" สัมภเกสี การลาพุทธภูมิคราวนี้ของเธอ ก็มีประสงค์จะตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน
คนที่จะตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้นั้น ต้องมีจิตใจเข้าถึงอริยสัจ
ถ้ามีอารมณ์ไม่มั่นคงในอริยสัจ ไม่มีทางที่จะบรรลุได้
อริยสัจสี่ คือ หนึ่งทุกข์ สองสมุทัย คือเหตุให้เกิดทุกข์
สามนิโรธ ความดับทุกข์ หรือทุกข์ดับ สี่มรรค ได้แก่ปฏิปทาถึงความดับ
อริยสัจทั้งสี่ กิจที่จะพึงทำมีสอง คือ ทุกข์กับสมุทัย
เพราะคำว่ามรรคได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา เราทรงอยู่แล้ว
สิ่งที่จะต้องหาใหม่นั่นก็คือ หาทุกข์ให้พบ และก็ทำลายต้นเหตุของทุกข์ให้ได้ "
*** ปฎิปทาท่านผู้เฒ่า ***
ตอนที่๗ (๑/๗)
พระเดชพระคุณท่าน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
บัดนี้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล พากันสมาทานพระกรรมฐานแล้ว
ต่อไปขอบรรดาพุทธบริษัททุกท่านพยายามรวบรวมกำลังใจของท่านให้เป็นสมาธิ สำหรับอิริยาบถให้เป็นไปตามอัธยาศัย จงพยายามอย่าเคร่งเครียดในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้านั่งท่านี้ไม่ดีก็ขยับไปท่าโน้น นั่งเก้าอี้ นั่งห้อยขา นั่งเหยียดเท้าก็ได้ แล้วถ้านั่งไม่สบายจะนอนก็ได้ นอนไม่สบายจะยืนก็ได้ ยืนไม่สบายจะเดินก็ได้ ให้ร่างกายมันเป็นสุข ทั้งนี้ถ้าหากว่าเราไปยุ่งอยู่กับร่างกาย กำลังใจจะเข้าไปยุ่งอยู่กับทุกขเวทนานั้น อย่าลืมว่าผลแห่งการปฏิบัตินี่เราปฏิบัติใจ
อย่างไรๆ ก็พยายามเชื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ก่อน ในเมื่อองค์สมเด็จพระชินวรตรัสไว้อย่างนี้ก็ปฏิบัติตามนั้น และเวลาปฏิบัติอย่าทรมานตนอย่างหนึ่ง และกำลังที่ปฏิบัติอย่าคิดว่าอยากจะได้จุดนั้น อยากจะได้จุดนี้ ทำจิตของเราให้เป็นไปตามคัลลองที่กำลังปฏิบัติ นักปฏิบัติทั้งหมดนี่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือการกำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อให้จิตทรงสมาธิ
หรือว่าถ้ากำหนดลมหายใจเข้าออกไม่สบาย จะใช้คำภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือว่าจะพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามใจชอบ ตามแบบที่ศึกษามาแล้ว หากว่าท่านทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะใช้ปัญญาใคร่ครวญในขันธ์ห้า ที่เรียกกันว่าร่างกาย ว่านี่ร่างกายเราเต็มไปด้วยความสกปรก ร่างกายของเราเป็นของไม่เที่ยง ถ้าเรายึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราอยู่ จิตมันก็เป็นทุกข์ เราจะปล่อยมันไปเสียเพราะมันเป็นอนัตตา ในที่สุดนั้น
(อธิบายเพิ่มเติม ..เหตุที่ได้ชื่อว่าอนัตตา อนัตตา ที่ขันธ์ 5 ได้ชื่อนี้ เพราะมีอนัตตลักษณะดังนี้
(เป็นสภาพว่างเปล่า) คือหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ เพราะประกอบด้วยธาตุ 4 เมื่อแยกธาตุออก สภาวะที่แท้จริงก็ไม่มี
(หาเจ้าของมิได้) คือไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้
(ไม่อยู่ในอำนาจ) คือไม่อยู่ในบัญชาของใคร ใครบังคับไม่ได้ เช่นบังคับมิให้แก่ไม่ได้
(แย้งต่ออัตตา) คือตรงข้ามกับอัตตา
ร่างกายคนอื่นหรือว่าทรัพย์สินอื่นๆ ในโลกก็เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราสักแต่ว่าเห็น เราสักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือว่ามันเป็นเราของเรา ถ้าทำจิตอย่างนี้ได้จนเป็นเอกัคตารมณ์ มีปัญญาเห็นได้ชัด สามารถตัดขันธ์ห้า คือไม่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้าได้ ใจจะเป็นสุข
ถ้าพิจารณาอย่างนี้ได้เสมอๆ จะไม่กำหนดรู้คำภาวนา ไม่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกก็ได้ ถ้าการพิจารณาปลงใจอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะพิจารณาอยู่อย่างนี้เป็นปกติอารมณ์ของท่าน อย่างเลวท่านก็เป็นพระโสดาบัน ดีขึ้นไปอีกนิดหนึ่งท่านก็เป็นพระสกิทาคามี ดีขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่งท่านก็เป็นพระอนาคามี แต่จิตทรงอย่างนี้ได้จริงๆ ตลอดเวลานั่น ท่านเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นกันตรงนี้เท่านั้น เป็นไม่ยาก แต่เรื่องพระอรหันต์อธิบายกันแล้ว
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อนัตตา (บาลี: อนตฺตา) หรือ อนาตมัน (สันสกฤต: अनात्मन् อนาตฺมนฺ) แปลว่า ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน ไม่ใช่อัตตา (หรืออาตมัน) ไม่ใช่ตัวตน หรือ สภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้ อันเป็นธรรมชาติของสังขารและวิสังขาร[1]
เหตุที่ได้ชื่อว่าอนัตตา อนัตตา ที่ขันธ์ 5 ได้ชื่อนี้ เพราะมีอนัตตลักษณะดังนี้
เป็นสภาพว่างเปล่า คือหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ เพราะประกอบด้วยธาตุ 4 เมื่อแยกธาตุออก สภาวะที่แท้จริงก็ไม่มี
หาเจ้าของมิได้ คือไม่มีใครเป็นเจ้าของแท้จริง สงวนรักษามิให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ไม่อยู่ในอำนาจ คือไม่อยู่ในบัญชาของใคร ใครบังคับไม่ได้ เช่นบังคับมิให้แก่ไม่ได้
แย้งต่ออัตตา คือตรงข้ามกับอัตตา
“””””””””””””””””””””””””””””
สุญญตา[1] (บาลี: สุญฺญตา) หรือ ศูนยตา (สันสกฤต: ศูนฺยตา) แปลว่า ความว่างเปล่า, ความเป็นของสูญ คือความไม่มีตัวตน ถือเอาเป็นตัวตนไม่ได้
สุญญตามีความหมาย 4 นัย คือ
ความเป็นสภาพที่ว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะที่ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา คือ มิใช่ตัวตน ไม่มีอัตตา ว่างจากความเป็นตน ตลอดจนว่างจากสารัตถะต่าง ๆ เช่น ความเที่ยง ความสวยงาม ความสุข เป็นต้น, โดยปริยายหมายถึง หลักธรรมฝ่ายปรมัตถ์ดัง เช่น ขันธ์ ธาตุ อายตนะ และปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงแต่ตัวสภาวะให้เห็นความว่างเปล่าปราศจากสัตว์ บุคคล เป็นเพียงธรรมหรือกระบวนธรรมล้วน ๆ
ความว่างจากกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ก็ดี สภาวะที่ว่างจากสังขารทั้งหลายก็ดี หมายถึง นิพพาน
โลกุตตรมรรค ได้ชื่อว่าเป็นสุญญตา ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ เพราะลุด้วยปัญญาที่กำหนดพิจารณาความเป็นอนัตตา มองเห็นสภาวะที่สังขารเป็นสภาพว่าง (จากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน) เพราะว่างจากกิเลสมีราคะเป็นต้น และเพราะมีสุญญตา คือ นิพพาน เป็นอารมณ์
ความว่าง ที่เกิดจากความกำหนดหมายในใจ หรือทำใจเพื่อให้เป็นอารมณ์ของจิตในการเจริญสมาบัติ เช่น ผู้เจริญอากิญจัญญายตนสมาบัติกำหนดใจถึงภาวะว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
บุญพระกรรมฐาน
เมื่อปี ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่อำเภอสรรค์บุรี จังหวัดชัยนาท มีตาอะไรหรือ อีตานี่เมื่อก่อนมาอยู่กรุงเทพ ฯ ขึ้นไป แกก็มาเฝ้าตลอด ถ้ายังไม่กลับเพียงใดแกก็ยังไม่กลับบ้าน ให้ลูกสาวเอาข้าวต้มมาถวายเช้า ตอนเพลก็เอาข้าวสวยมาถวาย ตัวแกเองต้องมาอยู่ตลอดเวลา
พอแกตายไปแล้ว ลูกสาวก็มาหาที่กรุงเทพ ฯ บอกว่าจะทำศพพ่อและบวชน้องชายในวันเดียวกัน อยากจะให้หลวงน้าเป็นประธาน ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าเป็นประธานก็ได้ แต่ว่าถ้างานเอ็งจะต้องมีบาปแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้นะ แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ ถึงเขาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย
ประการที่ ๒ เวลาจัดงานศพ ควรตั้งคนรับรองแขกให้แทนตัวเองใจจะได้ไม่กังวล เวลาพระให้ศีลต้องรับศีลให้จบ และตั้งใจรับศีลด้วยความเคารพ เวลาพระสวดก็ต้องตังใจฟังพระสวดจนจบด้วยความเคารพ เวลาถวายทานก็เหมือนกันให้ตั้งใจถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์ฟังเทศน์ด้วยความเคารพ และอย่าให้มีสุรายาเมาเข้ามาเจือปน
ก็นึกถึง "ท้าวมหาราช" ถามว่า
"เวลานี้นายกิ่ม อยู่ที่ไหน ถ้าอยู่ในช่วงเสวยทุกขเวทนาอยู่ ขออนุญาตครู่หนึ่ง เวลานี้เขาทำบุญใหญ่ให้นำมา"
ถ้าไปเรียกเขาเฉย ๆ ไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์เลย ท้าวมหาราชเลยใช้ลูกน้อง ๒ คน ไปบอกเจ้าหน้าที่แล้วจึงนำมา ตอนนำมาแกไม่ได้เดิน นำมาจูงโซ่สองข้างคนละเส้น นายกิ่ม มากลาง หน้าตาเศร้ามีความทุกข์ มานั่งข้างธรรมาสน์ เรียกอย่างไรก็ไม่เงย นั่งเฉย ...
