อารมณ์ว่าง กับ ความว่างของจิต แตกต่างกัน
การเอาจิตไปรู้กับความว่างมากๆ มันกลายเป็นอารมณ์ว่าง ที่เผลอเข้าไปแช่ อารมณ์ว่างนั้นเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง การเอาจิตเข้าไประลึกรู้นั้นไม่มีปัญญาเกิดขึ้น เป็นเพียงการเจริญสมถะ ส่วนจิตที่ว่างนั้นเป็นความว่างที่ไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นความว่างของจิตที่ปล่อยวางเพราะมีสติมาก เห็นการแปรเปลี่ยนไปของรูปนาม สติเป็นตัวนําปัญญามารู้ทัน และสติเองก็เป็นฐานของการเกิดสมาธิ (หากขาดสติจะเป็นมิจฉาสมาธิไม่ใช่สัมมาสมาธิ) สมาธิเป็นตัวนําปัญญา ปล่อยวางด้วยปัญญารู้ทัน เป็นความว่างของจิต ที่ไม่ยึดถือ
#การตัดอุธทจะ (สำหรับผู้ถึงวาระ)
#การตัดรูปฌาน-อรูปฌาน
หลังจากมานะขาดสะบั้นลงหมดแล้ว.. ก็เหลือแต่อุทธจะตัวเดียว 😊
เมื่อหยุดคิดโดยสิ้นเชิง จะมีญาณรู้มาแทนที่ .. ชีวิตจริงแท้ เริ่มต้น ณ จุดที่หยุดการใช้ความคิด แต่ก่อนหน้านั้น ก็ยังต้องคิด 😊 ทุกสิ่งมีเวลาของมัน ค่อยๆฝึกไป จะออกดอกออกผลเอง ☘️🌸🌿
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ .. เริ่มต้นแบบนี้ทุกคน ยังมีความคิด ..ก็ยังต้องคิด.. แต่เราจะเริ่มแยกแยะได้.. ความคิดใดเป็นความคิดที่ฟุ้งซ่าน,มีแต่ปรุงแต่ง,ความคิดอกุศล.. ส่วนนั้นเราละออก ละเสียให้หมด ..
ส่วนความคิดใด.. คือความคิดที่น้อมนำจิตใจไปสู่ความจริง .. หากยังหยุดคิดไม่ได้ ก็คิดอย่างมีระเบียบ 😊☘️ ..จะนำสู่การวิปัสสนา ..
จิตทรงฌาน ญาณจึงจะเชื่อมมาได้.. ตรงนี้ก็ต้องฝึก จะทรงอย่างไร ..ความคล่องตัวในการถอยเข้า-ออก.. เน้นที่อารมณ์สงบเย็น.. จิตจะรู้เองโดยไม่ต้องจับว่าตอนนี้ฌานไหน ..ไม่ใช่สิ่งต้องห่วงในส่วนตรงนั้น ..จิตใจสบาย จะค่อยๆทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 😊
หลวงปู่หลวงตาก็ฝึกกันทุกองค์ 😊.. จิตท่านทรงตลอดเวลา บางองค์ใช้เวลาฝึกนาน บางองค์ก็ฝึกไม่นาน ..เมื่อหยุดคิด จะเกิดญาณธรรม ..
รูปฌาน-อรูปฌาน.. หากตั้งจิตไว้ดีแต่แรกจริงๆ.. มุ่งตรงนิพพานประการเดียว.. ตรงนี้แทบไม่ต้องตัด มันจะไม่หลงติดเลย เดินผ่านและเกิดประโยชน์ได้ตลอดทาง แต่ไม่หลง.. เพราะจิตมุ่งหมายสิ่งเดียว มีนิพพานเป็นอารมณ์
ญาณรู้เต็มรอบ ไม่ต้องใช้คำพูดมาก อยู่กันด้วยญาณธรรม ... ใบไม้ดอกไม้ การหุบปาก.. สิ่งเหล่านี้สื่อธรรมได้ดีกว่าตัวอักษรและคำพูด 🍃🌸.. แต่หากยังเชื่อมตรงไม่ได้,ได้ไม่เต็มที่ ก็ยังมีความจำเป็นต้องรับผ่านสมมมติไปก่อน.. ผ่านพระพุทธเจ้า ผ่านหลวงปู่หลวงตา ผ่านอักษร ผ่านสิ่งมีชีวิตต่างๆ รวมถึงใบไม้ดอกไม้ 😊 ..สมมติที่มีคุณค่ายิ่ง
การรับตรงจากธรรมชาติ ..สุขทางตรง ธรรมทางตรง ไม่ผ่านสมมติมายาใดๆแม้การพิจารณา 😊 ..พลังงานเชื่อมตรงไม่แบ่งออกรายทาง ..ไม่มีการคิด(ตีความ) คลาดเคลื่อนไปจากความจริง 🦋 ตาเนื้อมีแต่จะพาเฉไฉ 😊.. หรือแม้แต่หูเนื้อก็ตามที.. ทางเดินนี้ เดินทางสู่การใช้ตาธรรมโดยประการเดียว ..ส่วนตาเนื้อนั้น แม้มองเห็นก็เหมือนไม่เห็น
เมื่อจิตพร้อมแล้ว.. การหยุดคิดนั้นไม่ยาก 😊 คิดนิดหน่อยไม่ถึงครึ่งนาที มันจะละวางลงเอง.. คิดไปก็ไม่ได้อะไร คิดไปก็ไม่ได้ความจริง.. ความขี้เกียจ(เบื่อ)การคิดเกิด 🌸🍀 .. สู้อยู่ให้สบายใจ แล้วรอปัญญาภายในไหลมาเฉลยเองดีกว่า.. เดินทางไป ความคิดในสมมติแม้นไม่กี่วินาที จิตเขาจะละเองโดยไม่ต้องบังคับหรือควบคุมใดๆ ..
วิปัสสนา คือปัญญาวิมุติ ..มิอาจรับมาได้ด้วยการคิด ... เมื่อหยุดคิดโดยสมบูรณ์ .. อุทธจะได้ขาดลงโดยบริบูรณ์ 😊💖🌸
สังโยชน์ทุกตัว ..ตัดลงพร้อมกันทุกตัว แต่การเดินทาง ความเข้มข้นของการตัดแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันในระหว่างเดินทางมาเรื่อยๆ ..บางครั้งสลับ-กระโดด ได้.. แต่การขาดลงโดยสมบูรณ์นั้น เป็นไปตามลำดับที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้.. สุดท้ายเมื่อ อุทธจะขาดลงสิ้น อวิชชาได้สิ้นสุดลง.. สภาวะตกศูนย์เต็มรอบ ..ความยึดในขันธ์ก็ขาดลงจนหมดสิ้นเช่นกัน ..แม้นมีอยู่ดั่งไม่มี ไม่ต่างกัน 😊
แท้ที่จริงแล้ว สังโยชน์ทุกข้อ รวมความอยู่ในข้อแรกข้อเดียว คือ สักกายทิฐิ .. ส่วนการเดินทางนั้น ทุกๆข้อรายทาง ล้วนเป็นองค์ประกอบในสักกายทิฐิ ทั้งสิ้น ..เพียงแต่แตกออกมาให้เห็นชัดขึ้นเท่านั้นเอง..
ทางออกชี้ตรงที่ทางเข้า
“ในพระสูตรพระสูตรหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระตถาคตจะสอนเธอทั้งหลายถึงเรื่องทั้งหมด
“เรื่องทั้งหมด” คืออะไร?
