พุทธธรรมสำหรับนักบวช วันที่ 27 เมษายน 2561
ตอนที่ 324 **พระอรหันต์ละความลังเลสงสัย**
+ +
ในเช้าของวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ สวนธรรมิกราช
ข้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้กราบนอบน้อมเข้าเฝ้าต่อองค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านแล้วนั้น จึงได้เฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ท่านไป ดังนี้ว่า...
“ ข้าแต่องค์พระพุทธบิดา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าขา..
วันนี้ ลูกจะขอเฝ้าทูลถามถึงสังโยชน์ ข้อที่ 2* ที่พระอรหันต์สามารถละได้ น่ะเจ้าค่ะ
คือสังโยชน์อะไร และสามารถละได้แบบไหน
ความละเอียดของจิตพระอรหันต์ ที่สามารถละสังโยชน์ข้อนี้ เป็นยังไงบ้าง น่ะเจ้าค่ะ ?
ขอพระพุทธองค์โปรดทรงเมตตาแสดงธรรมนี้ ให้ลูกได้ฟัง นำไปประพฤติปฏิบัติตาม และเผยแผ่ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ “
- - - -
ถ้าอย่างนั้น ก็จงตั้งใจฟังให้ดี
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลผู้ที่สามารถฝึกฝนตน จนเข้าถึงความเป็น*องค์พระอรหันต์* แล้วนั้น..
- ย่อมสามารถละสังโยชน์ข้อที่ 2 ได้ดังนี้
คือ ความลังเลสงสัยในองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์
เมื่อดวงจิตดวงหนึ่งสามารถที่จะฝึกฝนตน จนเข้าถึงความเป็นองค์พระอรหันต์ได้แล้วนั้น..
- ย่อมแน่นอน ว่า..
* ดวงจิตดวงนั้น จะไม่มีความสงสัย ไม่มั่นใจในองค์พระพุทธเลย - แม้แต่น้อย *
พระยาธรรมเอ๋ย.. บุคคลที่เป็นองค์พระอรหันต์แล้วนั้น.. ย่อมเข้าถึงองค์พระพุทธ อย่างแท้จริงแล้ว
จิตของเขาจะตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์แห่งนิพพาน
ถึงซึ่งคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าแล้ว อย่างแท้จริง
แจ่มแจ้งแล้วในสิ่งทั้งหลาย อย่างแท้จริง
.. จนเขานั้นไม่มีความสงสัยอะไร อีกต่อไป ..
พระยาธรรมเอ๋ย.. พระอรหันต์นั้น ท่านย่อมถึงซึ่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม
ความมั่นใจ แน่ใจนั้น.. ไม่ต้องบรรยายถึงว่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์
... เพราะเป็นสิ่งที่เป็นของแน่นอนอยู่แล้ว !
เพราะองค์พระอรหันต์ เป็นผู้ทรงจิตอยู่กับองค์พระพุทธเจ้า อยู่ในดินแดนพระนิพพาน
* ดินแดนพระนิพพาน - จึงไม่มีอะไรที่จะต้องสงสัย อีกต่อไป ++
องค์พระอรหันต์นั้น ประพฤติปฏิบัติ
ยึดหลักเดินตามคำสอนสั่งขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า - ซึ่งก็คือ *พระธรรม* นั่นละ
ยึดหลักแห่งพระธรรม
มุ่งมั่นตั้งใจ ประพฤติ ปฏิบัติ ตามคำสอน อย่างเคร่งครัด.. จนทำตนให้เข้าถึงความแจ้งแล้ว
-- จึงไม่มีความลังเลสงสัยใดๆในพระธรรมคำสอน อีกต่อไป..
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นผู้เข้าถึง ด้วยการประพฤติปฏิบัติตาม
เป็นผู้ที่รู้ - รู้ในสรรพสิ่งทั้งหลาย / รู้ในการดับความสงสัยแห่งตน
- จนจิตดวงนั้น ไม่มีความสงสัยใดๆอีกต่อไป...
องค์พระอรหันต์ *
ย่อมเป็นผู้ถึงซึ่งพระสงฆ์
ย่อมเป็นผู้เคารพ นอบน้อมต่อพระสงฆ์ว่า เป็นองค์ที่ดีงาม / เป็นสิ่งที่องค์พระพุทธเจ้าได้สร้างไว้ดีแล้ว..
