงนั้นไม่ใช่แล้ว
แค่ รู้สึก แว๊ปแรก มันไม่มีความหมาย ไม่มีคําพูด
อย่าไปพยายามจับอะไร
เราหายใจอยู่แล้ว เราแค่รู้สึก ที่เราหายใจ แค่นั้น สั้นๆ เบาๆ สบายๆ
ลมพัดโดนกาย รู้สึกไหม ตรงที่ลมโดนกาย รู้สึกตัว แค่นี้ แว๊บเดียว
ไม่มีความหมายใดๆ ถ้ามีความหมาย มันไปคิดปรุงแล้ว
แค่เริ่มคิด ก็ไม่ใช่ความรู้สึกตัวแล้ว
แค่ รู้สึก สบายๆ ไม่ไปปรุงแต่งอะไร นี้หล่ะ เจริญมรรคที่ใจ เพราะ มันง่ายแค่ไม่ต้องทําอะไร คนเลยมองข้าม เข้าไปทํา เข้าไปปรุง จนเลยจากการเห็นความจริงกันไปหมด
มรรคเจริญที่ใจ ไม่ใช่สมอง เมื่อเริ่มปรุงความคิดขึ้น ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว
เรามาฝึกรู้สึกตัว ไม่ใช่ฝึกใช้ความคิด เราคิดมาตลอดชีวิตแล้ว มันไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์เลย
เพราะกระบวนการคิดเป็นกระบวนการให้ค่า เริ่มให้ค่า เริ่มให้ความหมาย เกิด สัญญา สังขาร เกิดเป็นตัวตนเราขึ้นมา ตัวตนเราเกิดเมื่อไหร่ ทุกข์เกิดเมื่อนั้น
ตลอดเวลาของการปฏิบัติ
เราไม่ต้องไปสงสัย
หรือพยายามหาความหมาย
อะไรมาก
เพียงแต่ใส่ใจการกระทำทุกขณะๆ
ให้มากเท่านั้นเอง
จะเดิน จะกิน จะนั่ง จะนอน จะหยิบ
พยายามใส่ความรู้สึกลงไปชัดๆ
แต่ถ้ามันมีอะไรมาฉุดรั้ง
จิตของเราออกจากปัจจุบันไป
ก็ให้รู้ว่ากรรมมาอีกแล้ว
กรรมมาจากยึด
ยึดมาจากอยาก
อยากมาจากเพลิน
เพลินมาจากเผลอ
เราระวังความเพลินความเผลอ
ก็ไม่ไปสร้างกรรม
เราห้ามไม่ได้ แต่ให้รู้ทัน
ยุงไปห้ามไม่ให้มันมาเกาะไม่ได้
เรารู้ทัน ก็ป้องกัน
ขโมยตามหมู่บ้านต่างๆ
เราห้ามไม่ได้ แต่รู้ทันได้
โรคภัยไข้เจ็บ เราห้ามไม่ได้
แต่เรารู้ทัน แก้ไขป้องกันมันก็ไม่เกิด
ความคิดและอารมณ์ต่างๆ
ห้ามไม่ได้ แต่รู้ทันและแก้ไขได้
ความเจ็บปวดของร่างกาย
ขณะที่เรายืน เดิน นั่ง นอน ห้ามไมได้
แต่เรารู้ทันและแก้ไขได้
การรู้ทันและแก้ไข คือตัวปัญญา
คนจะล่วงทุกข์ได้ด้วยปัญญา
ถึงที่สุดได้ด้วยความเพียร
เมื่อจิตตั้งมั่นมีความสงบ ลองใช้ใจดูกายตนเอง จะค่อยๆเห็น กาย แยกออกจาก ใจ เป็นคนละส่วนกัน ทําบ่อยๆ จะเจริญปัญญาครับ
จิตตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธิ เป็นแค่ผู้รู้อารมณ์
จิตอยู่ส่วนจิต กายอยู่ส่วนกาย จิตกับกายแยกจากกัน เห็นเวทนากับจิตมันแยกจากกัน เห็นความปรุงแต่ง เช่น รัก โลภ โกรธ หลง มันแยกจากกัน...
บางคนภาวนาก็ไม่เห็นนิมิตอะไร
ไม่เป็นไร
พึงเอากายเอาจิตนี้แหละเป็นนิมิต
เมื่อรู้เท่ากาย
รู้เท่าจิตแล้ว
ก็ได้ชื่อว่ารู้เท่านิมิตทั้งปวง
+++++
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
ที่มา การฝึกสติปัฏฐาน
" จิต...ก็เป็นผู้รับรู้ อารมณ์
อารมณ์...ก็เป็น อารมณ์
จิตนี้...ก็เรียกว่า...จิต
ผู้รู้...ทั้งจิต ทั้งอารมณ์นั้น... ..
มันเหนือกว่า...จิตเหนือกว่า ... .. อารมณ์."
_________________________________________
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล สอนเอาไว้ว่า " รูปนิมิตให้ยกไว้ ส่วนนามนิมิตทั้งหลาย อย่าได้ใส่ใจกับมัน "
..รูปนิมิตให้ยกไว้..
หมายความว่าอย่างไรครับ?
อ่านแล้วมาสะดุดตรงนี้ ที่ยังไม่เข้าใจครับ
ตอบ. ขันธ์5 ประกอบด้วย รูป(ตา หู จมูก ปาก กาย ) กับ นาม (ใจ )
รูปนิมิต ก็คือนิมิตที่เกี่ยวกับรูป ได้แก่ สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส
นามนิมิต ก็คือนิมิตที่เกี่ยวกับนาม ได้แก่ อารมณ์ต่างๆ จิต เจตสิก
ตอบ ดังนั้น รูปนิมิตให้ยกไว้ ก็คือ นิมิตที่ เราไปเห็นเป็นสี หรือ ได้ยินเสียง หรือ ได้กลิ่น หรือ ได้รส หรือ รับสัมผัส ให้เราปล่อยออกจากนิมิตที่ปรากฏ อย่าเข้าไปตามดู อย่าเข้าไปยึดถือเอาไว้ แล้วกับมามีสติกับ จิตผู้รู้ ไม่ให้ใจส่งออกนอก ให้รู้อยู่กับจิตผู้รู้หรือใจตน รู้ทันใจตนเอง ไม่ไปยึดรู้ตามสิ่งอื่นภายนอก
ส่วนนามนิมิต ทั้งหลายอย่าได้ใส่ใจ ท่านก็หมายถึงอย่าไปตามดูแบบติดตามไป อย่าเข้าไปยึดอารมณ์ความคิด จะกลายเป็นส่งจิตออกนอก ให้กลับมามีสติกับ จิตผู้รู้ หรือ รู้ทันใจตนเอง ไม่ส่งออกไปตามอารมณ์
สรุป ไม่ว่าจะเป็นนิมิตอะไร ท่านก็ไม่ให้เข้าไปยึด ให้ปล่อยออก อย่าตามไปดู อย่าเข้าไปเล่นเข้าไปเป็นกับมัน ล้วนเป็นการส่งจิตออกนอกไปในระดับจิต แม้ส่งจิตออกไปตามอารมณ์โกรธของตนเอง ก็เป็นการส่งจิตออกไปนอกแล้ว เพราะเป็นการหลุดออกจาก การรู้ตัว ไม่รู้อยู่กับจิตผู้รู้
ในสภาวะธรรมระดับนี้ การเข้าไปอยู่กับ จิตผู้รู้นั้น เมื่อเร่ิมแรก ก็ให้อยู่เป็นหลักไปก่อน แต่เมื่อเจริญปัญญาไปถึงจุดหนึ่ง ต้องสังเกตุว่าตัวเรายึดถือ จิตผู้รู้มากไปไหม ให้ปรับเป็นทางสายกลางระหว่าง จิตผู้รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้หรืออารมณ์ทั้งหลาย นั้นก็คือ ไม่ยึดถือสิ่งใดเลย จิตผู้รู้ก็ไม่ยึด สิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่ยึดแต่แรกแล้ว เพื่อขึ้นสู่สภาวะธรรมที่สูงขึ้นไปอีก ( การปฏิบัติจะปล่อยเอง อย่าไปคิดปล่อย อย่าไปตั้งใจปล่อย มันต้องปล่อยของมันเอง )
" การฝึกหัดจิตให้มีสติทุกเมื่อ " หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วันนี้จะเทศนาเรื่อง การฝึกหัดจิต จิตของคนเราต้องฝึกหัด เช่นเดียวกับสัตว์ที่อยู่ในป่าที่เขาจับมาใช้ จะใช้งานได้ต้องฝึกต้องหัดเสียก่อน จิตของเรายังไม่ได้ฝึกหัดก็เหมือนกับสัตว์ที่อยู่ในป่านั่นแหละ เราจับจิตมาฝึกหัด คือ เราตั้งใจฝึกหัดจริง ๆ จึงจะเรียกว่าเราฝึกหัดจิต