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เหล่านี้ คือ “ทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์”
อาตมาได้ฉุกคิดทันที สำนึกตัวเลยว่า การหาประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นแค่ “การสะสมสัญญา” เท่านั้น
ที่เราได้เห็นอะไรๆแปลกประหลาดหลายอย่าง สิ่งที่สวยงาม เช่น พระอาทิตย์ขึ้นจากยอดภูเขาหิมาลัย พระอาทิตย์ตกที่ทะเลอันดามัน สิ่งที่ทั้งน่าเกลียด และน่าสงสาร อย่างเช่น กลุ่มคนพิการ ขอทาน ในเมืองกัลกัตตา ฝูงหมาแย่งไส้ของซากเด็กริมแม่น้ำคงคา ฯลฯ ทั้งหมดที่ได้เห็นมาก็สักแต่ว่า “รูป” เท่านั้นเอง
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราได้ยิน เช่น เสียงอิหม่ามเรียกชาวมุสลิมไปสุเหร่า ดนตรีอินเดียที่แสนละเอียดลึกซึ้ง เสียงนกยูงร้องหากันในยามพลบค่ำชานหมู่บ้านกลางทะเลทราย เสียงที่ประทับใจที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมีเยอะ แต่ทั้งหมดนั้นสักแต่ว่า “เสียง” เท่านั้น
กลิ่นหอมกระสอบเครื่องเทศในตลาด กลิ่นเหม็นควันจากโรงงานในเมืองอุตสาหกรรม ก็สักแต่ว่า “กลิ่น” เท่านั้น
รสอาหารอิหร่าน อาหารตุรกี อาหารอินเดียเหนือ อาหารอินเดียใต้ ก็เป็นแค่ “รส” เท่านั้นเอง
ลมฤดูใบไม้ผลิในภูเขาแอลป์ โชยลูบไล้ใบหน้า ความแน่นขนัดในรถไฟอินเดีย ฯลฯ ก็สักแต่ว่า “โผฏฐัพพะ” คือความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เท่านั้น
ความนึกคิดต่างๆ ความคิดดี คิดชั่ว ความตื่นเต้น ความเบื่อระอา ความกลัว ความกล้า จินตนาการ ก็สักแต่ว่า “ธรรมารมณ์” เท่านั้น
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่สัมผัสแล้ว เดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหนกัน? อาตมาถามตนเอง ได้คำตอบว่า “เหมือนความฝัน” เหลือแต่ความทรงจำคือ “สัญญา” (ความจำได้หมายรู้)
อาตมาประจักษ์อยู่กับใจว่า จะไปไหนต่อไปก็ไม่ได้อะไรมากกว่านี้ เที่ยวประเทศไหน ก็คงเห็นแต่ของเก่า คือรูป ได้ยินแต่ของเก่า คือเสียง ได้ดมแต่ของเก่า คือกลิ่น ไปรับประทานอาหารที่ไหน อาหารอินเดีย อาหารไทย อาหารเวียดนาม อาหารอะไรก็แล้วแต่ รับประทานอะไรลงไปแล้วก็ได้แค่รส ไม่มีอาหารที่ใดในโลกนี้ที่พ้นจากความเป็นรสไปได้
อาตมาจึงรู้สึกว่าการท่องเที่ยวพอแล้ว ปัญญาที่จะได้จากการแสวงหาต่อไปคงยังผิวเผิน ความสุขที่จะได้ก็ยังกวัดแกว่ง ปัญญาและความสุขที่เราต้องการอยู่ภายในมากกว่า
อาตมารู้สึกเหมือนกับคนที่อยู่ในประเทศที่กำลังจะจมน้ำ ซื้อรถเบนซ์หรือบีเอ็มเพื่อจะหนี รถวิ่งเร็วดีเป็นที่พอใจ แต่เมื่อทราบว่าไปที่ปลอดภัยต้องข้ามทะเล ก็รู้ทันทีว่าพาหนะนี้ใช้ไม่ได้ ยังชมอยู่ว่าเป็นรถเก๋งที่ดี เพียงแต่ว่าไม่ตรงกับความต้องการของเราเท่านั้น เพราะอีกไม่นานน้ำก็จะท่วมถนน รถเก๋งไปไม่ถึง
ในการหาความสุขที่แท้จริง อาตมาได้ข้อคิดว่าต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ ต้องหาเรือหรือแพข้ามทะเล
เมื่อเราเห็นว่าความสุขที่ได้จากประสบการณ์ คือการสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง เหล่านี้ เป็นความสุขที่คับแคบ มีขีดจำกัด มีช่วงอายุสั้นมาก
อย่างนี้ “สัมมาทิฐิ” และ “ฉันทะ” ที่จะหาความสุขที่ประณีตกว่านั้น ที่เลิศประเสริฐกว่านั้นจึงเกิดขึ้น
การที่จะเลิกดิ้นรน เลิกกระสับกระส่าย กระวนกระวายกับ “โลกียสุข” นั้น ไม่ใช่ของยากจนเกินไป แต่ผู้ที่ทำได้คือ เห็นข้อบกพร่องของมัน จึงเกิดความต้องการความสุขที่สูงกว่า ประณีตกว่า และปราศจากโทษ
ที่อาตมาได้ยกเรื่องความสุข เรื่องปัญญามาคุยที่นี่ ก็เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ และเพราะเสียดายว่า ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยกำลังขาดความสุขที่ควรจะได้จากบุญที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในเมืองพุทธ ถึงจะมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในสถาบันสงฆ์บ่อยๆ นั่นเป็นเรื่องของคน ไม่ใช่เรื่องของธรรม อย่าพึงให้กิเลสอ้างความไม่ดีของคนอื่นสนับสนุนการไม่เอาไหนของตนเอง
คนเราจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ตาม “อริยมรรคมีองค์ ๘” ไม่มีวันแปดเปื้อน กฎตายตัวของธรรมชาติยังมีอยู่เหมือนเดิมว่า การศึกษาและปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ และปัญญา เท่านั้น ที่จะนำเราไปสู่ที่เกษม ถ้าเราขาดธรรมะแล้วชีวิตไม่มีทางพ้นการเผาลนของ ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ได้เลย”
ชยสาโรภิกขุ
ที่มา : จากธรรมบรรยายหัวข้อเรื่อง “สุขเป็นก็เป็นสุข”
วิปัสสนา: การกำหนดนาม-รูป ตามทวารทั้ง 6
< เรื่องเกี่ยวกับจิตที่ควรรู้ >
การระวังสังวรจิต และมีความกล่าวถึง ลักษณะหรือสภาพของจิตด้วย มีดังนี้
ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสริรํ คูหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ฯ
แปลความว่า ชนทั้งหลายใด จักระวังจิต ซึ่งไปไกล ไปเดี่ยว ไม่มีสรีระ (รูปร่าง) มีคูหาเป็นที่อาศัย ไว้ได้ ชนทั้งหลายจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร
ในคาถาพระธรรมบท พระพุทธองค์ได้ตรัสลักษณะของจิตไว้ว่า...
- ทูรงฺคมํ แปลว่า รับอารมณ์แม้อยู่ในที่ไกล มานึกคิดได้
- เอกจรํ แปลว่า เที่ยวไปดวงเดียว จิตรับอารมณ์ที่ละอย่าง
- อสรีรํ แปลว่า ไม่มีร่างกาย รูปร่างสัณฐาน สีสัน
- คุหาสยํ แปลว่า มีถ้ำคือร่างกายเป็นที่อยู่ วัตถุที่อาศัยของจิตมี ๖ แห่ง ได้แก่ จักขุวัตถุ(ตา), โสตวัตถุ(หู), ฆานวัตถุ(จมูก), ชิวหาวัตถุ(ลิ้น), กายวัตถุ(กาย), หทยวัตถุ(หัวใจ)
< อะไรคือ กรรมเก่าและกรรมใหม่ >
ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งกรรมทั้งหลาย
ทั้งใหม่และเก่า, กัมมนิโรธ และกัมมนิโรธคามินีปฏิปทา. ....
ภิกษุทั้งหลาย !กรรมเก่า (ปุราณกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! จักษุ (ตา) .... โสตะ (หู) ....
ฆานะ (จมูก) .... ชิวหา (ลิ้น) .... กายะ (กาย) .... มนะ (ใจ)
อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่าเป็นปุราณกัมม (กรรมเก่า)
▪อภิสังขตะ (อันปัจจัยปรุงแต่งขึ้น)
▪อภิสัญเจตยิตะ (อันปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น)
▪เวทนียะ (มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ ซึ่งหุ่นยนต์ไม่มีสิ่งนี้)
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เรียกว่า "กรรมเก่า"
ภิกษุทั้งหลาย ! กรรมใหม่ (นวกัมม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่บุคคลกระทำกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจในกาลบัดนี้ อันใด, อันนี้เรียกว่า "กรรมใหม่"
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กัมมนิโรธ (ความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ข้อที่บุคคลถูกต้องวิมุตติ เพราะ
ความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันใด, อันนี้ เรียกว่า "กัมมนิโรธ"
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! "กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา" (ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งกรรม) เป็นอย่างไรเล่า ?
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทานั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค
(อริยมรรคมีองค์แปด) นี้นั่นเอง ได้แก่
▪สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)
▪สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)
▪สัมมาวาจา (การพูดจาชอบ)
▪สัมมากัมมันตะ (การทำการงานชอบ)
▪สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีวิตชอบ)
▪สัมมาวายามะ (ความพากเพียรชอบ)
▪สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)
▪สัมมาสมาธิ(ความตั้งใจมั่นชอบ).