บุคคลผู้ที่ประพฤติ ปฏิบัติ ตามศีล 227
ประพฤติปฏิบัติตน อยู่ในกรอบของสิ่งที่พระภิกษุ ควรประพฤติ ปฏิบัติตาม
เป็นผู้เผยแพร่ธรรม เป็นผู้สืบทอดธรรม - ตามสงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมา ให้มีองค์พระสงฆ์
ให้ทุกคนได้มาอาศัยองค์พระสงฆ์ ในการประพฤติปฏิบัติ นั้น
ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไร ที่จะต้องลังเลสงสัยในองค์พระสงฆ์
เพราะองค์พระสงฆ์ ไม่ใช่ตัวบุคคล
แต่องค์พระสงฆ์ คือ สิ่งที่องค์พระพุทธเจ้าได้ทรงสร้างกรอบเอาไว้ ให้ดวงจิตทั้งหลาย เข้ามาอาศัยองค์พระสงฆ์ ในการประพฤติปฏิบัติตาม
สามารถฝึกฝนตน อยู่ในกรอบขององค์พระสงฆ์ จนเข้าถึงความพ้นทุกข์
และก็อาศัยบุคคลผู้นั้น ในการเผยแผ่ธรรม สืบทอดไป
- จึงไม่มีความลังเลสงสัยใดๆในองค์พระสงฆ์ว่า ดี หรือไม่ดี..
องค์พระอรหันต์ ถึงซึ่งองค์พระพุทธเจ้า
เข้าใจแจ่มแจ้ง ซึ่งองค์พระธรรม
และแน่ใจ ในองค์พระสงฆ์
.. จนไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ..
เมื่อองค์พระอรหันต์ จะต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม..
จึงเป็นผู้รู้ตื่น จึงเป็นผู้รู้แจ้งว่า..
เหตุนี้เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น
มันเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็จะดับไป
เห็นทุกอย่าง เป็นเพียงเรื่องปรกติธรรมดา
สักว่ารู้อยู่.. เห็นอยู่.. ดูอยู่ แต่ไม่มีสุข มีทุกข์ใดๆ กับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
องค์พระอรหันต์ เชื่อมั่นในเรื่อง *กฎแห่งกรรม*
กรรมใดที่ใครทำแล้ว.. กรรมนั้นย่อมส่งผลคืน ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี - หรือกรรมชั่ว
องค์พระอรหันต์ ย่อมมั่นใจในกฎแห่งกรรม ว่ามันนั้น..
เป็นสิ่งที่เที่ยงตรง มั่นคง ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่แห่งตน
- ไม่ลำเอียงไปทางใดทางหนึ่ง เป็นแน่แท้ ++
องค์พระอรหันต์ เชื่อมั่นในเรื่องกฎแห่งกรรม รู้ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
นั่นคือความจริง.. จนไม่มีความลังเลสงสัยใดๆ ในเรื่อง*กฎแห่งกรรม*
องค์พระอรหันต์* ประพฤติ ปฏิบัติตน จนเป็นผู้รู้แจ้ง
จนเห็นแจ้ง เข้าใจในสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้ ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม ว่า.. มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ทุกสิ่งผูกไว้ด้วย *กฎของความไม่เที่ยงแท้*
- ไม่มีทางที่มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้..
มั่นใจ รู้แจ้งเช่นนี้.. จนไม่มีความยึดติด หรือไม่มีความสุข- ความทุกข์ใด กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี - เรื่องที่ไม่ดี
- ก็จะไม่มีความหลงสุข หลงทุกข์ ในสิ่งเหล่านี้
หรือลังเลสงสัยใดๆ -ในสิ่งที่มันเกิด - ในสิ่งที่มันดับ..
พระอรหันต์ จึงเป็นผู้ที่ทรงอารมณ์จิต ไว้เหนือสิ่งทั้งหลาย
ไม่มีสิ่งที่ทำให้จิตนั้นกลับไปเศร้าหมอง ปนเปื้อนได้อีกต่อไป...
พระอรหันต์ *
ย่อมเป็นผู้รู้ตื่น เพราะสามารถประพฤติปฏิบัติตน จนแจ่มแจ้ง เข้าใจเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้
ย่อมมั่นใจในเรื่องของภพชาติ การเวียนว่ายตายเกิด
มั่นใจในสวรรค์ ในนรก ในภูมิต่างๆที่จิตทั้งหลาย วนไปเวียนมา
.. มั่นใจอย่างไม่มีความลังเลสงสัย เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ คือ คำสอนขององค์พระพุทธเจ้า
เมื่อเชื่อมั่น เข้าถึง เข้าใจพระธรรมคำสอน โดยไม่มีความลังเลสงสัยใดๆแล้ว..
- ย่อมเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ อย่างชัดเจน อย่างสว่างไสว อย่างมั่นใจ.. โดยไม่มีแปรเป็นอื่นไป ++
พระอรหันต์* เป็นผู้มองเห็นสิ่งทั้งหลายอย่างแจ่มแจ้ง ตามความเป็นจริง โดยปราศจากความคิด จิตปรุงแต่ง
-- เพราะพระอรหันต์นั้น เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงของมัน.. ไม่ใช่เห็นตามความคิดแห่งตน --
เปรียบเสมือนในที่มืด ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง - แต่ตนสามารถสร้างพลังงานของจิต.. จนสว่างไสว ส่องไปในที่มืดนั้น - ให้สว่าง
ดุจดวงอาทิตย์ ที่ส่องสว่างทั่วโลก
- จนมองเห็นทุกอย่างที่มีอยู่ในความมืดนั้น อย่างชัดเจน โดยไม่มีสิ่งใดปิดบัง ซ่อนเร้นได้เลย ++
จิตดวงนั้น..