การฝึกหัดสัตว์ป่า เช่น ช้าง เป็นต้น พอจับได้มาเขาก็ผูกมันไว้กับต้นเสา ตอนแรกมันก็แข็งแรงอยู่ จะต่อสู้ดิ้นรนมาก เขาจึงไม่ให้กินหญ้ากินนํ้า หรือให้แต่เพียงเล็กน้อยพอไม่ให้ตาย จนซูบซีดผอมลงไป ทีนี้ก็เริ่มหัดมัน หัดจนกระทั่งมันยอมคนขึ้นขี่คอได้ หัดให้อยู่ในอำนาจของเราทุกอย่างได้ เมื่อมันอยู่ในอำนาจของเราเรียบร้อยดีแล้ว เราจึงให้อาหารมันกินอย่างอุดมสมบูรณ์
การฝึกหัดจิตก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ แต่ไม่ต้องถึงอย่างนั้น เพราะสัตว์เป็นของภายนอกมีตัวตน ต้องฝึกหัดด้วยการทรมาน การฝึกหัดจิตต้องหัดด้วยอุบายวิธี จิตเป็นของไม่มีตัว จะขับขี่ก็ไม่ได้ จะตีก็ไม่ได้ แต่ทำให้มันอยู่ในอำนาจของตนนั้นได้ แต่ก็ยากแสนยากที่มันจะอยู่ในบังคับของเรา ต้องฝึกฝนอบรม
ที่ว่าคล้ายกันคือ ให้อดอาหารหรือฉันอาหารเพียงเล็กน้อย เพื่อให้มันมักน้อยที่สุด เป็นการฝึกหัดอบรมกาย แต่มันเนื่องถึงจิต เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า พระองค์ไม่เสวยพระกระยาหาร แต่ไม่สำเร็จมรรคผลนิพพาน พระองค์จึงค่อยผ่อนเสวยพระกระยาหารทีละน้อย ๆ จนกระทั่งพอดีพองาม ฉันพอสมควรไม่ฉันฟุ่มเฟือย พอให้กายอยู่ได้ไปวัน ๆหนึ่ง อาหารนั้นถ้าฉันมากจิตใจมันทื่อ มันกำเริบเฟิบฟาย มันไม่อยู่ในอำนาจของตน ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนอบรม รับประทานอย่างอิ่มหนำสำราญก็ให้มันรับประทานเรื่อยไป แต่สำหรับคนที่ฝึกหัดอบรมใจนั้นจะฉันน้อยพอประมาณ พอบำรุงร่างกาย เพื่อยังชีวิตให้เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น แล้วก็ไม่สะสม การสะสมเป็นเรื่องของกิเลส ลองคิดดู ถ้าสะสมแล้วมันเป็นการพะวักพะวน ท่านจึงไม่ให้สะสม นี่พูดเฉพาะเรื่องของพระภิกษุ คือ ฉันแล้วก็ทิ้งไป ให้มันหมดเรื่องหมดราว วันหลังหาใหม่ ได้เท่าไรก็ฉันเท่านั้น ฉันเท่าที่มีอยู่ ถึงฆราวาสก็ดี ผู้ฝึกหัดจิตต้องฝึกฝนอบรมอย่างนั้น คือรับประทานมื้อเดียว ไม่ให้เกี่ยวข้องพัวพันในเรื่องอื่น ๆ อาปัจจุบัน แม้ว่าจะต้องเกี่ยวข้องพัวพันบ้างก็ตาม หากลงปัจจุบันในขณะนั้นก็ไม่มีอะไร เอาปัจจุบันเท่านั้น ไม่คิดอดีต อนาคต มันถึงจะเป็นไปได้ การฝึกฝนอบรมใจมันต้องไปจากกายนี้เหมือนกัน
นอกจากอบรมทางกายแล้ว ยังต้องอบรมวาจาด้วย พูดให้น้อย พูดด้วยความสำรวมระวัง การที่ว่าสำรวมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไม่ให้พูด พูดได้ แต่หากว่าให้มีสติควบคุมอยู่ พูดก็รู้เรื่องว่าพูดอยู่ พูดดีชั่ว หยาบละเอียด จะพูดสักเท่าไรก็ตามแต่รู้เท่ารู้ทันอยู่ทุกขณะ เรียกว่าสำรวมวาจา จะพูดอะไรก็พูดเถอะ การทำอะไรก็ทำเถอะ แต่รู้เรื่องอยู่ทุกขณะ สติควบคุมอยู่อย่างนี้ เรียกว่า มีสติระวังกายวาจา
ส่วนการสำรวมระวังใจ ถ้าอยู่เฉย ๆ ใจไม่มีเครื่องอยู่ ให้เอาคำบริกรรมอันใดอันหนึ่งมาเป็นเครื่องอยู่มาเป็นหลักผูกใจ เช่น พุทโธ อานาปานสติ ตามลมหายใจเข้าออก ยุบหนอพองหนอ หรือสัมมาอรหังก็ได้ เอาอันนั้นมาเป็นเครื่องอยู่เสียก่อน นึกคิดอยู่เสมอ ๆ จนเป็นอารมณ์ มีสติควบคุมจิตอยู่ตรงนั้นแหละ จิตอยู่ที่ใดให้เอาสติไปตั้งตรงไว้ในที่นั่น จึงจะเรียกว่าควบคุมจิต รักษาจิต ที่จะห้ามไม่ให้คิดไม่ให้นึกนั้น ห้ามไม่ได้เด็ดขาด ธรรมดาของจิตมันต้องมีคิดมีนึก แต่หากมีสติควบคุมจิตอยู่เสมอ คิดนึกอะไรก็รู้ตัวอยู่ทุกขณะ เรียกว่า บริกรรมภาวนา
การบริกรรมภาวนานี้มิใช่ของเลว คนบางคนเข้าใจว่าเป็นของเลว เป็นเบื้องต้น ที่จริงไม่ใช่เบื้องต้น ธรรมไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดหรอก ธรรมะอันเดียวกันนั่นแหละ ถ้าหากสติอ่อนเมื่อไรก็เป็นเบื้องต้นเมื่อนั้น สติแก่กล้าเมื่อไรก็เป็นท่ามกลางและที่สุดเมื่อนั้น คือหมายความว่า สติคุมจิตอยู่ทุกขณะ จนกระทั่งเป็นมหาสติปัฏฐาน จะยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถใด ๆ ทั้งหมด มีสติรอบตัวอยู่เสมอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจให้มีสติ แต่มันเป็นของมันเอง สติควบคุมจิตไปในตัว เมื่อมีสติเช่นนั้นมันก็ไม่เกี่ยวข้องพัวพันกันกับสิ่งต่าง ๆ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นลิ้มรสต่าง ๆ กายได้สัมผัส มันก็เป็นสักแต่ว่า สัมผัสแล้วก็หายไป ๆ ไม่ได้เอามาเป็นอารมณ์ ไม่เอามาคำนึงถึงใจ อันนั้นเป็น มหาสติ แท้ทีเดียว
ถ้าจิตอ่อนเมื่อไร จิตจะส่งไปตามอายตนะทั้ง ๖ เมื่อนั้น เช่น ตาได้เห็นรูปอะไร หูได้ยินเสียงอะไร มันก็จะพุ่งไปตามรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยินนั้นแหละ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องเอาบริกรรมมาใช้อีก ให้จิตมันอยู่กับบริกรรมนั้นอีก บริกรรม คือ สัมมาอรหัง พุทโธ อานาปานสติ อะไรต่าง ๆ ก็ตาม ที่ท่านสอนแต่ละสำนักนั้น มันเป็นไปตามความชำนาญของแต่ละท่าน มันเป็นนโยบายของท่านต่างหาก แท้ที่จริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ ใครจะเลือกภาวนาบริกรรม อันใดก็ได้ ความต้องการคือ มุ่งหมายเอาสติอย่างเดียว เพื่อตั้งสติให้มั่นคง จึงว่าคำบริกรรมเป็นคู่กับการฝึกหัดจิต คำบริกรรมเปรียบเหมือนกับเครื่องล่อจิต เหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ที่มันร้องไห้ เราเอาขนมมาล่อให้มันกิน มันก็หยุดร้อง จิตของเราก็ยังเป็นเด็กอยู่เหมือนกัน คือว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ ยังรักษาตัวเองไม่ได้ ยังต้องอาศัยคำบริกรรมอยู่ จึงเรียกว่าเป็นเด็ก คนเฒ่าคนแก่กระทั่งผมหงอกผมขาวก็ตาม ถ้ายังควบคุมจิตของตนไม่ได้ก็ยังเป็นเด็กอยู่นั่นแหละ ถ้าหากควบคุมจิตได้แล้ว แม้จะเป็นเด็กก็ตามนับเป็นผู้ใหญ่ได้ ในพุทธศาสนา ผู้บวชตั้งร้อยพรรษา โดยธรรมแล้ว ถ้าควบคุมจิตไม่ได้ก็เรียกว่ายังเป็นเด็กอยู่ องค์ใดบวชในพรรษานั้นแต่ว่าควบคุมจิตได้ ก็เรียกว่าเป็นเถระ การรักษาจิตควบคุมจิตจึงต้องมีเครื่องอยู่ ได้แก่ การบริกรรม