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! นี้เรียกว่า กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ด้วยประการดังนี้แล (เป็นอันว่า)
กรรมเก่า เราได้แสดงแล้วแก่เธอทั้งหลาย
กรรมใหม่ เราก็แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธ เราก็ได้แสดงแล้ว,
กัมมนิโรธคามินีปฏิปทา เราก็ได้แสดงแล้ว.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! กิจใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล อาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอ.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! นั่นโคนไม้, นั่นเรือนว่าง. พวกเธอจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท, อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนของเรา แก่เธอทั้งหลาย.
สฬา. สํ. ๑๘/๑๖๖/๒๒๗ - ๒๓๑.
< “ฌาน” และ “ญาณ” >
คำที่นักปฏิบัติธรรมและผู้เรียนรู้พุทธศาสนาจำเป็นต้องรู้และทำความเข้าใจ เพราะเกี่ยวเนื่องไปถึง“ความหลุดพ้น”
“ฌาน” คือ สภาพจิตที่มีสมาธิเป็นแกน ประกอบด้วยคุณสมบัติอื่นๆที่ดีงามอีก ๒-๓-๔-๕ อย่าง แล้วแต่ฌานขั้นไหน “ฌาน”เป็นผลที่ประสงค์สำคัญของ “สมถะ” หรือ จิตตภาวนา
ฝ่าย“วิปัสสนา” ที่ว่ามีหลักการคือ รู้ เห็นตามความเป็นจริงนั้น ผลที่เกิดขึ้นของมันคือ “ญาณ” ชื่อใกล้กันมาก ระวังสับสน ผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา คือ “ญาณ”
ผลที่ประสงค์ของสมถะ คือ “ฌาน”
พอถึงผลสำเร็จของวิปัสสนา เป็น “ญาณ”
“ฌาน” ของสมถะนั้น แปลว่า การเพ่งพินิจ แน่วแน่อยู่ จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้
แต่..วิปัสสนา ทำให้เกิด “ญาณ” คือ ตัวความรู้ หรือ ความหยั่งรู้ “ญาณ”จึงเป็นผลที่มุ่งหมายของวิปัสสนา
ที่พูดมาแล้วนี้ เป็นผลสำเร็จทั่วไป ต่อไปเป็น #ผลสำเร็จขั้นสุดท้าย
ผลสำเร็จขั้นสุดท้ายของ “สมถะ”
เมื่อทำให้จิตแน่วแน่เป็นอารมณ์เดียว เกิด“ฌาน” พอได้ฌานแล้ว จะเกิดความสำเร็จขั้นสุดท้ายขึ้น คือ จิตจะปลอดพ้นหลุดไป หมายถึง หลุดพ้นไปจากสิ่งที่ไม่ดีที่ไม่ต้องการทั้งหมด
จิตใจของคนเรานี้มีความขุ่นมัว มีความเศร้าหมอง มีกิเลส มีเรื่องทุกข์ร้อนต่างๆมากมาย พอเราทำสมาธิได้“ฌาน”แล้ว จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการได้ สงบ มันก็พ้นไปจากสิ่งที่ไม่ต้องการ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นความขุ่นมัวเดือดร้อนวุ่นวาย สิ่งที่เป็นกิเลสทั้งหมด ก็เรียกว่าเป็น ความหลุดพ้น
แต่ความหลุดพ้นนั้นเป็นไปได้ชั่วคราว ตลอดเวลาที่เราอยู่ในสภาพจิตนั้น เมื่อไรเราออกจากสิ่งที่กำหนด ออกจากสมาธิ จิตของเราก็เข้าสภาพเดิม เราก็มีปัญหาได้อีก เราก็มีความทุกข์ได้อีก จิตใจของเราก็มีความขุ่นมัวเศร้าหมองได้อีก อันนี้ จึงถือว่าเป็นความหลุดพ้นชั่วคราว ตอนนี้จะมีความยุ่งเรื่องศัพท์นิดหน่อย ศัพท์ไม่จำเป็นต้องจำ แต่ถือว่าฟังไว้ประดับความรู้ เรียกว่า “วิกขัมภนวิมุตติ”
#วิกขัมภนวิมุตติ บางทีท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า #สมยวิมุตติ แปลว่า หลุดพ้นชั่วสมัย สมย หรือ สมัย แปลว่า เวลา, วิมุตติ แปลว่า ความหลุดพ้น พ้นจากกิเลสและความทุกข์ สมย ชั่วสมัย คือชั่วเวลา ได้แก่ ชั่วเวลาที่เราอยู่ในสมาธิ แต่สมัยหลังมักเรียกกันว่า วิกขัมภนวิมุตติ แปลว่า #หลุดพ้นด้วยกดทับไว้ เหมือนอย่างเอาหินไปทับหญ้า ทำให้หยุดงอกงามไป พอเอาหินออกแล้วหญ้าก็กลับเจริญงอกงามต่อไปอีก เหมือนกับกิเลสและความทุกข์ พอได้สมาธิ กิเลสและความทุกข์ก็สงบเงียบ เหมือนกับหายไปหมดไป แต่พอออกจากสมาธิ กิเลสและความทุกข์นั้นก็เฟื่องฟูขยายตัวขึ้นมาได้อีก นี่คือ ผลสำเร็จสุดท้ายของสมาธิหรือของสมถะ คือ #สมยวิมุตติ_หลุดพ้นชั่วคราว_หรือ_วิกขัมภนวิมุตติ_หลุดพ้นด้วยกดทับหรือข่มไว้
ส่วน“วิปัสสนา” ทำให้เกิด“ญาณ” มีความรู้แจ่มแจ้ง รู้ตามที่เป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามที่เป็นจริงแล้ว จิตจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากสิ่งนั้นๆ #เด็ดขาดไปเลย
เมื่อเรารู้เข้าใจสิ่งใดตามความเป็นจริงแล้ว จิตของเราก็จะหลุดพ้นจากความยึดติดในสิ่งนั้น แล้วเราก็ไม่ขุ่นมัวไม่ขัดข้องเพราะสิ่งนั้น เมื่อยังไม่รู้ว่าอะไรเราก็ขัดข้องอยู่กับสิ่งนั้น เมื่อเรารู้ เราก็หลุด เราก็พ้นได้ รู้เมื่อไรก็หลุดเมื่อนั้น
ทีนี้ ความรู้เห็นตามเป็นจริงก็นำไปสู่ความหลุดพ้น เป็นอิสระอย่างชนิดเด็ดขาดสิ้นเชิง เรียกว่า #อสมยวิมุตติ_คือ_หลุดพ้นไม่จำกัดสมัย_เรียกอีกอย่างว่า_สมุจเฉทวิมุตติ_คือ_หลุดพ้นโดยเด็ดขาด”
( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : หนังสือ “#ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง”
“…การให้ทาน-การรักษาศีลนั้น ดีแล้ว
แต่เราให้ทาน-รักษาศีลนั้น มันยังมีโกรธ-มีเกลียด
อันนั้นมันเป็นศีลสังคม ไม่ใช่ศีลกำจัดกิเลสอย่างหยาบ
อันศีลนั่น ท่านว่าศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ
คือกิเลสอย่างหยาบมันจะหายไป...มันไม่หาย
(มัน)เหมือนกับตะกอนนั่นแหละครับ-กับน้ำนั่นแหละ
มันจะอยู่ด้วยกันได้ แต่มันเห็น-มันรู้ มันจะไม่ทำให้น้ำนั้นขุ่น
มันจะแข็งตัวมัน-เป็นก้อนอยู่อย่างนั้นครับ
จึงว่าน้ำกับน้ำมันอยู่ด้วยกัน มันก็ไม่ระคนกันได้
มันจะเป็นส่วน-เป็นส่วนอยู่อย่างนั้น
อันตม-เลนก็เหมือนกัน มันจะไม่ทำให้น้ำสกปรกได้ครับ
ที่ผมนำมาพูดให้ฟังวันนี้
การแก้ปัญหาของวิปัสสนู ก็จดจำเอาไว้
การแก้ปัญหาของจินตญาณ ก็จดจำเอาไว้
การแก้ปัญหาของเรื่องวิปลาส ก็จดจำเอาไว้