จึงถามคนที่คุมมา ๒ คนว่า "ทำไมเป็นอย่างนี้"
เขาตอบว่า "กรรมมันหนักครับ"
ถามว่า "คนนี้เขาตัดสินแล้วหรือยังล่ะ"
"ยังครับ ยังรอการตัดสินอยู่"
"ถ้าตัดสินแล้ว เราไม่มีสิทธิ์เหมือนกัน ถ้าลงขุมไปแล้วไม่มีสิทธิ์ รอการตัดสินนะในเมืองนั้น ๔๐ ปีของเรา เป็น ๑ วันของเขา "
แกตายไปไม่นาน ที่จะตัดสินเดิมแกชั่วจริง แต่ปลายมือแกดี ชั่วกับดีมันก่ำกึ่งกัน จะลงนรกเลยทีเดียวหรือขึ้นสวรรค์เลยทีเดียวก็ไม่ได้ ต้องสอบสวนก่อน
ไอ้สองคนคุมมาถามว่า "วันนี้ลูกสาวทำอะไรบ้าง"
ก็เลยตอบว่า "วันนี้บวชน้องชาย ถวายสังฆทาน เลี้ยงพระบังสุกุลเสร็จเรียบร้อย บุญใหญ่ทั้งหมด ทำไมจึงโมทนาไม่ได้"
เขาตอบว่า "ไม่มีสิทธิ์โมทนา กรรมหนัก"
จึงถามว่า "บุญอะไรล่ะ เขาถึงจะได้"
เขาชี้มือมาที่ฉัน เขาบอกว่า "บุญพระกรรมฐานของท่านช่วยได้"
งั้นก็ดีเลย ไม่ต้องลงทุน ถามว่า "บุญที่เขาทำมาก่อน กับบุญเวลานี้จะรวมตัวหรือไม่"
เขาตอบว่า "รวมตัวครับ"
ก็เลยตั้งใจอธิฐานว่า ...
"เอ้า ... นายกิ่มตั้งใจฟัง บุญใดที่ฉันเคยบำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ผลบุญทั้งหลายที่ฉันทำมา จะให้ประโยชน์แก่ฉันเพียงใด ขอเธอจงโมทนารับผลบุญเช่นเดียวกับฉันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
พอเท่านี้โซ่หลุดเลย ไม่ได้ปลด โซ่มันหลุดเองคลายจากคอเลย แกก้มลงกราบ พอกราบครั้งที่ ๓ ลุกขึ้นมาสวยอร่ามเป็นเทวดา มีความสวยผิดปกติ เพราะบุญที่ลูกทำกับบุญเก่าอันก่อนมันเข้ามารวมตัวกัน พอได้บุญอย่างใดอย่างหนึ่ง บุญก็รวมตัวกันหมด
แล้วอีตา ๒ คนที่นำมานั่น เห็นตากิ่มแกสบาย ก็บอกว่า
"ท่านครับ ผมอยากได้เหมือนกันครับ"
"เอ้า ... แกเป็นผู้คุมเขานี่หว่า ... แกสบายแล้ว"
"ผมไม่สบายหรอกครับ ต้องทำงานไม่มีวันหยุด เหน็ดเหนื่อยเรื่อย ๆ "
"พญายม ไม่เล่นงานข้าหรือ ... "
เขาตอบ "ไม่หรอกครับ ผมมีสิทธ์ครับ"
ถ้ามีสิทธิ์ก็เอา ... ตั้งใจอนุโมทนา แกก็เป็นเทวดาบ้าง อาตมาไม่ได้ลงทุนอะไร ก็ตั้งจิตอธิฐานแบบเดียวกันกับให้นายกิ่ม ผลที่สุดตากิ่มแกก็ไปจับลูก ทักคนโน้นคนนี้ จับคอเขย่า ไม่มีใครเหลียวดูหรอก แกเป็นผีจับเขาไม่รู้เรื่อง
"นี่เป็นอันว่า อานิสงส์แห่งการเจริญกรรมฐาน ถ้าเราจะทำบุญให้แก่คนตาย อันนี้มีประโยชน์มาก ประโยชน์ที่จะได้แก่คนตาย ก็หมายถึงว่าประโยชน์นั้นมันจะถึงเราก่อน ไม่ใช่คนตายจะมีโอกาสมาโมทนาเฉย ๆ เราต้องเป็นผู้ให้เขาจึงจะได้รับ นี่แหละเรื่องของบุญ"
การปฏิบัติตน เพื่อหนีนรก โดย พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ. อุทัยธานี
ปัญหาของผู้เริ่มฝึกได้แล้วและการฝึกแบบเต็มกำลัง
ผู้ถาม :- “ผมเคยชวนคนอื่น ๆ มาฝึกมโนมยิทธิ แต่แล้วเขาบอกว่า พอออกไปแล้ว กลัวใครจะมาทำร้ายร่างกาย มาเผาร่างกาย เรื่องนี้จริงไหมครับ…?”