จิตเป็นของสูง ๆ ตํ่า ๆ คือ ฝึกหัดไม่สมํ่าเสมอ สูงหมายถึงว่าเจริญขึ้นไป คือ มีสติควบคุมอยู่ ขณะที่มีสติควบคุมอยู่ก็กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ต่อสู้กับอารมณ์ได้ อะไรมาก็ไม่กลัว พอสัมผัสมากระทบเข้าจริง ๆ จัง ๆ อ่อนปวกลงไปเลย นั่นมันตํ่าลงไปแล้ว มันไม่เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงต้องหัดสติตัวนี้ให้แก่กล้า ให้แข็งแรงที่สุด
ในพุทธศาสนานี้มีการฝึกหัดสติอันเดียว การฝึกหัดเรื่องอะไรก็ตาม ฝึกหัดสติอันเดียวเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนสาวกทั้งหลายแต่ก่อนนี้ ก็ทรงสอนให้ฝึกสติอันเดียวเท่านั้น ทรงสอนฆราวาสก็เหมือนกัน ทรงสอนเรื่องสติ ให้มนุษย์คนเราพากันมีสติ พวกเราก็พากันถือคำสอนของพระองค์นั่นแหละมาพูด เช่น พอพลั้ง ๆ เผลอ ๆ ก็ว่า ไม่มีสติ นี่ก็พูดกันไปอย่างนั้นแหละ ตัวผู้พูดเองก็ไม่รู้เรื่องว่าตัวสติมันเป็นอย่างไร พูดไปเฉย ๆ อย่างนั้นแหละ มิหนำซํ้าบางคนไม่มีสติอยู่แล้ว ยิ่งไปดื่มสุรายาเมาเข้า ยิ่งไปใหญ่จนเสียสติเป็นบ้าไปก็มี เหตุนี้จึงว่า คำสอนของพุทธศาสนาทั้งหมดมาลงที่สติอันเดียว ตั้งแต่เบื้องต้นก็สอนสติ ท่ามกลาง ที่สุดก็สอนสติ เป็นศาสนาที่สอนถึงที่สุด แต่คนทำนั่น ทำสติไม่ถึงที่สุดสักที ทำมากี่ปีกี่ชาติก็ไม่สมบูรณ์สักที พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ทรงสอนสติตัวเดียวนี้
เราเกิดมากี่ภพกี่ชาติก็มาหัดสติตัวเดียวนี้ แต่ก็หัดสติไม่สมบูรณ์สักที เหตุนั้นจึงควรที่พวกเราจะพากันรีบเร่งหัดสติทุกคนแต่บัดนี้ อายุอานามมาถึงป่านนี้แล้ว เรียกว่าจวนเต็มที จวนจะหมดสิ้น จวนจะตายอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะตายวันไหน ควรที่จะหัดสติให้อยู่ในเงื้อมมือของตนให้ได้ อย่าให้จิตไปอยู่ในเงื้อมมือของความหลงมัวเมา ผู้ใดจิตไม่อยู่ในอำนาจของตนก็ชื่อว่าเราเกิดมาแล้วเสียเปล่า ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียเปล่า เปล่าจากประโยชน์
อย่าให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของกิเลส ให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของสติ สติเป็นตัวระมัดระวัง อันนั้นแหละเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้ ถ้าจิตอยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้วหมดท่า ตัวของเราจึงเป็นทาสของกิเลส เหตุนั้นจึงควรที่จะพากันรู้สึกตัว ตื่นตัวเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แล้วฝึกอบรมกัมมัฏฐาน
การอบรมกัมมัฏฐานนั้น ทุกคนต้องอบรมเหมือนกันหมด มิใช่อบรมเฉพาะพระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสกอุบาสิกาเท่านั้น การฝึกหัดธรรมะก็ต้องหัดสติตัวนี้แหละ ถือพุทธศาสนาก็ต้องหัดสติตัวนี้แหละ มีสติสมบูรณ์บริบูรณ์ก็เรียกว่าถึงศาสนา ถ้ายังไม่มีสติเสียเลยก็เรียกว่ายังไม่ถึงศาสนา เอาละวันนี้เทศน์ให้ฟังเพียงเท่านี้
แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
วันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔
จากหนังสือ เทสกานุสรณ์ หน้า ๑๗๑
แค่รู้ว่าจิตขยับ แต่ไม่ต้องไปตามรู้ว่าเรื่องอะไร หมดความหมาย เห็นเพียงสักแต่ว่า ตรงที่รู้ว่าจิตขยับนี้หล่ะ คือ มรรคที่จิต เห็นที่จิตโดยตรง โดยที่ยังไม่มีการปรุงแต่งหรือให้ค่าให้ความหมายใดๆ " แค่รู้ "
ที่เรา รู้สึกตัว หรือ รู้ตัว กับ กาย ตา หู จมูก ปาก ใจ
ก็คือ วิญญาณเข้ามารู้เป็นการรู้ในระดับจิต
จิตมีหน้าที่รู้อารมณ์ อารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้
หลักคือตรงนี้นะเข้าใจดีดี เราถึงให้หมั่นฝึกรู้สึกตัว ก็เพื่อจะให้ วิญญาณ หรือ อีกชื่อหนึ่งว่า จิตผู้รู้ มีความเข้มแข็ง เพราะรู้บ่อยๆ จนมีกําลัง ตั้งมั่นขึ้นมาเป็น ผู้รู้ที่มีกําลัง เพื่อจะไปเจริญวิปัสสนา ต่อ
ทำความรู้สึกตัว ทำความตื่นตัวอยู่เสมอ
รู้ทั้งการเคลื่อนไหวทางรูปกายก็ให้ รู้
และจิตใจมันนึกมันคิดก็ให้ รู้
ทำอย่างนี้แหละ ทำบ่อยๆ
ไปไหนมาไหนก็ทำอย่างนี้บ่อยๆ
ไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรทั้งหมดเลย
มันคิดมาแล้วก็ปัดทิ้งไปเลย เราอย่าไปรู้กับมัน
อันนี้เป็นวิธีฝึกหัด เมื่อเราฝึกหัด
ความเคยชินมันมีครับ ความเคยชินมันมี
พอดีจิตใจมันไหวตัวขึ้นมา เราจะ รู้ ทันที
เมื่อเรา รู้ ทันทีแล้ว ความคิดมันก็เลยไม่ได้ปรุง
มันก็เลยไม่มีทุกข์
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ทําถูก เห็นของจริง ธรรมจึงก้าวหน้าได้อย่างง่ายๆ ที่ไม่ก้าวหน้ากัน เพราะไปทําคลาดเคลื่อน พอไม่ตรง มันก็ไม่อยู่กับใจที่บริสุทธิ์ มันเลยข้ามเข้าไปสู่กระบวนการคิด มันเลยไม่หายทุกข์ เพราะหากคิดแล้วหายทุกข์ได้ คนคิดเก่งคงไม่ทุกข์แล้ว แต่เพราะความคิดนั้นหล่ะ ที่ทําให้เราวนเวียนอยู่กับความทุกข์
" อำนาจของ...กิเลส
มัน ตีเข้ามาทุกด้าน นะ
หนักมาก ทุกวัน ๆ
อะไร แฝงเข้ามา
อะไร แย็บเข้ามา
ละ... ..
รู้ ทันที
รู้ ด้วยอะไร
รู้ ด้วยสติ... ..
สติ...เท่านั้นนะ
มันทราบตลอด อันไหนจริง อันไหนปลอม
มันจะรู้... ..ทันที."
(องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
การรู้สึกตัวผ่านลมหายใจ แค่ รู้สึก สัมผัส ถึงลมหายใจ
ดูลมก็ไปจดจ้องไปกับลม มันเป็นการเพ่ง ได้สมถะ
การดูลมนั้น เป็นเพียงคําพูด ที่ใช้พูดกันให้ดูง่ายๆ แต่เวลาปฏิบัติจริงๆนั้น
เทคนิคการดูลม " เราไม่ได้ไปดู ไปรู้จดจ้องไปกับลม แต่เราแค่เอาใจ สัมผัสถึง หรือ ระลึกรู้สึก แค่รู้สึกถึงลม แค่รู้สึกถึงลมที่เกิด รู้สึกตรงนี้ รู้ได้จากใจ ไม่ใช่การเพ่งดู แค่รู้สึก แผ่วเบา สบายๆ ไม่ไปยึดจับกับลม แค่รู้สึกเบาๆ สบายๆ ตรงที่รู้สึกนี้หล่ะ เป็น รู้ที่ใจ เป็นการเจริญมรรคผลที่ใจนะ เพราะเรารู้สึกสัมผัสได้ที่ใจ "
เราไป รู้สึกตัว รู้สึกที่ใจ โดยรู้ผ่านความรู้สึกของลม
ทําอย่างนี้ เราไม่ไปเพ่งจองดูลมนะ ยกเว้นจะจิตใจวอกแวกมากๆ แล้วอยากจะเอาสมถะแบบเพ่ง เข้ามาช่วยให้ใจวอกแวกน้อยลง สามารถทําได้
เป็นการ รู้สึก รู้สึกถึงลม ที่เข้า ที่ออก แต่ไม่ต้องไปคิด ว่าลมเข้าลมออก การไปคิดมันเป็นการไปปรุงแต่งใจกําหนดรู้ลม เป็นความคิด วิปัสสนาไม่เกิดนะ แต่เวลาสอนกัน ก็มักพูดแบบนั้น ทําให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อนได้
อย่าไปคิด แต่ก็อย่าไปห้ามความคิด แต่ให้รู้สึก รู้สึกถึงลม ลมเข้าก็รู้สึก ลมออกก็รู้สึก แต่อย่าไปให้ความหมายว่าลมเข้าลมออก มันเป็นการปรุงแต่งความคิด ให้แค่รู้สึก แว๊ปแรกที่รู้สึก ลองสังเกตุดีดีสบายๆนะ จะรู้ได้ว่า รู้สึกนี้ เกิดที่ใจ เกิดกับจิตเรา ที่เข้าไปรู้สึก ตรงนี้หล่ะ มรรคที่จิตนะ
สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้
สติตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้เราได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อสติเข้มแข็ง จิตมั่นคง คือสมาธิ เพราะฉะนั้น เราปฏิบัตินี่ ใครจะได้สมาธิขั้นใดตอนใดก็ช่าง แต่ผลลัพท์ครั้งสุดท้ายก็คือสติตัวเดียว
“โพชฌังโค สติสังขาโต” สติเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เมื่อสติกำหนดจดจ้องดูสิ่งที่เกิด-ดับกับจิตตลอดเวลา “ธัมมานัง วิจโย ตถา” เป็นการสอดส่องธรรม “วิริยัมปีติปัสสัทธิ” เกิดความเพียร เกิดปีติ เกิดความสงบ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดความเป็นกลาง มันจะไปของมันตามลำดับอย่างนี้
เพราะฉะนั้น พอนั่งปั๊บลงไป จิตสงบนิดหน่อย จิตมันผุดขึ้น ผุดขึ้นๆๆๆ มันแสดงว่าเราจะได้ผลเลิศในทางปฏิบัติแล้ว ถ้าพอพุทโธๆๆๆ รู้สึกวูบๆๆๆ ละเอียดเข้าไปแล้ว บางทีมันจะช้าหน่อย แต่ถ้าพอสงบปั๊บลงไปแล้ว มันเกิดความรู้ผุดขึ้นๆ นี่เร็ว เพราะจิตมันสามารถหาอารมณ์มาป้อนให้ตัวเองได้ แบบสงบลงไปปุ๊บ ลงไปนิ่ง ว่าง สว่าง สบาย เรื่อยไป นี่มันเข้าฌานสมาบัติ
“สมาธิในฌานสมาบัติ ไม่ใช่ทางตรัสรู้ เป็นเพียงที่พักจิต สร้างพลังจิต สร้างฤทธิ์อิทธิพล สร้างอำนาจ"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
การปฏิบัติธรรมทําได้ง่าย เพียงแค่ " รู้สึกตัวกับลมหายใจ " โดยไม่ต้องไปคิดว่าเป็นลม
สิ่งที่สําคัญที่สุดคือเวลาทําให้ทําด้วยใจที่เบาสบาย อย่ามีความตั้งใจมากเกินไป ทําด้วยอารมณ์ที่ปิติสุขเบาสบาย ให้รู้สึกว่าลมเป็นส่วนหนึ่งของเรา ลมไม่ได้แยกออกไปจากเรา เราไม่ได้คิดดูลม แต่ลมเป็นหนึ่งเดียวกับเราแล้วเราสัมผัสรู้ไปกับลม ลองหายใจเข้ายาวๆ ช้าๆ ที่กําลังพอดีกับตัวเอง หายใจออกยาวๆ ช้าๆ ที่กําลังพอดีกับตัวเอง ทําอย่างนี้ สมาธิจะเกิดง่ายมาก เพียงแค่จัดท่านั่งที่พอเหมาะสบายไม่อึดอัด หรือทําไปกับกิจวัตรประจําวันก็ได้ เมื่อทําจนชํานาญแล้วมันจะติดอยู่กับตัวเราไปเลย เหมือนเป็นเครื่องอยู่ของใจเป็นเครื่องเจริญสติ ทําจนเป็นอัตโนมัติ ทําจนชิน
" หากสวนดอกไม้
ไม่อาจหาพบได้กลางอากาศ ฉันใด
รางวัลแห่ง...ภพภูมิที่สูงขึ้น และการหลุดพ้น
ก็ไม่อาจเป็น ของเราตราบเท่าที่เรา...ขาดศีล ฉันนั้น
ฉะนั้น จงควบคุม...จิต ด้วยสติ..การรู้ และการสำรวมระวัง."
(ท่านจิกมี่ พุนช็ก รินโปเช
เวลานั่งสมาธิภาวนาไปแล้วจิตสงบเป็นสมาธิยังมีรู้สึกตัวตลอดลมหายใจสั้นและแผ่วเบาแต่ยังไม่สามารถเดินปัญญาได้จึงอยากสอบถามว่าควรทําอย่างไร ?
.
ตอบ ในขณะที่ใจสงบอยู่นั้น ให้สังเกตุดูว่า ใครเป็นผู้รู้ลม ใครเป็นผู้รู้ความสงบ นั้นหล่ะ คือจิตผู้รู้ ที่เป็นผู้ไปรู้ลม ไปรู้ความสงบ
.
ให้เข้าไปอยู่กับจิตผู้รู้ ในสมาธิ จะค่อยๆทําให้จิตผู้รู้เด่น
เมื่อจิตผู้รู้เด่นมีกําลังตั้งมั่นขึ้นมา การเจริญปัญญาจะเกิดขึ้นเองภายหลัง
.
ซึ่งอาจจะเกิดในขณะเราทําสมาธิ หรือตามไปเกิด ขณะใช้ชีวิตประจําวัน จิตตั้งมั่นขึ้นมาเอง แล้วเจริญปัญญาขณะสั้นๆได้เอง สิ่งที่สําคัญคือ ความเคยชินของใจ
.
รู้จักจดจําอารมณ์สมาธิ การน้อมนําอารมณ์สมาธิให้เกิด จะทําให้เกิดสภาวะจิตตั้งมั่นตามมา ปกติเราไปบังคับให้จิตตั้งมั่นไม่ได้ แต่เราน้อมนําอารมณ์สมาธิให้เกิดขึ้นได้ เมื่อสภาวะเหมาะสม จิตจะตั้งมั่นขึ้นมาเอง เมื่อชํานาญจะทําได้ง่ายและไวขึ้นจนไม่มีการไปกําหนด แต่เป็นสภาวะที่เกิดกับจิตเป็นขั้นตอนเป็นอัตโนมัติที่ไวดังกระพริบตา
.
ซึ่ง หากสามารถ ทําความรู้สึกตัวไปในชีวิตประจําวันด้วยได้ จะยิ่งก้าวหน้าได้เร็วขึ้น เพราะเป็นการทําบ่อยๆ ทําตลอด
.
" เป็นการทําที่จิตใจ เหมือนการนั่งสมาธิเข้าไป "
.
แค่หมั่นรู้สึกตัวบ่อยๆ ตรงที่รู้สึก ตรงนั้นก็คือ จิตผู้รู้เข้ามารู้ เป็นการเข้าไปอยู่กับจิตผู้รู้เช่นกัน พอรู้บ่อยๆ จิตผู้รู้จะเด่นขึ้นมาเอง
.