*ต้องทำอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น
ให้มีสติรู้การเคลื่อน-การไหว การไป-การมา
ทุกสิ่ง-ทุกอย่างนั้นแหละครับ
ให้รู้เท่า-รู้ทัน รู้จักกัน-รู้จักแก้
นั่นเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างลัด ๆ*
**อันนี้แหละลัดสั้นที่สุด มันคิดปุ๊บ-เห็นปั๊บขึ้นมา
อันนั้นแหละเป็นการปฏิบัติธรรมแท้ ๆ**
อันที่เราทำจังหวะนั้น เป็นวิธีการครับ
เพราะว่าคนมันระดับสติปัญญาไม่เหมือนกันครับ
ถ้าหากคนมีปัญญาจริง ๆ *ดูความคิด*
*มันคิดปุ๊บ-เห็นปั๊บ นี่เป็นการปฏิบัติธรรม*
ดีใจ-เสียใจ พอใจ-ไม่พอใจนี่...รีบมาแก้ไขที่ตรงนี้
คนไทยถือศาสนาพุทธ ก็มีอย่างนี้
คนไทยถือศาสนาคริสต์ ก็มีอย่างนี้
คนไทยถือศาสนาอิสลาม ก็มีอย่างนี้
คนไทยถือศาสนาพราหมณ์ ก็เป็นอย่างนี้
คนไทยถือศาสนาฮินดู ก็เป็นอย่างนี้
คนฝรั่งเศสบัดนี้-ถือศาสนาคริสต์ ก็มีอย่างนี้
คนฝรั่งเศสถือศาสนาอิสลาม ก็มีอย่างนี้
คนฝรั่งเศสถือศาสนาพราหมณ์ ก็เป็นอย่างนี้
คนฝรั่งเศสถือศาสนาฮินดู ก็เป็นอย่างนี้
คนฝรั่งเศสถือศาสนาพุทธ ก็เป็นอย่างนี้ครับ
*มันมีทุกคน ที่ผมพูดนี้*
จึงว่าไม่กำหนดกฎเกณฑ์เชื้อชาติ ศาสนา
ลัทธิ-นิกายอะไรทั้งหมด ไม่ถือทั้งนั้น
รับรอง เห็น-เป็น-มีจริง ๆ
รับรองได้…คำพูด-คำสอน(ที่)ผมนำมาเล่าสู่ฟังในวันนี้
รับรองแทนพระพุทธเจ้า
เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ‘สัตว์ทั้งหลาย
เราผู้เป็นตถาคตไปถึงแล้วแห่งนั้น
แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลาย
จงประพฤติ-ปฏิบัติตามอย่างเราตถาคตนี้
ก็จะรู้-จะเห็น-จะเป็น-จะมีอย่างเราตถาคตนี้’
*รู้-เห็น-เป็น-มีเช่นเดียวกัน*
การแก้วิปลาส ต้องให้รู้อยู่กับอารมณ์นะครับ
การแก้วิปัสสนูนั้น ต้องทำ(สบาย ๆ)
อย่าไปเพ่ง อย่าไปจ้อง
จินตญาณ ก็อย่าไปเพ่ง-อย่าไปจ้อง
วิปลาส ต้องให้มาแนบแน่นอยู่กับอารมณ์
อารมณ์...ทวนกลับไป-กลับมา ให้มันรู้-ให้เข้าใจ
ที่ผมได้แนะนำมาวันนี้ ก็นึกว่าทุกคนจำได้
ท้ายที่สุดนี้ ผมพร้อมด้วยเพื่อนพระสงฆ์
และญาติโยม มานั่งฟังธรรมะอยู่ ณ สถานที่นี้
ผมขออ้างอิงเอาคุณของพระพุทธเจ้า
และพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และคุณของพระอรหันตสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาเตือนจิตสะกิดใจของพวกเรา
ให้เราได้เจริญรอยตามอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
‘สัตว์ทั้งหลายคือเราตถาคต
สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต
สัตว์ทั้งหลายเป็นตถาคต’ ๓ ข้อข้างต้นนั้น
ก็ต้องรู้-ต้องเห็น-ต้องเป็น-ต้องมี
ข้อที่ ๔ นี้ ท่านว่า‘สัตว์ทั้งหลาย เราผู้เป็นตถาคต
ไปถึงแล้วแห่งนั้น แล้วจึงนำมาสอนพวกเธอทั้งหลาย
ให้พวกเธอทั้งหลายจงประพฤติ-ปฏิบัติตาม
อย่างเราตถาคตนี้ ก็จะรู้-จะเห็น
จะเป็น-จะมีอย่างเราตถาคตนี้’
*ขอให้ทุกคน-ทุกคน จงประสบพบเห็นเอา
คือจิตใจสะอาด-จิตใจสว่าง-จิตใจสงบ
จิตใจบริสุทธิ์-จิตใจปกติ...คือจิตใจผ่องใส-จิตใจว่องไว
สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง เพราะจิตใจเป็นปกติ
อันปกตินั้น เรียกว่าเป็นพระอรหันต์*”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
เวลาเข้าสภาวะเนื้อความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ลม มันระงับอยู่แล้ว กาย ใจ ก็ระงับอยู่แล้ว
ให้อยู่กับความนิ่งสงบข้างใน อยู่ให้ชิน
แล้วจะรู้ว่า กาย มันก็ส่วนกาย ภาวะรู้ ก็ส่วนภาวะรู้
ซึ่งเวลาสภาวะละเอียด ลมมันระงับหมดอยู่แล้ว
ก็ให้อยู่กับความตั้งมั่น ความสงบข้างใน
ถ้าอยู่เป็น... เรื่องกาย เรื่องลมหายใจ
มันจะไม่มีผลอะไรกับเราเลย
ส่วนใหญ่ คนที่ปฏิบัติแล้วคุ้นเคยอยู่กับลมหายใจ
เวลาเริ่มเข้าสภาวะสมาธิ เริ่มรู้สึกแล้ว
พอลมระงับ ก็รู้สึกอึดอัด ไม่คุ้นเคย
นี่ขนาดสภาวะในสมาธินะ
แต่ถ้าสภาวะเข้าสู่ความบริสุทธิ์ มันระงับกว่านั้นอีก
มันทิ้งกายเลย ทิ้งกาย ทิ้งใจเลย
เข้าสู่ความนิ่งสงบของธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น ให้อยู่กับความสงบระงับให้เป็น
ส่วนกาย ใจ ก็ปล่อยๆ ปล่อยวางขันธ์ 5 คือหมดการยึดถือ
มันจะเข้าสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
โดย พระมหาวรพรต กิตติวโร
พระวิปัสสนาจารย์
วิธีปฏิบัติธรรม มีมากมายเป็นล้านๆ วิธี พูดเรื่องการภาวนาไม่มีที่จบ สิ่งที่จะทำ ให้เกิดความสงสัยมีมากมายหลายอย่าง แต่ให้กวาดมันออกไปเรื่อยๆ แล้วจะไม่ เหลือความสงสัย.
เมื่อมีความเข้าใจถูกต้องเช่นนี้ ไม่ว่าจะนั่ง หรือจะเดิน ก็จะมีแต่ความสงบ ความสบาย ไม่ว่าจะปฏิบัติภาวนาที่ไหน ให้มีความรู้สึก ตัวทั่วพร้อม อย่าถือว่า จะปฏิบัติภาวนาแต่
เฉพาะขณะนั่งหรือเดินเท่านั้น.
ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกหนทุกแห่ง เป็นการปฏิ บัติได้ทั้งนั้น ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอด เวลา ให้มีสติอยู่ ให้เห็นการเกิดดับของกาย และใจ แต่อย่าให้มันมาทำใจให้วุ่นวาย
ให้ปล่อยวางมันไป.
ความรักเกิดขึ้น ก็ปล่อยมันไป มันมาจากไหน ก็ให้มันกลับไปที่นั่น ความโลภเกิดขึ้น ก็ปล่อย มันไป ตามมันไป ตามดูว่ามันอยู่ที่ไหน แล้ว ตามไปส่งมันให้ถึงที่ อย่าเก็บมันไว้สักอย่าง.
ถ้าท่านปฏิบัติได้อย่างนี้ ท่านก็จะเหมือนกับ บ้านว่าง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ. นี่คือใจว่าง. เป็นใจที่ว่างและอิสระจากกิเลสความชั่วทั้งหลาย เราเรียกว่า "ใจว่าง" .
แต่ไม่ใช่ว่างเหมือนว่าไม่มีอะไร มันว่างจาก กิเลส แต่เต็มไปด้วยความฉลาด ด้วยปัญญา ฉะนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำด้วยปัญญา คิดด้วยปัญญา จะมีแต่ปัญญาเท่านั้น.