หลวงพ่อ :- “ไอ้คนที่ได้มโนมยิทธิจริง ๆ ถ้าไปถึงสวรรค์ได้ เขาไม่อยากมองมนุษย์นะ เพราะเมืองมนุษย์มันเลอะเทอะด้วยประการทั้งปวง โลกทั้งโลกมันสกปรก ถ้าแดนสวรรค์ก็มีแก้วกับทอง สวรรค์มีความสุขมีที่อยู่สบาย ถ้าไปถึงพรหม เราก็ไม่อยากไปสวรรค์ เพราะพรหมเขาดีกว่า ถ้าเข้าถึงนิพพาน เราก็ไม่อยากมองพรหม
ถ้าบังเอิญเวลานั้น ใครทำร้าย หรือจะเอาร่างกายไปเผาเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องกลับมา กลัวเขาจะไม่ทำยังงั้นน่ะซิ ถ้ากลัวตายก็ฝึกวิชานี้ไม่ได้ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของการเจริญพระกรรมฐาน”
ผู้ถาม :- “มีลูกศิษย์บางคนนะคะ เขาไม่ชอบไปดูของสวย ๆ บนสวรรค์ เขาอยากไปนรก เขาบอกว่า เห็นในสิ่งที่ไม่ดี แล้วจะได้ไม่ทำในสิ่งนั้น”
หลวงพ่อ :- “เออ….ไอ้นี่เหมือนกับฉัน ไปได้ครั้งแรก ปีแรกฉันไม่ไปสวรรค์เลย ไปนรกจุดเดียว นรกนี่ใช้เวลา ๑ ปี ไปไม่ครบนะ นรกจริง ๆ มันมี ๔๐๐ ขุมกว่า ขุมใหญ่มี ๘ ขุม แต่ละขุมมันแยกไปอีก
ไปถึงก็ถามเขา แต่ละขุมเราเคยมากี่เที่ยว แต่ละครั้งที่เรามาทำบาปอะไร เราขอดูภาพเดิม สมัยเป็นมนุษย์เราทำบาปอะไร นรกขุมนี้ลงโทษ แบบไหน ฉันไปทุกขุม ฉันก็ไปถามเขาทุกขุม ลองไล่เบี้ยดู เป็นการลงโทษตัวเอง ปรามตัวเอง
อย่างไอ้หนูนี่คิดถูก ถ้าดูคนอื่นเขาลงน่ะมันไม่มันนะ ต้องดูของตัวเอง ดูว่าในสมัยที่เราเป็นคน เราทำอะไรผิด เราจึงลงนรก
บางครั้งเราเป็นคนมีวาสนาบารมีสูง แต่ก็เมาในชีวิต มีอำนาจมากกว่าเขา ก็สร้างความชั่วข่มเหงเขาบ้าง ทำอะไรเขาบ้าง ตายแล้วก็ลงนรก
ต้องขอดูภาพเดิม อย่าดูแต่ภาพนรกเฉย ๆ นะ ดูว่าสมัยเป็นมนุษย์ เราทำอะไรไว้ จึงถูกลงโทษแบบนี้ มันจะได้ประสานกัน
ที่สวรรค์ จุดแรกที่ต้องการไปให้ถึง คือพระจุฬามณี อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์”
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ดาวดึงส์กับจุฬามณีนี่ที่เดียวกันใช่ไหมคะ?”
หลวงพ่อ :- “ใช่ ที่เดียวกัน จุฬามณีตั้งอยู่ในเขตของดาวดึงส์”
ผู้ถาม :- “ดิฉันไปกราบท่านพ่อกับท่านแม่ที่ดาวดึงส์ค่ะ แล้วก็ไปนิพพาน”
หลวงพ่อ :- “ก็ได้ คือว่าเราต้องการให้อารมณ์จิตอยู่ที่นั่น ก็ต้องไปกราบทุกวันนะ ฉันก็กราบ ที่เราไปกราบพ่อแม่เพราะอะไร เพราะท่านจะไปนิพพานอยู่แล้ว
พ่อแม่นี่มีความจำเป็นต้องกตัญญู ทางที่ดีพอขึ้นไปที่นั่นแล้ว พอกราบท่านแล้ว ก็ต้องถามท่านว่า มีอีกบ้างไหม ที่เป็นบิดามารดาเดิม ที่ยังเป็นเทวดาหรือพรหมอยู่ ขอเชิญมาประชุมหมด แล้วท่านก็จะมาหมด
พอมาแล้ว ก็กราบท่าน เราขอขอบคุณท่าน เราจะได้รู้ว่า พ่อแม่ที่อยู่ เป็นเทวดา หรือพรหม มีเท่าไร พ่อแม่ของเราในอดีตมีเยอะ ขึ้นไปแล้วไม่หงอยเหงาแน่ ๆ เพลิดเพลินจนไม่อยากกลับทีเดียว”
ผู้ถาม :- “หนูมีปัญหาอันหนึ่ง คือก่อนนอนก็ภาวนา นะ มะ พะ ธะ แล้วก็หลับไปเลย มีอยู่วันหนึ่งนะคะ ตอนใกล้เช้าค่ะ มีความรู้สึกว่าไม่ได้หลับ แต่มีความรู้สึกว่าจิตมันจะออกไป แต่ไม่ยอมลอยขึ้นไปข้างบน แล้วอยู่ๆ ก็ดึงลงไปข้างล่างเลยค่ะ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะให้ลง มันเป็นเพราะอะไรค่ะ?”
หลวงพ่อ :- “ถ้ามันดึงลงข้างล่างก็ให้มันดึงไป ไปเที่ยวนรก ถ้าปล่อยตัวหลุดแบบนั้น เป็นตัวอภิญญาแท้ คือ นะ มะ พะ ธะ ที่เราทำเวลานี้นะ ถ้ามันถึงจุด มันจะออก จุดออกของเขาจริง ๆ มันเหมือนกับตัวเราออกไปเลย มันออกไปจริง ๆ
ทีนี้มันจะดิ่งลง ก็ให้มันลงไป อารมณ์อันหนึ่ง เขาอาจจะบังคับให้ไปดูนรกข้างล่างว่าเป็นยังไง แต่ไปแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะกลับมาไม่ได้นะ กว่าจะกลับก็เช้า
ทีหลังตั้งใจไว้ก่อนว่า ถ้าออกได้จะขอไปพระนิพพาน แล้วไปจะหาแม่หาปู่ แต่ว่าการตั้งใจไว้ก่อน เวลาภาวนาก็อย่านึกถึงท่านนะ ทิ้งเลย ถ้าออกปั๊บ มันจะพุ่งไปเลย ขณะที่ภาวนาเราต้องทิ้งอารมณ์อยากจะไปนิพพาน จะไปหรือไม่ไปไม่สำคัญ แต่ทำใจให้สบายนี่มันจะไปได้ ซึ่งซ้อมแบบนั้นน่ะดีแล้ว มันจะเคลื่อนได้ดี
ถึงฝึกแบบเต็มกำลังจริง ๆ ออกไปได้จะสนุกมาก เห็นวิมานเยอะแยะ ไม่มืดสลัว เห็นชัดเจนแจ่มใสดีมาก แทบไม่อยากกลับมาทีเดียว”
ผู้ถาม :- “กระผมสังเกตดู อย่างวิมานของหลวงปู่ก็ดี ของพระพุทธเจ้าก็ดี ปรากฏเห็นชัดดี แจ่มใสดี เวลาไม่ต้องการเห็นก็หายไป”
หลวงพ่อ :- “ใช่…ถ้าจิตเราไม่ต้องการเห็น แป๊บเดียวก็หาย มันเป็นไปตามกำลังของจิต แต่ความจริงไม่ใช่วิมานหายนะ จิตเราไม่เห็นเอง ถ้าเราไม่ต้องการ มันก็ไม่เห็น ไม่ใช่เราไปรื้อวิมานเขานะ ถ้าโยมไปรื้อวิมาน เทวดาตีตาย”
ผู้ถาม :- “เรื่องนี้องค์อื่นผมก็ไม่กล้าคุยครับ”
หลวงพ่อ :- “อาตมาไม่เป็นไรหรอกโยม ความจริงพระที่ท่านเข้าถึง ไม่มีองค์ไหนบอกนิพพานสูญ เรื่องของนิพพาน มันมีอยู่อย่างนี้ เราจะเห็นได้หรือไม่ได้ มันมีอารมณ์ของจิตตามขั้น ถ้าจิตของเราเป็นฌานโลกีย์ล้วน ไม่มีทางเห็นได้เลย
สมมุติว่าเราไม่เป็นพระอริยเจ้าจริง เวลานั้นจิตมันต้องว่างจากกิเลสชั่วเวลาหนึ่ง อันนี้จึงจะเห็นนิพพาน ถ้าตามเกณฑ์ที่จะเห็นนิพพานได้
ถ้าสุกขวิปัสสโกนี่ ท่านไม่เห็นเลยนะ ไม่เห็นผีไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นนรก สวรรค์ ไม่เห็นอะไรทั้งหมด ก็ชื่อว่า ตัดกิเลสได้
ถ้าเตวิชโช เขามีสองในวิชชาสาม คือ ทิพจักขุญาณ กับ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ถ้ายังเป็นฌานโลกีย์อยู่ ทิพจักขุญาณตัวนี้จะไม่สามารถเห็นนิพพานได้เลย จะเห็นได้แค่พรหมโลก นรกทุกขุมเห็นได้ สวรรค์ขึ้นไปถึงพรหมโลกเห็น ถ้าจิตเข้าถึง โคตรภูญาณ เป็นอย่างต่ำ อันนี้จึงจะเห็นนิพพาน
ไม่ใช่ว่าทำทิพจักขุญาณได้ จะเห็นอะไรทั้งหมด ถ้าหากว่าเราปฏิบัติกันแล้ว ไปถึงนิพพานได้ แสดงว่าจิตเวลานั้น ว่างพอ สะอาดพอ”
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ เวลาขึ้นไปแล้ว แต่ว่าทรงอารมณ์อยู่ไม่นานก็กลับมาใหม่ อันนี้เป็นเพราะเหตุใดคะ ขอให้หลวงพ่อชี้ข้อผิดพลาดด้วยค่ะ…?”