จิตผู้รู้เด่น ตั้งมั่นขึ้นมา จึงเกิดการเจริญวิปัสสนา หรือ เจริญปัญญานั้นเอง เป็นสภาวะระดับจิต ไม่เกี่ยวท่าทางของกาย ไม่เกี่ยวว่าต้องหลับตาหรือลืมตา เพราะเป็นสภาวะในระดับจิตใจ ไม่เกี่ยวกับท่าทางกาย
ให้เข้าสู่ "จุดรู้" ที่ "ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์"
ความรู้สึก จะรวมตัว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะ รวมตัวเข้าที่เดียว ท่านจึงให้ รวมรู้ ให้ รู้จัก ใน สิ่งที่รวมรู้ นั้น ให้ รู้จักตามความเป็นจริง เป็นหลักวิปัสสนา คือเรารู้ความจริงว่าอะไร ? เป็นอะไร ?
ถ้า ใจ ไปถือเอา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น ตัวของตัว ก็ ไม่เป็นผู้รู้ อีกแหละ ตัวไปรับเอาเวทนาว่าสบายนั้น เป็นตัวไม่รู้ เราก็เข้าไปหา ตัวที่มันรู้ ตัวที่เป็นกลางนั้น ตามความรู้สึกว่า ผู้รู้ อยู่นั้นแหละเป็น ใจ
สบาย ไม่สบาย เป็น อาการของใจ เรียกว่า เวทนา ในขณะที่มันเกิด สบาย ไม่สบายนั้นแหละ ให้กำหนด เข้าสู่ จุดรู้ ไม่ต้องไป ละเวทนา มันหรอก เข้าไปสู่จุด ดวงรู้ เป็นกลาง วางความสบายไม่สบายซะ อย่าไปเอาใจใส่หรืออย่าไปสนใจความสบายไม่สบายนั้น เข้าสู่ "จุดรู้" "ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์" บอกใจตัวเองอย่างนั้น ประคองใจให้ มันรู้ อยู่เพียงจุดเดียวเท่านั้น
หลวงปู่ชา สุภัทโท
อายตนะไม่เคยว่างดอก
ที่ว่างคือ "ว่างจากผู้รู้"
"ไร้ซึ่งเจตนานั่นแหละว่างแท้"
🌷🌷🌷🙏🙏🙏🌷🌷🌷
" ผู้รู้ เมื่อรู้ถูก ปฏิบัติถูก ก็เป็นเพียงทางเดิน เข้าไปสู่พระนิพพานเท่านั้น มิได้เป็นเนื้อธรรมนิพพานแท้ ถ้าหากว่าตายคาผู้รู้รู้ มีอุปาทานอยู่ในผู้รู้ และจิตใจอันเด่นดวง ก็ไปเกิดในพรหมโลกที่ไม่มีรูป ยังไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ ได้แท้
นักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ผู้หวังพ้นทุกข์ ในสงสารโดยด่วนแน่แท้ มักจะติดอยู่ในที่นี้เป็นส่วนมาก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า ไม่มีท่านผู้พ้นไปจากนี้ได้ เป็นเพียงมีมากน้อยกว่ากันเท่านั้น "
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
อารมณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ
ส่วนใหญ่เป็นอกุศล
แต่ถ้าเรามีความชำนาญ
ในการเปลี่ยนเป็นกุศลได้ทุกครั้ง
ลักษณะนี้ต้องใช้ทักษะความชำนาญ
ในชีวิตการปฏิบัติ
ถ้าเราไม่เห็นความสำคัญอย่างนี้
จะก้าวหน้ายาก
แต่ในเบื้องต้นที่เรายังไม่ชัดเจนในเรื่องนี้
ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้างได้บ้าง เสียบ้าง
แต่พอนานเข้ามีความชำนาญมากขึ้น
มีความศรัทธามากขึ้น มีความเพียรมากขึ้น
มีการศึกษาและสังเกตมากขึ้น
ความชำนาญเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ
ซึ่งมีผลให้เราได้ศึกษาเรียนรู้อารมณ์
ที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละขณะ
ได้ลึก ละเอียด กว้างขึ้น
แทนที่เราจะย่ำเท้าอยู่กับที่
ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แปรผัน
เรียกว่าเสียเวลาชีวิต
Direk Saksith
เมื่อว่างจากสมมุติทั้งปวง เวลาที่ไม่มีเวลาอีกต่อไป ไร้เวลา แต่กับมีเวลาอยู่มากมายมหาศาล ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ไร้คําจํากัดความหมายใดๆแห่งเวลาอีก กับขณะปัจจุบัน( อดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมกันลงเป็นหนึ่งเดียวกับขณะปัจจุบัน )
ปัจจุบันก็ไม่มี จิตจะค่อยๆแนบเข้าไปใกล้กับขณะปัจจุบันมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นหนึ่งเดียวกันจนไร้ซึ่งเวลาอีกต่อไป แต่เวลาที่ไร้ซึ่งเวลากับมีเวลาอยู่มากมายมหาศาลเป็นอนันต์กาล สติจะยังคงระลึกรู้อยู่ตลอดแต่มีความไวมากๆ จนเห็นรายละเอียดของจิตที่ดําเนินไปช้าๆ ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน
เมื่อใดที่รู้แจ้งปฏิจจสมุปบาทจากใจ จะไม่มีคําพูดใดๆหล่าวนี้เลย สิ่งที่พบเจอไม่ใช่ในตํารา แต่พบเจอกับจิต เห็นที่จิตเห็นการเกิดดับ เห็นการไม่ส่งจิตออกไป เห็นการไม่เข้าไปจับยึดอีกของจิต เห็นด้วยใจ รู้ด้วยใจ " เกิดที่ใจ ดับที่ใจ " แค่ " รู้ " ทันใจ
" คำสอน...ของพระพุทธศาสนา ทั้งหมดลงมาที่
สติ...ตัวเดียว
ตั้งแต่เบื้องต้น ก็สอน สติ...
ที่สุด ก็สอน สติ...
เป็นศาสนาที่สอนถึงที่สุด
ไม่ให้จิต...อยู่...ใต้อำนาจของ กิเลส
ให้จิต...อยู่...ในอำนาจของ...สติ
เป็นตัวระมัดระวัง ควบคุม เป็นแม่ทัพธรรม
มีสติ...สมบูรณ์บริบูรณ์ก็เรียกว่า...เข้าถึงศาสนา."
_______________________________________
(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง)
ดูอะไรก็ดูเฉยๆ เป็นสักว่า สักว่า
ความรู้สึกจะไม่ถูกปรุงแต่ง
ความรู้สึกอย่างนี้ จึงเรียกว่า สงบ
ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องไปละอะไร
รู้อย่างนี้มันละหมดเลย
มันวาง มันเบา ไม่ไปยึดติดกับอะไร
มันถอนออกจากอะไรๆ เรียกว่า จิตเป็นอิสระ
รู้เฉยๆ รู้ เท่านั้นเอง จิตมันหยุดแล้ว มันรู้เลย
รู้ตรงนี้ มันจบ นี่แหละ ธรรมะ
ตาดู หูฟัง ก็ยังเห็นความรู้สึกอยู่ ไม่มีอะไร
เห็นความรู้สึก มันว่าง
รู้ ตื่น ว่าง
นั่งอยู่ ขยับแข้งขยับขา ก็สบาย
นี่แหละ ความสุข ก็ไม่มีทุกข์
รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทุกข์ เป็นปกติ ธรรมดา
ดูให้ต่อเนื่อง ดูให้มันอยู่ตัว แล้วก็เคลื่อนไหวไป
พลิกมือขึ้นช้าๆ ยังเห็นอยู่
เอาขึ้นมาอย่างนี้ก็ยังเห็น ไม่มีอะไร
ทำช้าๆ ไม่ต้องไปดูมือนะ ดูความรู้สึก ก็ยังไม่มีอะไร
หายใจก็โปร่งเบา ไม่อั้นไม่กลั้น
ถ้าอั้นกลั้น มันยืดแล้ว
รู้ได้ทั้งตัวเลย รู้ได้ นี่แหละ พุทธะ
รับรองไม่มีทางเป็นอะไรๆ มันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น
เข้าถึงธรรมชาติล้วนๆ หรือ ธรรมชาติบริสุทธิ์
หรือ จิตที่ผ่องแผ้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข นั่นแหละ ยิ่งกว่าสุข
พ้นทุกข์พ้นภาระ จิตใจไม่มีภาระ
มันหมดปัญหา หมดสงสัย แล้วก็เป็นธรรมดาๆ
คนเราเวลาปฏิบัติธรรม มักจะมุ่งให้มันได้อะไรๆ
แต่ไม่เห็นธรรมดาๆอย่างนี้ คือต้องมีสิ่งที่วิเศษกว่านี้
มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ มีแค่นี้แหละ
คอยประคับประคองเบาๆ มันคอยจะแว๊บออกไป
ถ้าไม่รู้มันก็เกิด ถ้ารู้มันก็ดับ
คอยรู้ไว้ รู้ปุ๊บดับปั๊บ
ทำให้ต่อเนื่อง ดูไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ ที่ดูนี่ไม่มีทุกข์ ไม่มีภาระ ก็พอใจตรงนี้
มันจะไม่คิดที่จะแสวงหาอะไรอีก ไม่ม่ไม่ไปไม่มีมา
ดูให้ต่อเนื่องเรื่อยๆ
จากหน้า ๑๖ – ๑๙
หนังสือ "รู้อย่างนี้ไม่มีทุกข์"
ที่ระลึกครบรอบ ๘๐ ปี
หลวงพ่อสมบูรณ์ ฉตฺตสุวณฺโณ
ยิ่งหาความหมายในธรรม ก็ยิ่งห่างไกลธรรม
กลับมา รู้สึกตัว พอแล้ว
อย่าไป วิเคราะห์ วิตก วิจารณ์ เลย
รู้ตัวไหม ส่งจิตออกนอก แล้ว
กลับมา รู้สึกตัว
วางพวกนี้ให้ได้ก่อน
เพราะถือเอาไว้ จะไม่เห็นธรรม
ธรรมแท้ที่เข้าสู่ระดับจิตใจ
หมดผู้ วิเคราะห์ วิตก วิจารณ์
เส้นทางนี้ คอยแต่จะคิด วิเคราะห์
ไปไม่ได้
แต่ถ้า รู้สึกตัว รู้ทัน
สิ่งที่ตัวเองคิด
เห็นความคิด เห็นความสงสัย
หมด วิเคราะห์ วิตก วิจารณ์
นั้นหล่ะ จะเห็นธรรม
รู้ไหม ว่ามานะของตนมันมาขวาง
แค่ให้ รู้สึกตัว
ไม่ใช่ไปให้ค่า
เห็นสักแต่ว่า จะเห็นของจริง
“…(เมื่อความคิดลดน้อยลงไป ตัวความรู้มากขึ้น)
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะรู้สมุฏฐานการคิด
จิตใจเราจะเปลี่ยนที่ตรงนี้อีกพักหนึ่งครับ
จำให้มันดีตอนนี้
เมื่อความคิดเราเปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงก็ได้ หรือจะว่าเปลี่ยนแปลงก็ได้
มันจะรู้ปรมัตถ์ครับ
อันที่รู้เรื่องรูป-นามนั้น ยังไม่เป็นปรมัตถ์
มันเป็นเพียง*รู้สมมติ แล้วก็ดีใจ-ไม่ใช่ใจดี*
อันนั้นดีใจว่าเราได้รู้ธรรมะ-เห็นธรรมะ-เข้าใจธรรมะ
อันนั้นเป็นลักษณะดีใจ แต่ไม่ใช่ใจดี
ตอนนั้นน่ะเป็นวิปัสสนู
*ตอนนี้พอดีมันคิดมาก เราก็ต้องรู้มาก
รู้เท่าทันกับความคิด
มันคิดปุ๊บ-ทันปั๊บ คิดปุ๊บ-ทันปั๊บ
จิตใจของเรามืดตื้ออยู่แต่ก่อน มันไม่รู้จักทางไป
บัดนี้พอดีทันอันนี้แล้ว มันจะสว่างขึ้นภายในจิตใจ*
แต่ไม่ใช่สว่างที่ตาเห็นนะครับ
จิตใจมันจะสว่างขึ้น เบาอก-เบาใจ
เรียกว่า ‘ตาปัญญา’
อันนี้ลักษณะปัญญาญาณของวิปัสสนาเกิดขึ้น
รู้-เห็น-เข้าใจวัตถุ-ปรมัตถ์-อาการ
แล้วก็โทสะ-โมหะ-โลภะ เหล่านี้อย่างแจ่มแจ้ง
และก็รู้-เห็น-เข้าใจเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ*
อันนี้เป็นการจบภาค ๑
บางคนก็รู้ได้ ๒ ครั้ง บางคนก็รู้ครั้งเดียวอันนี้ครับ
รู้ครั้งเดียวนั้นคือว่า รู้แล้วไม่หลง-ไม่ลืม
ครั้นว่า ๒ ครั้ง ต้องจิตใจเปลี่ยน ๒ ครั้ง
เป็นมรรค-เป็นผลขึ้นมาทันที
บางคนก็เป็นเพียงมรรค ผลยังไม่เกิด
บางคนก็ได้ทั้งมรรค-ทั้งผล
เมื่อรู้อันนี้แล้ว จิตใจของคนนั้น
น้ำหนักสมมติเอานะครับ ที่ผมเคยสอบ-เคยถาม
น้ำหนัก ๑๐๐ กิโลแล้วเป็นอย่างไร
จิตใจเบาขึ้นกี่กิโล ?
บางคนก็ชอบพูดว่า ๓๐ กิโล ๔๐ กิโล
๕๐ กิโล ๖๐ กิโล อยู่ในเกณฑ์นี้-เป็นอย่างนั้น
ก็แสดงตัวว่าเป็นพระได้ไหม ? เป็นได้
ถาม(ว่า)เป็นเทวดาได้ไหม ? เป็นได้
ผมเคยถามอย่างนี้ เด็ก ๆ อายุ ๙ ปี
จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม
รู้แล้วก็แสดงท่าทีออกมาเหมือนกัน เป็นอย่างนั้น...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
นักปฏิบัติต้องปฏิบัติอะไร? หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
คือปฏิบัติจิตนั้นเอง
คือทำจิตให้สงบ
ทำจิตให้สว่าง
ทำจิตให้บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ก็คือความสงบนั่นเอง
เบื้องต้นที่จะทำจิตให้สงบ
ก็ไม่มีอะไรมากมาย คือภาวนา การภาวนาก็ไม่เอาอะไรมากมายนัก
เอาพุทโธอย่างเดียวก็พอแล้ว ก่อนที่จะภาวนา
เราต้องตัดอารมณ์ข้างนอก
ออกให้หมดเสียก่อน
คือไม่ส่งอารมณ์ออกไปนอก อารมณ์ที่ส่งไปนอกไปหาปรุง หาแต่ง
ไปหาก่อหาเกิดไม่มีที่สิ้นสุด
จิตของเราไม่สงบ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะภาวนา
เราต้องตัดอารมณ์ออกให้หมด
ไม่ต้องส่งจิตไปนอก
หันมาดูจิตของเรา อยู่ในจิตของเรา
ตั้งสติอยู่ในจิต แล้วก็บริกรรม
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมเอง
ไม่เอาอะไรมากมาย
พุทโธอย่างเดียวก็พอแล้ว
แต่ว่าให้จิตเป็นผู้บริกรรมเอง
ให้จิตเป็นผู้ว่าเอง ไม่ต้องว่ากับปาก
วิธีนั่งบริกรรม
นั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งพับเพียบก็ได้
เอาตีนขวาทับตีนซ้าย
ตั้งกายให้ตรง แล้วก็หลับตา
แล้วก็ดูจิต คือผู้รู้นั้นเอง จิตผู้รู้มีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน
ไม่ต้องไปหาที่อื่น ตั้งจิตอยู่ในจิต
ตั้งสติอยู่ในจิต ให้จิตเป็นผู้บริกรรมเอง
ไม่เอาอะไรมากมาย เอาพุทโธอย่างเดียว
แล้วบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธไป
จนจิตของเรามันสงบ ในการบริกรรมพุทโธ
ผู้บริกรรมพุทโธอยู่ตรงไหน
ตั้งสติอยู่ตรงนั้น ให้จิตเป็นผู้ว่าเอง
ไม่ต้องว่ากับปาก ตาของเราหลับ
แล้วให้จิตเป็นผู้ว่าเอง
ตั้งสติอยู่ตรงนั้นบริกรรมเรื่อยไป
เวลามันสงบเราจะรู้เอง
คือจิตมันรวม มันรวมวูบลง
แล้วก็จิตมีอารมณ์อันเดียว
นั่นมันสงบแล้ว แล้วถ้าจิตสงบแล้ว
เราไม่ต้องบริกรรมต่อไป
จิตกำหนดอยู่เฉยๆ
หมายถึงว่า จิตหลุดจากคำบริกรรมไป
นั่นจิตมันรวม จิตมันสงบ
แล้วเราก็ไม่ต้องหันมาบริกรรมอีก ความสงบอยู่ไหนก็ตั้งสติอยู่นั้น
แล้วกำหนดดูอาการของสมาธินั้นเป็นอย่างไร
แล้วก็ต้องจำให้ชัดเจน จิตของเราสงบแล้ว
นี่ให้รู้จักว่าจิตของเราสงบแล้ว
กุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวง
ก็ไปรวมอยู่ที่จิตที่สงบนั้นเอง ที่สูงสุดอยู่ตรงนี้ หาที่อื่นไม่พบ
จิตที่สงบนั้นคือตัวบุญ
เราต้องจำให้ชัด เวลาเรารู้ เรารู้เอง
มันผุดขึ้นมาในจิตของเรา
ให้รู้เฉพาะตน นั่นละตัวบุญที่แท้จริง
แล้วไปหาที่อื่นไม่พบหรอกบุญ
ต้องหาจากจิตจากใจของเรา
ถ้าจิตของเราสงบ บุญเกิดขึ้นแล้ว
ไม่ต้องไปหาที่อื่น หาที่อื่นก็ไม่พบ บุญกับบาปก็ประจำอยู่แล้วทุกๆคนนั่นแหละ
แต่บุญคือความสุข บาปคือความทุกข์
ทำจิตของเราให้สงบแล้ว
หมายความว่าเราทำบุญเกิดแล้ว
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