/ ย่อมเป็นจิตที่อยู่เหนือ การเวียนว่ายตายเกิด
/ ย่อมเป็นจิตที่
- อยู่เหนือ *กฎแห่งกรรม* / *กฎของความไม่เที่ยงแท้*
- อยู่เหนือ ความหลง ความรัก ความโลภ และความโกรธ
- อยู่เหนือ ความอยาก และความไม่อยาก
.. แม้จะยังคงอยู่ในกายมนุษย์ ที่ยังไม่ดับไป.. ก็ตาม
-- ย่อมเป็นผู้รู้ตื่น ถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ในกาลนั้น --
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์นั้น สามารถละสังโยชน์ คือ ความลังเลสงสัย
สงสัยในองค์พระพุทธ
สงสัยในองค์พระธรรม
สงสัยในองค์พระสงฆ์
สงสัยในกฎแห่งกรรม ในโลก จักรวาล วัฏสงสาร / ในกฎของความไม่เที่ยงแท้
ย่อมละความสงสัยทั้งหมดนี้ ทิ้งไปได้แล้วอย่างสิ้นเชิง
พระยาธรรมเอ๋ย.. องค์พระอรหันต์นั้นเป็นผู้รู้ตื่นแล้ว อย่างแท้จริง..
จึงสามารถถอดถอนความลังเลสงสัย ที่เป็นปลีกย่อย เรื่องเล็กน้อย
เรื่องที่มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร หรือเกี่ยวอะไรกับการดับการเกิดแห่งตน
จึงไม่สนใจในเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น - เพราะไม่ใช่เรื่องอะไรสำคัญเลย !
สิ่งทั้งหลายที่มันมีอยู่มากมาย จนหาประมาณมิได้ว่า คือ อะไรบ้าง ที่มันซับซ้อนมากมาย ในวัฏสงสารนี้..
- จึงไม่ได้มีผลต่อความลังเลสงสัย ขององค์พระอรหันต์เลย …
เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ก็เหมือนกัน !
เหมือนกันตรงที่..
- เป็นสิ่งสมมุติ
- เป็นสิ่งหลอกล่อให้ลุ่มหลง
- เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้
- เป็นสิ่งที่จะนำพาให้เรา จมอยู่กับกองทุกข์
- เป็นเรื่องของโลก
-- จึงไม่ได้มีความจำเป็นอะไร ที่ชาวธรรมผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพื่อถึงซึ่งพระนิพพาน จะมาสนใจ ++
*พระอรหันต์ *
มีสติ มีปัญญา ทรงอารมณ์อยู่เหนือความลังเลสงสัย ทั้งปวง
เป็นผู้สว่าง แจ่มแจ้ง
เป็นผู้พ้นทุกข์
เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งพระนิพพาน เป็นแน่แท้
เป็นผู้ละสังโยชน์ ข้อที่ 2 คือ ความลังเลสงสัยได้อย่างสิ้นเชิง
เป็นผู้อยู่เหนือ ความลังเลสงสัย
เช่นนี้ละ พระยาธรรม.. พอจะเข้าใจในธรรมที่ได้ฟังไปแล้วนั้นบ้างหรือเปล่า เข้าใจว่าอย่างไรเล่า ?
จงกล่าวธรรมนั้นมาเถิด
++
พระยาธรรม :: สาธุเจ้าค่ะ ลูกพอจะเข้าใจบ้างแล้วละเจ้าค่ะ
เข้าใจว่า *องค์พระอรหันต์*
เป็นผู้ถึงซึ่งองค์พระพุทธ องค์พระธรรม และองค์พระสงฆ์.. ถึงแล้วอย่างแท้จริง
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นผู้ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆในจักรวาลนี้ อีกต่อไป
แม้จะเป็นบางสิ่ง ที่เป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย หรือว่าซับซ้อน ที่ตนนั้นไม่รู้ทั้งหมด.. ก็ไม่ได้สงสัย
เพราะรู้แล้วว่า สิ่งเหล่านั้น.. เป็นเรื่องจอมปลอม เป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับการดับการเกิด
ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องรู้
และเป็นผู้รู้ว่า ท้ายที่สุด..ก็เหมือนกัน มีสภาพไม่ต่างกัน !
เปรียบดังนับเม็ดทราย เม็ดหิน บนโลกนี้ ยังไงก็คงนับไม่หมด
จึงไม่จำเป็นต้องนับ.. เพราะว่ามันมีสภาพเหมือนกัน และไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกับเรา
ท่านจึงหมดซึ่งความลังเลสงสัย คือ สังโยชน์ ข้อที่ 2* ที่ท่านละได้
และอยู่เหนือความลังเลสงสัย
อยู่เหนือสังโยชน์ข้อนี้ เจ้าค่ะ
ลูกพอจะเข้าใจเช่นนี้แล้วละ เจ้าค่ะ..
สาธุ