หลวงพ่อ :- “มันไม่ผิดหรอก เวลาตั้งอารมณ์ จิตไม่ตั้งเป็นฌาน เพราะว่าอารมณ์ที่เป็นฌานมันน้อยเกินไป มันเป็นอุปจารสมาธิเสียมาก วิธีที่ฝึกเวลานี้ไม่ใช่ไปแก้จุดนั้น ไปแก้อีกจุดหนึ่ง
เมื่อยามว่าง เราควรจะตั้งเวลา สัก ๓ นาที ๕ นาที จับลมหายใจเข้าออก แล้วว่า นะ มะ พะ ธะ เราจะนั่งท่าไหนก็ได้ ให้จิตมันอยู่ช่วงนี้ เฉพาะคำภาวนากับลมหายใจนะ
แต่ว่าอาการอย่างนั้น จะมีได้ในบางขณะ บางทีเราเริ่มจับปั๊บจิตมันตกต่ำลงไปเลย ถ้าหากว่ามันทรงไม่อยู่ไปแล้วกลับมา พอกลับมาก็ทรงอารมณ์ให้สบาย ไม่ไปไหนละ นั่งอยู่ภาวนาให้สบาย ๆ ให้จิตมันเป็นสุขพอ จิตมีกำลังปั๊บ ขึ้นไปใหม่ มันอยู่ได้ ไอ้นี่เรื่องธรรมดา”
ผู้ถาม :- “แต่บางครั้งในขณะที่ครูเขาทดสอบ มีความรู้สึกว่าจะตายค่ะ”
หลวงพ่อ :- “จะตายหรือ ดี คือ มีความรู้สึกว่าจะตาย ถ้ามันจะตายเวลานี้เราขออยู่ที่นิพพาน”
ผู้ถาม :- “พอมีความรู้สึกว่าจะตายเลยไม่ยอมไป”
หลวงพ่อ :- “ไม่เป็นไรนะ นั่นเป็นอารมณ์อันหนึ่ง ถือว่าเป็นอารมณ์แทรกเข้ามา คือว่ากำลังใจเราจะมั่นคงไหม แต่การแทรกเข้ามารู้สึกว่าจะตาย จะดูว่าเรามั่นใจในพระนิพพานไหม หรือเราจะไปยุ่งกับทุกขเวทนา
ทีนี้ถ้าจิตมันตัด ตายก็ตาย ถ้าตายเราไปนิพพาน แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว คือว่าอาการที่เป็นอย่างนั้น ไม่ใช่อาการของร่างกาย เป็นอาการถูกทดสอบจากพระอริยะ ถ้าเวทนาแบบนี้เข้ามา กำลังใจเราเป็นอย่างไร
ถ้ากำลังใจเราตัดสินใจว่า ถ้าเราตายเวลานี้ เราไปนิพพานช่วงนี้ และตอนนั้นเราดีดตัวถึงพระนิพพานได้ ลงมาเราก็ไม่เป็นไร ถืออารมณ์อย่างเดียว คือว่า เราห่วงตัว หรือห่วงนิพพาน เขาต้องการเท่านี้แหละ
การเจริญพระกรรมฐาน มักจะมีเทวดา ครูบาอาจารย์ และพระอริยะ มาทดลองเสมอ เพราะฉะนั้นอย่างได้กลัว ท่านต้องการให้เราได้ดี”
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ตอนที่ฝึกมโนมยิทธินะคะ เมื่อขึ้นไปบนสวรรค์แล้ว เห็นใส่เสื้อผ้าเป็นธรรมดาค่ะ อันนี้เป็นภาพจริงหรือเปล่าคะ..?”
หลวงพ่อ :- “ภาพน่ะเป็นภาพจริง แต่ไม่ตรงความจริง”
ผู้ถาม :- “แล้วยังเห็นคนที่เขาอยู่บนสวรรค์ เขาก็แต่งตัวไม่เหมือนชาวสวรรค์ เราเป็นมนุษย์ยังแต่งตัวสวยกว่าตั้งเยอะ”
หลวงพ่อ :- “ที่เราเห็นเขาอย่างนั้นน่ะ เขาทำภาพเดิมให้ดู คือว่าเขาเกรงว่าเราจะจำเขาไม่ได้ อันดับแรกเขา ต้องแสดงแบบนั้นก่อน ถ้าเราเห็นแบบนั้น เราควรจะถามเขาว่า เวลานี้ภาพความเป็นจริงของท่านมีรูปร่างเป็นอย่างไร ขอให้แสดงความเป็นจริง”
ผู้ถาม :- “อยากถามเขาเหมือนกันค่ะ แต่ดูหน้าตาเขาแล้ว ไม่อยากจะพูดกับเขาเลย ตอนนี้พยายามฝึกให้ได้ฌาน ๔ ก่อนเผื่อจะได้ถอดจิตไปถึงอินเดียบ้าง”
หลวงพ่อ :- “ฌาน ๔ เป็นอย่างไร..?”
ผู้ถาม :- “ไม่ทราบซิคะ”
หลวงพ่อ :- “นี่กินขนมอยู่แล้วยังนึกว่ายังไม่ได้กิน ไอ้การไปสวรรค์ได้ไปพรหมได้ นี่มันเป็นกำลังของฌาน ๔ ถ้ากำลังไม่ถึงฌาน ๔ มันจะไปถึงจุฬามณีไม่ได้
จำให้ดีว่า ขณะที่เราเห็นภาพครั้งแรกที่ครูเขาฝึก อันนี้เป็นทิพจักขุญาณ ตอนนี้เป็นอุปจารสมาธิ ถ้าเห็นภาพแล้วภาพเริ่มแจ่มใส ตอนนี้เป็นฌาน แต่ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ จะเคลื่อนจิตไม่ได้ ถ้าจิตเคลื่อนไปถึงพระจุฬามณีได้ จงทราบว่าระหว่างนั่นเป็น ฌาน ๔ หมด เป็นฌาน ๔ สำหรับใช้งาน”
ผู้ถาม :- “เป็นยังไงคะฌาน ๔ ใช้งาน…?”