เส้นทางเดินในชีวิตประจําวัน เดินไปกับความ รู้สึกตัว ไม่ไปกําหนด แค่รับรู้ รู้สึกตัว เป็นการเดินจงกรม ทําบ่อยๆ มันจะเป็นอัตโนมัติ หมดการไปกําหนดมันอีก แค่ รู้สึก
เมื่อก่อน ผมเองก็ไม่คิดว่าการเดิน จะให้อะไรได้มาก แต่สิ่งที่ปรากฏช่างมหัศจรรย์จริงๆ เดินแล้ว รู้สึกตัว เด่นชัด วูบวาบ รู้สึกสว่างออกมาทั้งตัวเลย เข้าใจแล้ว ว่าทําไมครูบาอาจารย์ ถึงชอบสอนเดิน เข้าใจและยอมรับ เมื่อปรากฏกับใจตนเอง
@@การเดินจงกรมรู้สึกตัว หรือ การเดินรู้สึกตัว@@
เดินแบบสบาย เบาเนื้อเบาตัว ไม่เกร็งไม่เพ่ง ให้รับรู้ถึงความรู้สึกที่เกิด เช่น รับรู้ถึงความรู้สึกที่เกิดขณะผ่าเท้ากระทบพื้น แค่รู้สึก เป็นขณะ เป็นขณะ แว๊บ แว๊บ แค่รู้สึกตัว รู้ตัว
หรือ จะรู้สึกตัวกับการก้าวย่างของกาย รู้สึกตัวเป็นขณะ วูบ วูบ รับรู้ รู้สึกตัว
แค่ รับรู้ รู้สึกตัว แบบสบาย กับผ่าเท้าก็ได้ กับร่างกายตอนก้าวย่างก็ได้ เริ่มต้นอาจจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อชํานาญแล้ว เราจะไม่กําหนด จะแค่รับรู้ รู้สึกตัว กับอะไรก็ได้ที่ปรากฏให้รับรู้ตัว และความรู้สึกตัวจะขยายออกจากการรับรู้เป็นจุด เป็นแผ่ออกไปทั่วกาย
สิ่งที่ต้องระวังคือ การเข้าไปเพ่ง เช่นการเพ่งไปกับเท้ากับขา ตามดูไปกับการก้าวย่าง จะกลายเป็นเข้าไปเพ่ง
วิธีแก้ ให้แค่รับรู้เป็นขณะ เป็นช่วงจังหวะแว็บเดียว เป็นจังหวะไปดังการแกว่งมือ แกว่งขา แต่แค่รับรู้ รู้สึกตัว
เห็นร่างกาย ยืน เดิน นั่ง นอน แค่รับรู้ รู้สึกตัว รู้ทั่วกาย มีสติรู้อยู่กับกาย เห็นกายเป็นขณะ ชั่วเวลายาวบ้างสั้นบ้าง แค่ รับรู้ เท่าที่รู้ รู้สึกตัว
อเหตุกจิต ๓ ประการ
๑. ปัญจทวาราวัชชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มีดังนี้
ตา ไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ ตา เห็นรูปไม่ได้
หู ไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้ หู ได้ยินเสียงไม่ได้
จมูก ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้ จมูก รับกลิ่นไม่ได้
ลิ้น ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ ลิ้น รับรู้รสไม่ได้
กาย ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กาย รับสัมผัสไม่ได้
วิญญาณทั้ง ๕ อย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบเป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น
ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๕ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิด มี เป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้
การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้ เป็นต้น
(ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว)
๒. มโนทวาราวัชชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ที่มโนทวาร มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้
ก็แต่ว่าเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคล เราเขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น
ทำความเห็นให้เป็นปกติ ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์
๓. หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่าไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาจิตอันนี้มีเฉพาะเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี
สำหรับ อเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ มีเท่ากันในพระอริยเจ้าและในสามัญชน นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อตั้งใจปฏิบัติตนออกจากกองทุกข์ควรพิจารณา อเหตุกจิต นี้ให้เข้าใจด้วย เพื่อความไม่ผิดพลาดในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม
อเหตุกจิต นี้ นักปฏิบัติทั้งหลายควรทำความเข้าใจให้ได้ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะพยายามบังคับสังขารไปหมด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไม่เข้าใจใน อเหตุกจิต ข้อ ๑ และ ๒ นี้
เอง
อเหตุกจิต ข้อ ๓ เป็นกิริยาจิตที่ยิ้มเองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในสามัญชนไม่มี เพราะกิริยาจิตนี้เป็นผลของการเจริญจิตจนอยู่เหนือมายาสังขารได้แล้ว จิตไม่ต้องติดข้องในโลกมายา เพราะความรู้เท่าทันเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
การมองเห็นกายไม่ใช่เรา
เคยใส่แว่นแล้วเพลิน หาแว่นไม่เจอทั้งที่เราใส่แว่นอยู่ไหม แว่นอยู่ตรงหน้าเราแท้ๆ แต่เพราะเราขาดสติ ที่จะเข้ามารู้มาดูสังเกตุ เราเลยมองผ่านแว่นที่อยู่ต่อหน้าเราไป หลงคิดว่าแว่นเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรา ทั้งที่อยู่ต่อหน้าต่อตา ร่างกายเราก็เหมือนแว่นนั้นหล่ะ หากเราหมั่นเจริญสติปัฏฐาน ตามที่พระพุทธเจ้าสอน สติที่เข้ามารู้กายใจตนเอง เมื่อเรามีสติรู้เห็นกายเห็นใจเราบ่อยๆ เราจะเริ่มเห็นได้เอง ว่ากาย นั้นแยกออกไปจากเรา ได้เหมือนแว่น กายนั้นไม่ใช่เราเลย แยกออกไปอีกส่วนหนึ่ง เมื่อเห็นอย่างนี้ได้ ก็เท่ากับเริ่มที่จะแยกกายแยกใจของตนเองออกจากกันได้ จะเป็นขั้นที่จะเริ่มเจริญวิปัสสนาครับ
"จิตวิเวก คือจิตมีความสงบสงัดจากอารมณ์เครื่องก่อกวน ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญไปตามอารมณ์ของตนโดยถ่ายเดียว เวลาคิดก็มีความยับยั้ง มีความใคร่ครวญว่า ควรหรือไม่ควร การคิดนั้นจะคิดเรื่องใดประเภทใดบ้าง ที่จะก่อให้เกิดกิเลสอาสวะ หรือจะให้เป็นศีลเป็นธรรมซึ่งเป็นเครื่องแก้กิเลสขึ้นมา จิตก็เป็นผู้ใคร่ครวญพิจารณาเอง คือสติปัญญาเป็นเครื่องใคร่ครวญ
จิตเมื่อได้รับการอารักขาพยายามป้องกันสิ่งที่เป็นภัยไม่ให้เกิดขึ้นจากจิต และพยายามส่งเสริมสิ่งที่เป็นคุณแก่จิตใจให้เกิดให้มีขึ้นเรื่อยๆ จิตก็ได้รับความสงบเย็นใจขึ้นมาเป็นจิตวิเวก นั่นคือจิตที่สงบ และมีความสงบเป็นพื้นฐานมั่นคงไปโดยลำดับ"
(เทศน์หลวงตาเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙)
ปล่อยตัวตนออกจากขันธ์ออกจากใจ มัวไปพิจารณายึดติดกับรู้ แล้วเมื่อไหร่ จะรู้สักแต่ว่ารู้ แค่รู้ แล้วทิ้ง ปล่อยแบบไม่ปล่อย หมดค่ากับใจ...