ทุกคนที่ออกมาปฏิบัตินั้น ก็ออกมาด้วย. "ความอยาก" กันทั้งนั้น. มันมีความอยาก แต่ความอยากนี้บางทีมัน ก็ปนกับความหลง ถ้าอยากแล้วไม่หลงมัน ก็อยากด้วยปัญญา ความอยากอย่างนี้ท่าน เรียกว่า เป็นบารมีของตน..แต่ไม่ใช่ทุกคนนะที่มีปัญญา..
โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท.
อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจ
เมื่ออยากรู้ธรรมะจะไปดูที่ไหนได้ ดูอยู่ที่กายของเรานี้แหละ ดูอยู่ที่ใจของเรานี้แหละ ไปดูในตู้...ไม่พบไม่เห็น จะรู้ธรรมะอย่างแท้จริง ต้องดูในกายของเรา นี้เรียกว่า รูปธรรม รู้เข้าไปอีกชนิดหนึ่งไม่มีรูป มีปรากฏอยู่คือ นามธรรม มี ๒ อย่างเท่านั้น รูปธรรมมองเห็นด้วยตาของเราที่นั่งอยู่นี่ แต่นามธรรมมองไม่เห็น นามธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะมองดูด้วยตาเนื้อได้ ต้องมองดูด้วยตาใน คือตาใจ มองดูในใจถึงจะเห็นนามธรรม คนจะบรรลุธรรมะ จะได้เห็นธรรมะ ต้องรู้จักว่าธรรมะอยู่ตรงไหนเสียก่อน ถ้าธรรมะอยู่ที่กาย ก็ต้องมาดูที่กายของเรา ดูตั้งแต่นี้ลงไป เอาอะไรมาตรวจดูตรงนี้ เอานามธรรมคิด...ตัววิญญาณธาตุดูกายนี้ ไปดูที่อื่นไม่พบ เพราะความสุขความทุกข์เกิดจากที่นี่ หรือใครเห็นความสุขเกิดจากต้นไม้...มีไหม เกิดจากแม่น้ำ...มีไหม เกิดจากดินฟ้าอากาศ...มีไหม ความสุขความทุกข์เป็นความรู้สึกทางกายทางใจของเรานี่เอง
ฉะนั้น พระพุทธองค์ท่านให้รู้จักธรรมะ ให้มาดูธรรมะที่กายของเรานี้ คือธรรมะอยู่ที่นี่ จงมาดูที่นี่ อย่างท่านอาจารย์ท่านสอนนี้ ท่านให้มาดูที่ตัวธรรมะ แต่เราเข้าใจว่าตัวธรรมะอยู่ที่หนังสือจึงไม่เจอ ถ้าดูหนังสือก็ต้องน้อมเข้ามาในนี้อีกจึงจะรู้จักธรรมะ...อย่างนี้ ให้เข้าใจว่าธรรมะที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่...อยู่ที่กาย...อยู่ที่ใจนี้ ให้เอาใจนี้พิจารณากาย นี้เป็นหลักการพิจารณา
ฉะนั้น จึงทำปัญญาให้เกิดขึ้นในจิตของเรา เมื่อปัญญาเกิดขึ้นในจิตของเราแล้ว จะมองไปที่ไหนจะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลา อนิจจังเป็นของไม่เที่ยง ทุกขัง...ถ้าไปยึดว่ามันเที่ยงก็เป็นทุกข์ เพราะอันนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
ทางพ้นทุกข์
❝ ลัทธิที่สอนว่ามี “ตัวตน” ย่อมนำไปสู่ความเห็นแก่ตน
ระดับใดระดับหนึ่งเสมอไป จึงดับทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่ได้
เพราะเป็นกิเลสหรือมีกิเลส อยู่ในความเห็นแก่ตนนั่นเอง
ต้องเห็นแก่ธรรม คือ หน้าที่ ที่ถูกต้องสำหรับการดับทุกข์
โดยหมดตนจึงจะหมดทุกข์ ”พุทธทาสภิกขุ
“ตัวธรรมะ” จริงๆนั้นเป็นอย่างไร?
.
“ อุปมาเหมือนกับว่า พริกมันเผ็ด เกลือมันเค็ม เราบอกว่า “พริกมันเผ็ด” อย่างนี้ยังไม่เห็นความเผ็ดของมัน ยังไม่รู้จักคำที่ว่ามันเผ็ด มันเค็ม ไม่ใช่ ตัวเผ็ด ตัวเค็ม การอธิบายธรรมะให้ฟังก็เหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่ “ตัวธรรมะ” เป็นคำพูดของบุคคล เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ตัวหนังสือคัมภีร์ต่างๆก็เหมือนกัน เป็นข้อความบันทึกของธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ อ่านได้ ท่องได้ แต่ใจยังไม่เป็นธรรมะ พูดรู้เรื่องอยู่ ก็ยังไม่เป็นธรรมะ ยังไม่เห็นธรรมะ ตัวธรรมะจริงๆนั้นบอกกันไม่ได้ เอาให้กันไม่เป็น ไม่รู้จัก
.
ส่วนที่เราศึกษาเล่าเรียน สิ่งที่เราปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นอุบาย เป็นข้อประพฤติปฏิบัติบอกให้เข้าไปถึง เช่น บอกว่า.. “พริกมันเผ็ด” นะ! ยังไม่รู้จักว่า..ตัวเผ็ดจริงๆนั้น..เป็นอย่างไร? รู้จักแต่ใช้สำเนียงชื่อมันว่า “เผ็ด” แต่ตัวเผ็ดไม่รู้จัก ส่วน(การได้สัมผัสตัวเผ็ดด้วยอายตนะจริงๆ)นั้นไม่ใช่ส่วนของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ส่วนของหนังสือ ไม่ใช่ส่วนของคัมภีร์ มันเป็นส่วนของเจ้าของ(ตัวผู้สัมผัสเอง)ที่ปฏิบัติ มันจึงจะรู้จักว่ามันเผ็ดจริงๆ จึงจะรู้ว่า “ตัวเผ็ด” จึงจะเข้าถึง “ตัวเผ็ด ตัวเค็ม” เป็นต้น เผ็ด เค็ม มีแต่ชื่อ ไม่ใช่ตัวมัน ได้ยินแต่ไม่รู้จัก ส่วนนั้นมันเป็นส่วนของการปฏิบัติ ต้องเอาไปกิน ความเผ็ด-ความเค็ม-ความเปรี้ยว จึงจะปรากฏขึ้นมา อันนั้นเป็นตัวเผ็ด อันนั้นเป็นตัวเค็ม
.
เราอ่านหนังสือ เราฟังธรรมะ ยังไม่ใช่ธรรมะ ตรัสรู้ธรรมไม่ได้ รู้ได้ด้วยตำราเป็นส่วนของอุปัชฌาย์ อาจารย์จะแนะนำด้วยอุบายต่างๆ เพื่อให้เข้าไปเห็น..“ความเผ็ด” คือธรรมะ อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ”
.