หลวงพ่อ :- “ฌานมันมี ๒ ลักษณะ ที่เขานั่งเข้าฌาน นั่งเฉย ๆ เป็นการฝึกให้ฌานมันเกิดขึ้น แล้วก็ทรงฌาน
ทีนี้ฌาน ๔ สำหรับใช้งาน ก็คือ จิตเคลื่อนไปสู่ภพต่าง ๆ หรือไปที่ต่าง ๆ อย่างเรานั่งอยู่ตรงนี้ คนที่นั่งอยู่ข้างหลังคิดอะไรอยู่ เราอยากรู้ เราก็รู้ หรือเขาทำอะไร เราอยากรู้ เราก็รู้ได้ แล้วเป็นฌาน ๔ ประกอบไปด้วยอภิญญา
ถ้าฌาน ๔ เฉย ๆ มันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไม่เคยได้อภิญญา
ความจริง ถ้าฝึกมโนมยิทธิ แบบเต็มอัตรา ที่ฝึกกันนี่ ใช้กำลังเพียงครึ่งหนึ่ง ถ้าแบบเต็มอัตรา มีสภาพเหมือนฝัน คือ ไปได้แบบตัวเราไปเที่ยวธรรมดา รู้สึกได้เต็มที่ ก็บังคับให้กำลังภาพมันหยาบหน่อย
ที่เราฝึกนี่ใช้กำลังเพียงครึ่งเดียว คือ กำลังที่เราใช้แค่วิชชาสาม เนื้อแท้จริง ๆ ของมโนมยิทธิ ต้องเป็นกำลังของอภิญญา แต่ว่าถ้าจะหันเข้าไปฝึกอภิญญา มันเป็นของไม่ยาก อภิญญาต้องตั้งต้นด้วย กสิณ ๑๐ มี เตโชกสิณ อาโปกสิณ เป็นต้น
แต่ว่าได้มโนมยิทธิแบบนี้แล้ว ก็ใช้จับภาพกสิณได้ทันที เพราะว่าตัวที่ได้มโนมยิทธิ ถ้าเราไปเริ่มต้นกสิณจริง ๆ เราก็ถอยหลังเข้าคลอง คือจับผลของกสิณเลย กสิณถ้ามันได้ผลจริง ๆ มันมีสีเหมือนกันหมด มีสีใสเป็นประกายแพรวเหมือนกันหมด เดิมจะเป็นสีอะไรก็ช่าง
อย่าง โลหิตกสิณ (กสิณสีแดง) จับภาพทีแรกมันเป็นสีแดง เขาต้องภาวนา “โลหิตกสิณัง” แต่ว่าถ้าทำไป ๆ สีแดงมันจะกลายจนกระทั่งขาว พอขาวแล้วก็เป็นประกายแพรวเต็มที่ ถ้าจิตมีกำลังถึงฌาน ๔ กสิณจะเป็นประกายแพรว
ฉะนั้น กสิณทุกกองจะมีภาพเหมือนกัน เมื่อถึงฌาน ๔ เราจับกสิณก็เป็นประกายให้หมด ใช้กำลังมโนมยิทธิที่เราได้ จับปลายของกสิณเลย แล้วมันจะคล่องตัว ปลุ๊บ ๆ จับได้หมด จับได้ก็ย้อนไปย้อนมาจนชิน จนกระทั่งอารมณ์เราจะใช้เวลาไหนก็ได้ กำลังปวดท้องขี้เต็มที่จับภาพกสิณก็ได้ ต้องได้จริง ๆ นะ ไม่ใช่ล้อเล่น ต้องได้จริง ๆ จึงจะฝึกอภิญญาได้”
ผู้ถาม :- “ถ้าฝึกอภิญญาได้ก็แสดงฤทธิ์ได้ใช่ไหมคะ….?”
หลวงพ่อ :- “แสดงฤทธิ์ได้ แสดงไปเดี๋ยวก็หลงตัวเอง ความสำคัญมีอยู่ว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจว่า สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง พวกเปรต อสุรกายมีจริง ความสำคัญมันมีอยู่แค่นี้เอง
วิชานี้ที่เรามีอยู่แล้ว ทำเสียให้เต็มที่ ทำให้พอใจ เพราะว่าถ้าเราเป็น มโนมยิทธิเต็มที่ เต็มกำลัง เราก็รู้อะไรทั้งหมด เวลานี้เราก็รู้หมดอยู่แล้ว กำลังอ่อนหน่อย ก็ไม่แปลก รู้ได้เหมือนกัน เราก็ใช้กำลังส่วนนี้ รู้จักพระนิพพาน จิตก็จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มันก็แค่นื้ ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อนิพพานอย่างเดียว ไม่ใช่ทำเพื่ออวดชาวบ้าน”
ผู้ถาม :- “ถ้าหากเราฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว ต้องการดูกระแสจิตของเราเอง จะได้ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ :- “ได้….การดูใจเขาดูแบบนี้ คือ ดูแสงสว่างของใจที่มันออกมา กระแสจิตของนักปฏิบัติเป็นสีเนื้อหรือสีเคลือบแก้ว
ถ้ายังเป็นสีเนื้ออยู่ ก็แสดงว่า บุคคลนั้นเป็นปุถุชนเต็มอัตรา ถ้าเป็นแก้วเคลือบหนาขึ้นไป ทีละหน่อย ๆ จนกระทั่งเป็นแก้วใสสะอาด อย่างนี้ใช้ได้ในด้านสมถภาวนา
ต่อไปอีกขั้นหนึ่ง ถ้าเป็นประกายแพรวพราว อันนี้เขาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ถ้าจะดีจริง ๆ มันเป็นแสงละเอียด เหมือนประกายแว้บ ๆ เหมือนกระจกน่ะดี แต่ยังดีไม่เต็มที่
ถ้าจะดูว่าอารมณ์จิตละเอียดไหม ถ้าวิปัสสนาญาณมาก จิตจะเป็นประกายมาก ถ้าประกายน้อย จิตมีวิปัสสนาญาณน้อย
ทีนี้กระแสจิตที่ออกมาน่ะ ออกเรียบร้อยดีไหม … หรือว่าลุ่มๆดอนๆ ถ้ากระแสจิตเรียบร้อยดี อย่างนี้มีหวัง ไม่มีทางพลาดหวังพระนิพพาน ท่านบอกไว้เลยนะ
การเห็นกระแสจิต เรียกว่า เจโตปริยญาณ เป็นญาณหนึ่งในญาณ ๘ ถ้าฝึกมโนมยิทธิได้ ฝึกญาณ ๘ ได้ง่ายมาก”
ผู้ถาม :- “หลวงพ่อคะ ครั้งแรกที่ฝึกมโนมยิทธิ เวลาที่ขึ้นไปพระนิพพานแล้ว ครูก็จะปล่อยให้นั่งชมบารมีของพระพุทธองค์ พอกลับไปบ้าน ก็นึกถึงภาพนี้อยู่เสมอ บางครั้งจะเห็นว่า ที่ขึ้นไปอีกคน ไม่ใช่ภาพที่เห็นค่ะ?”
หลวงพ่อ :- “ตัวเรามีคนเดียว”
ผู้ถาม :- “แต่ทำไมถึงเห็น ๒ คนเล่าคะ…?”
หลวงพ่อ :- “เห็นได้ เพราะสภาพความเป็นทิพย์ เห็นกี่แสนคนก็ได้ รวมได้เป็นคนเดียวเสีย เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ถ้าใช้มันจะใช้กี่แสนคนก็ได้ ทำงานเหมือนกันหมด ทำงานคนละอย่าง คนหมดโลกนี่ต่างคนต่างพูดกันคนละเรื่อง เขายังทำกันได้ เพราะสภาพความเป็นทิพย์ ไม่งั้นเขาจะเรียกความเป็นทิพย์ทำไม…?”