แค่ให้รู้ แล้วกับมาอยู่กับลมหายใจเป็นหลักหรือรู้ความรู้สึกตัว มีสติอยู่ที่ตนเอง อย่าไหลไปกับอารมณ์ จะก่อภพชาติไม่จบสิ้น ตรงนี้สําคัญนะ คนชอบไปพิจารณารู้แบบยึดติดตามรู้ต่อไปเรื่อย ทําให้ไหลไปกับความคิด ทําให้เกิดภพชาติต่อเนื่องไป ให้ละยึดรู้นั้นเสีย อารมณ์จะไม่ไปต่อ เห็นเพียงสักแต่ว่า หมดการยึดเกาะในอารมณ์นั้นๆครับ หากยังไปยึดรู้ติดตามดูอารมณ์นั้นๆ แล้วเมื่อไหร่ละอารมณ์นั้นได้ นี้หล่ะครับที่ปฏิบัติกันมาก้าวหน้ากันไปเยอะๆ แล้วไม่เกิดสภาวะต่อเพราะ มาติดตามรู้กัน ค้างกันอยู่ตรงนี้ก็มาก
ยึดถืออารมณ์ สุขก็ยึด ทุกข์ก็ยึด ดีไหม? การปฏิบัติเป็นไปเพื่อละ ไม่ใช่ยึด ยึดถือไปกับอารมณ์ แล้วเมื่อไหร่จะละอารมณ์ได้ เราปฏิบัติเพื่อไม่ยึดเกาะในอารมณ์ ไม่ให้อารมณ์นั้นมีผลกับเรานะ " แค่รู้ เห็นเพียงสักแต่ว่า " แล้วความจริง จิตนั้นเกิดดับไวมาก พอรู้ปุ๊บเกิดปั๊บมันก็ดับตรงนั้นเลยนะ ถ้าเราไปยึดรู้ตามต่อความจริงมันจิตคนละดวงไปแล้ว(มันเป็นการไปยึดอารมณ์แทน) อันที่รู้ตอนแรกมันดับไปนานแล้วนะ ดังนั้นหากเราไปยึด จิตมันก็ก่อเกิดภพเกิดชาติต่อไปไม่จบไม่สิ้น จิตนี้ไม่ใช่เรา มีจิตก็ยังมีเราก่อเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ความเป็นอิสระแห่งจิตจึงไม่เกิด
จิตมีหน้าที่รู้อารมณ์ แต่ให้แค่รู้ ไม่เข้าไปยึดถือ การเข้าไปยึดถือตามรู้ตามดูอารมณ์ มันทําให้เราเข้าไปในอารมณ์นั้นๆ จนถูกอารมณ์นั้นควบคุม การรู้จึงให้รู้เพียงแค่ รับรู้ ว่าอารมณ์ความคิดเกิด แต่ไม่เข้าตามไป ให้อยู่กับความรู้สึกตัว เพื่อไม่ไหลไปตามอารมณ์ความคิด
อดีตที่ผ่านมา เราใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน ที่เราไม่รู้สึกตัว ไม่เห็นความจริง เห็นแต่ภาพลวงตาที่ถูกปกคลุมไปด้วยความคิดปรุงแต่ง
แต่เมื่อไหร่ที่เราตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตัว เราจะเห็นความจริงที่ยังไม่ปรุงแต่ง ที่ไม่ปนกันจนมองไม่เห็น ของ รูป นาม หรือ กาย ใจ และละเอียดลงไปถึง ขันธ์ ถึง ธาตุ เพื่อมาดับความเป็นตัวตนของเรา ที่เราหลงว่ามีตัวเราอยู่ จากการหลงยึดในอุปาทานแห่งขันธ์
การที่จะคลายจากการหลงยึดอุปาทานในขันธ์ได้นั้น ต้องเห็นจนไม่อยากจะเอากายเอาใจนี้ไว้ เบื่อหน่ายในกายใจนี้ จนรู้สึกรังเกียจกายใจนี้ เห็นแต่ความทุกข์เต็มไปหมดจากกายใจนี้ โดยไม่ใช่ความคิดพิจารณา แต่เห็นด้วยใจ
เอาใจรู้สึกกับลมเป็นหลัก แล้วพอเราขยับกายเราก็รู้สึกตัวไปด้วย เช่นเดินไปก็รู้สึกตัว หรือรู้สึกไปกับลมหายใจ
สลับกันตามแต่จะมีอะไรผุดขึ้นมาให้รู้ แต่ไม่ไปกําหนดแบบยึด ให้รู้แบบมีอะไรให้รู้ ก็รู้ มันจะสลับไปมาเองระหว่าง รู้สึกถึงลมหายใจกับรู้สึกตัวผ่านกาย จนสุดท้ายเป็นหนึ่งเดียวกันคือ "รู้สึกทั่วทั้งตัว" โดยไม่ไปกําหนดกะเกณท์
เวลามีสิ่งใดมากระทบกายใจก็เช่นกัน มีอะไรให้รู้ ก็แค่รู้ ไม่ต้องไปตามรู้ รู้แล้วก็มารู้สึกกับลมหายใจหรือรู้สึกตัวต่อเป็นหลักทําเพียงเท่านี้
การตรัสรู้ธรรมจะเกิดปัญญา ปัญญาที่รู้ได้ด้วยตนเอง(ปัญญาญาณ)
การปฏิบัตินั้นไม่มีอะไรที่มากไปกว่า การกลับมารู้ที่กายหรือใจเลย แต่สิ่งที่สําคัญ ต้องปล่อยจากหลักที่ยึดผู้อื่นออก แล้วเข้าไปแสวงหาด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง จึงจะรู้ด้วยตนเอง การตรัสรู้จึงบังเกิดแก่ตน
ธรรมะถ้าปฏิบัติมามากๆ ไม่มีอะไรต้องบอกต้องสอนแล้วนะ เพราะใจสอนใจ ใจตนเองนั้นหล่ะจะเป็นผู้สอน
ต้องละการไปอ่านไปฟังผู้อื่น แล้วให้ใจตนเองสอน จิตแห่งพุทธะรอสอนเราอยู่แล้ว ละสิ่งอื่นๆเสีย เข้าถึงความเป็นพุทธะด้วยใจตน มิเช่นนั้น การตรัสรู้ จะมิบังเกิดกับตน เพราะจะเป็นเพียงผู้รู้ตาม มิใช่ผู้รู้แจ้ง
สิ่งที่ต้องระวังอย่างมากก็คือ การอ่าน การฟัง การคิดวิเคราะห์ สิ่งหล่าวนี้จะมาทําให้จิตสร้างภาพความคิดให้เราได้เห็น ต้องวางความคิดลงก่อน มิเช่นนั้นจะไปปิดบังรู้แห่งปัญญาญาณมิให้บังเกิดแก่ตน ต้องรู้เองเห็นเอง
ปัญญาญาณเกิดจากสัมมาสมาธิ
ถ้าหลับตา จิตไม่ตั้งมั่น ปัญญาก็ไม่เกิดอยู่ดี
ถ้านั่งสมาธิ จิตเดินผิด ไม่ตั้งมั่น ปัญญาก็ไม่เกิด
ถ้าไม่นั่งหลับตา ไม่นั่งสมาธิเลย และจิตก็ไม่ตั้งมั่น ปัญญาหรือ วิปัสสนาภาวนาก็ไม่เกิดอีกอยู่ดี
แต่หากลืมตาก็ตาม หลับตาก็ตาม ยืน เดิน นั่ง นอน มีจิตตั้งมั่น ปัญญาที่มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นอารมณ์ ไตรลักษณ์ก็จะปรากฎ
เมื่อฝึกฝนดีแล้ว ทำปัญญานำสมาธิก่อนก็ได้ สุดท้ายจิตก็จะสงบจากนิวรณ์ สงบจากกิเลสเหมือนกัน บรรลุสัมมาสติ และสัมมาสมาธิ ได้ในที่สุด
หรือจะ ทำสมาธินำ ปัญญาไปก่อน สุดท้ายจิตก็จะสงบจากนิวรณ์ สงบจากกิเลสเหมือนกัน บรรลุสัมมาสมาธิ และสัมมาสติ ได้เหมือนกันนั้นเอง
คนเรามักจะคิดว่าการทําบุญต้องใช้เงินเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้บุญเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าบุญนั้นเกิดจากใจเรานั้นเอง และบุญใหญ่ๆไม่ได้เกิดจากการใช้เงินเลย แต่เกิดจากการเจริญสติเป็นหลัก เจริญสติเป็นยอดบุญ แค่หายใจเข้าก็ให้รู้สึก หายใจออกก็ให้รู้สึก ใจรู้สึกกับลมหายใจ ก็ได้บุญอยู่ตลอดการหายใจอยู่แล้ว เพียรเจริญสติกันเถิด...
ใจเราเป็นใหญ่ ใจเราเป็นประธาน กุศลหรืออกุศลล้วนเกิดที่ใจ ใจเรากําหนดเอง จะไปวิ่งหากุศลจากที่ไหนอีก ในเมื่อกุศลทั้งหลายล้วนผุดขึ้นจากใจเรา เคยสังเกตุไหมทําความดีมีกุศลแล้วเกิดปิติใจสุขสว่างใจเบาสบายมาจากกลางอกเรา พองอกพองใจ หรือเวลาทุกข์ใจมีอกุศลจุกอึดอัดแน่นที่หน้าอก คับอกคับใจนั้นหล่ะครับ