พระโพธิญาณเถร ( หลวงพ่อชา สุภัทโท )
…คนไม่เข้าใจนิพพาน นึกว่ามันอยู่ไกล
ที่จริงแล้ว มันถูกปิดบังด้วยเรื่องอดีต-เรื่องอนาคตเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเอาไว้แล้ว(ว่า)
‘อดีต-อนาคต จะมาแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ -แก้ได้เฉพาะปัจจุบัน’
เราต้องรู้ปัจจุบันให้มากเข้า ๆ
อดีตมันไปแล้ว-อนาคตก็ยังไม่มา เราก็ต้องคอยดูปัจจุบัน
ถ้าไม่อยู่กับปัจจุบัน ใจก็จะคิดไปถึงอดีต-คิดไปถึงอนาคต
*เมื่อเราดูปัจจุบันเข้า ๆ มันก็เลยทันกับความคิดอันนั้น*
เรียกว่า ‘ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัยต้องละ'
'ตัวสมุทัย' คือ'ตัวคิด'นั่นเอง
ตัวคิดกลัว-คิดกลุ้มใจนี่ ไม่ต้อง(ห้ามความ)คิดเลย
*เพียงแต่มันคิดขึ้นมา เราเห็น-เรามาอยู่กับความรู้สึก*
‘มรรคต้องเจริญ'
*ทำบ่อย ๆ* ทำใกล้ ๆ-ทำไกล ๆ
‘นิโรธทำให้แจ้ง'
ก็เรามาแจ้งความหลุดพ้นตัวนี้นี่เอง-มันไม่มีอะไร
นี่แหละ 'วัฏสงสารยืนยาวนานสำหรับคนผู้ที่ไม่รู้ธรรม'
หลวงพ่อเคยพูดอย่างนี้ทิ้งไว้(ว่า)
‘กลางวันนานค่ำ กลางคืนนานแจ้ง
สำหรับคนผู้ที่เจ็บ-ป่วยไข้ นอนไม่หลับ
ทางยาวไกลสำหรับคนเดินทางเมื่อยล้า หาบของหนัก'
แต่ความจริง มันไม่ไกล
ธรรมะนี้ก็เหมือนกัน
*ถ้าเรารู้แล้ว เราจะเอามาใช้กับชีวิตเรา(ได้)จริง ๆ*
ทำการ-ทำงานโดยไม่มีทุกข์ โดยไม่กลัว-คือไม่กลัวตาย
เพราะความตายอันนี้ มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากและหาได้สบาย
ทำไมจึงว่าหาได้สบาย ก็มันมีอยู่แล้ว-จะไปหามันทำไม
คอยรอจังหวะมันเท่านั้นเอง
หาได้ยาก เพราะเราไม่รู้วิธีทำนี่
นึกว่านิพพานมันอยู่ไกล ๆ
ไม่เข้าใจว่า'นิพพานมันอยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่หน้าเรานี่เอง
เราเดินไปไหน มันก็ไปด้วย'
นิพพานคือของสำเร็จ เรียกว่า'ความหลุดพ้น'…”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
การให้กรรมฐาน ธรรมะคือความจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้
ตามกิจหน้าที่ของมันทั้ง ๖ ทวารแต่เพราะไม่รู้..ก็เลยยึดสภาวนั้นว่าเป็นตัวตนของเรา ก็เกิดทุข์เพราะไปยึดไม่รู้ตามความเป็นจริง
คําถามในเพจ ทําไม มีสติ รู้ว่าสิ่งไม่ดี แต่ยังละไม่ได้ โมโหตัวเองที่มีสติแล้ว แต่ก็ยังละไม่ได้ ?
ตอบ เป็นปกตินะ เพราะ รู้สึกตัว มีสติ ตัวสติ เป็นตัวเข้ามารู้ มาเห็น แต่กําลังมันไม่มาก ก็เหมือน ใบมีดโกน ที่ คมมากใช้หั่นของเล็ก แต่หากเอาใบมีดโกน ไปตัดต้นไม้ใหญ่ มันตัดไม่ได้ สติมันรู้ ว่าเป็นสิ่งไม่ดีมันละไปแล้ว แต่จิตใจมันยังหลงในกิเลสอยู่ มันกลับเข้าไปยึดอีก ดังนั้น มีสติแล้วใช่ว่าจะตัดได้หมดทุกเรื่อง
คําถามแล้วต้องใช้อะไรตัด ?
ตอบ ต้องใช้ สมาธิ ปัญญา มาช่วย
สมาธิ คือ ใจที่ตั้งมั่น เรามีสติ รู้ว่าไม่ดี มันละมาแล้ว ตัวสมาธิจะมาช่วยให้ใจไม่วอกแวก มั่นคง ไม่ไหลกลับเข้าไปยึดใหม่อีก ทําให้การครํ่าครวญไหลตามไปมันน้อยลงหรือหมดไป
ปัญญา คือ เราฉลาดขึ้น ใจเราฉลาดขึ้น รู้ว่ามันไม่ดีจริง ไม่ใช่ คิดว่าไม่ดี แต่ใจยังรักชอบอดไม่ได้ แพ้กิเลสอยู่ แต่พอมีปัญญา ที่นี้เห็นว่ามันไม่ดีจริงด้วยใจ ที่นี้ไม่ต้องไปละไปวางแล้ว ใจมันไม่เอาเลย จบเรื่องไหนเรื่องนั้นก็ไม่เอา เพราะมีปัญญาเห็นถูกต้อง
คําถาม จะทํายังไงดี ให้เกิดปัญญา ?
ตอบ ปัญญาจากวิปัสสนา ไม่ใช่ปัญญาจากความคิดการอ่านฟัง
เร่ิมที่เบสิคให้แน่น หาการปฏิบัติที่ตรงกับจริตตนเอง
สติ เป็น ฐานของ สมาธิ
สติ ที่ต่อเนื่องกันคือ สมาธิ
สมาธิเป็นทางมาของปัญญา
ปัญญาที่ว่าคือ ปัญญาจากการเจริญวิปัสสนา
Trader Hunter พบธรรม
เมื่อเรามีสติครบถ้วน และสตินั่นเอง คือตัวเชื่อมต่อกับจิตต้นกำเนิด..
ร่างกายทั้งชีวิตทั้งจิตใจ เมื่อดำรงสัมมาสติให้แม่นมั่น ตัวเราไม่ใช่ตัวเองเลยแม้ขณะ เราก็คือธรรมชาติอันหนึ่ง เป็นธรรมอันหนึ่ง เช่นกันกับธรรมทั้งหลายรอบตัว ..
เวลาอยู่ในสมาธิลึก ร่างกายจะหายไป หัวหาย แขนหาย ขาหาย มันดับไป ..ลึกขึ้นๆ ลมหายใจก็ดับลง..นั่นน่ะ สติลุ่มลึก
การทำสมาธิลึก เป็นการตัดสิ่งรบกวนภายนอก(ตัดการรับรู้จากจิตนอก) แล้วเชื่อมจิตต้นกำเนิด สิ่งที่เราได้รู้ในตอนนั้น ว่ากายนี้ไม่มีจริง ผัสสะทางกายที่หลอกว่ามันเป็นของเรา ลมหายใจที่เรารู้สึก หลอกว่าเป็นของเรา แท้จริงไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา
ความคิดที่แว่บเข้ามา ความทรงจำหรือก็ยังไม่ใช่ มันเป็นขันธ์ปรุงแต่งทั้งสิ้น
ความรู้สึกในสมาธิ ว่ากายนี้ไม่มีจริง จิตนี้ไม่มีจริง เวทนาไม่มี มันดับลงตรงนั้น สิ่งนี้ เราจะทำให้เกิดมีในชีวิตประจำวันตลอดเวลา และจะต้องเสถียรได้อย่างไร?
มหาสติ คือคำตอบ ..การรับรู้สิ่งต่างๆ จาก3ตัวรู้ มันก็คือจิต มันเป็นธรรมอันหนึ่ง ..ทุกสิ่งที่รับรู้เข้ามา ก็เป็นจิตใช่หรือไม่?
ภาษาสมมติก็ว่ากันไป แต่มหาสติคงไว้ นั่นคือธรรม
สติคือสมาธิ และเกิดปัญญา ถ้ากันตามภาษาโลกก็ต้องพูดแบบนี้.. แต่จริงๆแล้ว มันแทบแยกกันไม่ออกในสภาวะ เพราะมันเชื่อมโยงเป็นเนื่อเดียวกันไม่สามารถแยกได้
จิตสมมติก็คือธรรม ธรรมสมมติก็คือจิต ..จิตที่เห็นว่าแยกกันเดิน แยกกันกิน แยกกันนั่ง จิตธรรมชาติ จิตสิ่งมีชีวิตระดับต่างๆ ไม่ว่าจะระดับสัตว์ ระดับต้นไม้ หรือระดับธาตุ ..ก็เป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับปัญญาญาณ
ปัญญาญาณ ที่เชื่อมได้มา เมื่อเอามาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเสถียร ตลอดถ้วนทั่ว ..
ชีวิตที่ใช้มองโลกด้วยปัญญา(ปัญญาที่เชื่อมมา หาใช่ของเราไม่ เพราะถ้ายังมีอัตตาปรุงแต่งได้ มันก็คือความคิด มิใช่ปัญญาธรรม)
ไม่มองโลกอย่างปรุงแต่ง #แต่ใช้ชีวิตด้วยทัศนะในญาณบริสุทธิ์นำทาง..
การใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในสมาธิและนอกสมาธิ การยืนเดินนั่งนอน ไม่มีอัตตา ไม่มีตนเองเจือปนแม้เล็กน้อย ด้วยการแทนที่ของสัมมาสติ #การใช้ชีวิตกระทำจากจิตญาณธรรมชาติเป็นผู้ดำรง
สภาวะธรรมต่างๆ ที่ถูกแยกออกมา มันแยกได้เพียงโดยสภาวะ แต่ในความแยกนั้น มันก็รวมกันอยู่ ..
แท้จริงไม่มีสิ่งใด ทุกสิ่งคือหนึ่งเดียว..