ผู้ถาม :- “คือสงสัยค่ะ ปกติเห็นแต่ตัวเราคนเดียว…”
หลวงพ่อ :- “นี่เขาทำให้ดูอย่างนั้นแหละ อะไรบ้างที่เราผูกพัน เขาต้องทำสภาวะอย่างนั้นให้ดู ถ้าเราเห็นอย่างนั้น จิตมันก็ผูกพันอยู่กับสิ่งนั้น ถ้าตายปุ๊บมันก็ไปอยู่ที่นั่น ท่านหาทางให้จิตไปอยู่ที่นั่น”
ผู้ถาม :- “บางที ขออาราธนาบารมีท่านให้พาไปที่อื่น ท่านก็เกาะหัวจุกไปเลย บางทีก็เกาะพระบาท บางทีก็เกาะบั้นเอว”
หลวงพ่อ :- “จะถามอะไรก็ตาม ถ้าทำให้เราดึงดูดใจ ท่านก็ทำภาพนั้น ท่านใจดีจะตาย โดยมากท่านต้องการให้คนของท่าน อย่างน้อยต้องขึ้นดาวดึงส์ให้หมด (คำว่า “คนของท่าน” หมายถึง ลูกก็ดี หลานก็ดี บริวารก็ดี) เวลานี้คนของฉันไม่มี เพราะว่าตัดสินใจแล้ว เพราะถ้าตัดไปกันหมดแล้ว แสดงว่าไม่ค้าง ถ้ายังค้างอยู่ ยังไปไม่ได้ ก็ไปสมัยพระศรีอาริย์”
เรื่องการฝึกมโนมยิทธิแบบใหม่นี้ คนที่ไม่เคยฝึกมักจะมีปัญหาถามเสมอ เช่น “ถ้าฝึกไปได้แล้วเวลาจะกลับ กลับยังไง” หลวงพ่อก็ตอบว่า “ให้มันไปได้ก่อนเถอะน่า” ทั้งนี้ก็กลัวว่าไม่ได้กลับ
และหลวงพ่อก็ยังบอกอีกว่า :- “วิชานี้เดี๋ยวนี้เขาเฟื่องหมดแล้ว เขาได้กันเป็นแสนแล้ว เวลานี้ก็หนักมากที่อเมริกา เยอรมันตะวันตก และเริ่มไปไหวตัวที่ ญี่ปุ่น กับ นิวซีแลนด์ ระวังนะอยู่ประเทศไทย ชาวต่างประเทศจะมาสอนเอา เขาเอาความรู้ไปจากประเทศไทย เขาจะเอาความรู้ของไทยมาสอนคนไทยต่อไป”
ข้อนี้น่าคิดนะครับ เราเป็นคนไทยอยู่ใกล้พระพุทธศาสนา จะเป็นดังสุภาษิตที่ว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” บางคนไม่กินแล้วยังว่ากระทบกระเทือนเสียอีก อันนี้ก็ไม่ขอว่ากัน เราถือว่า “ของจริงย่อมทนต่อการพิสูจน์” และเวลานี้คนที่ได้พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีเยอะแยะไปโดยเฉพาะผู้หญิง
หลวงพ่อเคยบอกว่า :- “พวกผู้หญิงนี่คล่องตัวกว่า ผู้ชายเราเสียท่าผู้หญิง แต่อีกพวกหนึ่งก็คือพระ เสียท่าฆราวาส พระนี่เสียท่าจริง ๆ เพราะพระมีศีล ๒๒๗
การฝึกกรรมฐานนี้ ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ มันเดินไม่ออก และพระเวลานี้ก็หนักใจเหมือนกัน เพราะเวลานี้ท่านบวชเข้ามา ท่านรู้ตัวว่าเป็นพระหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถ้าปฏิบัติแบบฆราวาสล่ะ เจ๊ง… สังฆาทิเสส ถ้าผิดเข้าไปแล้วไม่มีทางจะได้ฌานสมาบัติ ถ้ายิ่งเป็นปาราชิก ก็ขาดความเป็นพระภิกษุ ส่วนฆราวาสเขาตั้งตัวได้ วันนี้ศีลขาด พรุ่งนี้เขาตั้งตัวใหม่ได้ ใช่ไหม…
ก่อนที่จะมาเจริญพระกรรมฐาน ศีลบกพร่องหรือไม่ เป็นเรื่องเละเทะมาก่อน พอเริ่มเจริญพระกรรมฐาน ตั้งใจรักษาศีลทันที ศีลฆราวาส ฆราวาสเขาทำได้ ส่วนพระไม่เหมือนกัน พระถ้าพังแล้วพังเลย
การสอนเวลานี้ เวลาพระเข้าไปฝึกพระที่มารับการสอนก็รู้สึกหนักใจ แต่บางท่านก็เก่ง บางท่านแป๊บเดียวได้เลย แล้วก็คล่องตัว เพราะศีลเขาบริสุทธิ์ แต่เราก็อย่าไปถือว่า เขาไม่บริสุทธิ์ทุกองค์ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกนักตำราที่ท่านบอกว่าเป็นเปรียญฯ นั่นแหละ มันก็ ปะ ปะ ใช่ไหม…..
พวกที่เปรียญที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยิ่งเป็นนักเทศน์นี่ร้ายกาจ แต่ท่านที่ดีก็มีนะ ไม่ใช่ว่าจะชั่วทุกองค์ เพราะเคยสัมผัส เคยอยู่ร่วมกันมา แกบวชเข้ามาแล้ว มาเรียนหนังสือ แกไม่ได้นึกว่าแกเป็นพระ ตั้งหน้าตั้งตาจะสอบให้ได้ จะเอาผลนี่ไปแลกกับเปรียญ พวกนี้ก็เป็นอาชีพ ก็ถือว่าเป็น อุปสมชีวิกา อาศัยศาสนาเลี้ยงชีวิต แบบนี้แล้วจะไปได้อะไร ถ้าไปเกาะไอ้พวกนี้
แต่พระที่เป็นเปรียญที่เขาเก่งก็มี เขาดีจริง ๆ น่ะมี บริสุทธิ์จริง ๆ น่ะ อย่าไปนึกว่าเป็นเปรียญแล้วไม่ดีนะ พวกพระราชาคณะที่เป็นเจ้าคุณที่เป็นสมเด็จที่ไม่เป็นเรื่องก็เยอะ ที่ดีจริง ๆ ก็มาก
เราต้องเลือกดูอีกนะ ดูพื้นฐานของคน คนทุกคนถ้าหาจุดเลวก็มีเลวทุกคน ถ้าหาจุดดีก็มีดีทุกคน ใช่ไหม… จุดบกพร่องมันก็ต้องมี คนก็ต้องมีดี แล้วใครจะเลว ผิดมุมไหนล่ะ…?”
ผู้ถาม :- “อีกพวกหนึ่งครับหลวงพ่อ พวกที่แก่วิทยาศาสตร์ไปอธิบายให้เขาฟัง เขาไม่ค่อยฟังครับ”
หลวงพ่อ :- “พวกแก่วิทยาศาสตร์ดี แต่พวกตุ่ย ๆ วิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยได้ความนะ ให้เขาแก่จริง ๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก คือว่าเขาจะเรียนสาขาไหนก็ตามเถอะ ถ้าเขาเป็นคนมีเหตุมีผลหน่อยมันไม่แปลก ถ้าจะค้นคว้าแบบไม่มีเหตุไม่มีผลมันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ใช่ไหม…
เขาจะรู้ได้ว่า บ้านของเขามีถ้วยขนาดไหน มีโถขนาดไหน เขาก็นึกว่าบ้านคนอื่นมีเหมือนกับเขาทุกอย่าง อาจจะมีคนเขามีของดีกว่าก็ได้ ใช่ไหม… ถ้านักวิทยาศาสตร์จริง ๆ เขาเข้าใจอะไรง่าย มีเหตุมีผลดีมาก เจอะบ่อยไป สำคัญไอ้พวกลืมตัวจริง ๆ น่ะซิ”
ปัญหาในการฝึก มโนมยิทธิ ก็ขอนำมาเพียงเท่านี้ จะคงช่วยให้ท่านทั้งหลายที่ยังไม่ฝึกก็ดี ฝึกแล้วก็ดี คลายความสงสัยลงได้มาก ใครที่ฝึกได้แล้วสามารถไปสอนคนอื่นได้นะ หลวงพ่ออนุญาต และหลวงพ่อแนะนำว่า
หลวงพ่อ :- “พวกที่ได้มโนมยิทธิแล้วนี่ ถ้าไม่เป็นครูสอนเขา ของเรามันจางง่าย พยายามสอนเขา ถ้าเราเริ่มสอนเขาจะได้ระมัดระวังตัวเอง คือเราจะได้ฝึกฝนตัวเอง
การสอนเขามันมีประโยชน์มาก มันได้ ๒ อย่าง
ประการที่ ๑ การทรงตัว การคล่องตัว แจ่มใส มันจะเกิดขึ้น
ประการที่ ๒ ได้ธรรมทาน เป็นการเร่งรัดบารมีเดิม ให้มันแจ่มใสเร็วขึ้น เพราะธรรมทานมีอานิสงส์สูงมาก คือว่าผลที่เราจะพึงได้ แทนที่จะ ๑๐ปี อาจจะเหลือ ๓ ปี อานิสงส์สูงมาก
สอนเขาใหม่ ๆ มันอาจจะงงก็ได้ ถ้าตามทันหรือไม่ทันไม่สำคัญ ให้มีความเข้าใจเรื่องตั้งอารมณ์เอาไว้ เพราะเราผ่านมาเรารู้ใช่ไหม… ถ้าเราไปถึงนั่นแล้ว เผอิญเราตามไม่ทัน ก็กวดไปทีหลังได้ ถามความรู้สึก ถ้าเขาไม่รู้สึกก็แก้อารมณ์ที่ขัดข้องให้
ถ้าเป็นครูเขา สมเด็จฯ ท่านก็จะช่วยมากขึ้น คือว่าเป็นครูสอนเขา ให้ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าโดยตรง บอกว่า การสอนก็ดี การติดตามก็ดี ขอเป็นภาระของพระองค์
บางทีเราจะพูดสิ่งที่เราไม่เคยคิดไว้เลย ถ้าพูดไปนั่น มันเหมาะสมสำหรับบุคคลผู้นั้น ก็ต้องใช้แบบนั้นนะ พอเริ่มก็ขออาราธนาท่าน ขอเป็นภาระของพระองค์ จะเป็นผลดีแก่ผู้ที่รับฝึกต่อไป
สำหรับการฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มอัตรา จะลองซ้อม ๆ ที่บ้านก็ได้ แต่เครื่องบูชาครูนี่ขาดไม่ได้นะ มีดอกไม้ ๓ สี ธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๑ เล่ม สตางค์ ๑ สลึง ต้องตั้งไว้ทุกครั้งที่ทำการภาวนา หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะ เฉย ๆ โดยไม่ต้องการรู้การเห็นอะไร ทำเป็นสมาธิ ถ้ามันจะเต้นจะรำก็ปล่อยมันเลย การเต้นนี่มันจะเริ่มต้นตั้งแต่อุปจารสมาธิ แต่บางคนก็ไม่เต้นเลย พอถึงฌาน ๔ มันก็เลิกเต้น เพราะกำลังของจิตทรงตัว
จะสังเกตได้ ถ้ามันจะมีความสว่าง คือ เห็นจุดข้างหน้าขาวโพลน เป็นทางไปไกล เป็นทางขาวใหญ่ ถ้าเห็นข้างหน้า ก็ลองใช้กำลังใจพุ่งจิตไปตามสายของทางนั้น คิดว่าเราไปละ พอนึกว่าไปล่ะ ถ้ากำลังจิตเราพอมันก็ไป
พอมันออกไปแล้ว มันไม่ใช่ออกไปแบบความฝัน มันจะออกไปแบบชนิดมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เหมือนกับออกจากตุ่มหรือกระบอก หรือเหมือนกับถอดไส้หญ้าปล้องออกจากหญ้าปล้อง ออกไปแล้ว ไปได้ชัด สว่างเหมือนกลางวัน มันจะเหลียวหน้าเหลียวหลังมาดูได้ มาดูไอ้โลกต่าง ๆ จะเห็นตัวเรานี่นั่งโด่อยู่ ดูแล้วก็เป็นคนสองคน
ต่อไปถ้าฉันสร้างที่ใหม่เสร็จ จะต้องพักการเดินทางออกต่างจังหวัด จะลองเอาคนที่ได้แล้วนี่แหละ มาฝึกแบบเต็มอัตรา คนที่ได้แล้วนี่ไม่ยาก ได้ใหม่หรือไม่ได้ไม่สำคัญ แต่ถ้าไม่เต็มแบบก็ยังดี ได้ผลเท่ากันนั่นแหละ แต่แบบนี้กำลังสูงหน่อย”
(หลวงพ่อเริ่มฝึกให้แล้ว เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๘ ที่ศาลาสองไร่เป็นเวลา ๑ เดือน)
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๒๒-๓๗
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
คำสอนพระพุทธเจ้า (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
✍️✍️ให้ลูกหลานทั้งหลายจงจดจำคิดว่า "โลกนี้เป็นอนิจจังทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงมันไม่มี การทรงตัวโลกนี้ถ้า เราเอาจิตเข้าไป ยึดถือมันก็เป็นทุกข์" ให้ทุกคนทำกำลังใจแข็งไว้ว่า เราจะไม่ยอมแพ้ความชั่ว จะไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามาเป็นเจ้านายหัวใจ เราจะทรงกำลังใจ ไว้แต่เพียงความดี เมื่อจิตใจมันเข้มแข็งอย่างนี้ ความชั่วมันเป็นเจ้านายไม่ได้
✍️✍️สิ่งใดที่เคยทำผิดพลาดไปแล้ว พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ให้ลืมเสียทุกอย่างไม่ตามนึกถึงมัน มุ่งหน้าเฉพาะความดีที่ให้ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้ให้นึกถึงความดีอย่างเดียว ไอ้ความที่ไม่ดี อาจแลบเข้ามาบ้างเป็นของธรรมดา เราก็นึกถึงความ ดีให้มาก ไม่ตามนึกถึงมัน มันก็ไม่เกาะใจเรา ใจเราเกาะเฉพาะบุญใช่ไหม เกาะเฉพาะบุญ เวลาตาย บุญก็นำเราไปก่อน ไปสวรรค์ก่อนอย่างน้อย
✍️✍️การปฏิบัติพระกรรมฐานนี้ มีความสำคัญมากเพราะว่า เราทุกคน ถ้าก่อนจะตาย ถ้าจิตจับอารมณ์ที่เป็นบาป อย่างใดอย่างหนึ่ง ในขณะนั้นแล้วก็ตาย อย่างนี้ตายไปอบายภูมิแน่ ถึงแม้จะทำบุญไว้มากสักเพียงไรก็ตาม ต้องไปนรกก่อน เราจะไปสวรรค์ก่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีชีวิตอยู่ ถ้ามีความฉลาด ถึงแม้ว่าเราจะบาปมากจะมีบุญน้อย ก็ควบคุมอารมณ์ ที่เป็นบุญไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าทุกคนตั้งใจ ไว้เฉพาะพระนิพพาน ถึงแม้เราจะมีบุญน้อย เราก็สามารถไป พระนิพพานได้
✍️✍️พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ว่า ท่านทั้งหลายจงอย่านึกถึงความชั่ว ที่ทำมาแล้ว ความชั่วก็คือ บาป บาปก็คือ ความชั่วเราไม่ยอมนึกถึงมัน นึกถึงความดีอย่างเดียว ควบคุมจิตให้เป็นฌาน ให้ได้ทุกวัน ฌานก็ได้แก่ อารมณ์ชิน คิดไว้เสมอว่า เราจะเจริญสมาธิภาวนาได้ทุกอย่างเป็นพุทโธ วันหนึ่งเราสามารถทำได้สัก10 นาที 20 นาทีก็ตาม แม้จะมีเวลาน้อย และถ้าทำได้ ให้นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราชอบ แล้วภาวนาอย่างนี้ทุกวันจนชิน อย่างนี้เรียกว่า เป็นฌาน
✍️✍️ถ้าทำได้แบบนี้ทุกวัน ถึงแม้จะบาป มากขนาดไหนก็ตาม ก่อนตายแทนที่จะเห็นภาพ ที่เราเคยทำบาป บาปจะเข้ามาไม่ได้ มันมีแต่ภาพของบุญอย่างนี้ไปสวรรค์แน่ เป็นอย่างต่ำ การเจริญพระกรรมฐานอันดับแรก ให้ทุกคนกำ หนดรู้ลมหายใจเข้า ออก เวลาหายใจเข้ารู้อยู่หายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่หายใจออก การภาวนาไม่จำกัดใคร จะภาวนาว่า อย่างไรก็ไม่เป็น ไรตามถนัดแต่ว่าก่อนภาวนา ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนถือเป็นพุทธานุสสติ เวลาภาวนาจะใช้เวลาไหนบ้างก็ตามชอบ ใจถ้าเวลาอื่นไม่มี ก็นอนอย่าลืม ถ้าศีรษะถึงหมอน ภาวนาพุทโธทันที นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เราชอบคิด ว่าองค์นี้คือ พระพุทธเจ้า แล้วก็ภาวนา อาจจะภาวนา "พุทโธ" หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" สัก 2-3 ครั้งก็ ได้ตามความพอใจมากก็ได้น้อยก็ได้แล้วก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์นั้นอีกแล้วก็ภาวนาว่า "พุทโธ" อีก ทำอย่างนี้ทุกวัน จนกระทั่งวันไหน ถ้าเราไม่มีโอกาสจะทำ วันนั้นรำคาญ ต้องทำเป็นอารมณ์ชิน อย่างนี้ ถือว่า ทรง ฌานในพุทธานุสสติกรรมฐานแล้ว แม้ศีลมันจะขาดมันจะบกพร่องบ้าง ถึงยังไงก็ตาม ตายแล้วต้องไปสวรรค์แน่นอน
🙏🙏คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทราราม(ท่าซุง)
โอวาทธรรมเพื่อพระนิพพาน
*** พระอรหันต์ ***
๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือจิต คิดว่า ไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน จิตไม่มีมานะ การถือตัว ถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ออกนอกรีตนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือฉันทะ กับราคาฉันทะความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี ราคะ-จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกสวยไม่มี ไม่พอใจในสามโลก จิตพอใจจุดเดียวคือนิพพาน เป็นอารมณ์อรหันต์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระอรหันต์คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวัง ย่อมมีแก่ทุกคน ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็ จิตคิดว่า ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไหร่ ฉันไปนิพพานเมื่อนั้น ใจสบาย
๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลคนอื่น วัตถุธาตุขันธ์ ๕ คือร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใด ก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่
๓. อรหัตผลนี่ เป็นของไม่ยาก
ก็ตัดกามฉันทะ กับราคะ คือไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย
ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด
คิดว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา
เราไม่ถือว่ามันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเรา
และเรา ก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สินในโลก ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลสตัณหา อุปาทาน มันพังเมื่อไหร่ พอใจเมื่อนั้น
ขึ้นชื่อว่าความเกิดในขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา ความเป็นเทวดา หรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา
สิ่งที่เราต้องการคือนิพพาน
มีแค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก ถ้าพูดกันแบบง่ายๆแต่ ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบากมันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล .
พระเดชพระคุณท่าน
พระราชพรหมยานมหาเถระ
(หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
🔯พระอรหันต์🔯
✔๑.อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌานและอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือฉันทะกับราคะ ฉันทะ-ความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี ราคะ-จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวยไม่มี ไม่พอใจในสามโลก จิตพอใจจุดเดียวคือนิพพาน นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์
☘โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระอรหันต์ คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จิตคิดว่าถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้น ใจสบาย
✔๒.ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่
✔๓.อรหัตผลนี่เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะกับราคะ คือไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา เราไม่ถือว่ามันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเรา และเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่นไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สินในโลกไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันพังเมื่อไร พอใจเมื่อนั้น
⚘ขึ้นชื่อว่าความเกิด มีขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา ความเป็นเทวดาหรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือนิพพาน นี่แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก ถ้าพูดกันแบบง่ายๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบาก มันก็สำเร็จมรรคสำเร็จผล
✴✡หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุง อุทัยธานี
***อานาปานุสสติ***
พระเดชพระคุณท่าน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
พระพุทธเจ้าเองเคยตรัสกับพระสารีบุตรว่า สารีปุตตะ ดูกร สารีบุตร เราเองก็เป็นผู้มากด้วยอานาปานุสสติ คำว่ามาก หมายความว่าพระองค์ทรงไว้เสมอ รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกไว้เป็นปกติ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการทรงอารมณ์อานาปานุสสติ ลมเป็นของละเอียด ลมหายใจเป็นของเบา แต่ความจริงไม่เบา ถ้าจิตเป็นสมาธิแล้วจะรู้ว่าการรู้ลมหายใจเข้าออก ไหลเข้าไปเหมือนกับน้ำไหลเข้า
แล้วก็ไหลออกมาเหมือนกับน้ำไหลออก มีความรู้สึกชัด ทีนี้ถ้าเรามีความรู้สึกได้อย่างนี้ แสดงว่าสติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์แน่นอน ไม่ใช่สักแต่เพียงว่าเราจะคิดว่าเราเจริญสมาธิเท่านั้น นี่ต้องทำกันแบบนี้นะ นี่เราเอากันจริงๆ นี่คนจริงเขาทำกันแบบนี้นะ เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก เวลาลมหายใจเข้ารู้อยู่ว่าลมถึงไหน ลมไหลออกให้รู้อยู่ว่าเวลานี้ลมไหลออกถึงไหน
มีความกระทบถึงจุดไหนบ้าง แล้วสติสัมปชัญญะสมบูรณ์จริงๆ ไม่มีหยุดตั้งแต่ริมจมูกเข้าไปจนกว่าจะถึงศูนย์เหนือสะดือ หายใจออกตั้งแต่ศูนย์เหนือสะดือออกมา กว่าจะกระทบริมฝีปากก็รู้หมด นี่ของเราตั้งใจจริงกันตามจุดนี้ ถ้าจะภาวนาก็ภาวนาว่า พุทโธ ก็ได้ ธัมโม ก็ได้ หรือ สังโฆ ก็ได้ นิพพานัง ก็ได้ หรืออะไรก็ได้ ตามอัธยาศัย หรือว่าเราจะไม่ภาวนาเลยก็ได้ นี่สำหรับอานาปานุสสติ
แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ทรงละ เป็นสมถภาวนา พระอรหันต์ทุกองค์ก็ไม่ละ แล้วก็สมถภาวนานี่ บางเขตเขาว่าไม่ดี ไม่ใช่ทางแห่งการบรรลุมรรคผล แล้วทำไมล่ะ องค์สมเด็จพระทศพลเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทำไมไม่ละ ถ้าไม่ดีพระองค์ก็สมควรจะโยนทิ้งไป หรือไม่นำมาสอนบรรดาท่านพุทธบริษัท ทีนี้พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ละ พระอรหันต์เองก็ไม่ปล่อย ก็ต้องเป็นของดี แล้วมันดีตรงไหน หันมาจับความดีในอานาปานุสสติกัน
คุณของอานาปานุสสติ
อานาปานุสสตินี่ตามภาษาพระหรือว่าในกลุ่มของพระอริยเจ้าท่านเรียกว่า กรรมฐานว่าด้วยการระงับกายสังขาร ก็หมายความว่าเป็นกรรมฐานที่ระงับทุกขเวทนา จำไว้ให้ดีนะ กรรมฐานที่ระงับทุกขเวทนาได้ดีอย่างยิ่ง เพราะอะไร ถ้าป่วยไข้ไม่สบาย มันปวดมันเมื่อย นอนเหยียดให้สบาย
จับลมหายใจเข้าออกให้รู้สึก นึกรู้อยู่เฉพาะลมหายใจเข้าออก ประเดี๋ยวเดียวทุกขเวทนาก็ระงับ นี่ถ้าบรรดาพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านมีทุกขเวทนาอย่างหนัก แต่ว่าไม่แสดงอาการทุรนทุรายอย่างบรรดาท่านปุถุชนธรรมดา ก็เพราะว่าพระอริยเจ้าท่านทรงอานาปานุสสติเป็นปกติ นี่จุดหนึ่ง
อานาปานุสสติสำคัญยิ่ง
ทีนี่อีกจุดหนึ่ง อานาปานุสสติกรรมฐานมีความสำคัญยิ่งกว่ากรรมฐานใดๆ ทั้งหมด ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าอานาปาฯ เป็นภาคพื้นฐานให้ทรงกำลังฌานได้เร็ว ฉะนั้นนักทรงอภิญญาสมาบัติ วิชชาสาม หรือปฏิสัมภิทาญาณ ถ้าจิตใช้กำลังญาณใดๆ จุดใดจุดหนึ่งตามความต้องการ
เขาจะจับลมหายใจก่อนพร้อมกับการทรงฌานถี่ๆ นี่มีความรวดเร็วเพียงแค่ขณะจิตเดียว นึกปั๊บจับลมหายใจเข้าออก จับปั๊บจิตถึงฌาน นี่เป็นอันว่าไม่ว่ากรรมฐานกองใด ถ้าเราจะทำสู้อานาปานุสสติกรรมฐานไม่ได้
สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงทรงมีรับสั่งให้หลวงพ่อฤาษีเตือนลูกหลานเรื่องการปฏิบัติแบบง่ายๆ เพียงวันละ ๑๐ นาที
“….สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยวสถานที่หรือบุญกุศลที่ได้แล้วมันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์เธอก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของตน ก็เป็นของธรรมดานะสัมพเกษี แม้แต่ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าอัธยาศัยของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่องต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ
…บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉัน (ตถาคต) เห็นว่านั่นไม่ถูก
..สัมพเกษี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า ให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เมื่อเวลาเขาจะทำความชั่วอะไรก็ชั่งเถิด เวลาก่อนจะนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดีแล้วเอาใจนี่จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการ ไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที..
…พวกที่จะไปเป็นพรหมโลกก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่าคนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าหายใจออก เท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่..
…ทีนี้คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเองเราก็ไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะสัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน…”
…นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ…ลูกหลานที่รักทุกคน ได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ เป็นการสั่งสอนแบบง่ายๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมท่านนะ ลูกหลานจงจำไว้ ถ้าใครเขาว่าฉันดี ใครเขาว่าฉันเป็นผู้วิเศษหละก็ อย่าไปคล้อยตามเขานะ ตัวฉันไม่มีอะไรจริงๆนะ ฉันต้องพึ่งพระ พึ่งเทวดา พึ่งพรหม ทุกอย่าง…”
บันทึกเสียงไว้เมื่อ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