เดิมแท้มีแค่หนึ่งเดียว มีเพียงหนึ่งไม่แตกเป็นสอง
หลวงปู่ดูลย์ ใช้คำว่า..จิตหนึ่งคือพุทธะ
ศีล สมาธิ ปัญญา วิปัสนาตัดทอนภพชาติได้ เอากิเลส ตัณหา มาตอน ศีลเป็นสะพาน ทานเป็นเสบียง ภาวนาไม่ให้หลงทาง เพื่อประหารกิเลสตัณหา
กิเลสตัณหาทําให้เกิดภพชาติ กิเลสตัณหามี 3 ระดับคือ หยาบ กลาง ละเอียด รบด้วย
ศีล รบกิเลสตัณหาอย่าง หยาบ
สมาธิ รบกิเลสตัณหาอย่าง กลาง
ปัญญา รบกิเลสตัณหาอย่าง ละเอียด
เอาสติไปปลูกให้จิตผู้รู้ตื่น เป็นพุทธะ มีสติระลึกรู้ตน
Trader Hunter พบธรรม
มีปุจฉากับตัวเองดังนี้
๑.ชีวิต คืออะไร?
๒.ชีวิต เป็นอย่างไร?
๓.ชีวิต เป็น(ไป)อย่างไร?
๔.ชีวิต (ควร)เป็นอย่างไร?
๕.ชีวิต ควร(อยู่)อย่างไร?
.
.
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) มีคำตอบ
พอสรุปโดยสังเขป ได้ดังนี้
》ส่วนที่ ๑ ชีวิตคืออะไร?
สิ่งมีชีวิต นั้นประกอบด้วย ปัจจัย ๕ อย่าง (ซึ่งรวมเรียกปัจจัยเหล่านี้ว่า ขันธ์ ๕ ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ) คือร่างกายกับจิต หรืออวัยวะต่างๆ ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น สุข ทุกข์ ร้อน หนาว อบอุ่น สบาย เมื่อยล้า ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ เป็นต้น การจดจำความคิด ความรู้ การตัดสินใจ และ สัญชาติญาณและประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การมองเห็น ได้กลิ่น ได้ยิน รู้รส เป็นต้น
》ส่วนที่ ๒ ชีวิตเป็นอย่างไร?
ชีวิตเรานั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่นร่างกายที่เปลี่ยนจากเด็กเป็นหนุ่มสาวแล้วก้าวสู่วัยชรา ความสุขความทุกข์ที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป วันละร้อยละพันหน ความจำที่มีบ้าง ลืมบ้าง เลอะเลือนบ้าง สับสนบ้าง ตามสภาวะอารมณ์และวัย ความคิดการตัดสินใจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งการรับรู้สิ่งต่างๆ อยู่เสมอ โดยไม่สามารถจดจ่ออยู่เพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ตลอดชีวิต
การเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา ความทุกข์ที่สูญเสียสิ่งที่รักที่ชอบ ที่เปลี่ยนแปลงไป การไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ต้องการ รวมถึงการต้องอยู่กลับสิ่งที่ไม่ชอบ และการที่ทุกอย่างต้องดับสูญไปตามกาลนั้น รวมเรียกว่า ไตรลักษณ์ คือความจริงของชีวิต (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) คือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่มีตัวตน
》ส่วนที่ ๓ ชีวิตเป็นไปอย่างไร?
ชีวิตดำเนินไปตาม โดยอาศัย ร่างกาย ความรู้สึก ความจำ ความคิด และประสาทรับรู้ของชีวิตต่างๆ เดินเรื่องไปตามความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่มีตัวตน ในกระบวนการเป็นไปของชีวิต ดังนี้
เพราะชีวิตไม่มีความเข้าใจในหลักธรรมชาติ หรือมีความเข้าใจผิดว่าความสุขล้วนได้จากความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และความบันเทิง จึงทำให้ขาดสติควบคุมประสาทสัมผัสต่างๆ ให้สำรวม หรือรู้เท่าทัน เมื่อมีสิ่งเร้าภายนอกเข้ามากระทบ ทั้งจากการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัส จึงปล่อยให้สิ่งเร้าต่างๆเข้ามาทำให้เกิดความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ แล้วก็เกิดการจดจำว่าสิ่งไหนที่ชอบ ก็ต้องการแสวงหามาปนเปรอตนเอง สิ่งไหนไม่ชอบก็พยายามหลีกหนี ซึ่งเมื่อไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ก็พยายามเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้เป็นไปตามใจตน ทำให้เกิดการยึดมั่นว่าสิ่งที่ต้องการต้องเป็นของตน จนทำให้เกิดการก่อกรรม ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ
แต่ไม่ว่าจะสมหวัง หรือผิดหวัง ทุกอย่างก็สิ้นสุดลง และเริ่มใหม่เป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปนานแค่ไหนก็ตาม ตราบที่ยังปล่อยชีวิตไปตามความลุ่มหลงในสิ่งต่างๆอยู่ ชีวิตก็คงจมอยู่ในกองทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น (เพราะตามหลักโลกธรรมนั้น มีสุข ย่อมมีทุกข์ มียศ ก็มีเสื่อมยศ มีลาภ ก็มีเสื่อมลาภ มีสรรเสริญ ก็ย่อมมีนินทา) พระพุทธองค์เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ปฏิจจสมุปบาท (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น)
》ส่วนที่ ๔ ชีวิตควรเป็นไปอย่างไร?
เมื่อเห็นชีวิตที่เวียนว่ายอยู่ในความลุ่มหลงนั้นเป็นทุกข์ ก็ควรหันกลับมาดูว่าชีวิตของเราควรเป็นไปอย่างไร
ซึ่งพระพุทธองค์ได้ ชี้ทางแห่งการพ้นทุกข์ไว้แล้ว อันประกอบด้วยปัจจัย ๘ ประการ (ที่เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘) คือการทำให้รู้ว่าสิ่งใดทำให้เกิดทุกข์ สิ่งใดทำให้เกิดความสุขความสงบ แล้วตั้งใจที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีทั้งหลาย คือ กามราคะ ความเคียดแค้นพยาบาท และความอยากได้ทำให้ต้องเบียดเบียนตนเอง หรือผู้อื่น โดยเปลี่ยนมาคิดกับผู้อื่นอย่างดี กล่าววาจาที่ดี ไพเราะ ความจริง และมีประยชน์ ทำตน และการงานที่ไม่ก่อให้เกิดโทษกับผู้ใด แล้วพยายามคิด พูด และทำสิ่งต่างๆเหล่านี้อยู่เสมอด้วยความเพียร ในการต่อสู้กับกิเลสตัณหาความลุ่มหลง และความโกรธแค้นต่างๆ โดยใช้สติเป็นตัวควบคุม การกระทำ ความรู้สึก ความคิด และการเท่าทันสิ่งเร้าต่างๆที่เข้ามากระทบชีวิต โดยตั้งมั่นในสิ่งที่เป็นกุศลธรรม คือความดีงาม หากทำได้อย่างนี้ ความสุขความสงบก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในทุกภพทุกชาติตราบจนถึงกาลหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาทั้งมวล
》ส่วนที่ ๕ ชีวิตควรอยู่อย่างไร?
ควรดำเนินชีวิต...
▪ด้วยความไม่ประมาท
▪ควรเป็นผู้อบรมเจริญปัญญา
▪ด้วยการศึกษาพระธรรมและปฏิบัติด้วยความเพียร
▪ควรเป็นผู้ละอกุศล และเจริญกุศลทุกประการ
▪ควรเป็นคนดีและบำเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว สังคมและประเทศชาติ
ศึกษาธรรมและปฏิบัติดังนี้
๑. อริยสัจ ๔ อริยมรรคมีองค์ 8
๒.ไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา)
๓. บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ
๔. การฝึกปฏิบัติเพื่อการพัฒนาศีล สมาธิ และปัญญา (สมถและวิปัสสนาภาวนา)
ควรปฏิบัติตามทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ ดังนี้ (อริยมรรคมีองค์ ๘)
ภิกษุ ท.! ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง ที่ไม่ดิ่งไปหาสิ่งสุดโต่งสองอย่างนั้น (ความใคร่ในกามและการทรมานตนให้ลำบาก)
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว เป็นข้อปฏิบัติทำให้เกิดจักษุ เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เกิดญาณ
เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้อันยิ่ง เพื่อความตรัสรู้พร้อมเพื่อนิพพาน
ภิกษุ ท.! ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลาง ที่ไม่ดิ่งไปหาที่สุดโต่งสองอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า?
ภิกษุ ท.! ข้อปฏิบัติที่เป็นสายกลางนั้น คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบอยู่ด้วย องค์แปดประการนี่เอง แปดประการคืออะไรเล่า? คือ :
1) สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง)
2) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริที่ถูกต้อง)
3) สัมมาวาจา (การพูดจาที่ถูกต้อง)
4) สัมมากัมมันตะ (การทำการงานที่ถูกต้อง)
5) สัมมาอาชีวะ (การดำรงชีพที่ถูกต้อง)
6) สัมมาวายามะ (ความพากเพียรที่ถูกต้อง)
7) สัมมาสติ (ความรำลึกที่ถูกต้อง)
8) สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นคงที่ถูกต้อง)
》ขั้นตอนปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม
หลังจากศึกษาปริยัติดีแล้ว ก็ปฏิบัติให้เต็มที่
๑.มีศีล เช่น ศีล ๕
๒.สำรวมอินทรีย์ ๖ อย่าง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
๓.ปฏิบัติ สมถะและวิปัสสนา เช่น อานาปานสติ สติปัฏฐาน ๔
๔.เจริญสติปัฏฐาน ๔
๕.มีอิทธิบาท ๔ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
๖.มีสัมมัปปธาน ๔
- เพียรระวัง อกุศลที่ยังไม่เกิด
- เพียรละ อกุศลที่เกิดแล้ว
- เพียรรักษา กุศลที่เกิดแล้ว
- เพียรเจริญ กุศลธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป
๗.ย่อมทำให้ สติปัฏฐาน ๔ เจริญ สมบูรณ์
(ข้อสังเกต ไม่ใช่ พอปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจะสมบูรณ์ได้ แบบ รวบลัดตัดทอน โดยพลันได้นะครับ ยกเว้นบุคคลพิเศษ ที่สร้างสมมามากแล้ว ดังนัน แม้ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ เป็น หรือพอถูกทางแล้ว จะต้องใช่บรรลุธรรม เสมอไป เพราะยังมีรายละเอียดประเด็น ที่จะต้องเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ดังข้อต่อไป )
๘.เมื่อสติปัฏฐาน ๔ เจริญสมบูรณ์ ย่อมทำให้ โพชฌงค์ ๗ สมบูรณ์ ซึ่ง อินทรีย์ ๕ พละ ๕ เจริญสมบูรณ์ด้วยนั้นเอง
๙. เมื่อ โพชฌงค์ ๗ เจริญสมบูรณ์ ย่อมทำให้ มรรคมีองค์ ๘ สมบูรณ์
๑๐. ย่อมละอวิชชา อย่างสมุทเฉท(เด็ดขาด) ได้ไปตามลำดับ ของพระอริยบุคคล เพราะ ปัญญา แจ้งใน อริยสัจ ๔ (ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ นิโรธ มรรค) อย่างสมบูรณ์ ไปตามลำดับนั้นเอง.
*****************************************
อ้างอิง: หนังสือพุทธธรรม โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป.อ.ปยุตโต)
การทําสมาธิ รู้สึกตัวกับลมหายใจ
รู้สึกตัวกับลมหายใจเข้า รู้สึกตัวกับลมหายใจออก ตรงที่รู้สึก นั้นเป็นการอยู่กับจิตผู้รู้ จิตผู้รู้จะตั้งมั่นเด่นขึ้นมา ปล่อยจากขันธ์หยาบมาละเอียด
อย่าไปอยากให้เกิดสภาวะ อย่าอยากใดๆทั้งสิ้น อย่าไปอยากหูดับ กายเบา จะไม่เกิด ให้ปล่อยกายสบายๆ วางใจสบายๆอยู่กับความรู้สึกที่ปรากฏ จิตจะปล่อยวางอารมณ์อื่นเองอัตโนมัติ ปล่อยแล้วก็อย่าไปดึงกลับมาอีก ตรงนี้อย่าพยายามไปคิดพิจารณาหรือสงสัยนะ มันจะหลุด
กาย ใจ จะหลุดออกจากการยึดถือ ปล่อยออกจากขันธ์ ยิ่งรู้สึกตัวชัด ตรงนี้รู้อยู่กับใจแล้ว กายหลุดไป หรือ กายเบา ไม่มีความเวทนาจากกายอีก เพราะความเวทนาเป็นอารมณ์หยาบ
เห็นเป็นขณะ เป็นช่วง บางทีว่างมีรู้สึกตัว , บางทีหลุดเผลอไม่รู้ตัวว่าง หรือ ไหลไปคิดหรืออยู่กับอารมณ์ , ให้ กลับมารู้สึกตัวเป็นหลัก เป็นการกลับมาอยู่กับจิตผู้รู้ ปล่อยออกจากอารมณ์
จิตตั้งมั่นเด่น ใจจะว่างๆ สังเกตุดูความว่างที่ปรากฏ อย่าเข้าไปอยู่กับความว่าง ให้เห็นเองว่าใครเป็นผู้รู้ความว่างอยู่ นั้นคือจิตผู้รู้ที่เข้าไปรู้ความว่างนั้นเอง ให้อยู่กับจิตผู้รู้ ที่รู้ความว่าง อย่าปล่อยใจไหลไปแช่ความว่าง
ธรรรมแท้จะปรากฏกับใจ ตามความก้าวหน้าในธรรม
" จะภาวนาเมื่อไหร่ ?
ก็เมื่อมันรู้สึก เดี๋ยวนี้เเหละ
ภาวนาเมื่อมันรู้สึกอยู่
ถ้ามันพบกับอารมณ์ปุ๊บ เมื่อไรเป็นต้น
ก็ให้รู้สึก มันตรงนั้นแหละ
จับหลักมันอยู่...ตรงนี้
มันจะมีสุข มีทุกข์ อะไรก็ช่างมันเถอะ
ถ้ามันเฉย ๆ ก็ปล่อยไว้ อย่างนั้น
นี้เป็นหนทาง... ..
ที่เราจะเห็นชัด...ในธรรมะ."
(หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง)
เคล็ดลับของการปฎิบัติคือ อย่าเข้าไปเป็น ให้เป็นผู้รู้ เป็นผู้ดู อย่าเข้าไปเป็นมัน ถ้าเข้าไปเป็นมัน ไม่ใช่นักปฏิบัติ เพราะเวลาเราไม่ปฏิบัติ เราก็เข้าไปเป็นอยู่แล้ว
เวลาเกิดความโกรธ เราก็โกรธ เวลาเกิดความรัก เราก็รัก แต่นักปฏิบัติจะต้องเห็น เห็นความโกรธ เห็นความรัก เห็นความเบื่อ เห็นความขี้เกียจ แต่ไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ขี้เกียจด้วย นี่ปลอดภัยแล้ว
ทุกข์จะเกิดขึ้นที่กายมากน้อยแค่ไหน แต่ใจเป็นผู้เห็น ความคิดจะปรุงแต่งให้ใจเราเศร้าหมองแค่ไหน ใจเราก็ไม่ได้ไปเศร้าหมองด้วย เป็นแค่ผู้เห็น ปลอดภัยแล้ว
ถ้าเราฝึกบ่อยๆ เจริญสติบ่อยๆ รู้สึกบ่อยๆ บริกรรมในความรู้สึกบ่อยๆ ต่อไปจิตจะรู้เอง สติจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ต้องทำบ่อยๆแล้วเขาก็จะเกิดขึ้นเอง เหมือนเราสอนให้เขารู้สึกตัว ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน จึงจะเห็นผล แล้วต้องต่อเนื่องด้วย
ไม่ใช่ขณะปฏิบัติเอาจริงเอาจัง แต่พอออกไปทานข้าว ฟุ้งเหมือนเดิม ต้องให้ต่อเนื่อง จะได้ประโยชน์มาก เหมือนเราตำน้ำพริก ตำครั้งเดียวก็ยังกินไม่ได้ ต้องตำหลายๆครั้ง จึงจะกินได้ ทานข้าวคำเดียวก็ยังไม่อิ่ม ต้องทานหลายๆคำ
การปฏิบัติก็เหมือนกัน ต้องรู้บ่อยๆรู้บ่อยๆจึงจะได้ผล เรื่องธรรมะไม่ใช่เรื่องยากเย็น เรื่องยากคือความคิด ปฏิบัตินี่ไม่ยากหรอก มันยากตอนที่จะไม่ได้ปฏิบัติ
ง่ายๆแค่รู้สึก เวลากายเคลื่อนไหวก็รู้ เวลาใจคิดก็รู้ แค่รู้เฉยๆ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมที่สมบูรณ์แล้ว จบลงที่ความรู้สึกตัวเท่านั้น
อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม